|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
Paris-Switz-Italy #1: ได้เที่ยวเองซะที
อยากไปเที่ยวแบบลุยเอง หาที่อยู่ที่กินเองมานานแล้ว และจากการหาข้อมูล ที่ที่ควรจะทำแบบนี้คือยุโรปค่ะ เพราะหาข้อมูลง่าย อะไรๆก็มีระบบระเบียบที่ดี ทำให้แพลนง่าย เหมาะสำหรับมือใหม่ ^^
อย่ากระนั้นเลย เราเริ่มก่อหวอดด้วยการทำโปรแกรมคร่าวๆคือเดินทางคร่อมช่วงสงกรานต์ ไป 3 กลับ 18 เมษา ลางาน 6 วัน เพื่อเที่ยวปารีส 3 วัน สวิตเซอร์แลนด์ 4 วัน และอิตาลี่อีก 7 วัน จากนั้นก็ชวนชาวคณะ ซึ่งได้แก่ คุณพัม น้องสาวผู้ชื่นชอบการถ่ายภาพ ถ้าบอกว่าไปสามประเทศนี้ด้วยงบประมาณที่พอจ่ายได้และไม่ต้องลางานหลายวันนัก พัมก็จะเอาด้วย คนชอบถ่ายรูปที่ไหนจะปฏิเสธปารีส สวิตซ์ อิตาลี่ได้ลงคอเนาะ (ชื่อประเทศ Switzerland ไม่ได้เขียนผิด นะเออ ประเทศนี้มีตัวย่อคือ Switz ถ้าเขียนเป็นภาษาไทยก็ต้องเขียนสวิตซ์ ส่วนอันนี้ Swiss หมายถึงคนสวิส) และอีกคนที่ต้องชวนคือ คุณนายเจี๊ยบ ผู้ชื่นชอบการท่องเที่ยว การเดินทาง และการได้เปิดหูเปิดตาสู่โลกกว้าง
ทั้งคู่เซย์เยสค่ะ โดยตกลงกันว่า พวกเราจะพยายามไม่ควักตังค์จากบัญชีออมทรัพย์เพื่ออนาคต แต่จะใช้วิธีทยอยจ่ายไปเรื่อยๆ ดังนั้น แผนการคือ อะไรจ่ายได้ก่อน ก็จ่ายไปเลย เราจึงแบ่งค่าใช้จ่ายเป็น 4 ส่วนได้แก่: 1) ค่าเครื่องบิน เราจองตั๋วและจ่ายค่าเครื่องเรียบร้อยตั้งแต่เดือน ตค.แล้ว 2) ค่าที่พัก คุณพัมขอที่ห้องน้ำสะดวกๆ คุณปุ๊กขอที่นอนดีๆและต้องมีน้ำอุ่นให้ใช้ คุณนายเจี๊ยบไม่มีคำขอพิเศษ (แหงล่ะ ก็หล่อนเป็นแบบที่ภาษาอีสานเรียกว่า "มักไปมักมา" อยู่แล้ว) แต่สุดท้ายเราก็แพ้ความประหยัด และได้ที่พักราคาประหยัดจาก hostelworld.com ที่นี่เขาจะหักค่าที่พัก10% ไปเลย โดยที่เหลือให้จ่ายในวันที่ไปถึง ค่าที่พักโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณคืนละ 30 ยูโรต่อคนต่อคืน มีที่มิลานที่ 50 ยูโร แต่ดูจากสภาพแล้วไม่ได้ต่างจากที่อื่นๆเลย ไม่บ่นค่ะถือว่า you get what you pay for เนาะ 3) ค่าเดินทางระหว่างประเทศ เนื่องจากเรามีเวลาประมาณแค่ 14 วัน เพื่อใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด เราจึงเลือกเครื่องบินแบบโลว์คอสซึ่งมีหลากหลายยี่ห้อ เป็นการเดินทางระหว่างประเทศ แต่ยี่ห้อที่มีวันเวลาที่เราต้องการคือ EasyJet โลว์คอสเจ้าใหญ่ของยุโรปนั่นเอง เท่าที่ศึกษาดู ดูเหมือนคนไทยจะชอบนั่งรถไฟนะ แต่จะบอกว่าถ้าจองล่วงหน้านานๆ ราคาเครื่องบินถูกว่ารถไฟอีก 4) สุดท้ายเป็นค่ากินอยู่ ค่าเข้าชมต่างๆ และค่าที่พักที่เหลือ อันนี้ต้องอาศัยเงินโบนัสที่จะออกเดือนมีนาปี 53 แล้วล่ะ
สรุปคือเมื่อถึงสิ้นปีที่แล้ว พวกเราก็มีแพลนที่ชัดเจน นอนที่ไหน เที่ยวที่ไหนบ้าง ค่าเครื่องบินก็จ่ายหมดแล้ว ค่าที่พัก 10% ก็เรียบร้อย นัดแนะกันว่าซักเดือนกุมภาเราค่อยไปยื่นขอวีซ่ากัน ตอนนั้นถามกันเล่นๆว่า ถ้าวีซ่าไม่ผ่านจะทำยังไงดี ปรากฎก็ได้คำถามใหม่มาแทนว่าแล้วจะมีเหตุผลอะไรล่ะที่เขาจะไม่ให้วีซ่าเรา? พวกเราไปยื่นขอวีซ่ากันที่สถานทูตอิตาลี่ในวันที่ 12 กพ. ต้องโทรไปจองก่อนนะแล้วเค้าจะให้หมายเลขที่จองมา ตอนที่จองต้องบอกเลขที่พาสปอร์ตด้วย เวลาไปเที่ยวยุโรปกลุ่มประเทศเช็งเก้น เขามีกฎว่า อยู่ที่ไหนนานที่สุดให้ไปขอวีซ่าจากสถานทูตนั้น พวกเราเลยต้องไปขอที่อิตาเลี่ยนเอ็มบาสซี่
ขอวีซ่าไม่ยากเลย เตรียมเอกสารให้พร้อมตามที่เขาต้องการก็พอ หลังจากดูเอกสารแล้วน้องเจ้าหน้าที่คนสวยก็ยื่นใบนัดให้มาอีกทีวันที่ 19กพ. และบอกว่ามาคนเดียวก็ได้ เราก็นึกว่าจะเป็นการมาสัมภาษณ์ถึงรายละเอียดอีกรอบแหงๆ ถึงวันที่ 19 เราก็ไปตามนัด ปรากฎเป็นการนัดให้มารับเล่มพาสปอร์ตเลย ไม่ต้องมีสัมภาษณ์อะไรด้วย โด่ ไหนว่าอิตาเลี่ยนเอ็มบาสซี่เขี้ยวไง ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะของพวกเราโปรแกรมค่อนข้างแน่นอนแล้ว ค่าตั๋วก็จ่ายแล้ว ค่าที่พักกจ่ายแล้ว มีโปรแกรมทั้ง 14 วันให้ด้วย เสร็จสรรพ ก็เลยง่ายมั้ง
วีซ่าเคลียร์ ต่อไปคือเงินอีกก้อนที่มาจ่ายตอนกลับแล้วก็ได้ คือค่า Swiss Pass เท่าที่ศึกษาข้อมูล รถไฟในสวิตเซอร์แลนด์ดีมาก มีประสิทธิภาพมาก และแพงมาก ดังนั้น ในเว็บบอร์ดท่องเที่ยว ก็จะแนะนำว่าให้ซื้อสวิสพาสเลย คุ้มมาก ได้เข้ามิวเซี่ยมฟรีหลายที่ และได้ส่วนลดในการขึ้นยอดเขาด้วย เราก็เลยทำตาม สวิสพาส ในบ้านเรา เท่าที่ดู มีขายอยู่ 2 ที่ คือที่ดีธแฮล์มแทรเวล ที่ถนนวิทยุ กับที่กัลลิเวอร์ โทรเช็คราคาทั้งสองที่แล้ว เท่ากันเป๊ะ ก็เลยตัดสินใจไปซื้อที่ดีธแฮล์ม เนื่องจากเราจะไปกันสามคน และจะเดินทางด้วยกันตลอดเวลา ทำให้เข้าเงื่อนไขสวิสพาสแบบ Saver Pack ซึ่งราคาถูกกว่าแบบเดินทางเดี่ยว พวกเราซื้อแบบรถไฟชั้นสองซึ่งได้ข่าวว่าก็ดีกว่าบ้านเราแล้วล่ะ ที่ราคา 143 ยูโรต่อคนสำหรับเซฟเวอร์แพคแบบ 4 วัน (เขามีแบบ 8 วัน 15 วันด้วยนะ) ค่าออกบัตรอีกคนละ 800 บาท รวมทั้งสิ้นก็ตกคนละ 7 พันกว่าบาท รูดบัตรไปค่ะ ค่อยมาใช้เงินเดือนเดือนเมษาจ่าย ฮ่า ฮ่า ตัวบัตรสวิสพาสนี่ เห็นแล้วหวาดเสียวว่าจะทำหายจริงๆเลยค่ะ มันจะเป็นกระดาษอ่อนๆมีชื่อสามคนที่เดินทางด้วยกัน วันที่เริ่มเดินทาง กับ เลขที่พาสปอร์ตเขาจะเว้นไว้ก่อน และเจ้าหน้าที่ที่สวิตเซอร์แลนด์จะเป็นคนกรอกให้ในวันที่เราจะเริ่มใช้ เขาเรียก process นั้นว่าการ validate swiss pass ซึ่งต้องทำก่อนเริ่มใช้งาน
หน้าตา swiss pass เป็นแบบนี้ค่ะ
พอปลายๆเดือนมีนาได้เข้าเช็คเวป Trenitalia ดูว่าตารางเดินรถยังเหมือนกับที่ดูเมื่อปีที่แล้วไหม ช่วงแพลนโปรแกรมตอนนั้น เคยเข้ามาเช็คเวลาของรถไฟ แล้วตั้งใจว่าจะใช้วิธีกดซื้อตั๋วจากตู้ ปรากฎว่าตอนหลังเห็นราคาลดลงกว่าจากที่ดูครั้งที่แล้วเป็นครึ่งเลยค่ะ น้องที่เคยมีประสบการณ์เดินทางในอิตาลี่เคยบอกว่า ซื้อจากตู้จะถูกที่สุด แต่ก็มีข้อมูลในเวบ TripAdvisor เหมือนกัน ที่เขาเตือนว่าซื้อจากตู้ถูกกว่าก็จริง แต่บางทีก็จะเต็มไปแล้วคือไม่มีเส้นทางที่เราต้องการขายที่ตู้ เราเลยตัดสินใจซื้อผ่านเวบ Trenitalia ไปเลย สำหรับการเดินทางจากโรมไปฟลอเร้นซ์ จากฟลอเร้นซ์ไปเวนิช และจากเวนิชไปมิลาน ค่าเดินทางตกคนละ 82 ยูโร พวกเราจองชั้นสองแบบ ES (Euro Star) ซึ่งเป็นรถที่วิ่งเร็วและดีมาก อิตาลี่เขามีรถไฟแบบ R หรือ Regional ด้วย ที่วิ่งระหว่างเมืองเหมือนกัน และถูกกว่ามาก แต่เราไม่เลือก เพราะเขาจะจอดบ่อยและใช้เวลามากกว่า ES เป็น 2-3 เท่าเลย และแล้วเงินก้อนนี้ก็จ่ายผ่านบัตรเครดิตไปก่อนเหมือนกัน แล้วค่อยกลับมาจ่ายด้วยเงินเดือนเดือนเมษายน
พร้อมสรรพแล้ว เสาร์อาทิตย์ก่อนเดินทางหนึ่งสัปดาห์ ก็ควรได้เวลาจัดกระเป๋าแล้วล่ะ เดือนเมษายนที่ยุโรป ถือว่าเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่เนื่องจากเป็นช่วงเพิ่งเปลี่ยนจากหน้าหนาว อากาศก็จะแปรปรวน อากาศโดยเฉลี่ย หนาวแน่ สำหรับคนไทย อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 3-13C ที่ปารีสอาจจะมีฝนตกได้ ที่สวิสเซอร์แลนด์บนพื้นราบ หญ้าก็จะเริ่มเขียว บนภูเขาก็จะยังมีหิมะอยู่ และอากาศก็ยังแปรปรวนอยู่มาก เจอฝนตกก็ได้ เจอหิมะตกก็ได้ หลังจากดูข้อมูลแล้ว อิตาลี่น่าจะอากาศดีที่สุด คือจะร้อนกว่าเพื่อน อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 6-16C พวกเรานัดแนะกันว่า ต้องเอาร่มไปด้วย เตรียมชุดลองจอห์นไว้ใส่นอน เพราะที่พักถูกๆอาจจะไม่มีฮีตเตอร์ และควรจะเตรียมเลกกิ้งไปใส่ด้วยทุกวัน เสื้อกันหนาวหนาๆคนละ 1 เป็นอย่างน้อย ผ้าพันคอ และถุงมือด้วยเพราะเรามีโปรแกรมขึ้นภูเขาที่สวิตเซอร์แลนด์ นอกจากนี้แว่นกันแดดก็ต้องพกด้วย เพราะเท่าที่อ่านมา ได้ความว่าอากาศหนาวจริง แต่แดดก็แรงเช่นกัน
เมื่อรวมกับของกิน (เราเน้นปลาเส้นทาโร่ เพราะมีโปรตีน 70% ^_^ เผื่อเที่ยวจนลืมมื้อเที่ยง สาหร่ายอบแห้งหลายขนาน กระเจี๊ยบอบแห้ง มาม่านิดหน่อย น้ำพริกไทยเดิม และโจ๊กซองอีกเล็กน้อย) กระเป๋าขนาด 26 นิ้ว ของทั้ง 3 คน ก็เต็มพอดี แนะนำคนที่จะไปเที่ยวค่ะ ให้ใช้กระเป๋าใบเล็กๆ คล่องตัวๆ จะดีที่สุด เดี๋ยวอ่านต่อๆไปจะรู้ว่าทำไม ^_^
คุณนายเจี๊ยบและกระเป๋า 3 ใบที่สุวรรณภูมิ อย่าเพิ่งร้อนเท้าแทนเพราะเหมาะกับที่นู่นมาก
ใกล้จะได้ไปเต็มที่แล้ว ถึงคราวต้องแลกเงินบ้าง สิ้นเดือนมีนาคม ตัวเองก็ได้รับโบนัสตามปกติ ถึงจะเล็กน้อยแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ แต่ของน้องสาวสิ บริษัทให้โบนัสมา 2 วัน โกรธมาก จะออก กลับมาจะออกแล้วนะ บ่นอยู่หลายวัน สรุปเลยผิดแผนการที่วางไว้ ว่าเราจะไม่รบกวนเงินเก็บเพื่อมาเที่ยวหนนี้ แต่ก็ถอยไม่ได้แล้ว อย่างนึงที่ถือว่าเป็นโชคดีมากของเราคือค่าเงินยูโรที่กำลังตกเอาตกเอาในช่วงนั้น เพราะเศรษฐกิจของกรีซกำลังแย่ เราแลกเงินยูโรที่ราคา 43.85 บาท เงินฟรังก์สวิสที่ราคา 30.9 บาท ต้องไปแลกเงินฟรังก์ที่แอร์พอร์ตนะคะ แลกตามธนาคารไม่มีเลย
ใกล้ๆถึงวันเดินทาง มีเรื่องใหม่ให้ห่วงค่ะ คือเสื้อแดงจะปิดสนามบินไหมน้อ? พวกเราตัดสินใจเผื่อเวลาเดินทางไปสุวรรณภูมิมากกว่าปกติ หลังจากเช็คอินเสร็จสรรพ คุณนายเจี๊ยบตามล่าเช็คราคาน้ำหอมที่ดิวตี้ฟรีแล้ว พวกเราก็ได้บินตรงตามเวลาที่กำหนด เป้าหมายคือถึง KL ตอนสองทุ่ม ก่อนต่อเครื่องไป Paris ตอนสี่ทุม ทำไมเลือก มาเลย์เซียแอร์ไลน์ ทำไมบินลงไปข้างล่างก่อนอย่างนั้น คำตอบคือราคาอย่างเดียวเลยค่ะ
อาหารทีเสริฟบนเครื่อง
ใกล้ถึงแล้วปารีส
แพลนแบบที่ตั้งใจไว้ ทำตามนี้ได้ไหม ไว้จะมาเขียนต่อค่ะ Day1: ลูฟร์ กับ ดอร์ซี่ (เพราะมิวเซี่ยมเข้าฟรีทกวันอาทิตย์แรกของเดือน) ปั่นนเวลิบเที่ยวหอไอเฟล ปลาสเดอลาคองคอร์ด โบสถ์แมเดอลีน ประตูชัย กรองอาร์ค ถนนชอมอลิเซ่ แองวาลิด แกรนด์พาเลส เพอติพาเลส สะพานอเล็คซานเดอร์ที่ 3 Day2: แวร์ซายน์ ย่าน Latin Quater แพนธีออน ซอร์บอร์น โบสถ์ซูลปีส ปั่นเวลิบเที่ยวเกาะซิเต (นอร์เตอร์ดาม คอนแซเจอรี่ เซ้นต์ชาเปล) Day3: เดินเล่นหรือปั่นเวลิบย่าน Marais ศูนย์จอร์จปอมปิดู คลองเซ้นต์มาร์ติน ย่านมงมาร์ต (Sacre Coeur) ย่านช้อปปิ้ง (แกลอรี่ ลาฟาแยต) Day4: ถึงเจนีวาตอนเช้า น้ำพุเจ็ตโด้ นาฬิกาดอกไม้ เที่ยวเมืองเก่า โบสถ์เซ้นต์แปร์ นั่งรถไปมองเทรอซ์ตอนเที่ยง แวะเที่ยวปราสาทชิยง แล้วนั่งรถยาวไปอินเตอร์ลาเก้น Day5: ไปเที่ยวเมืองกรินเดลวาลด์ ขึ้นยอด Schilthorn แล้ว เดินจากเมืองเมอร์เร่น ชมวิวไปเมืองกิมเมลวาลล์ ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ค่ำๆแวะไปเมือง Thurn หรือ Briense Day6: ไปเซอร์มัท ขึ้นกรอนเนอร์แกรท ชมยอดมัทเตอร์ฮอร์น แล้วขึ้นสวาซี พาราได้ซ์ ชมมัทเตอร์ฮอร์นอีกมุม ก่อนลงมาที่สถานีฟูริ แล้วเดินเข้าเมืองเซอร์มัทหนึ่งชั่วโมง โดยจะได้เดินผ่านหมู่บ้านโบราณซุมซี Day7: แวะเที่ยวแบร์นก่อนไปให้ถึงเจนีวาตอนเที่ยง ขึ้นเครื่องไปโรมบ่ายสอง ถึงโรม เที่ยวละแวกที่พัก Piazza Della Republica โบสถ์ S.มาเรีย มายอเร่ นั่งรถไฟไปดูปิรามิด Day8: โคลอสเซี่ยม, Palatine hill, Roman Forum, P.za Dell Popolo, เข้ามิวเซียมบอร์เกเซ, บันไดเสปน, น้ำพุเทรวี่, แพนธีออน, P.za นาโวนา, P.za Venezia (Capitoline hill, อนุสาวรีย์ Emmanuelle II) Day9: วาติกันมิวเซียม เซ้นต์ปีเตอร์สแควและบาซิลิก้า, Castel s.Angelo, ย่าน Trastevere, mouth of truth. Day10: ถึง Florence 9 โมง ไปปิซ่า กลับมาบ่ายแก่ๆไปดูโอโม่ P.za Michelangelo เพื่อชมวิวเมืองจากที่สูง และเดินตลาดเก่า Day11: ไป P.Za Signoria เข้า Uffici delgi Galloria สะพานเวคคิโอ้ Palazzo Pitti+สวน, S.Croce church (ไปถึง Florence แต่เราจะไม่เสียตังค์ดูเดวิดตัวจริง) Day12: ถึง Venice เที่ยง นั่งเรือล่อง grand canal ไปที่พัก แล้วไปเกาะบูราโน่ กลับมาเที่ยว S.Marco เดินไปสะพานริอัลโต้ Day13: ถึงมิลานเที่ยง เดินไปดูโอโม่ แกลอรี่ ลาฟาแยต ไปซานซีโร่ สเตเดี้ยม Day14: ไปดู Last Supper แล้วไป Malpensa Airport กลับบ้าน
Create Date : 03 พฤษภาคม 2553 |
|
6 comments |
Last Update : 5 พฤษภาคม 2553 21:16:17 น. |
Counter : 2256 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: LadyLavender IP: 203.146.24.17 4 พฤษภาคม 2553 7:18:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: Jikki IP: 115.64.44.170 4 พฤษภาคม 2553 22:44:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: Nuu IP: 58.9.203.76 14 มิถุนายน 2553 21:45:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: คนใต้ IP: 223.204.137.93 7 กรกฎาคม 2555 8:37:54 น. |
|
|
|
| |
|
|
อยากไปด้วยจัง แต่มีภาระซะละ