มกราคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
29 มกราคม 2552

[ 1 ] นภาคลั่ง อสนีบาตชาด จันทราเลือด!

เสียงครืนครานและเมฆดำทะมึนที่ก่อตัวขึ้นเหนือท้องฟ้า ส่อเค้าว่าฝนจะตกลงมาในไม่ช้า สายลมเริ่มพัดเอาใบไม้แห้งวนขึ้นสูงเป็นรูปวงกลม กอบฝุ่นผงพัดกระจายไปทั่ว คณะกองเกวียนพ่อค้าต้องหยุดเดินทางด้วยอาเพศของลมที่ไม่ได้ส่อเค้าล่วงหน้า คนงานเริ่มลงจากรถไปคุมสัตว์ไม่ให้เตลิด และหาจุดอับลมเพื่อตั้งกระโจมพักชั่วคราว

หัวหน้าพ่อค้าลงมาจากเกวียน แล้วยืดเส้นยืดสายให้หายเมื่อย หลังจากอุดอู้อยู่ในเกวียนมานาน ก่อนเดินเตร่ดูคนงานที่ยุ่งวุ่นวายกับงานของตัวเอง โดยสายตาไม่วายมองร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่เข้าไปพยุงหญิงชราลงมาจากเกวียนด้วยความเป็นห่วง

สายฟ้าสีแดงหลายสิบเส้นผ่าเปรี้ยงลงมาบนผืนดิน จนทุกคนสะดุ้งโหยงกับเสียงกัมปนาทของอสนีบาตและเสียงแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น หญิงชราเซหงายไปด้านหลัง แต่ได้มือหนาแกร่งของคนที่ประคองพาออกมาพยุงไว้ ม้าเทียมรถร้องลั่นด้วยความตกใจ แล้วสะบัดฮึดฮัดจะวิ่งหนี คนดูแลม้าต้องรีบฉุดกระชากไว้ ก่อนที่มันจะเอาสินค้าพาหนีกระเจิงไป

ควันสีขาวกรุ่นพวยพุ่งออกมาจากจุดที่ถูกสายฟ้าฟาด หนึ่งในนั้นอยู่ไม่ไกลจากที่กองคาราวานหยุดพักเท่าไรนัก หลายคนวิ่งกรูกันไปดูจุดที่ถูกฟ้าผ่า หินก้อนใหญ่แตกกระจายและเต็มไปด้วยรอยไหม้ อาณาเขตของมันกินวงกว้างประมาณหกคืบและกลายเป็นหลุมขนาดเล็ก ให้หลายคนครางอือกับอานุภาพของสายฟ้า

“อา…หายนะ ข้าเห็นความหายนะของมนุษย์” หญิงชราพึมพำกับตัวเองแผ่วเบา พลางทอดสายตามองท้องฟ้าที่มีสีแดงก่ำดุจเลือด แต่เสียงของนางก็ไม่ได้เบาจนคนที่ยืนเคียงกายไม่ได้ยิน อีกฝ่ายจึงหันไปมองผู้เฒ่าด้วยสายตาสงสัย

“หายนะ? ท่านหมายถึงสิ่งใดหรือแม่เฒ่า”

แม่เฒ่าที่ชายหนุ่มเอ่ยถาม เป็นมารดาของหัวหน้ากองเกวียนพ่อค้าที่อยากกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดของตัวเอง อันเป็นเมืองที่พ่อค้าจะไปค้าขายด้วยพอดี นางมีอะไรหลายอย่างไม่เหมือนคนอื่น บางคนว่านางมีสติเลอะเลือน ชอบพูดอะไรแปลกประหลาดที่ฟังไม่เข้าใจ แต่สำหรับเขาแล้ว นางมีบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษกว่าคนทั่วไป

“ข้าเห็นลมอาเพศ ท้องฟ้าคลั่ง และสายฟ้าอาถรรพ์ อา...พวกปีศาจกำลังจะกลับมาสร้างความวินาศให้กับมนุษย์อีกครั้งแล้ว” หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า ดวงตาฝ้าฟางสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวต่อสิ่งที่ตัวเองได้เห็น

“นั่นคือหายนะที่แม่เฒ่าเล่าให้ข้าฟังสินะ” ไกเซอร์เอ่ยถามหญิงชราที่ได้แต่ตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว ก่อนหันไปมองลางหายนะที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาครุ่นคิด ซึ่งหากเป็นคนอื่นมาได้ยินคำพูดนี้ คงกล่าวหาว่าอีกฝ่ายพร่ำเพ้อไร้สาระ ไม่เห็นสิ่งที่ผู้เฒ่าพูดเป็นเรื่องจริงจังเหมือนผู้คุ้มกันคนนี้แน่

ไม่มีใครรู้ว่าไกเซอร์ เป็นใครมาจากไหน เขาเป็นเพียงนักเดินทางแปลกหน้าที่บังเอิญเข้ามาช่วยเหลือกองเกวียนที่กำลังถูกโจรปล้น และตกกระไดพลอยโจนให้เป็นผู้คุ้มกันกลุ่มกองเกวียนพ่อค้าจนถึงปลายทาง ซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญอีกเช่นกันที่ปลายทางของชายหนุ่ม เป็นที่เดียวกับกลุ่มกองเกวียนพอดี

แต่ด้วยรูปร่างหน้าตาอันโดดเด่นของเขา เส้นผมสีบรอนซ์อ่อนยาวจรดเอวที่หาได้ยากในประเทศทางแถบตะวันออกของทวีปกาโรเซีย และดวงตาสีฟ้าใสราวกับท้องนภาที่ยากจะล่วงรู้ได้ว่า ใต้ดวงตาคู่นั้นซุกซ่อนสิ่งใดไว้บ้าง ทำให้ลูกสาวของหัวหน้ากองเกวียนที่ติดตามมาปรนนิบัติแม่เฒ่าผู้ชรา พยายามเข้าหาชายหนุ่มตามนิสัยอยากรู้อยากเห็น และอยากเอาชนะ อันเป็นเหตุให้หัวหน้าผู้คุ้มกันกองเกวียนที่สนใจหญิงสาวมาตั้งแต่แรกเริ่ม เกิดอาการเขม่นนักเดินทางแปลกหน้า

“อย่าสนใจคำพูดของท่านย่าเลย ท่านไกเซอร์ พอเจอท้องฟ้าสีแดงทีไร ท่านย่าก็พูดแบบนี้เสมอนั่นแหละ ทั้งที่สีของท้องฟ้านั่นเป็นแค่สีของพายุที่กำลังมา” เสียงหวานนุ่มของหญิงสาวที่เพิ่งเยื้องกรายลงมาจากเกวียนดังขึ้นด้วยความขบขัน เพราะชายหนุ่มตรงหน้าที่ชอบซุกซ่อนความเป็นมาของตัวเองไว้เบื้องหลังดวงตาสีฟ้าคราม กลับเชื่อจริงจังในนิทานของผู้เป็นย่า

“มันไม่ใช่แค่พายุ เมื่อกี้เจ้าไม่เห็นหรือหลานข้า! อสนีบาตชาดที่พาดผ่านท้องฟ้านับร้อยสาย และพระจันทร์เลือด! สีแห่งหายนะที่จะครอบคลุมผืนนภาตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืน โอ...ข้าเห็นความวินาศ!” เสียงของแม่เฒ่าดังก้องไปทั่วบริเวณ เรียกสายตาของสมาชิกกองเกวียนคนอื่น ให้หันไปมองการโต้เถียงของสองสาวต่างวัยด้วยความสนใจ

“พระจันทร์ยังไม่ได้เป็นสีเลือด ท่านย่า” หญิงสาวตอบกลับอย่างใจเย็น

“เจ้าลองดูค่ำคืนนี้สิ ดูไปตลอดเจ็ดวันให้หลัง พระจันทร์จะเป็นสีเลือด!”

น่าเสียดายนักที่ไม่มีใครสามารถพิสูจน์คำพูดของแม่เฒ่าได้ ด้วยค่ำคืนนี้ หลังจากผ่านพ้นฝนพรำไป กลุ่มเมฆหมอกจะปกคลุมผืนฟ้าสุดแดนไกล จนไม่อาจเห็นท้องนภาเบื้องบนได้ และจะเป็นเช่นนี้ไปตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืนเลยทีเดียว

“ฝนโปรยแล้วแม่เฒ่า ขึ้นเกวียนหลบฝนก่อนเถอะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอาเสียก่อน” ไกเซอร์เอ่ยขัดการโต้เถียงของสองย่าหลานด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย พลางพยุงร่างที่สั่นหงึกของหญิงชรากลับขึ้นไปบนเกวียน ก่อนลงมาประจันหน้ากับหญิงสาวที่เชิดหน้าขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ต่อสายตาตำหนิของชายหนุ่ม

“ท่านคิดว่าสิ่งที่ท่านย่าพูดจะเป็นเรื่องจริงหรือไง”

คำถามของลูกสาวหัวหน้าพ่อค้า ทำให้ไกเซอร์ระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา เขารู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่ทำตัวเป็นมิตรกับสตรีตรงหน้าเกินไป เพราะดูเธอจะเข้าใจผิดคิดว่าเขาให้ความสนใจเธอเป็นพิเศษ

“ข้าไม่รู้หรอกว่า ความจริงของเรื่องนี้อยู่ตรงไหน แต่ข้ารู้ว่า แม่เฒ่าเคยเป็นหญิงรับใช้ในวิหารมาก่อน” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยตามเดิม พลางเดินผ่านร่างโปร่งบางไปอย่างไม่ใส่ใจ จนอีกฝ่ายต้องดึงรั้งต้นแขนแข็งแรงให้หันกลับมาประจันหน้ากันอีกครั้ง

“อย่าทิ้งคำพูดไว้แค่นี้นะ ท่านต้องการพูดอะไรกันแน่”

ดวงตาสีฟ้าครามหรี่ลงเล็กน้อย พลางระบายลมหายใจออกมาอีกครั้งด้วยความผิดหวัง ไกเซอร์คิดว่าลูกสาวหัวหน้าพ่อค้าจะเหมือนผู้เป็นย่า เป็นสตรีที่สืบทอดความสามารถทางสายเลือดที่เหล่าผู้เวียนวนอยู่ในวิหารจะต้องมี

“แม่หญิงไม่รู้สึกอะไร ยามได้เห็นท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงเลยหรือ” เสียงทุ้มติดแววดุเอ่ยขึ้นมาช้าชัด ซึ่งชายหนุ่มรู้สึกถึงอาการไหวสะท้านของมือเรียวบางบนต้นแขน กับคำถามที่แทงเข้ามากลางใจ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยต่อไปแล้วสังเกตท่าทีของคนตรงหน้า

“ขนแขนของแม่หญิงไม่เคยเกิดอาการลุกชันขึ้นมา ยามได้เห็นท้องฟ้าที่มีสีเช่นนี้ ไม่รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ยามได้เห็นสายฟ้าเมื่อกี้เลยอย่างนั้นหรือ”

ไกเซอร์มองดูท่าทางของหญิงสาวที่บอกอะไรได้มากมายกว่าคำพูด อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าความสามารถทางสายเลือดของแม่เฒ่า ก็ตกทอดมาถึงผู้เป็นหลานที่ไม่สามารถหาคำพูดใดมาคัดค้านสิ่งที่ชายหนุ่มเอ่ยออกมาได้ เขาตบมือเรียวบางบนต้นแขน แล้วถอนมือนั้นออกอย่างเชื่องช้าและนุ่มนวล

“ในช่วงเวลาเช่นนี้ อย่าปล่อยให้แม่เฒ่าต้องอยู่คนเดียวเลย ความหวาดกลัวของนางเป็นของจริง ขอให้แม่หญิงรู้แค่นั้นก็พอ กลับขึ้นไปบนเกวียนเถอะ ถึงฝนจะตกแค่โปรยปราย แต่ถ้าอยู่นานกว่านี้ อาจทำให้แม่หญิงไม่สบายได้เหมือนกัน”

ลูกสาวหัวหน้าพ่อค้าไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ไกเซอร์จึงค้อมศีรษะให้เล็กน้อย แล้วปลีกตัวเดินจากไปทันที โดยสายตาของเขาได้พุ่งตรงไปยังจุดที่อสนีบาตตกลงมา และชั่ววูบหนึ่ง ขนคอของเขาก็เกิดอาการขนลุกชันขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ชายหนุ่มหรี่ตาลงด้วยความหนักใจกับความรู้สึกที่วูบผ่านมา

ดูท่าอสนีบาตสีแดงนับร้อยสาย จะไม่ใช่สายฟ้าธรรมดาอย่างที่เขาเฝ้าภาวนาไว้เสียแล้ว!



สายลมหนาวเหน็บถูกพัดพามาพร้อมกับฝนโปรยเย็นฉ่ำ อากาศในค่ำคืนนี้จึงหนาวกว่าค่ำคืนไหน อีกทั้งค่ำคืนนี้ไม่มีเสียงของสัตว์กลางคืน ดังแว่วมาให้คนในกองเกวียนพ่อค้าได้ยิน จะมีก็แต่เสียงของคนเฝ้ายามที่จับกลุ่มคุยกันแผ่วเบาท่ามกลางความสงัด

แต่ความสนใจของนักเดินทางขาจร ที่จับพลัดจับพลูมาเป็นนักคุ้มกันไม่ได้อยู่ที่สิ่งเหล่านั้น ด้วยสายตาของเขากำลังจับจ้องอยู่ที่ร่างโปร่งระหงของหญิงสาวนางหนึ่ง ที่ยืนแหงนหน้ารับละอองฝนที่โปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย และน่าแปลกนักที่ร่างนั้นไม่เปียกปอนเลยสักนิด ราวกับคนตรงหน้าเป็นเพียงภาพลวงตาที่มาปั่นป่วนหัวใจของเขาให้ว้าวุ่น

ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ไกเซอร์ฝันเห็นภาพซ้ำซากเหล่านี้ ภาพของหญิงสาวที่ยืนหันหลังให้ทุกครั้ง ซึ่งพอเข้าไปใกล้ เธอก็หนีเขาไปด้วยการทำให้ตื่นขึ้นจากฝัน ซ้ำร้ายในยามตื่น เขากลับลืมความฝันที่มีเธอไปเสียหมด ส่วนที่จำได้รางเลือนคงเป็นเส้นผมสีน้ำตาลเข้มที่ยาวสลวยเป็นลอนคลื่นเต็มแผ่นหลัง และสัมผัสจากมือเนียนนุ่มอันบางเบาที่คล้ายจะปลอบประโลม ไม่ให้เขาต้องเจ็บใจตัวเองที่ลืมภาพของเธอไป

“ท่านจะรังเกียจไหม หากข้าบอกท่านว่าข้าชอบพระจันทร์สีนี้”

คำถามของหญิงสาว ทำให้ไกเซอร์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบนที่ปกคลุมด้วยเมฆสีดำครึ้ม เมฆนั้นหมุนวนเป็นรูปวงกลม แล้วเผยให้เห็นผืนราตรีประดับด้วยม่านดาว รวมถึงพระจันทร์สีเลือดที่ทำให้ขนคอของชายหนุ่มลุกชันขึ้นมา

“พวกปีศาจชื่นชอบท้องฟ้าคลั่ง และพระจันทร์ชโลมเลือด ข้าที่ชอบสองสิ่งนี้ คงเป็นพวกเดียวกับปีศาจด้วยกระมัง” น้ำเสียงหวานมีรอยเยาะหยันในตัวเองอย่างไม่ปิดบัง และเจ้าของเสียงก็ไม่ได้สนใจว่าคนที่ยืนนิ่งเหมือนขาถูกตรึง กำลังรู้สึกอย่างไรกับภาพของสตรีปริศนาที่ชื่นชมความงามของลางหายนะ

“จากอดีตจนถึงปัจจุบัน อาคมกักมารถูกทำลายไปทีละส่วน จากสิบสองเมื่อตอนนั้น เหลือแค่สี่ในตอนนี้ ส่วนที่เพิ่งทลายไปคือ ส่วนที่ใช้กักกันจอมปีศาจ สายฟ้าฟาดนั่นคือ หลักฐานที่บอกว่า ราชาของเหล่าสาวกแห่งความมืดได้หลุดออกมาแล้ว ท่านจะทำอย่างไรต่อไป จะทำลายหรือแค่กักขังเหมือนอดีตเมื่อหมื่นปีก่อน”

“ข้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีพลังเปลี่ยนแปลงโลก” ไกเซอร์ตอบกลับไปช้าชัด พลางเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์สีเลือดที่สร้างอาการขนคอลุกชันน้อยกว่าครั้งแรกที่จับจ้อง “...แต่ข้าคิดว่าตัวเองมีกำลังมากพอที่จะปกป้องทุกคนได้”

หญิงสาวปริศนาทิ้งเสียงหึลงลำคอกับคำตอบของมนุษย์ธรรมดาผู้โอหัง “ข้ารู้ว่าท่านมีความสามารถมากพอที่จะปกป้องทุกคนได้ แต่จอมปีศาจไม่ได้ปล่อยให้มนุษย์อยู่อย่างสงบมาหมื่นปีหรอกนะ ท่านก็สัมผัสได้ใช่ไหม เมล็ดพันธุ์แห่งความชั่วร้ายที่ถูกทิ้งไว้ในใจของมนุษย์ มันแตกหน่อและเติบโตเป็นไม้ใหญ่แล้วนะ”

ดวงตาสีฟ้าครามหรี่มองหญิงสาวที่ยังยืนรับสายฝนโปรยปราย ด้วยท่าทางไม่อนาทรร้อนใจต่อสิ่งใด หนำซ้ำยังล่วงรู้ความเป็นไปในสิ่งที่เกิดขึ้นมาช้านาน เพียงแต่ไม่มีใครสังเกตเห็น และเขาก็เป็นหนึ่งในเหยื่อที่ได้ประสบกับต้นกล้าแห่งความชั่วร้าย จนต้องสูญเสียผู้ให้กำเนิดไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ

“ข้าอยากรู้นักว่า ท่านจะทำอย่างไรกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า ท่านจะไม่ได้ทำสงครามกับพวกปีศาจเท่านั้นหรอกนะ ท่านยังต้องระวังมนุษย์ด้วยกันเองด้วย และกำลังของเราก็ไม่เหมือนเมื่อหมื่นปีก่อน มันน้อยเสียจนน่าใจหายทีเดียว”

“ด้วยตัวข้าคนเดียวคงทำอะไรไม่ได้” ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงแน่วแน่มั่นคง ราวกับว่าคำขู่ของหญิงสาวปริศนา ไม่อาจสร้างความสะทกสะท้านอะไรได้ “แต่ด้วยกำลังคนมากมาย ข้าเชื่อว่าต้องทำอะไรได้มากกว่าการเฝ้ามองความวินาศ”

ความมั่นใจของไกเซอร์ เรียกรอยยิ้มจากคนฟังที่น่าจะรู้ซึ้งธรรมชาติในตัวของอีกฝ่าย ชายหนุ่มไม่ใช่คนที่เมินเฉยต่อความเดือดร้อนของเพื่อนมนุษย์ ยิ่งเป็นความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้างแบบนี้ เขาคงจะวิ่งเต้นและหาทางทำอะไรได้มากมายตามที่เจ้าตัวว่า ส่วนที่น่าห่วงมากที่สุด คงเป็นนิสัยเสียเพียงอย่างเดียวของชายหนุ่ม

นิสัยที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นจนลืมดูตัวเอง หากเกิดบาดเจ็บจนถึงชีวิตขึ้นมา ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของมนุษย์คงมอดดับลงในพริบตา

“ข้าหวังว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้จะไม่ซ้ำกับอดีตเมื่อหมื่นปีก่อนนะ ท่านมนุษย์ธรรมดาที่แบกรับชะตากรรมของโลกไว้”



ไกเซอร์สะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันเหมือนทุกเช้า และต้องพบกับความโหวงเหวงในช่องอกเหมือนกับดวงใจได้ถูกควักไปดังเช่นทุกวัน ชายหนุ่มลูบหน้าตัวเองเพื่อปลุกปลอบอารมณ์สูญเสียที่ไม่รู้ว่าพลุ่งพล่านมาจากส่วนใดของความทรงจำ ก่อนพยุงกายลุกขึ้นจากฟูกนอน แล้วเดินออกไปเบื้องนอก เพื่อให้อากาศเย็นยามเช้าพัดพาความหมองมัวในจิตใจไป

“อ้าว! ท่านไกเซอร์ วันนี้ตื่นเร็วกว่าปกตินะครับ” คนเฝ้ายามที่ลุกขึ้นบิดกายแก้อาการปวดเมื่อย หันมาเห็นนักเดินทางออกมาจากกระโจมพักเข้าพอดี จึงเอ่ยทักทายด้วยอารมณ์แจ่มใส ผิดกับอีกฝ่ายที่ดูจะไม่ค่อยชื่นมื่นกับเช้านี้เสียเท่าไร

“เมื่อคืนฝันไม่ค่อยดีเท่าไรน่ะ เช้านี้เลยตื่นเร็ว” ชายหนุ่มตอบกลับเสียงเนือย พลางทรุดนั่งลงบนเก้าอี้หนึ่งในสี่ตัวที่ร้างเจ้าของ

“เพื่อนๆ หายไปไหนกันหมดล่ะ”

“สามคนเข้าไปงีบในกระโจมข้างๆ ครับ เพราะวันนี้เจ้าพวกนั้นต้องขับเกวียนผลัดแรก ส่วนอีกคนไปหาของกินรองท้องครับ” คนเฝ้ายามเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อม ซึ่งหัวหน้าผู้คุ้มกันเคยบอกไม่ให้เขาต้องสุภาพกับอีกฝ่ายมากนัก เพราะอย่างไรก็เป็นลูกจ้างที่หัวหน้าพ่อค้าจ้างมาเหมือนกัน แต่เขาก็ไม่ได้กระทำตามที่หัวหน้าผู้คุ้มกันบอก ด้วยท่าทางของคนตรงหน้าดูองอาจและน่าเกรงขามเสียจนไม่อาจทำตัวให้เทียบเทียมกันได้

“ข้ากำลังต้มกาแฟอยู่ ท่านไกเซอร์จะรับสักถ้วยไหมครับ”

คำถามของคนเฝ้ายาม ทำให้ไกเซอร์ยิ้มออกมาได้เล็กน้อย และรับความปราถนาดีของคนเฝ้ายามโดยไม่อิดออด “สักถ้วยก็ดี” พอสิ้นคำพูดของชายหนุ่ม อีกฝ่ายก็รีบกุลีกุจอเตรียมถ้วยอีกใบ แล้วเทน้ำสีดำเข้มส่งให้พร้อมกระปุกใส่น้ำตาลทันที

“เมื่อคืนฝันไม่ดีมากหรือครับ ใบหน้าของท่านดูซีดเซียวมากทีเดียว”

หลังจากส่งกาแฟให้นักเดินทางผู้ผันแปรมาเป็นผู้คุ้มกันแล้ว คนเฝ้ายามก็เอ่ยถามถึงความฝันของอีกฝ่ายด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็น เพราะปกติคนตรงหน้าไม่ค่อยแสดงอารมณ์อะไรออกมา โดยเฉพาะอารมณ์ในแง่ลบทั้งหลาย คนเฝ้ายามจึงนึกสงสัยว่า ความฝันอะไรกันที่ทำให้เจ้าตัวแสดงอารมณ์มืดมนออกมาได้เช่นนี้

และคำถามนี้เองที่ทำให้มือของคนที่กำลังเทน้ำตาลใส่กาแฟต้องหยุดชะงัก แล้วครุ่นคิดว่าจะตอบไปตามตรงดีหรือไม่ เพราะเขาพอเดาท่าทีของคนเฝ้ายามออก หลังจากได้ยินคำตอบนี้

“ก็ไม่รู้ว่าไม่ดีมากหรือเปล่านะ เพราะข้าฝันเห็นพระจันทร์สีเลือดน่ะ”

สุดท้าย ไกเซอร์ก็บอกไปตามจริง และท่าทีของคนเฝ้ายามก็เป็นไปตามที่ชายหนุ่มคิดไว้ไม่มีผิด อีกฝ่ายพ่นเสียงหัวเราะออกมาแผ่วเบา ก่อนพยายามกลั้นหัวเราะไว้ด้วยความเกรงใจ

“จะว่าไป เมื่อวานแม่เฒ่าก็พูดเรื่องนี้เสียงดังเหมือนกันนะครับ ข้าเองก็อยากพิสูจน์คำพูดของแม่เฒ่า แต่น่าเสียดายที่เมฆปกคลุมท้องฟ้าไปเสียหมด”

ไกเซอร์ไม่ได้ต่อบทสนทนานี้กับคนเฝ้ายาม เพราะชายหนุ่มเชื่อถือความฝันของตัวเองว่า ต้องเป็นลางบอกเหตุอะไรสักอย่าง กี่ครั้งกี่ครากันแล้วที่ฝันบอกเหตุนี้ได้ช่วยเหลือให้เขาผ่านพ้นสถานการณ์อันเลวร้ายได้ และเขาก็เชื่อในความรู้สึกที่ร้องเตือนว่า เหตุการณ์สายฟ้าฟาดเมื่อเย็นวาน จะนำพาความชั่วร้ายบางอย่างมา

ดังนั้น ไกเซอร์จึงนั่งจิบกาแฟไปเงียบๆ เฝ้าดูผู้คนในกองเกวียนที่เริ่มตื่นขึ้นมากันทีละคนสองคน บ้างก็มาขอปันกาแฟจากคนเฝ้ายาม โดยแลกกับขนมปังอบแห้ง ที่พอจะทำให้กาแฟวันนี้ดูมีรสชาติขึ้นมาบ้าง จนกระทั่งคนเฝ้ายามที่ไปหาของกินรองท้อง เดินหน้าตื่นออกมาจากกระโจมของเพื่อนร่วมผลัดที่เฝ้ายามด้วยกัน

“ใคร...ใครก็ได้ช่วยไปดูคนข้างในให้หน่อย พวกนั้นตัวเย็บเฉียบ...เหมือนคนตายแล้วเลย”

ไกเซอร์มองหน้าเพื่อนร่วมกินกาแฟที่มีสีหน้าประหลาดใจไม่ต่างกันเท่าไร ก่อนลุกพรวดขึ้น แล้วเข้าไปในกระโจมพักของคนเฝ้ายามที่มีร่างชายหนุ่มวัยฉกรรจ์สามคนนอนแน่นิ่งอยู่เคียงกัน

ชายหนุ่มรุดเข้าไปตรวจดูอาการของอีกฝ่าย แล้วพบว่าร่างกายนั้นเย็นเฉียบราวน้ำแข็ง ริมฝีปากแลดูหมองคล้ำเป็นสีม่วงคล้ายคนถูกพิษ เขาจึงค้นหาร่องรอยอื่นบนบนร่างกาย ท่ามกลางคนมุงที่เฝ้ามองการกระทำของนักเดินทางขาจร ด้วยความสงสัยระคนอยากรู้อยากเห็น จนเจอเข้ากับรอยแผลคล้ายถูกสัตว์มีเขี้ยวกัดที่ต้นขา

รอบบาดแผลของชายผู้โชคร้ายเป็นสีคล้ำจนเกือบดำ ซึ่งตอบคำถามของไกเซอร์ได้ว่าสามคนนี้ถูกสัตว์มีพิษกัด แต่ยังมีอีกสิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มนึกหนักใจพอๆ กับเรื่องที่สัตว์อะไรกัดสองคนนี้คือ เรื่องที่เลือดในกายของคนทั้งคู่แห้งเหือดไปหมด

“สามคนนั้นตายแล้วหรือครับ ท่านไกเซอร์” คนเฝ้ายามที่นั่งกินกาแฟกับไกเซอร์เอ่ยถามเสียงสั่น ซึ่งเป็นสิ่งที่คนอื่นที่สังเกตการณ์อยู่ด้วยกันล้วนอยากรู้

“ตายแล้ว...” ชายหนุ่มตอบกลับเสียงเบา แล้วหันกลับไปมองสมาชิกกองเกวียนที่พากันแตกตื่นกับความตายที่มาเยือนเพื่อนร่วมคณะอย่างไม่ทันตั้งตัว ก่อนเอ่ยประโยคถัดไปด้วยน้ำเสียงรัวเร็ว

“สามคนนี้เข้ามานอนกันตอนไหน”

คนเฝ้ายามมองหน้ากันเลิกลัก แล้วตอบพร้อมกันด้วยสุ้มเสียงแหบแห้ง “ประมาณสามชั่วยามที่แล้วครับ”

สัตว์อะไรที่สามารถดูดเลือดมนุษย์หมดทั้งตัวได้ในสามชั่วยาม? แต่ไกเซอร์ไม่ต้องคลำหาคำตอบนานนัก เมื่อเสียงร้องอย่างตื่นกลัวของสมาชิกกองเกวียนที่อยู่เบื้องนอกดังลั่นไปทั่วค่ายพัก ชายหนุ่มวิ่งออกไป โดยไม่ต้องให้ใครเข้ามาบอกเล่าว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะสังหรณ์ของเขาบอกว่า เรื่องไม่ดีได้เกิดขึ้นแล้ว

“ปีศาจ!” เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นอย่างตระหนก เมื่อเพื่อนร่วมกองเกวียนถูกอะไรบางอย่างฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตา ซ้ำยังปลิดชีวิตตัวคนพูดที่ได้แต่ร้องโหยหวนส่งวิญญาณตัวเองสู่แดนมิคสัญีไปอย่างไม่เต็มใจ

ไกเซอร์วิ่งไปหาต้นเสียง แล้วตวัดดาบเข้าใส่เงาร่างที่พุ่งหาเหยื่อรายต่อไปอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนการเคลื่อนไหวของมันจะเร็วกว่าเขา เมื่อมันหลบวิถีดาบ ซ้ำยังฝากรอยแผลเป็นทางยาวไว้บนท่อนแขนแข็งแรง ชายหนุ่มมองดูเลือดสีดำเข้มที่ไหลออกมาจากบาดแผล ก็เดาได้ว่าสิ่งที่เคลื่อนไหวรวดเร็ว จนแทบมองไม่เห็นเงาร่าง เป็นสัตว์ร้ายตัวเดียวกันกับตัวที่ทำให้คนเฝ้ายามในกระโจมเสียชีวิต

“ถอยออกไป!” ไกเซอร์ตะโกนใส่คนที่ยังยืนอยู่เบื้องหลังที่ถอยกรูดตามคำสั่ง โดยไม่ต้องรอให้พูดซ้ำสอง ก่อนขยับปากท่องอาคมบทหนึ่งขึ้นมา

ลูกไฟนับสิบอันปรากฏขึ้นตรงหน้าของนักเดินทางขาจร แล้วพุ่งเข้าใส่ร่างของสัตว์ร้ายที่หลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว มันกรีดร้องเสียงดังลั่นที่มีคนมาขัดเวลาสำราญของมัน ก่อนปรากฏร่างให้ผู้พบเห็นร้องออกมาด้วยความสยองขวัญ

สัตว์ร้ายที่คร่าชีวิตคนในกองเกวียน มีลักษณะเหมือนตั๊กแตนตำข้าวไม่มีผิด เพียงแต่รูปร่างของมันใหญ่กว่าปกติถึงห้าเท่า ซ้ำยังมีตาเล็กๆ แปดตาอยู่รอบหัวที่สั่นคลอนไปมา อีกทั้งเขี้ยวยาวโค้งที่ขยับเข้าหากันยังใสเหมือนแก้ว จนเห็นเหล็กพิษที่ทำให้เหยื่อตัวชาอยู่ข้างใน

“นี่มันตัวอะไรวะ!” หัวหน้าผู้คุ้มกันที่เพิ่งมาถึงที่เกิดเหตุพึมพำถึงสิ่งที่ทุกคนคิดเหมือนกัน แต่ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าสัตว์ร้ายตรงหน้าคือสิ่งมีชีวิตประเภทไหน

สัตว์ร้ายกรีดเสียงร้องอีกครั้ง แล้วพุ่งตรงเข้าหาตัวรบกวนของมันทันที ไกเซอร์รีบร่ายอาคมใส่ดาบจนเกิดเป็นประกายเรืองรองขึ้นรอบอาวุธ แล้วฟาดดาบใส่ตั๊กแตนยักษ์ที่ตรงเข้ารับดาบอย่างไม่หวาดกลัว แต่ดูท่ามันจะคิดผิดที่รับคมดาบนั้น เมื่อร่างกายที่มันภูมิใจว่าแข็งยิ่งกว่าเพชร กลับแตกร้าวไปทั่วร่าง ชายหนุ่มใช้ช่วงเวลาที่มันชะงักงัน กระชากดาบสั้นจากสายคาดเอวด้านหลัง แทงซ้ำเข้าไปในรอยร้าว จนเลือดสีแดงเข้มของสัตว์ร้ายกระเซ็นเข้าใส่เต็มหน้า

เสียงกรีดร้องของสัตว์ร้ายดังโหยหวนไม่หยุด มันผละจากนักดาบที่ดันใช้อาคมได้ แล้วทำท่าจะหนี แต่ไกเซอร์ไม่ปล่อยให้มันหนีรอดไปได้ ชายหนุ่มร่ายอาคมอีกบทหนึ่ง ก่อเกิดเป็นแสงเรืองรองบนพื้น ล้อมกรอบตั๊กแตนยักษ์ไม่ให้หนีออกจากวงล้อม พลางเสียบดาบสองเล่มกับคืนฝักตามเดิม ส่วนริมฝีปากขยับท่องอาคมอีกบท แล้วยกสองมือขึ้นสูงระดับอก ก่อนกระแทกฝ่ามือเข้าหากัน ซึ่งร่างของสตว์ร้ายก็แตกดังโพละอยู่ภายในกรอบอาคม คล้ายถูกอะไรบดขยี้อย่างหนักหน่วง

เหตุการณ์ตรงหน้าเกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็ว กว่าสมาชิกกองเกวียนทุกคนจะรู้สึกตัว ดึงสติกลับคืนสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง ก็เป็นตอนที่ไกเซอร์ร่ายอาคมอีกบทใส่เศษซากของสัตว์ร้าย แล้วไฟก็ลุกขึ้นท่วมร่างที่คร่าชีวิตสมาชิกในกองเกวียนไป จนกลายเป็นเถ้าถ่านอย่างรวดเร็ว

“ไฟอาคม! เจ้าเป็นนักอาคมด้วยงั้นหรือ” หัวหน้าผู้คุ้มกันที่ตั้งสติได้ก่อนเป็นคนแรก เอ่ยขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ เขามองเศษเถ้าถ่านของสัตว์ร้ายสลับกับนักเดินทางที่เผลอมาเป็นผู้คุ้มกันด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว เขาพอจะรู้อยู่บ้างว่า การใช้อาคมนั้นต้องใช้พลังจิตอย่างหนัก ยิ่งอาคมอยู่ในระดับสูงมากเท่าไร พลังจิตที่สูญเสียไปก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น แต่คนตรงหน้าดูจะไม่มีการเหน็ดเหนื่อยจากการใช้พลังจิตเลยสักนิด ทั้งที่ร่ายอาคมติดต่อกันถึงสี่บท

“ข้าใช้อาคมได้บางบท” ไกเซอร์ตอบอย่างไม่สนใจท่าทางของหัวหน้าผู้คุ้มกัน พลางกวาดตามองสมาชิกกองเกวียนที่เริ่มมามุงดูเศษเถ้าของสัตว์ร้ายที่ก่อความวุ่นวายในคณะของพวกตน “แต่ก่อนที่จะสนใจเรื่องของข้า ช่วยตรวจดูสมาชิกทุกคนด้วยว่ามีใครที่บาดเจ็บหรือยังไม่ตื่นอีกบ้าง แล้วรบกวนช่วยปลุกแม่เฒ่าและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นางฟังที ข้าคิดว่านางคงรู้ว่า ต้องทำอย่างไรต่อไป”

“แล้วนั่นเจ้าจะไปไหนน่ะ!” หัวหน้าผู้คุ้มกันถามไล่หลังเสียงดัง เมื่อเห็นคู่อริวิ่งผละจากไปด้วยท่าทางเร่งรีบ

“ไปจุดที่อสนีบาตตกลงมา!”



หลุมที่เกิดจากแรงฟาดของอสนีบาตสีแดงเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ช่วงเวลาเพียงข้ามคืน จากหลุมเล็กที่เต็มไปด้วยรอยไหม้ ถูกเถาวัลย์ประหลาดขึ้นปกคลุมเต็มพรืด ไกเซอร์ดึงดาบออกมาจากฝัก แล้วถางเถาวัลย์ที่ให้ความรู้สึกไม่ดีออก แต่บางสิ่งที่พุ่งเข้ามา ทำให้ชายหนีมต้องตั้งดาบรับ และพลิกดาบฟาดฟันสัตว์ร้ายที่เคลื่อนไหวรวดเร็วจนสายตาคนธรรมดาไล่ตามไม่ทัน

“นี่คือเพลงโหมโรงหายนะสินะ” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง พลางมองตั๊กแตนยักษ์ตัวที่สองและตัวถัดไปปรากฏกายออกมาจากดงเถาวัลย์มากขึ้น ราวกับว่าเครือเถาเหล่านั้นคือ ประตูที่เชื่อมต่อโลกเมื่อหมื่นปีก่อนที่พลุกพล่านด้วยสัตว์ปีศาจมากมาย

เจอกองทัพตั๊กแตนแบบนี้ ดาบเล่มเดียวคงจัดการมันไม่หมดแน่ คนที่ท่องอาคมได้บางบทจึงจำต้องทำในสิ่งที่ไม่ถนัด เพื่อไม่ให้กองทัพสัตว์ร้ายเหล่านี้ไปทำร้ายผู้คนในกองเกวียนที่ตัวเองร่วมเดินทางมา

ตั๊กแตนยักษ์นับสิบพุ่งเข้ากระแทกกับกำแพงใสที่ปรากฏขึ้นครอบคลุมหลุมสายฟ้าฟาดอย่างรวดเร็ว มันกรีดร้องเสียงดังลั่นกับอาณาเขตที่คิดจะกักกันพวกมันไว้อีกรอบด้วยท่าทางโมโหร้าย พวกมันระดมกำลังกันพุ่งเข้าใส่กำแพงใส โดยไม่สนใจร่างกายที่แข็งแกร่งราวเพชรจะปริแตกจากการพุ่งกระแทก และพอตัวหนึ่งล้มตายไปก็มีอีกตัวเข้ามาแทนที่ จนกำแพงใสที่เกิดจากอาคมเริ่มมีรอยร้าว

ไกเซอร์ท่องอาคมกักกัน และอาคมไฟสวรรค์ทั้งสองบทพร้อมกันด้วยลิ้นรัวเร็ว ฉับพลันบนพื้นรอบหลุมเถาวัลย์ก็ทอแสงเรืองรองเป็นรูปอักขระอาคม แล้วส่งลำแสงขึ้นไปบนฟากฟ้า จนคนที่อยู่ไกลออกไปสามารถมองเห็นลำแสงนี้ได้

หลังจากนั้น บนฟ้าภายในอาณาเขตเสาลำแสง ก็เกิดอักขระสีแดงเพลิงหมุนวนเป็นวงกลมสิบสองชั้น ก่อนกลายเป็นสายพระเพลิงเผาผลาญสิ่งที่อยู่ในวงล้อม ทั้งกองทัพตั๊กแตนและเถาวัลย์ที่ชักนำสัตว์ปีศาจมา จนมอดไหม้ในพริบตา!

“อึ!” ชายหนุ่มครางออกมาแผ่วเบา เมื่อการร่ายอาคมพร้อมกันสองบทกินพลังจิตของเขาไปมาก หนำซ้ำหนึ่งในสองบทนั้นยังเป็นอาคมระดับสูงที่นักอาคมน้อยคนจะท่องได้ครบถ้วนสมบูรณ์ความ ยิ่งมาเจอพิษที่ยังไม่ถอนก็ทำให้ย่ำแย่ไม่น้อย เขาพยายามพยุงตัวยืนให้มั่นคง แต่ภาระที่ร่างกายแบกรับไว้ ทำให้ร่างสูงใหญ่เซหงาย จนล้มลงไปในอ้อมแขนของใครบางคนที่เข้ามารองรับ

ดวงตาสีฟ้าครามที่แทบจะปิดสนิท พยายามเปิดขึ้นดูเจ้าของวงแขนนุ่มนิ่มที่มีกลิ่นหอมโชยอ่อนอันคุ้นเคย แต่มือเรียวบางที่ยกขึ้นมาปิดดวงตา ทำให้ชายหนุ่มต้องยอมพ่ายโดยดุษณี และได้ยินเพียงเสียงหวานกังวานที่ดังขึ้นก่อนอนุสติสุดท้ายจะดับลง

“เพราะท่านเป็นแบบนี้ล่ะ ห่วงคนอื่นจนลืมห่วงตัวเอง ข้าเลยต้องมาห่วงท่านแทน” หญิงสาวปริศนาระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา ก่อนลูบเปลือกตาคนในอ้อมแขนให้คลายแรงแข็งขืน “หลับเถอะ...ประตูปีศาจถูกทำลายแล้ว ที่นี่จะปลอดภัยตราบจนกว่าท่านจะตื่นขึ้นมาในวันรุ่ง”



กว่าสติของไกเซอร์จะกลับมารับรู้สิ่งรอบตัวได้ เวลาก็ล่วงเลยไปถึงช่วงดึก ชายหนุ่มครางอือในลำคอกับอาการปวดหนึบบนท่อนแขน อันเป็นความรู้สึกแรกที่พุ่งริ้วขึ้นมา หลังจากรวบรวมสติกลับมาครบ เปลือกตากะพริบถี่ไปมา เพื่อไล่ความพร่าเลือนที่ปกคลุมภาพเบื้องหน้า จนสายตาปะทะเข้ากับเพดานกระโจมพัก แล้วเขาก็เริ่มลำดับเหตุการณ์ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนหน้าที่ตัวเองจะมานอนหมดสภาพอยู่ตรงนี้

มีคนตายเพราะสัตว์ปีศาจ หลุมที่เกิดจากการถูกสายฟ้าฟาดมีเครือเถาวัลย์ขึ้นปกคลุมและกลายเป็นประตูปีศาจ ชักนำสัตว์ร้ายเมื่อหมื่นปีก่อนกลับมาสร้างความวุ่นวายให้กับมวลมนุษย์อีกครั้ง ซึ่งคิ้วที่ขมวดเข้าหากันก็เริ่มผูกปมแน่น เมื่อนึกถึงจำนวนสายฟ้าที่ฟาดลงมาบนพื้นพิภพ

...ดูท่าว่าเขาจะต้องทำงานหนักขึ้นเสียแล้ว

“คิดจะทำลายประตูปีศาจด้วยตัวคนเดียวงั้นหรือ” เสียงหวานกังวานที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด เรียกสายตาของไกเซอร์ให้หันขวับไปทางต้นเสียงอย่างตกใจ เพราะเขาจับการคงอยู่ของอีกฝ่ายไม่ได้เลย

ร่างโปร่งระหงในชุดสีขาวคล้ายจะเปล่งแสงเรืองรองได้ในความมืด ร่างนั้นนั่งห่างออกไปไกล และซ่อนตัวอยู่ในมุมอับสายตาจนแทบจะมองไม่เห็นเค้าโครงหน้าของอีกฝ่าย นอกจากเส้นผมสีน้ำตาลเข้มยาวเป็นลอนที่ทิ้งตัวข้ามแนวบ่าบอบบางมาส่วนหนึ่ง และริมฝีปากเรียวบางสีแดงอิ่มเอิบเหมือนกุหลาบบานฉ่ำ

“ข้ารู้ว่าท่านเก่งกล้าสามารถ แต่เรื่องบางเรื่องท่านก็ไม่สามารถทำคนเดียวได้ เช่นการทำลายประตูปีศาจที่มีอยู่ทั่วทวีปกาโรเซีย”

ประโยคนี้ของหญิงสาวที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดแทงใจคนหวังทำการใหญ่ให้รู้สึกเจ็บแปลบ เพราะชายหนุ่มก็คิดเหมือนกับอีกฝ่ายว่า สิ่งที่ตัวเองทำช่างหนักหนาสาหัสนัก และคงจะยับยั้งไม่ให้สัตว์ปีศาจล่วงผ่านเครือเถาวัลย์ไม่ได้ แต่กระนั้นก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลยไม่ใช่หรือ

หญิงสาวในเงามืดพอจะเดาความคิดของคนรั้นได้ เธอจึงระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา “ข้าว่าสิ่งที่ท่านควรระวังมากกว่าประตูปีศาจที่ส่งมาแต่สัตว์ปีศาจ น่าจะเป็นอาณาเขตกักมารมากกว่า รู้หรือไม่ว่าเหลือที่ใดที่ไม่ถูกทำลายบ้าง”

คำถามของหญิงสาวปริศนา ทำให้ใบหน้าคมคายทอแววเครียดขึง ไกเซอร์พอจะจำได้ว่า อดีตเมื่อหมื่นปีก่อนเกิดเหตุบางอย่างที่ไม่สามารถกำจัดจอมปีศาจ ผู้นำพาวิบัติมาสู่มนุษย์ได้ พวกเขาจึงแยกพลังของจอมปีศาจออกเป็นสิบเอ็ดส่วน แล้วแบ่งกระจายกันเก็บพลังของจอมปีศาจไว้ทั่วทวีปกาโรเซีย ส่วนร่างที่ไร้พลังนั้น ถูกกักอยู่ในไกเดน หุบเหวที่เชื่อมต่อกับแดนอเวจี โดยให้อาณาจักรอาซีเร็มที่มีชื่อเดียวกับทวีป เป็นผู้ดูแลอาณาเขตกักมาร ไม่ให้ใครหรือสิ่งใดเข้าไปทำลายและปลดปล่อยจอมปีศาจออกมา

แต่ชายหนุ่มจำได้ว่า หญิงสาวในเงามืดได้บอกกล่าวกับเขาในครั้งที่แล้ว ถึงอาคมกักมารที่ถูกทำลายลง ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้กักร่างของจอมปีศาจ ซึ่งหมายความว่ามีใครบางคนได้ทำลายเขตอาคมของไกเดนแล้ว และอาซีเร็มอาจกำลังย่ำแย่ เมื่อสิ่งที่หลุดออกมาไม่ได้มีแต่จอมปีศาจ ยังมีกองทัพมารที่มีมากมายนับหมื่นล้าน!

“เปเรคอฟ นอร์ธแลนด์ ไมเดนและจักรวรรดิเอเดน”

ชื่อของอาณาจักรสุดท้ายทำให้ไกเซอร์ขมวดปมที่หัวคิ้วเพิ่ม เพราะที่นั่นไม่ได้มีแต่อาคมกักมารที่ผนึกส่วนหนึ่งของจอมปีศาจไว้เหมือนกับอาณาจักรอื่น แต่ยังมีอาวุธของจอมปีศาจที่ว่ากันตามเรื่องเล่าเมื่อหมื่นปีก่อนแล้ว ถือว่าเป็นอาวุธเทพชิ้นสุดท้ายที่ยังไม่ได้ถูกทำลายอยู่ด้วย

เห็นลางหายนะรำไรเลยล่ะ...ชายหนุ่มได้แต่รำพึงกับตัวเองในใจ เมื่อนึกถึงภาระที่ตัวเองอาสาแบกรับไว้

“ข้าว่าขอบเขตภาระของท่านคงหดแคบลงมาแล้วนะ”

“เจ้า...เป็นใครกัน” ไกเซอร์เอ่ยถามอย่างหักห้ามใจไว้ไม่ได้ เขามีข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับหญิงสาวปริศนาที่ชอบปรากฏกายขึ้นในความฝัน และไม่เคยเผยใบหน้าให้เห็น “ทำไมข้าจึงจำเจ้าได้แต่ในยามฝัน พอตื่นขึ้นมาทีไร ข้าต้องลืมเจ้าไปทุกที”

“...ท่านไม่ต้องสนใจการมีอยู่ของข้าหรอก”

เป็นเวลานานกว่าหญิงสาวในเงามืดจะยอมปริปากพูดออกมา และไม่รู้ว่าชายหนุ่มหูแว่วไปเองหรือไม่ จึงคลับคล้ายรู้สึกถึงรอยสั่นเครือในน้ำเสียง อีกทั้งเขาไม่สามารถละเลยตัวตนของเธอไปได้ เมื่อความรู้สึกส่วนลึกไม่อยากให้เธอคงอยู่แต่ในความฝันเช่นนี้

“ข้าเป็นแค่ความเกี่ยวพัน...ของชะตากรรมเท่านั้น”



ความเกี่ยวพันของชะตากรรม...คำนี้ติดค้างอยู่ในใจของไกเซอร์นับตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมา ชายหนุ่มไม่เคยเชื่อในเรื่องของชะตากรรมมาก่อน เพราะชะตากรรมในความคิดของเขา เป็นแค่ผลที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ผู้ลิขิตชะตาของตัวเอง

เมื่อใจของมนุษย์เกิดความละโมบ ความชั่วร้ายที่เฝ้ารอให้ใจของมนุษย์มืดหม่นก็เข้ามาสิ่งสู่ ก่อเกิดเป็นประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดมากมาย ไม่เว้นแม้แต่สงครามเมื่อหมื่นปีก่อน ที่เกิดขึ้นจากความกระหายในอำนาจของกษัตริย์พระองค์หนึ่ง

ราชาทรราชแห่งเอเดน!

แสงแรกของยามเช้าที่แทรผ่านผ้ากระโจมที่ถูกเปิดขึ้นมา ช่วยดึงสติของไกเซอร์ให้หลุดออกมาจากภวังค์ความคิดอันหนักหน่วง ชายหนุ่มหันไปมองผู้เข้ามาใหม่ แล้วพยุงกายลุกขึ้นนั่ง เมื่อผู้มาเยือนคือแม่เฒ่าที่รับรู้ถึงหายนะจากปีศาจได้เป็นคนแรก

“ไม่ต้องลุกขึ้นมาก็ได้ ท่านไกเซอร์” สรรพนามที่แม่เฒ่าใช้เรียกผู้คุ้มกันแปลกเปลี่ยนไป ซึ่งชายหนุ่มเพิ่งมาสังเกตว่า เธอเข้ามาเยี่ยมเขาตามลำพัง โดยไม่มีหลานสาวที่มีใจปฏิพัทธ์ต่อนักเดินทางหนุ่มพ่วงติดมาด้วย

“ถึงพิษในร่างกายท่านจะหมดไปแล้ว แต่ร่างกายของท่านยังอ่อนแรงจากการใช้อาคมหลายบทติดต่อกันอยู่นะ” หญิงชราพูดพลางนั่งลงบนเก้าอี้เล็กข้างเตียงที่หัวหน้าพ่อค้าได้จัดหามาให้ตามความต้องการของผู้เป็นมารดา

“โดยเฉพาะอาคมไฟสวรรค์ที่ถูกจำกัดผู้ใช้”

ไกเซอร์รู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่า หญิงชราตรงหน้าเคยเป็นหญิงรับใช้ในวิหารมาก่อน แต่ชายหนุ่มไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะรู้จักอาคมไฟสวรรค์ที่แทบจะสาบสูญไปด้วย ซึ่งผู้ที่รู้จักอาคมที่ต้องอัญเชิญไฟผลาญของทวยเทพลงมาบนพื้นพิภพก็เห็นจะมีแต่นักบวชระดับสูง และเชื้อพระวงศ์ในบางอาณาจักรเท่านั้น

“ข้าไม่รู้ว่าท่านออกเดินทางเพื่ออะไร แต่นี่คงเป็นความเกี่ยวพันของโชคชะตา”

ความเกี่ยวพันของโชคชะตา...ไกเซอร์ได้ยินคำนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว เหมือนกับมีบางสิ่งบางอย่างจงใจจับชะตาที่เขาพยายามขีดกำหนดด้วยตนเองให้เบี่ยงเบนไปทางอื่น ชายหนุ่มมองดูมือเหี่ยวย่นที่ยื่นของสิ่งหนึ่งมาให้ มันเป็นสร้อยที่ร้อยด้วยไข่มุกสีดำสิบสองลูก ที่ทำให้ขนคอของเขาลุกชันตั้งแต่แรกเห็น

“ตอนที่ข้ายังเป็นหญิงรับใช้ในวิหาร ข้าเคยรับฝากของชิ้นหนึ่งจากพระมหาสังฆราชองค์ก่อน พระองค์บอกข้าแค่ว่า ช่วยเก็บมันไว้จนกว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับมันจะมารับไป ข้าเฝ้ารอด้วยความหวาดกลัวต่ออำนาจของสร้อยมุกดำที่ล่อลวงให้ข้าใช้พลังของมันมานับครั้งไม่ถ้วน และครวญหาผู้ที่จะปลดแอกภาระนี้ของข้า แล้วท่านก็มา” หญิงชราเว้นช่วงจังหวะการพูดไว้ ก่อนมองหน้าของนักเดินทางหนุ่มเต็มสายตาอีกครั้ง

“ตอนแรกที่ได้เห็นท่าน ข้ารู้ทันทีว่าท่านคือคนที่พระมหาสังฆราชทรงกล่าวถึง แต่ข้าก็ลังเลที่จะส่งมันให้ท่าน ด้วยจิตใจอันดำมืดของข้าไม่อยากสูญเสียอำนาจที่มีไป”

ตอนนี้ ไกเซอร์รู้แล้วว่าแม่เฒ่าไม่ได้หวาดกลัวคำทำนายหายนะเพียงอย่างเดียว ยังมีอำนาจมหาศาลที่พร้อมจะชักนำใครต่อใครให้มีจิตใจมืดหม่น จนอาจจะสร้างหายนะด้วยมือของตัวเองอีกหนึ่งสิ่ง หญิงชราจะทรมานสักแค่ไหนนะที่ต้องสู้รบกับจิตใจภายในมาหลายสิบปีเช่นนี้

“แต่ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมัน และไม่รู้จะใช้ยังไงด้วย”

“ไม่ต้องใช้นั่นแหละดี” เสียงแหบแห้งเอ่ยขึ้นรัวเร็ว พลางจับมือใหญ่แล้วยัดสร้อยมุกดำลงกลางฝ่ามือ ซึ่งพอของที่เธอยึดครองหลุดพ้นจากมือไป ความหนักอึ้งในใจก็ดูจะเบาบางลงจนน่าตกใจ

“พวกเราเป็นแค่ผู้รับฝากเท่านั้น เก็บมันไว้ให้พ้นจากความกระหายอำนาจในใจท่าน และเฝ้ารอจนกว่าจะถึงวันส่งมอบให้แก่ผู้สมควรด้วยความระมัดระวังเถอะ ท่านไกเซอร์”


Next Chapter
"เด็กชายกับเผ่านักล่า"



Create Date : 29 มกราคม 2552
Last Update : 29 มกราคม 2552 15:19:19 น. 0 comments
Counter : 659 Pageviews.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

rudyard
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ข้าพเจ้าไม่มีความสามารถใด นอกจากการเขียน
[Add rudyard's blog to your web]