สวัสดีอัมพวา
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันกับพี่ๆ และเพื่อนร่วมงานไปเที่ยวอัมพวากัน ต้องถือเป็นปรากฏการณ์ เพราะหากไม่นับการประชุมนอกสถานที่ที่บริษัทบังคับ เอ่อ จัดให้พวกเราไปแล้ว พวกเราก็ไม่เคยเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกันเลย คราวนี้มีสปอนเซอร์ใหญ่คือพี่เก๋กึ๋ย (ชื่อคุ้นๆ? อ่อก็หัวหน้าทัวร์ทริปทุ่งทานตะวันคราวที่แล้วไง) พี่เก๋มาบอกว่าเปิดทริปไปอัมพวา ใครจะไปลงชื่อด่วน รถฟรีค่าน้ำมันฟรี แบบนี้แล้วจะปฏิเสธได้อย่างไร พวกเรา 5 ชีวิตก็เลยใจง่ายตกปากรับคำว่าไปค่ะ พี่ ไปด้วยคน
รถออกจากกทม. ประมาณ 9 โมงเห็นจะได้ เราแวะเที่ยวตลาดน้ำดำเนินสะดวกกันก่อน (อ่อ รถที่เราได้มาในครั้งนี้เป็นรถตู้คันหย่ายย มีที่กว้างขวางให้พวกเราสามารถนอนกลิ้งไปได้ตามสบาย) เราไปถึงที่ตลาดน้ำดำเนินฯ ก็ใกล้ๆ จะ 11 โมงแล้วหล่ะ ทำไมฉันรู้สึกว่าตลาดมันเล็กลง?? จำไม่ได้ว่าไปครั้งสุดท้ายเมื่อไร แต่รู้สึกว่าเหมือนไม่ค่อยมีชีวิตชีวา (อาจเพราะตลาดวายไปแล้วหรือเปล่า ก็ไปเสียสายโด่ง?) เราหาไรกินข้างคลอง (ทริปนี้เน้นกิน กินกันสะเปะสะปะ เจอไรข้างทางน่ากินก็กินตลอด) กินเสร็จแล้ว เราเลยนั่งเรือชมแม่น้ำ ลำละ 300 บาท จำได้เหมือนว่าตอนเด็กๆ ที่ไปราคาจะแพงกว่านี้ ระหว่างทางที่นั่งไป ก็จะมีร้านขายของที่ระลึก แม่ค้าพ่อค้าจะส่งเสียงเรียกลูกค้า แต่ลูกค้าลำนี้นั่งนิ่งมาก ประมาณว่าดูแต่ตา ตังค์ไม่จ่าย อิอิ (ไม่รู้จะซื้อทำไมค่ะ บ้านไม่มีที่ตั้งโชว์)
หอยครกทอด
ล่องเรือเสร็จแล้ว ขึ้นมาปรากฏว่ามีรูปพวกเราแปะอยู่ในจานวางขาย เหอๆๆ ไม่เอาอ่ะ ถ่ายทำไม ไม่ได้ขอ เราก็มุ่งหน้าไปสมุทรสงคราม ไปที่ค่ายบางกุ้ง แวะชมโบสถ์ปรกโพธิ์ เห็นว่ามีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแต่ทิ้งร้างไว้จนต้นไม้ขึ้นปกคลุม ถือเป็น 1 ใน unseen Thailand ทีนี่มีพระบรมราชานุสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชตั้งอยู่ด้วย
เสร็จจากค่ายบางกุ้งนี้ เป้าหมายถัดไปก็คืออาสนวิหารพระแม่บังเกิด หรือ โบสถ์คริสต์ ฉันอยากไปชมความงามของโบสถ์เก่า จริงๆ ก็มีโบสถ์หลายแห่งในกทม. ที่ฉันอยากเข้าไปเยี่ยมชม โชคดีที่ทางโบสถ์มีพิธีไปแล้วในตอนเช้า ไม่งันพวกเราคงไม่ได้เดินชมความงามด้านใน ที่โบสถ์จะมีเจ้าหน้าที่คอยเป็นไกด์ให้กับนักท่องเที่ยว พวกเราเลยได้ความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับโบสถ์แห่งนี้ โบสถ์แห่งนี้มีอายุตั้ง 111 ปีเชียวนะ กระจกสี (Stained Glass) ข้างในก็นำมาจากฝรั่งเศส เห็นคุณลุงที่เป็นไกด์บอกว่าเพิ่งถอดลงซ่อมแซม แต่ยังทำไม่สมบูรณ์
อาสนวิหารพระแม่บังเกิด
ถ่ายจากด้านหลัง
ข้างในอาสนวิหาร
Stained Glass
ออกจากโบสถ์แล้วเราก็ไปที่อุทยาน ร. 2 กันต่อ เรือนไทยหลังเก่าปิดซ่อมแซม เลยต้องขึ้นไปชมเรือนไทยหลังใหม่แทน ดูไม่ค่อยจะขลังเท่าไรเพราะดันเป็นปูนทั้งหลัง ไม่ใช่ไม้ พวกเราเลยไปนอนพักร้อนเอกเขนกกันที่ลานตรงกลางซึ่งมีหลังคาคุ้มหัว นั่งเมาท์คนในบริษัทจนครบทุกคนแล้ว (ซึ่งกินเวลา 2 ชั่วโมง) เลยลุกออกไปชมจุดอื่นๆ ในอุทยานต่อ
ดอกไม้ริมทาง
เสร็จจากอุทยานฯ ก็ถึงคิวของตลาดน้ำอัมพวาเสียที ตลาดเปิด 4 โมงเย็น พวกเราหิวโซ เนื่องจากไม่ได้กินข้าวกลางวัน แถมแดดแรงมากๆ เวลาเดินไปไหนมาไหนทีเหงื่อออก ทำให้เผาผลาญพลังงานที่ได้จากขนมไปจนหมด
เห็นชื่อแล้วขำจัง นึกถึงในฮิฮิที่มีคนอ่านผิดว่าเป็นถนนเลีย บน ที อิอิ
คนแน่นตลาดมากๆ เลย เราแวะกินข้าวเย็น (ผสมกลางวัน) ที่ร้านข้าวแกง บรรยากาศดี๊ดี นั่งกินข้าวริมฝั่งคลอง ฉันว่าทางเดินริมฝั่งคลองมันแคบจัง ทำให้ผู้หญิงที่เหมือนอีบ้าหอบฟางคนนี้ ต้องคอยระวังไม่ให้เป้ควายไปเกี่ยวของร้านใครเขาเข้า มีร้านน่ารักๆ เยอะดีเหมือนกัน ฉันได้แต่ถ่ายรูป อย่าหวังได้แอ้มเงินในกระเป๋า โหะๆ (ก็ไม่รู้จะซื้อมาทำไร รกห้อง)
ทอดมันหัวปลี
แม่ค้าขายดอกดาหลา ดอกละ 5 บาทเอง สวยดี ช้อบชอบ
พอเดินช็อปกันได้ที่แล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะล่องเรือชมหิ่งห้อย เรือออกหกโมงครึ่ง วิ่งผ่านคลองอัมพวาแล้วเข้าคลองผีหลอก (ฟังชื่อแล้วน่ากลัวดีชะมัด เกรงว่าจะมีอย่างอื่นโผล่มานอกจากหิ่งห้อย) สรุปว่าได้เห็นหิ่งห้อยสมใจ แม้จะไม่เยอะมาก แต่ก็เยอะกว่าที่ฉันคาดไว้ ลุงคุมเรือบอกว่า ต้องหน้าฝนถึงจะเยอะ แป่ว.. หน้าฝนฉันก็คงไม่อยากมาล่องเรือกลางดึกเพื่อชมหิ่งห้อยเท่าไรนัก ลุงแกบอกว่าเดี๋ยวนี้หิ่งห้อยพัฒนาแล้ว ขึ้นไปเกาะที่ต้นหูกวางหรือใบไผ่ด้วย ไม่ได้เกาะแต่ต้นลำพูต้นเดียว อิอิ
เรือพาเรากลับถึงฝั่งประมาณทุ่มครึ่ง เดินไปซื้อของกัน (ร้านยังไม่ปิด) แล้วค่อยขึ้นรถกลับกทม. กัน
ท้ายนี้ขอขอบพระคุณคุณพี่เก๋ ที่จัดทริปเที่ยวฟรีแบบนี้ให้พวกเรา แล้วพี่ก็ได้ผลบุญนั้นแล้วด้วยการถูกเลขท้ายสามตัว 5555 แล้วคราวหน้าพาไปอีกเน้อ..
ปล. รูปสุดท้ายนี้ใส่เครดิตผิดไป เราไม่ได้ถ่ายสักหน่อย ฝีมือพี่เก๋
Create Date : 03 เมษายน 2550 |
|
14 comments |
Last Update : 3 เมษายน 2550 9:33:34 น. |
Counter : 1150 Pageviews. |
|
|
|
ค่ารถ ค่าเรือ ค่าทาน ตามไปเก็บได้ที่บ้านนะคะ