ชำแหละ/รีวิวหนังสือ/อ่านแล้วบอกต่อ
Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2567
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
2526272829 
 
17 กุมภาพันธ์ 2567
 
All Blogs
 

เธอกับฉัน ณ วันสิ้นโลก : บทที่ 7


          รินรดาลืมตาขึ้นมาก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในห้องนอน เธอพยายามลำดับเหตุการณ์ เธอจำได้ว่าเธอปวดท้อง เธอเอามือจับท้องตัวเอง

          ‘ไม่ปวดแล้วนี่’ เธอคิดในใจ

          เธอลุกขึ้นเพื่อสำรวจว่าตัวเองอยู่ ณ ที่แห่งใด เหตุไฉนมันถึงได้ดูขาวโพลนไปหมดเช่นนี้ เธอเดินไปเรื่อยๆ เบื้องหน้าไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ นอกจากหมอกสีขาว ที่ทำให้รู้สึกได้ถึงสัมผัสที่เนียนนุ่ม และอบอุ่น หากแต่เธอลองเอามือไปจับหมอกเหล่านั้น น่าแปลกที่เธอเห็นกลุ่มหมอกเหล่านั้น หนีออกจากมือของเธอ เหมือนกับว่าหมอกเป็นฟองน้ำ พอเราเอามือบีบหรือจับมันก็จะบี้หนีมือเราออกไปด้านข้าง ฉันใดฉันนั้นกับกลุ่มหมอกสีขาวนี้ก็เช่นกัน

          รินรดานึกสนุกเธอใช้สองมือค่อยๆ ประคองหมอกขึ้นมา และบรรจงปั้นมันในอากาศให้เป็นลูกกลม เมื่อเธออ้ามือกว้างขึ้น ลูกกลมสีขาวก็ขยายใหญ่ขึ้นตามมือของเธอ และเมื่อเธอประกบมือให้แคบลง ลูกกลมก็มีขนาดเล็กลงตามมือเธอด้วย รินรดานึกสนุกต่อ

          เธอลองจินตนาการว่าลูกกลมในมือเธอนั้นเป็นสีเหลือง มันก็เป็นสีเหลือง
          เธอลองจินตนาการว่าลูกกลมในมือเธอนั้นเป็นสีชมพู มันก็เป็นสีชมพู

          เธอลองจินตนาการว่าลูกกลมในมือเธอนั้นเป็นสีเขียว มันก็เป็นสีเขียว

          เธอลองจินตนาการว่าลูกกลมในมือเธอนั้นเป็นสีม่วง มันก็เป็นสีม่วง

          เธอลองจินตนาการว่าลูกกลมในมือเธอนั้นเป็นสีดำ มันก็เป็นสีดำ

          เธอจินตนาการให้เป็นสีขาวเหมือนเดิม ลูกกลมก็กลับเป็นสีขาว

          รินรดานึกต่อว่าเธอจะเล่นอะไรกับลูกกลมนี้อีก เธอลองชูมันขึ้นเหนือศีรษะ เพื่อให้กระทบกับแสงที่ส่องเข้ามา น่าประหลาด ที่แสงสะท้อนออกมามากกว่า 7 สีสายรุ้งที่เธอเคยเห็น

          รินรดาไม่สามารถจะบอกได้ว่าสีที่เธอเห็นนั้นเป็นสีอะไรบ้าง เพราะมันช่างสวยงาม และเป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน คล้ายจะเป็นแสงสีของเพชรนิลจินดาก็ไม่ปาน มันหลากหลายซะจนเก็บรายละเอียดได้ไม่หมด

          ขณะที่รินรดากำลังเพลิดเพลินอยู่กับแสงสีที่แปลกตา พลันก็ได้ยินทำนองประหลาดหู ฟังเข้าที่หูกระทบเข้าที่ใจของเธอยิ่งนัก มันไพเราะซะจนหาคำบรรยายใดๆ มาบรรยายไม่ได้ เธอเดินตามเสียงนั้น และปล่อยให้ลูกกลมกระจายสลายเป็นหมอกเช่นเดิม

          เมื่อรินรดาก้าวพ้นกลุ่มหมอก เธอก็ต้องประหลาดใจอีกครั้งที่พบว่า เพียงการย่างก้าวเพียงก้าวเดียวก็สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมได้ถึงเพียงนี้ เหมือนมีประตูที่มองไม่เห็นกั้นเอาไว้ระหว่างหมอกสีขาวกับสถานที่นี้ ที่จะเปิดรับสำหรับบางคนเท่านั้น

          สิ่งที่เห็นทำให้รินรดาตะลึงพรึงเพริดยิ่งกว่าเดิม เมื่อพบว่าดินแดนอัศจรรย์นี้ เป็นเสมือนป่า แต่หาได้เหมือนป่าที่เธอเคยเห็นไม่

          ต้นไม้ใบหญ้าดูสวยงามตระการตา บางต้นมีใบสีเงิน บางต้นมีใบสีทอง บางต้นเป็นแก้วสวยวิจิตร และบางต้นออกผลเป็นมนุษย์ มีดอกไม้หลากสีสรรแพรวพราวระยับยากที่จะพรรณา รินรดายังคงหาต้นเสียงทำนองประหลาดหูอยู่มิรู้หาย และก็มากระจ่างเมื่อพบลำธารสายหนึ่ง รอบลำธารดาษดารไปด้วยก้อนกรวดระยิบระยับพราวพรายดั่งอัญมณีเพชรนิลจินดาที่มากมายมหาศาล เหมือนดั่งว่าเพชรนิลจินดาที่อยู่ ณ ที่นี้ มีค่าเพียงดังเม็ดทรายบนโลกมนุษย์

          เสียงไพเราะเสนาะหูประหลาดจับจิตนั่นดังมาจากน้ำตกสีเงินระยับที่สูงเสียดฟ้าหาที่สุดมิได้ ตกลงมาเป็นชั้นที่นับมิได้อีกเช่นกันว่ามีกี่ชั้น ที่แยกย่อยออกมาจากน้ำตกสายหลัก

          เพียงชั่วครู่เหมือนมีลมพัดมาทำให้เธอต้องหลับตา เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบผู้หญิงคนหนึ่งลอยตัวอยู่ตรงหน้าเหนือศีรษะของเธอ หญิงผู้นี้งดงามราวเทพธิดา เธอสวมเสื้อผ้าอาภรสีขาวในแบบที่รินรดาไม่เคยเห็น ราวกับเอาไข่มุกทั้งมหาสมุทรมาถักทอเป็นอาภรของนางผู้นี้ เพราะช่างดูงามระยับเหลือประมาณ ใบหน้านางงดงามราวหยกขาวใส รินรดาคิดว่า นางต้องเป็นเทพธิดาเป็นแน่แท้อย่างไม่ต้องสงสัย

          เทพธิดามองมายังรินรดา ท่านผายมือออก พลันมีลูกแก้วกลมสว่างสดใสลอยมาที่ตัวของรินรดาแล้วหายเข้าไปในท้องของเธอ รินรดารู้สึกวาบไปทั่วท้อง

          เทพธิดาแย้มยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ปากไม่ขยับแม้เพียงเล็กน้อย แต่กลับได้ยินเสียงในโสตประสาท

          ‘ถือศีลกินเจจะดีขึ้น ทุกข์พลันหายสบายพลันมี ภัยน้อยไม่ระคาย ภัยใหญ่แคล้วคลาด’

          เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้น รินรดาตื่นขึ้นตามปกติ เธอจำได้เพียงคลับคล้ายคลับคลาว่าเธอฝันถึงเทพธิดานางหนึ่งที่สวยงามมาก งามจนติดตาตรึงใจแม้ยามตื่น เธอพยายามนึกถึงความฝันทั้งหมด แต่กลับนึกอะไรไม่ออก
 


          ทุกวันอาทิตย์ยุทธศาสตร์และรินรดาจะพากันไปวัด เพื่อใส่บาตรและฟังธรรมบ้างบางโอกาส วันนี้ก็เป็นวันอาทิตย์รินรดาจัดเตรียมข้าวสารอาหารแห้งเตรียมไปใส่บาตรที่วัดตามระเบียบ

          “อ่าว ริน หายปวดท้องแล้วเหรอ”

          ยุทธศาสตร์ถามภรรยา เมื่อเห็นรินรดาไม่มีอาการปวดท้องเหมือนเมื่อคืนที่ดูเหมือนจะไม่ไหวจนต้องส่งโรงพยาบาล ส่วนตัวยุทธศาสตร์เองนั้นตื่นสายกว่าปกติเล็กน้อย เพราะว่าคอยตื่นมาดูภรรยาตลอดทั้งคืน จนเพิ่งได้นอนหลับสนิทเมื่อใกล้รุ่งนี่เอง

          “เออ ! ใช่ เมื่อคืนปวดท้อง แต่ตอนนี้ไม่ปวดแล้วนะ สงสัยยาเขาดี”

          รินรดาทำเสียงตกใจในช่วงแรกเหมือนลืมของสำคัญ แต่แล้วก็พูดด้วยเสียงร่าเริง บรรจงจัดแจงเอาของใส่บาตรใส่ลงในตะกร้า

          “จัดเสร็จแล้ว ไปกันเถอะพี่ยุทธ เอ๊….ใส่บาตรเสร็จแล้วจะกินอะไรดีน้า ข้าวมันไก่  โจ๊กหมู หรือ ว่าก๋วยเตี๋ยวดีน้า”

          “โห...พูดถึงเรื่องกิน นี่เสียงสดใสเลยนะ จะกินอะไรก็ระวังหน่อยล่ะกัน เดี๋ยวจะปวดท้องอีก” ยุทธศาสตร์พูด
 

 

          “วัดนิรมิตวนาราม”

          วัดนิรมิตวนาราม เป็นวัดที่รินรดาและยุทธศาสตร์มาเป็นประจำ เนื่องจากพระวัดนี้ไปรับบาตรที่แถวหอพักเป็นประจำจนรู้จักมักคุ้นกันดี

          เมื่อมาถึงวัด มีเหล่าพุทธศาสนิกชนมาใส่บาตรที่วัดกันบางตา มีร้านค้าขายของประมาณ 4-5 เจ้า ส่วนมากเป็นร้านขายแกงถุงสำหรับใส่บาตร รินรดาเดินผ่านร้านขายหมูปิ้งที่กำลังปิ้งหมูควันขโมงโฉงเฉง เมื่อได้กลิ่นหมูแทนที่จะนึกอยากกิน เหมือนเช่นทุกครั้ง รินรดากลับรู้สึกคลื่นไส้อยากจะอาเจียน แต่ก็ฝืนพยายามเก็บอาการไว้

          รินรดาตั้งใจจบอธิฐานของใส่บาตร คิดอุทิศผลบุญนี้ให้กับตอง
ส่วนยุทธศาสตร์ก็ตั้งใจอธิฐานอุทิศบุญให้กับต้อย

          ทั้งคู่ใส่บาตรเสร็จก็ไปหาอะไรกิน ตกลงกันว่าจะกินก๋วยเตี๋ยวยุทธศาสตร์สั่งก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ส่วนรินรดาสั่งก๋วยเตี๋ยวลูกกชิ้นหมู

          ก๋วยเตี๋ยวเนื้อของยุทธศาสตร์มาก่อน เด็กเสริฟยกชามผ่านหน้ารินรดา กลิ่นของมันทำให้เธอแทบอยากจะอ้วก เธอรีบยกมือขึ้นปิดปาก เกรงว่าใครจะเห็นอาการกระอักกระอ่วนของเธอ ไม่นานชามก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมูก็ถูกวางตรงหน้าเธอ รินรดารู้สึกเหม็น เธอมองดูผู้คนรอบข้าง ทุกคนกินก๋วยเตี๋ยวกันอย่างเอร็ดอร่อย ซึ่งเธอเองก็รู้ เพราะเธอก็กินร้านนี้บ่อย แต่ทำไมวันนี้มันกลับเหม็นอย่างบอกไม่ถูก

          “พี่ยุทธ” รินรดากระซิบ ยุทธศาสตร์เงยหน้าจากชามก๋วยเตี๋ยว

          “หือ”

          “ได้กลิ่นแปลกๆ หรือเปล่า” ยุทธศาสตร์ทำจมูกฟุดฟิด

          “ได้กลิ่นสิ” ยุทธศาสตร์ทำหน้าเคร่งขรึม

          “นั่นไง รินว่าแล้วเชียวว่ามันแปลกๆ”

          “ก็กลิ่นตัวรินน่ะสิ แรงจะตาย”

          รินรดาทำหน้าเบ้ ส่วนยุทธศาสตร์หัวเราะร่า

          “ไม่ช่าย รินหมายถึงก๋วยเตี๋ยวน่ะ ก๋วยเตี๋ยว! ไม่ใช่ริน” รินรดาชี้ไปที่ก๋วยเตี๋ยว

          ยุทธศาสตร์ยังคงกินก๋วยเตี๋ยวหน้าเฉย

          “ไม่นี่ก็ไม่เห็นได้กลิ่นอะไร ก๋วยเตี๋ยวก็เหมือนเดิม อร่อย นี่ว่าจะเอาอีกชาม” ว่าแล้วยุทธศาสตร์ก็ตะโกนสั่งก๋วยเตี๋ยวอีกชาม

          เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติ รินรดาจึงต้องจำใจกินทั้งที่ยังรู้สึกเหม็นอยู่ คำแรกซดน้ำซุปไปก็จะอ้วกอยู่แล้ว คำที่สองกัดลูกชิ้นเข้าไป ทำให้รินรดาต้องรีบเอามือปิดปากและวิ่งเข้าห้องน้ำโดยด่วน

          รินรดาเข้าไปอาเจียนในห้องน้ำ เธอนึกแปลกใจว่าทำไมเธอจึงมีอาการเช่นนี้ แล้วพลันก็คิดได้ถึงเสียงในโสตประสาทว่าให้ถือศีลกินเจแล้วจะดีขึ้น เธอคลับคลายคลับคราว่าอย่างนี้ คำพูดเลือนราง แต่ใบหน้าขาวใสผุดผาดราวหยกกลับเด่นชัดขึ้นในมโนจิต

          ...คงเป็นเทพธิดาคองค์นั้นเป็นแน่แท้ที่ต้องการให้เธอ ถือศีลกินเจ
รินรดากลับมานั่งที่โต๊ะ

          “เป็นอะไรไป จะอ้วกเหรอ” ยุทธศาสตร์ถาม พลางดูดน้ำเป็นอาการหลังจากกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จแล้ว

          “ยังไม่สบายอยู่หรือเปล่า ไปหาหมอไหม”

          รินรดาส่ายหัว “ไม่เป็นไรค่ะ มีเรื่องจะเล่าให้พี่ฟัง เมื่อคืนนะ รินฝันว่า.........”

          รินรดาได้เล่าความฝันให้ยุทธศาสตร์ฟัง จนหมดเปลือก
 


          “หลวงพ่ออมร ปุริสุตโต” รองเจ้าอาวาสวัดนิรมิตวณาราม ท่านไปรับบาตรที่หน้าหอพักประจำ จนชาวบ้านแถวนั้นรู้จักท่านดี

          “เออ...คือว่า” ยุทธศาสตร์อึกอักเมื่อจะพูดถึงสาเหตุที่จะนิมนต์ท่าน

          “ที่หอมีอะไรรึโยม เด็กผู้หญิงคนนั้นยังไม่ไหนดอกหรือ” หลวงพ่ออมรเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดก่อนเมื่อเห็นยุทธศาสตร์อึกอัก

          ยุทธศาสตร์และรินรดาแปลกใจที่หลวงพ่อทราบเรื่องทั้งที่เขายังไม่ได้พูดอะไร

          “หลวงพ่อทราบได้ยังไงค่ะ” รินรดาถาม

          “ก็เคยเห็นเขามายืนร้องไห้ขอส่วนบุญ”

          คำตอบของหลวงพ่อทำให้ทั้งยุทธศาสตร์และรินรดาขนลุกซู่ เพราะหลวงพ่อจะเห็นได้ก็มีแต่ตอนที่รับบาตรหน้าหอพักเท่านั้น อย่างนั้นก็แสดงว่าตอนที่เขาทั้งคู่ใส่บาตรตองก็วนเวียนอยู่แถวนั้น !

          “ก็ใช่ เพราะเขาไม่รู้จะไปไหน ไม่มีแสงชี้ทางให้เขา กรรมที่เขาทำมันหนัก คือ เขาฆ่าตัวตาย” หลวงพ่อพูดเหมือนได้ยินเสียงความคิดของคนทั้งคู่

          “ก็เพราะเหตุนี้ล่ะค่ะ ถึงจะนิมนต์หลวงพ่อ ให้ช่วยหน่อยค่ะ ตอนนี้คนที่หอพากันได้ยินเสียงร้องไห้ ไม่เป็นอันหลับนอน แต่ก็แปลกนะคะ หนูกับแฟนก็นอนอยู่ชั้นเดียวกันกับน้องคนที่ตาย ไม่ยักจะได้ยินเสียงอะไร” รินรดาพูดเข้าประเด็น

          “ก็เครื่องรับสัญญาณของเรามันไม่รับความถี่ต่ำน่ะสิ มันรับแต่ความถี่สูง มันก็ต้องรับได้แบบนั้น”

          รินรดางงแต่ก็ยังไม่ทันได้ถามอะไรต่อหลวงพ่อก็พูดต่อไปว่า

          “แล้วจะให้ไปวันไหนล่ะ”

          “พรุ่งนี้ค่ะ”

          “อืม ได้”
 


          รุ่งขึ้นยุทธศาสตร์และรินรดาเชิญหลวงพ่ออมรไปทำพิธีที่ห้อง 28

          หลวงพ่ออมรเข้ามาก็เห็น เด็กสาวหน้าตาเขียวคล้ำในชุดสีขาวลายดอกนั่งร้องไห้ ดวงตาเคียดแค้น

          ‘เหตุไรเจ้าจึงร้องไห้ไม่จบสิ้น’ หลวงพ่ออมรถามตอง

          ‘หนูเจ็บ’ ตองพูดทั้งน้ำตา

          ‘เจ้าจะเจ็บอันใด ในเมื่อกายเจ้าได้สลายไปแล้ว’

          ‘พวกมันทำกับหนู มันทำให้หนูเจ็บ เจ็บปวด ทรมาน ไปหมดทั้งตัว’

          ‘เจ้าเอ๋ย มันเป็นจิตเจ้าต่างหากที่เจ็บ หาใช่กายเนื้อไม่ กายเจ้าได้สลายไป แต่เจ้ายังเอาจิตเจ็บแค้นติดดวงวิญญาณไป เช่นนี้เจ้าก็จะเจ็บตลอดไป ไม่ได้ไปผุดไปเกิด แม้ผู้ใดทำบุญมาให้ แสงก็จะมาไม่ถึง เจ้าก็จะไม่ได้รับแสงแห่งบุญกุศลนั้น’

          ตองน้ำตาไหล แต่การน้ำตาไหลครั้งนี้ หาใช่การค่ำครวญเพราะเจ็บปวดไม่ ตองน้ำตาไหลเพราะซาบซึ้งในคำที่หลวงพ่อกล่าว เธอยังคงนิ่งและตั้งใจฟังหลวงพ่อพูดต่อ

          หลวงพ่ออมรเว้นระยะเพื่อให้ตองได้มีสติ

          ‘ตอนนี้เจ้ายังเจ็บอยู่หรือไม่’

          คำถามของหลวงพ่อจี้โดนใจให้ตองนึกถึงเหตุการณ์และกรีดร้องไห้โหอีกครั้ง

          ‘ให้อภัย สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม สัญญาและเวทนามีไว้ให้เราได้ฝึกจิต เปลี่ยนคำว่า เจ็บ ในใจของเจ้า ให้เป็นคำว่า พุธโธ พุธโธ เจ้าไม่เจ็บอีกต่อไปแล้ว พุธโธ พุธโธ พุธโธ’

          ตองพยายามเอาชนะความเจ็บที่ฝังอยู่ในใจของเธอ ด้วยการบริกรรม ‘พุธโธ พุธโธ พุธโธ’ ตามหลวงพ่ออมร

          ทุกครั้งที่นึกถึงคำว่า ‘เจ็บ’ ภาพเหตุการณ์โหดร้ายฉายมา ตองจะข่มด้วย ‘พุธโธ’ เข้าไปแทนตอนแรกๆ จะจับได้ช้าหน่อย แต่พอสกัดบ่อยครั้งเข้า เธอก็สามารถสกัดกั้นความเจ็บปวดในใจได้อย่างรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ

          ตองค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองหลวงพ่อ

          ‘ยังเจ็บอยู่ไหม’ หลวงพ่อถามด้วยความเมตตา

          ตองส่ายหน้าช้าๆ ดวงหน้าผุดผาด

          ‘ไม่เจ็บแล้วค่ะ’

          ‘สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม กรรมใดใครก่อผู้นั้นก็ต้องรับกรรม เจ้าเองก็เช่นกัน ถ้าเจ้ามีสติ และทำกรรมดีเจ้ากรรมนายเวรก็ดึงให้เจ้าตกต่ำไม่ได้’ แล้วหลวงพ่อก็ค่อยลอยห่างออกไปจากตองจนสุดสายตา

          ตองพนมมือไหว้หลวงพ่อทั้งขอบคุณและแทนคำลา
 


          ยุทธศาสตร์และรินรดาเฝ้ามอง พิธีกรรมของหลวงพ่ออมรอย่างใจจดใจจ่อ โดยมีน้อยคอยเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ เผื่อนายต้องการอะไร ซึ่งจริงจริงเป็นความอยากรู้อยากเห็นของน้อยเองมากกว่า

          พิธีเป็นไปอย่างเรียบง่าย โดยหลวงพ่อได้ทำการจุดธูป สวดมนต์ และ พรมน้ำมนต์รอบห้อง ก็เป็นอันเสร็จพิธี

          จากนั้นทั้งสองจึงขับรถไปส่งหลวงพ่ออมรที่กุฏิ

          “เขาไปแล้วหรือคะ หลวงพ่อ”

          รินรดาถามด้วยความสงสัย เนื่องจากพิธีกรรมช้างเรียบง่ายและรวดเร็วเกินจะเชื่อได้ เธอเคยดูโทรทัศน์ว่าเวลาเขาไล่ผีมันก็น่าจะใช้เวลาต่อสู้กันนานกว่านี้

          “จะต้องไปต่อสู้กันทำไม ให้เสียเวลา แค่คุยกันก็พอ”

          หลวงพ่อตอบแบบคนอ่านใจออกอีกแล้ว เพราะคำถามของรินรดายังไม่ได้พูดถึงเรื่องต่อสู้ หรือ เรื่องเวลาเลย เหมือนท่านจะตอบไม่ตรงคำถาม แต่ก็ตรงใจผู้ถาม

          ยุทธศาสตร์และรินรดาทำหน้างง หลวงพ่ออมรยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ แล้วพูดต่อ

          “ต่อไปทำบุญใส่บาตรก็ให้นึกถึงเขาด้วย แสงบุญจะได้ไปถึงเขา นำเขาไปผุดไปเกิดในภพที่ดี”

          “ค่ะ” “ครับ” รินรดาและยุทธศาสตร์ตอบรับพร้อมกัน

          ก่อนที่ทั้งคู่จะลากลับ หลวงพ่ออมรยังพูดทิ้งท้ายอีกว่า

          “เจ้าผู้หญิงน่ะ เขาบอกให้ทำอะไรก็อย่าลืมทำตามด้วยนะ ถือศีลกินเจได้มันก็ดีกับตัว ปฏิบัติธรรมได้มันก็ดีกับตัว กิจการงานเราก็จะได้ดีไปด้วย”

          ทั้งสองคนออกจากกุฏิหลวงพ่ออมร จะไปขึ้นรถกลับบ้าน

          “หลวงพ่อชอบพูดแปลกๆ เนอะ” ยุทธศาสตร์พูด

          “อืม”

          รินรดาตอบรับเพียงเท่านั้น เพราะสายตาเธอจดจ่ออยู่ที่คนกลุ่มหนึ่งนุ่งขาวห่มขาวมีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย นั่งปฏิบัติธรรมกันอยู่บริเวณสวนธรรม

          รินรดาเดินไปมองไปไม่วางตา จนเห็นภาพกำแพงวัดบังผู้ถือศีลจึงได้ละสายตา
 


 

          เมื่อกลับมาถึงบ้านรินรดาอยู่ในห้องพระ เธอยังคงนึกถึงคำพูดของเทพธิดาในความฝัน


          ‘ถือศีลกินเจจะดีขึ้น ทุกข์พลันหายสบายพลันมี ภัยน้อยไม่ระคาย ภัยใหญ่แคล้วคลาด’

          รินรดาแปลกใจตัวเองที่ไม่มีความรู้สึกอยากกินเนื้อสัตว์ คืนนี้เธอรู้สึกอยากสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอนเพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวเอง และ เพื่ออุทิศบุญให้กับตอง

 




 

Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2567
1 comments
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2567 11:03:56 น.
Counter : 126 Pageviews.
(โหวต blog นี้) 

 

 

โดย: กันต์นัทธ์ 17 กุมภาพันธ์ 2567 13:56:13 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


กันต์นัทธ์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 19 คน [?]




กันต์นัทธ์ แปลว่า ผูกพันด้วยความรัก






แจกฟรี !! e-book

 รวม ฟรี !! E-BOOK 
Friends' blogs
[Add กันต์นัทธ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.