Group Blog
 
 
กันยายน 2557
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
9 กันยายน 2557
 
All Blogs
 
พิรุณรัญจวน - 1 - ค่าทำขวัญ




ตอนที่ 1 ค่าทำขวัญ

อรรินยืนกอดอก เขม้นมองคนที่นอนอยู่บนเตียงอย่างถ้วนถี่ แท้จริงแล้วคนที่ณดลขับรถเฉี่ยวเมื่อคืนไม่ใช่เด็กอย่างที่เข้าใจแต่แรก แม่สาวที่เห็นอยู่ตรงหน้าคงมีอายุราวๆ ยี่สิบบวกลบไม่เกินสองปี ถือว่ากำลังเป็นสาวสะพรั่งทีเดียว แถมหน้าตาผิวพรรณยังดูดีมีออร่า ไม่เหมือนลูกสาวชาวบ้านร้านตลาดโดยทั่วไป ไม่รู้ว่าพ่อพระเอกเทวดาของเธอไปเฉี่ยวเอาลูกสาวใครมาสิน่า

“นี่น้องจำอะไรไม่ได้จริงๆ เหรอ ชื่อตัวเองก็นึกไม่ออก?” ผู้จัดการสาวใหญ่จ้องหน้าคนที่อยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงคนไข้อย่างคาดคั้น

สาวผมสั้นกะพริบตามองผู้หญิงที่ยืนจ้องเธออย่างเอาเป็นเอาตายด้วยความอึดอัดปนหวั่นใจ ผู้หญิงคนนี้เป็นคนแรกที่มาเยี่ยมเธอ และดูเหมือนจะเป็นเจ้าของรถที่เธอวิ่งตัดหน้าเมื่อคืน แต่ท่าทางไม่ใช่คนใจดีอย่างที่คิด สายตาที่มองมาก็เหมือนพยายามจับผิดตลอดเวลาด้วย

“ว่ายังไงล่ะ พยายามนึกหน่อยได้ไหม น้องเป็นใคร บ้านอยู่ไหน อะไรก็ได้ ซักอย่างที่พอจะนึกออก พี่จะได้ติดต่อครอบครัวของน้องให้มารับไปดูแลต่อ ส่วนเรื่องค่ารักษาพยาบาลไม่ต้องเป็นห่วง พี่จะจัดการให้เอง จะเรียกค่าทำขวัญหรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น ไม่มีปัญหา”

ได้ยินคำว่า ‘ครอบครัว’ ทำให้ใจเธอกระตุก รีบหลบตาและส่ายหน้าจนผมที่ตัดสั้นเหนือต้นคอสะบัดตามแรงเหวี่ยง “ไม่ค่ะ จำอะไรไม่ได้จริงๆ”

อรรินถอนใจยาว ก่อนจะหันไปเปิดตู้เสื้อผ้า เนื่องจากนี่เป็นห้องพักฟื้นระดับวีไอพีของโรงพยาบาลเอกชนจึงมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครันไม่ต่างจากห้องพักในโรงแรมหรู เธอหยิบข้าวของส่วนตัวของคนเจ็บมาส่งให้จนถึงเตียง

“นี่เป็นของของน้อง ลองดูสิ เผื่อจะจำอะไรได้บ้าง”

หญิงสาวรับถุงกระดาษมาคลี่ดูจึงรู้ว่ามีเสื้อผ้าของเธอพับอยู่ในนั้น อดไม่ได้ที่จะล้วงมือหาสร้อยคอที่ใส่ติดตัวไว้ตลอดเวลา ล็อกเกตเงินที่ด้านในมีรูปของเธอกับแม่ถ่ายคู่กันคือสมบัติล้ำค่าชิ้นเดียวที่เหลืออยู่ เธอพบของที่ต้องการในกระเป๋าเสื้อแจ็กเกตจึงล้วงออกมา

“นั่นอะไรน่ะ?”

ผู้จัดการสาวใหญ่รีบฉวยมาดูก่อนที่เจ้าของจะทันได้เช็กเสียอีก มันคือล็อกเกตเงินรูปวงรีสลักตัวอักษรคล้ายภาษาจีนไว้ด้านนอก ด้านในคงเป็นรูปเจ้าของ ส่วนใหญ่ในละครต้องเป็นรูปพ่อ แม่ หรือไม่ก็รูปครอบครัว อรรินลองเปิดดู เห็นภาพเด็กผู้หญิงวัยราวสิบเอ็ดสิบสองปีและผู้หญิงวัยเดียวกับตนถ่ายคู่กัน

“นี่ใช่น้องกับแม่รึเปล่า?” ถามพลางส่งล็อกเกตไปให้คนบนเตียงดู

หญิงสาวสบตาอีกฝ่ายนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมองภาพในล็อกเกตแล้วส่ายหัว “ไม่รู้สิคะ นึกอะไรไม่ออกเลย”

อรรินถอนหายใจอีกเฮือก ไม่พยายามปิดบังความยุ่งยากใจ ณดลยอมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างเพื่อตัดปัญหาแน่ แต่หลังจากนั้นล่ะ ใครจะรับผิดชอบผู้หญิงไร้ความทรงจำคนนี้

หากแจ้งความให้ตำรวจช่วยตามหาครอบครัวก็คงจะเป็นข่าวดังขึ้นมาแน่ ต่อให้ณดลได้รับเสียงชื่นชมจากการช่วยตามหาครอบครัวของแม่สาวคนนี้ เธอก็ไม่คิดว่าเขาจะเอาด้วย พ่อพระเอกเทวดาผู้หวงพื้นที่ส่วนตัวยิ่งกว่าอะไรไม่ชอบถูกเขียนข่าวที่เป็นความจริงออกมาตีแผ่ คนประหลาดอย่างเขาชอบที่จะถูกนักข่าวหยิกหยอกว่าเป็นพระเอกแอ๊บแมน พระเอกจอมหยิ่ง พระเอกเรื่องมาก พระเอกจอมขวาง หรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะทำให้นักข่าวและคนทั่วไปเข้าถึงตัวเขาได้ยากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

หรืออีกทางเลือกหนึ่ง เธอรับสมอ้างว่าเป็นคนขับรถเฉี่ยวหญิงสาวผู้นี้เองและพาไปแจ้งความตามหาครอบครัว แต่ผู้จัดการส่วนตัวของพระเอกเทวดาขับรถเฉี่ยวคนจนความจำเสื่อมก็ย่อมไม่พ้นเป็นข่าวดัง และเธอเชื่อว่าตำรวจจะตรวจสอบได้ในที่สุดว่าใครคือคนขับรถในคืนนั้น สุดท้ายความก็ต้องแตก นักข่าวก็จะเขียนโจมตีณดลได้อยู่ดีว่าปัดความรับผิดชอบให้ผู้จัดการส่วนตัว

ใช่ว่าชายหนุ่มถูกนักข่าวชิงชังมากมายจนจ้องจะเขียนโจมตีอยู่ร่ำไป แต่เป็นเพราะเขาดัง ขยับตัวทำอะไรนิดหน่อยก็เอาไปเขียนข่าวขายได้ นั่นต่างหากคือเหตุผลที่ทำให้สื่อสนใจเขา และไม่ว่าจะมองในแง่ไหน การแจ้งความให้ตำรวจช่วยตามหาครอบครัวของแม่สาวคนนี้จะต้องถูกณดลคัดค้านสุดลิ่มทิ่มประตู ตัดทางเลือกนี้ออกไปได้เลย เช่นนั้นแล้วก็ต้องให้ชายหนุ่มตัดสินใจเองว่าจะทำอย่างไรกับผู้หญิงที่เขาขับรถไปเฉี่ยวเอาเมื่อคืน

“ถ้าจำอะไรไม่ได้ก็นอนพักไปก่อนแล้วกันนะ พี่ต้องไปทำงานแล้ว ตอนเย็นจะแวะมาเยี่ยมอีก ไม่แน่ตอนนั้นน้องอาจจะจำอะไรได้บ้างแล้วก็ได้ สร้อยนั่นเก็บไว้ดีๆ ล่ะ เผื่อจะคิดอะไรออก พี่ไปก่อนนะ ถ้ามีอะไรก็โทร. มาตามเบอร์ในนามบัตรนี่ หรือไม่ก็เรียกพยาบาลก็ได้”

อรรินสั่งความพร้อมส่งนามบัตรให้หญิงสาวก่อนจะกลับออกไป



เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือกรีดร้องระงมจนคนที่นอนหลับสนิทอยู่ต้องสะดุ้งตื่น ชายหนุ่มหรี่ตาสู้แสงแดดที่ลอดเข้ามาตามรอยแยกของผ้าม่าน ครู่ใหญ่จึงมองเห็นอะไรได้ชัดขึ้น เขาเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์มือถือมาดูหน้าจอ เป็นเวลาบ่ายโมงครึ่งแล้ว คนที่โทร. มาคือผู้จัดการส่วนตัวของเขาเอง

ณดลจำไม่ได้ว่าวันนี้มีงานที่ไหนบ้าง แต่โดยหน้าที่แล้วอรรินจะโทร. มาปลุกและบอกเขาว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง การเป็นนักแสดงก็เหมือนการใช้ชีวิตตามตาราง และนี่ก็เป็นชีวิตที่เขาเลือกเอง แม้จะรู้สึกเบื่อหน่ายกับมันมากแค่ไหนก็ตาม

ชายหนุ่มถอนใจยาวก่อนจะกดรับสาย “ว่าไงพี่แอ๋ว”

“ดลตื่นแล้วนะ งั้นก็เริ่มเลยละกัน วันนี้มีอีเว้นต์ที่เซ็นทรัลชิดลมตอนบ่ายสาม หกโมงเย็นเดินแบบที่สยามพารากอน สองทุ่มครึ่งไปคุยกับพี่พิมพ์ที่สตูดิโอทองหล่อ หลังจากนั้น...”

“ทำไมวันนี้คิวแน่นจัง เอาอันสุดท้ายออกไป ผมจะทำถึงแค่ไปคุยกับพี่พิมพ์ ว่าแต่คุยเรื่องอะไร”

ชายหนุ่มตัดบทอย่างคนเอาแต่ใจ ใบหน้าหล่อเหลาราวประติมากรรมที่ถูกปั้นแต่งมาอย่างสมบูรณ์แบบค่อนข้างบึ้งตึงเหมือนทุกอย่างในโลกนี้ดูขวางหูขวางตาเขาไปหมด นั่นเป็นเอกลักษณ์ของณดล รูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นของเขาถูกเสริมด้วยบุคลิกแบบผู้ชายเอาแต่ใจ ขวางโลก แต่ก็เต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ใครก็ปฏิเสธไม่ได้

ปกติแล้วอรรินจะจัดคิวให้ณดลอย่างพอดีที่สุด เพราะรู้ว่าเขาจะอารมณ์เสียถ้าถูกยัดเยียดให้ทำงานจนตารางแน่นเอี้ยด ไม่มีเวลาหายใจหายคอ ต่อให้เขาไม่ได้หลงรักการเป็นนักแสดงแต่ชายหนุ่มก็ไม่ยอมลดคุณค่าของตัวเองด้วยการทำงานแบบขอไปที ถึงเป็นพระเอกจอมเรื่องมากที่คนทั้งวงการขนานนามให้ แต่งานของเขาต้องออกมาเนี้ยบ ไม่ให้ใครติได้ว่าเป็นพระเอกที่มีดีแค่รูปร่างหน้าตา เรื่องนี้เธอเข้าใจดีแต่มันมีอีกเรื่องที่สำคัญต้องจัดการ

“เรื่องละครใหม่น่ะ แล้วก็เสียใจด้วยนะจ๊ะ รายการสุดท้ายตัดออกไม่ได้ ดลต้องไปดูผู้หญิงที่ขับรถเฉี่ยวเมื่อคืน เธอฟื้นแล้ว”

ณดลย่นคิ้ว เพิ่งนึกถึงเด็กสาวที่วิ่งตัดหน้ารถเขาเมื่อคืน ก่อนจะกลอกตา โต้ว่า “บอกแล้วไงว่าเด็กนั่นวิ่งตัดหน้ารถผม ผมไม่ได้...”

“จะยังไงก็แล้วแต่ ดลต้องไปเจอเด็กคนนั้น”

“ทำไมผมต้องไปเจอเองด้วย พี่แอ๋วก็จัดการไปเลยสิ เขาเรียกค่าทำขวัญเท่าไหร่ก็ให้ไป ผมไม่เกี่ยงแค่ขอให้เรื่องจบแค่นี้”

“มันมีปัญหามากกว่าเรื่องค่าทำขวัญน่ะสิ” อรรินใช้น้ำเสียงเคร่งเครียด

“ปัญหาอะไร?”

“เธอจำอะไรไม่ได้แม้แต่ชื่อของตัวเอง!”

คิ้วเข้มขมวดมุ่น คาดไม่ถึงว่าวันหนึ่งจะต้องเดินซ้ำรอยละครที่ตัวเองเคยแสดง

“นี่ล้อผมเล่นใช่ไหม บอกเลยนะว่าไม่ขำ”

“พี่ก็ขำไม่ออกเหมือนกัน แต่คุยกับหมอแล้ว เขาบอกว่าอาการความจำเสื่อมสามารถเกิดขึ้นได้กับคนที่สมองถูกกระทบกระเทือน บางรายแสดงอาการทันทีหลังจากฟื้น บางรายผ่านไปเป็นเดือนค่อยแสดงอาการก็มี ระดับความรุนแรงนี่บางคนจำอะไรไม่ได้เลย บางคนก็จำไม่ได้บางเหตุการณ์เท่านั้น อาจเป็นช่วงก่อนเกิดอุบัติเหตุ ช่วงที่เกิดอุบัติเหตุ หรือไม่ก็ช่วงหลังเกิดอุบัติเหตุ แล้วแต่เคสและความรุนแรงของการกระทบกระเทือน”

ผู้จัดการสาวอธิบายตามคำแพทย์เจ้าของไข้ ก่อนจะถอนใจแล้วบอกว่า “เอาเถอะ ลุกขึ้น อาบน้ำแต่งตัวไปทำงานได้แล้ว เรื่องอื่นค่อยคุยกันทีหลัง แล้วเจอกันที่เซ็นทรัลชิดลมนะ บายจ้ะ”

อรรินวางสายไปแล้ว แต่ณดลยังนอนอยู่ที่เดิม รู้สึกมึนหัวอย่างบอกไม่ถูก

นี่ต้องเป็นมุกตลกแน่ๆ อาจจะมีรายการวาไรตี้แอบจัดฉากถ่ายทำเรื่องนี้อยู่ก็ได้ เขาไม่เชื่อหรอกว่าตัวเองจะดวงซวยขนาดนี้ จากสถิติไม่เคยมีข่าวดาราคนไหนขับรถชนคนจนความจำเสื่อมแล้วต้องรับผิดชอบคนคนนั้นทั้งชีวิตเลยด้วย ใช่ เรื่องแบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นในชีวิตจริง นั่นมันนิยายน้ำเน่าชัดๆ!

ณดลบอกตัวเองเช่นนั้นแล้วลุกขึ้นไปอาบน้ำ



เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น หญิงสาวเหลือบตามองก็เห็นพยาบาลผลักประตูเข้ามาพร้อมถาดอาหาร เธอพยุงกายลุกนั่งกึ่งนอนบนเตียงโดยมีพยาบาลวัยสี่สิบต้นๆ ที่เริ่มคุ้นหน้ากันแล้วคอยช่วยเหลือ อีกฝ่ายบอกว่าเป็นพยาบาลพิเศษที่ถูกจ้างมาเพื่อดูแลเธอโดยเฉพาะ เป็นอันแน่ใจได้ว่าคนที่เธอกระโดดตัดหน้ารถเมื่อคืนมีฐานะดีพอสมควร นี่อาจเป็นโชคดีในโชคร้ายของเธอก็ได้

“ยาก่อนอาหารค่ะ” พยาบาลส่งยากับน้ำให้คนเจ็บ ก่อนจะเข็นโต๊ะอาหารเข้ามาชิดขอบเตียง ช่วยเปิดฝาข้าวสวยกับแกงจืดและไข่เจียวให้ เรียกว่าบริการระดับโรงแรมหรูกันเลยทีเดียว

หญิงสาวกล่าวขอบคุณ กินยาแล้วลงมือจัดการมื้อเย็นเงียบๆ ด้วยมือซ้าย แม้จะไม่ค่อยถนัดนักแต่ก็พอจะช่วยเหลือตัวเองได้ไม่ยากเย็นจนเกินไป อาหารของโรงพยาบาลมีรสค่อนข้างจืดแต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับเธอเพราะคุ้นเคยกับมันดี

“คืนนี้คุณแอ๋วจะแวะมาเยี่ยมนะคะ แต่อาจจะดึกหน่อย” นางพยาบาลบอกขณะนั่งมองคนเจ็บกินอาหารเงียบๆ

เธอพยักหน้ารับรู้พร้อมส่งยิ้มให้อีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไร พออิ่มกับมื้อเย็นแล้วก็มียาหลังอาหารให้อีกชุดหนึ่ง พยาบาลเอาถาดอาหารไปเก็บและกลับมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวพร้อมเปลี่ยนชุดใหม่ให้ ก่อนจะเอาถาดอาหารไปเก็บและปล่อยให้เธอพักผ่อนตามลำพัง

หญิงสาวเปิดล็อกเกตที่ห้อยคอไว้ขึ้นมาดู เห็นหน้าแม่แล้วน้ำตาก็พานจะไหล ถ้าแม่รู้ว่าวันนี้เธอต้องเจอกับอะไรบ้างคงนอนตายตาไม่หลับแน่ ปลายนิ้วเรียวสัมผัสกับรอยนูนด้านหลังล็อกเกต เธอพลิกมันขึ้นมาดู ตัวอักษรภาษาจีนที่สลักอยู่คือ 雨季 เห็นแล้วยิ่งหดหู่ไปกันใหญ่ พอได้ยินเสียงเหมือนฝนตกกระทบหลังคาจึงมองออกไปนอกหน้าต่าง

“ฝนตกจริงๆ ด้วย”

เธอปิดล็อกเกตแล้วลุกจากเตียง เดินกะเผลกไปเกาะขอบหน้าต่าง มองดูสายฝนที่โปรยปรายลงมาผิดฤดูกาลด้วยแววตาเศร้าสร้อย นึกถึงเพลง Home ของ Michael Buble แล้วยิ่งอยากร้องไห้

Another summer day

Has come and gone away

In Paris and Rome

But I wanna go home

วันที่ได้กลับบ้าน ทุกอย่างก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิมแล้ว...



เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนเที่ยงคืนเล็กน้อย พยาบาลที่มานอนเฝ้าคนเจ็บอยู่รู้สึกตัวตื่นก่อน เธอมองไปที่เตียงคนป่วยเห็นว่าหญิงสาวยังหลับอยู่จึงลุกไปเปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือนและทักทายเสียงเบา “มาแล้วเหรอคะคุณแอ๋ว นึกว่าคืนนี้จะมาไม่ได้ซะแล้ว”

“งานยุ่งมากค่ะ คนเจ็บเป็นยังไงบ้างคะ เธอพอจะนึกอะไรออกบ้างไหม” อรรินแทรกตัวเข้ามาในห้องและเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาดุจเดียวกัน

“ไม่เลยค่ะ ท่าทางเธอยังมึนๆ งงๆ อยู่ บางทีก็ดูเศร้าๆ หวาดกลัว เหมือนเธอจะรู้สึกเคว้งคว้างนะคะที่จำอะไรไม่ได้แม้แต่ตัวเอง” พยาบาลรายงานอาการคนเจ็บไปตามที่คอยสังเกตมาตลอดทั้งวัน

อรรินถอนใจแผ่วเบา ไม่อยากจะยอมรับเลยว่าแม่สาวคนนี้จดจำอะไรไม่ได้จริงๆ เพราะนั่นหมายถึงปัญหาที่กำลังจะตามติดณดลเป็นเงาตามตัว มีผลงานเมื่อไรเป็นต้องมีมารผจญทุกทีสิน่า เฮ้อ!

“งั้นขอเวลาคุยกับคนเจ็บหน่อยนะคะ คุณพยาบาลจะลงไปเดินยืดเส้นยืดสายก่อนก็ได้ แอ๋วอยากคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวค่ะ”

“ได้ค่ะ งั้นถ้าคุณแอ๋วจะกลับก็โทร. เรียกพี่เลยนะคะ แวบลงไปหากาแฟจิบหน่อยก็ดี”

คล้อยหลังพยาบาลพิเศษไปแล้วอรรินก็โทร. หาณดล

คนที่นอนหลับอยู่บนเตียงงัวเงียตื่นเพราะได้ยินเสียงคนพูดเบาๆ พอมองหาต้นเสียงก็พบผู้หญิงที่แวะมาเยี่ยมเธอเมื่อตอนเที่ยง หญิงสาวยันตัวลุกขึ้นนั่ง เหลือบตามองหน้าปัดนาฬิกาติดผนัง ก่อนจะจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความฉงน เธอรู้ว่าอรรินจะแวะมาเยี่ยมอีกในวันนี้ แต่ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาในเวลาเกือบเที่ยงคืน

อรรินกดตัดสาย ก่อนจะเดินมาหาคนเจ็บที่ข้างเตียง “เป็นยังไงจ๊ะ พอจะจำอะไรได้บ้างไหม”

หญิงสาวหลุบตาต่ำแล้วส่ายหน้าแทนคำตอบ

“ไม่มีอะไรแวบๆ เข้ามาในหัวบ้างเหรอ นิดนึงก็ได้ อะไรซักอย่าง” ผู้จัดการสาวยังกระตุ้นต่อด้วยความหวัง

“ไม่เลยค่ะ แต่...รู้สึกปวดหัวเป็นพักๆ ยิ่งเวลาพยายามคิดอะไรมันก็ยิ่งปวด” เธอโกหกเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นใจ จะได้ไม่ซักไซ้ต่อ

อรรินถอนใจอย่างผิดหวัง ครู่เดียวประตูห้องพักฟื้นก็ถูกผลักเข้ามา ทั้งสองสาวต่างหันไปมองผู้มาใหม่เป็นตาเดียว

ผู้ชายที่ยืนอยู่หน้าประตูเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่อย่างกับนักกีฬาบาสเกตบอล ชายหนุ่มน่าจะสูงราวๆ หนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรได้ เขาใส่เสื้อยืดสีดำสวมทับด้วยแจ็กเกตแบบมีฮูดสีเดียวกันและกางเกงยีนสีเข้ม พอเลื่อนฮูดลงจึงเห็นว่าเขาสวมแว่นสายตากรอบหนาสีดำทรงสี่เหลี่ยมแสนจะธรรมดา แต่นั่นกลับไม่ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาสมบูรณ์แบบดูด้อยลงเลย หนำซ้ำเขายังทำให้แว่นตากรอบหนาอันนั้นดูเก๋น่าใช้ขึ้นเสียอีก

ผู้ชายคนนี้เป็นใครกันนะ?

“มาแล้วเหรอดล นี่ยังไงล่ะ เด็กผู้หญิงที่วิ่งตัดหน้ารถของเธอเมื่อคืน” อรรินเอ่ยขึ้นท่ามกลางความงุนงงของคนที่นั่งตาแป๋วอยู่บนเตียง

ณดลเดินเข้าไปใกล้เตียงคนป่วยและถอดแว่นตาออก นัยน์ตาคู่คมมองสบดวงตาเรียวยาวของแม่สาวผมสั้นที่มองเขาตาไม่กะพริบ หวังจะจ้องจับผิดเธอให้ได้

หญิงสาวไม่รู้ตัวว่ากลั้นหายใจอยู่ จนกระทั่งเธอรู้สึกว่ากำลังจะขาดออกซิเจนจึงกะพริบตาและสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ไม่อยากจะเชื่อกับภาพที่มองเห็นอยู่ตรงหน้า ผู้ชายคนนี้มีดวงตาคล้ายคลึงกับผู้ชายคนหนึ่งที่เธอรู้จักเมื่อวันที่ 30 กันยายนปีที่แล้วเอามากๆ

วันนั้นเธอเปิดโน้ตบุ๊กและเข้าหน้าเว็บกูเกิลอย่างที่เคยทำเกือบทุกวัน แล้วเธอก็ได้รู้จักผู้ชายคนนั้น คนที่ทำให้เธอหลงใหลได้แม้ตัวเขาจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว เขาชื่อเจมส์ ไบรอน ดีน [2] แต่เจมส์เสียชีวิตไปกว่าห้าสิบปีแล้ว เขาคงไม่ได้กลับชาติมาเกิดใหม่ เธอไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ แต่เชื่อว่าในโลกใบนี้มีคนที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับเราอยู่จริงๆ แม้จะไม่ใช่ญาติ กรณีนี้น่าจะเข้าข่าย

“บอกมา เธอแอบติดกล้องไว้ตรงไหน?” นั่นเป็นคำทักทายแรกของเขา

หญิงสาวเลิกคิ้ว ไม่เข้าใจ

“พูดอะไรน่ะดล” อรรินถามอย่างงุนงง

ณดลยักไหล่ กวาดสายตามองไปรอบห้องอย่างระแวดระวัง “นี่อาจเป็นการจัดฉากแอบถ่ายอยู่ก็ได้ ก็อย่างพวกรายการสาระแนโชว์อะไรนั่นน่ะ พี่แอ๋วลองตรวจสอบรึยัง หรือร่วมมือกับรายการด้วย”

ผู้จัดการสาวสตั๊นไปสามวินาที แต่แล้วก็เออออด้วย หันไปจ้องมองคนที่นั่งตาแป๋วอยู่บนเตียงอย่างจับผิด “สารภาพมานะ นี่อัดรายการอยู่ใช่ไหม”

สาวผมสั้นยิ่งงงไปกันใหญ่ “อัดรายการอะไรเหรอคะ”

“แน่ะ ทำเป็นงง บอกพี่มาเหอะ จริงๆ แล้วน้องถูกจ้างให้มาวิ่งตัดหน้ารถดลใช่มั้ย”

“จ้างให้วิ่งตัดหน้ารถเนี่ยนะคะ น่าแปลกที่มีคนยอมรับงานเสี่ยงตายแบบนั้นด้วย เขาคงต้องหมดหนทางทำอย่างอื่นแล้วจริงๆ” หญิงสาวพึมพำกับตัวเองมากกว่าจะตั้งใจย้อนคนถาม

อรรินสะอึกไปนิด คิดตามแล้วก็เห็นว่าจริงเลยหันไปกระซิบกับพระเอกหนุ่ม “นั่นสิดล ใครจะรู้ว่าดลจะออกรถแรงแค่ไหน งานนี้มันเสี่ยงมากนะ พลาดมาถึงชีวิตเลยด้วย อีกอย่าง ถ้าเป็นการจัดฉากจริงก็น่าจะแค่แกล้งเป็นลมตอนรถติดไฟแดง ไม่ก็แกล้งเดินตัดหน้าตอนที่รถเคลื่อนตัวช้าๆ มากกว่า กระโดดเข้ามาตอนรถออกตัวหลังสัญญาณไฟเขียวนี่คิดสั้นสุดๆ อะ”

เขาขมวดคิ้ว คาดเดาต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้ “งั้นก็ตั้งใจฆ่าตัวตาย อาจจะป่วยเป็นโรคร้ายเลยชิงตายเหมือนอุบัติเหตุ เอาเงินประกันให้ครอบครัวอะไรเทือกนั้น ในข่าวก็มีออกถมไป”

“ก็จริงนะ เป็นไปได้อยู่เหมือนกัน” ผู้จัดการสาวเออออ

คนที่ถูกนินทาในระยะเผาขนถอนใจออกมาเบาๆ มองทั้งสองคนแล้วบอกว่า “พวกคุณจะจับฉันเข้าเครื่องซีทีสแกนดูก็ได้นะคะ จะได้รู้ว่าฉันป่วยด้วยโรคร้ายแรงอะไรรึเปล่า”

อรรินหน้าเสีย หันมายิ้มแหยให้คนเจ็บ ส่วนณดลกอดอก เขม้นจ้องนัยน์ตาเรียวยาวของแม่สาวผมสั้นที่เขาเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเด็กสาวในคืนเกิดเหตุ

“งั้นเธอจะบอกว่าความจำเสื่อม จำอะไรไม่ได้แม้แต่ชื่อตัวเองจริงๆ งั้นสิ”

หญิงสาวเม้มปาก หลบตาเขาก่อนจะตอบเลี่ยงๆ “ถ้าคุณไม่เชื่อก็ตามใจเถอะค่ะ ฉันคงบังคับความคิดใครไม่ได้ แต่สรุปว่าใครเป็นคนขับรถชนฉันกันแน่คะ คุณผู้หญิงหรือคุณผู้ชาย”

ท้ายประโยคน้ำเสียงมีแววรวน แถมยังเงยหน้าขึ้นสบตากับทั้งสองคนอย่างแน่วแน่ด้วย

“พูดให้ถูก เธอกระโดดตัดหน้ารถฉันต่างหาก” ชายหนุ่มจ้องมองคนเจ็บด้วยแววตาขุ่นเคือง ทำให้ใบหน้าเครียดขรึมยิ่งดุดันและน่ากลัวเข้าไปอีก

“เป็นคุณนั่นเอง” เธอสบตาเขาอย่างไม่หวั่นไหว ต่อให้เป็นผู้ชายที่มีดวงตาเหมือนนักแสดงที่เธอหลงใหล แต่ถ้าเขาจะพูดจากวนโมโหขนาดนี้ เธอก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้ง่ายๆ แน่

“ใช่ เป็นฉัน แล้วยังไง เธอจะคิดค่าทำขวัญเท่าไหร่ก็ว่ามา จะบวกค่าความจำเสื่อมเข้าไปด้วยก็ได้ ฉันจะจ่ายให้แล้วเราจบเรื่องกัน โอเคมั้ย?”

หญิงสาวกะพริบตาอย่างคาดไม่ถึง สีหน้าเขาเฉยชามากแต่คำพูดกวนโทสะสุดๆ เธอเม้มปากแน่น รู้สึกโกรธขึ้นมาบ้างเหมือนกัน แต่ตอนนี้ไม่มีทางเลือกมากนัก เรียกว่ามีอยู่ทางเดียวเลยมากกว่า เพราะฉะนั้นเธอก็คงต้องอดทนกับผู้ชายคนนี้ให้ถึงที่สุด

“ถ้าคุณจะพูดแบบนั้นละก็...”

“เดี๋ยวนะน้อง ดล ใจเย็นๆ กันก่อน ค่อยๆ คุยดีกว่า ดลไปนั่งรอที่โซฟาโน่น เดี๋ยวพี่เคลียร์เอง”

อรรินเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเข้ามาแทรกกลาง เธอรู้ว่าณดลเป็นคนแบบไหน แต่ไม่คิดว่าเขาจะพูดตรงๆ กับคนที่น่าจะถือไพ่เหนือกว่าไว้ในมือ ถึงอย่างไรกฎหมายประเทศไทยก็คุ้มครองคนถูกชน ถ้ามีเรื่องขึ้นมาณดลจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

“ฉันตกลงจะเรียกค่าทำขวัญจากอุบัติเหตุครั้งนี้ คุณพูดเองนะว่าจะเรียกเท่าไหร่ก็ได้ ไม่กลับคำใช่มั้ย?” หญิงสาวไม่สนใจผู้หญิงผมยาวหน้าเรียวที่พยายามจะห้ามทัพ นี่เป็นโอกาสของเธอและเธอจะใช้สิทธิ์นั้น

“แน่นอน เธอต้องการเท่าไหร่ก็ว่ามา ฉันมีปัญญาจ่าย” ชายหนุ่มตัดรำคาญ เขาไม่ชอบสถานการณ์ที่ตัวเองถูกบีบคั้น ถ้าจ่ายแล้วจบเขาก็ยอม

แม่สาวผมสั้นพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเรียกค่าทำขวัญเป็น “ค่ารักษาพยาบาลถือเป็นการชดเชยที่ฉันต้องเจ็บตัว ส่วนค่าที่คุณทำให้ฉันความจำเสื่อมคุณก็ต้องรับผิดชอบชีวิตฉันจนกว่าฉันจะจำอะไรได้ ฉันเรียกค่าทำขวัญเท่านี้ ไม่มีส่วนลดและห้ามต่อรอง”

อรรินอ้าปากค้าง ส่วนณดลอึ้งจนพูดอะไรไม่ออกไปเกือบหนึ่งนาทีเต็ม พอตั้งสติได้เขาก็โวยวายหน้าบึ้ง

“นี่ล้อเล่นใช่ไหม จำอะไรไม่ได้จริงรึเปล่าก็ไม่รู้ จะให้ฉันรับผิดชอบชีวิตเธอเนี่ยนะ รู้มั้ยว่ามีผู้หญิงตั้งเท่าไหร่ที่ได้แต่ฝันถึงเรื่องแบบนี้แต่ก็ทำได้แค่ฝัน เธอเองก็เหมือนกัน เรียกเป็นเงินมาดีกว่า”

เธอมองหน้าเขาอย่างไม่เชื่อสายตา

ผู้ชายคนนี้คงไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นเจมส์ ดีนจริงๆ หรอก ใช่ไหม?

อรรินกระแอมเสียงดัง ก่อนจะดึงแขนณดลไปกระซิบกระซาบที่มุมห้อง “อย่าพูดแบบนั้นนะดล เดี๋ยวเด็กนั่นก็ได้ไปแจ้งตำรวจหรอก ทีนี้เรื่องก็จะไม่จบง่ายๆ อยากเป็นข่าวเสียหายอีกรึไง นี่เรากำลังจะมีงานโฆษณาสยบข่าวกับคุณอัยอยู่นะ อย่าทำให้เป็นเรื่องเลย พี่ขอละ”

ชายหนุ่มกลอกตาเซ็ง ถอนใจแรงๆ ระบายอารมณ์ ก่อนจะเหลือบมองคนที่นั่งตาแป๋วอยู่บนเตียงอย่างหงุดหงิด

อย่าให้จับได้เชียวนะว่าเป็นแฟนคลับโรคจิตที่พยายามจะเอาตัวเข้ามาใกล้ชิดกับเขา ถ้าเป็นแบบนั้นละก็...เธอต้องเสียใจแน่!

ผู้จัดการสาวเห็นว่าพระเอกเทวดาของเธอเถียงไม่ออกแล้วเลยดึงตัวเขากลับมาที่ข้างเตียงคนเจ็บอีกครั้ง ส่งยิ้มผูกมิตรกับแม่สาวไร้ความทรงจำที่ค่อนข้างจะเอาเรื่องอยู่ไม่หยอกแล้วบอกว่า “ตามนั้นก็ได้จ้ะ จนกว่าน้องจะจำอะไรได้ ณดลคนนี้จะรับผิดชอบชีวิตของน้องเองนะ ถือว่าเราตกลงกันได้แล้ว เอาเป็นว่าหมออนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่ พี่กับดลจะมารับนะ”

“หวังว่าเขาคงจะรับผิดชอบคำพูดตัวเองนะคะ แล้วเจอกันวันที่ฉันออกจากโรงพยาบาล ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”

หญิงสาวปรายหางตามองผู้ชายที่ชื่อณดลนิด ก่อนจะหันไปจัดเตียงแล้วล้มตัวลงนอนอย่างระมัดระวัง ห่มผ้า หลับตา ไม่สนว่าชายหญิงคู่นั้นจะออกไปจากห้องพักฟื้นแล้วหรือยัง

อรรินยิ้มเจื่อน รู้สึกถึงพายุใหญ่ที่กำลังตั้งเค้าทะมึนอยู่ไม่ไกล แอบเหลือบตาขึ้นมองพระเอกหนุ่มเล็กน้อย เห็นสีหน้าของเขาแล้วก็ถึงกับสะดุ้งแทนคนความจำเสื่อม

ณดลกำลังเขม้นจ้องแม่สาวผมสั้นที่นอนหลับตาไม่รู้ไม่ชี้อยู่บนเตียงด้วยสายตาเหมือนอยากจะหักคอคนทิ้ง

กว่าเจ้าหล่อนจะจดจำอะไรได้เห็นทีว่าคนรอบตัวของพระเอกหนุ่มคงโดนแรงเหวี่ยงอีกหลายยกเชียวแหละ แม่สาวคนนี้ก็ช่างกระไร เข้าใจเรียกค่าทำขวัญจริงๆ ให้ตาย!





________________________

[2] นักแสดงชาวอเมริกันผู้สะท้อนบุคลิกวัยรุ่นอเมริกันในทศวรรษ 1950 ที่รู้สึกแปลกแยก ดิ้นรน และไม่เคยหยุดนิ่ง ด้วยบุคลิกที่โดดเด่นทำให้เขาเป็นที่ชื่นชอบของวัยรุ่นยุคนั้น เขาแสดงภาพยนตร์เพียง 3 เรื่องในเวลาปีเศษแต่ก็ทำให้เขามีชื่อเสียงมาก และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 2 ครั้ง 2 ปีซ้อนจากหนังเรื่อง 'East of Eden' ในปี 1955 และ 'Giant' ที่ฉายในปี 1956 ทำให้เจมส์ ดีนเป็น 1 ใน 5 ของนักแสดงในประวัติศาสตร์ออสการ์ที่ได้เข้าชิงรางวัลจากการรับบทนำครั้งแรก และยังเป็นนักแสดงคนแรกที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลหลังจากที่เสียชีวิตแล้ว เจมส์ ดีนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ในวันที่ 30 กันยายน 1955 ด้วยวัยเพียง 24 ปี








Create Date : 09 กันยายน 2557
Last Update : 19 เมษายน 2558 22:27:02 น. 1 comments
Counter : 1023 Pageviews.

 
พระเอกเทวดาเจอสาวแกล้งความจำเสื่อมซะแล้ว ดารามืออาชีพจะจับผิดดาราจำเป็นได้เร็วแค่ไหน ลุ้น


โดย: goldensun IP: 61.91.4.2 วันที่: 25 กันยายน 2557 เวลา:19:48:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ระตา
Location :
นครปฐม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




รู้สึกอยู่เสมอว่าการได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้คือความมหัศจรรย์...และการอ่านออกเขียนได้คือรางวัลของชีวิต...
Friends' blogs
[Add ระตา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.