Group Blog
Midnight Sun
เคยจดไว้เวลาไปเที่ยว
บันทึกหน้าแรก..
<<
พฤษภาคม 2553
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
5 พฤษภาคม 2553
Paris-Switz-Italy #2: Paris day#1
All Blogs
Paris-Switz-Italy #6: Switz day#5
Paris-Switz-Italy #5: Switz day#4
Paris-Switz-Italy #4: Paris day#3
Paris-Switz-Italy #3: Paris day#2
Paris-Switz-Italy #2: Paris day#1
Paris-Switz-Italy #1: ได้เที่ยวเองซะที
เดินเที่ยวกรุงเทพ 1 วัน...
อียิปต์ - 1
Paris-Switz-Italy #2: Paris day#1
เครื่องลงจอดที่สนามบิน CDG ของปารีสตรงเวลาเป๊ะที่ประมาณ 7 โมงเช้าหน่อยๆ ก่อนเครื่องจะลงกัปตันพูดภาษาอังกฤษสำเนียงมาเลย์ "ด๊วนต่วนดันนาป่วนป๊วน..." แปลว่า Lady and Gentleman บัดนาวเรามาถึง CDG แล้ว บลาๆๆๆ อุณภูมิที่สนามบินคือ 7 ดีกรีเซลเซียส... เราหันไปมองหน้ากันกับคุณพัม หนาวแน่พี่น้องเอ๋ย แถมฝนตกอีกต่างหาก แท๊กซี่เวย์งี้น้ำขังเชียว
พวกเราเดินตามชาวผมแดงผมทองออกจากเครื่องไปต้อยๆ ปรากฎมีเรื่องให้ตื่นเต้นแต่เช้า เมื่อสองพนักงานที่สนามบินกักชาวเราสามสาวไว้ไม่ให้เดินตามเพื่อนๆต่อไป และขอดูพาสปอร์ตพร้อมกับเอกสารอื่นๆ ชิชะ บังอาจนัก ชั้นมีเอกสารทุกอย่าง อย่างถูกต้องแน่นอน และได้ปริ้นแจกให้เก็บกันตั้งสามชุดแน่ะ แต่... มีคุณนายเจี๊ยบคนเดียวที่พกติดตัว ฮ่าๆๆ เกือบไป หลังจากรอดมาได้ ตัวเองก็เริ่มเครียด (ประมาณว่ายกตัวเองเป็นหัวหน้าคณะที่ต้องนำเที่ยวหนนี้) เริ่มกลุ้มเรื่องภาษา คนฝรั่งเศสพูดภาษาอังกฤษกันน้อย สำเนียงก็สุดยอด
เมื่อรอดมาได้ ไม่นานเราก็ตามเพื่อนๆทันค่ะ เขากำลังติดแถวที่ตรวจคนเข้าเมือง ที่นี่ดีอย่าง คิวเขาจะเหมือนซื้อตั๋วหนัง คือมีแถวเดียว หน้าต่างช่องไหนว่างก็เข้าไปได้ แต่ของไทย ต้องเสี่ยงเอง ว่าได้เลือกต่อแถวที่ทำงานได้ไวหรือเปล่า หลุดจากจุดนี้พวกเราก็เริ่มลั้นลา ตามล่าสายพานกระเป๋าต่อไป
อีกอย่างที่ที่นี่ไม่เหมือนบ้านเรา คือการเขียนลูกศรบอกทาง ถ้าบอกว่าตรงไป ตามห้างบ้านเราจะเขียนลูกศรชี้ขึ้นใช่ไหมคะ แต่ที่ปารีสนี่มันชี้ลงล่ะ และก็มีคนหลงกลจนได้ กล่าวคือ ขณะที่เรากำลังรอกระเป๋า คุณพัมกับคุณนายเจี๊ยบเธอขอไปห้องน้ำกัน ซักพักทั้งคู่ก็เดินกลับมา และบอกว่า เดี๋ยวค่อยไปเพราะห้องน้ำอยู่ชั้นล่าง ฮ่าๆๆๆๆ ห้องน้ำมันก็อยู่ชั้นนี้แหละ! เพราะหลังจากได้กระเป๋ากันเรียบร้อย ก็พากันไปทำธุระ เปลี่ยนรองเท้ากันในห้องน้ำตามทิศที่ลูกศรชี้ลงนั่นแหละ
ได้กระเป๋าแล้วเริ่มเดินหาป้ายต่อ
จากนั้นก็จะเข้าเมืองล่ะ ที่ศึกษามา มีสองวิธีที่เขาแนะนำกันค่ะ คือ 1) นั่งรถไฟ RER แล้วไปต่อ Metro ความต่างของรถไฟสองแบบนื้ คือ RER คิดค่าโดยสารตามระยะทาง เป็นรถไฟที่วิ่งออกนอกเมือง รถ RER จะมีสาย A, B, C, D ส่วน Metro ก็วิ่งในเมือง คิดค่าโดยสารเป็นเที่ยวๆละ 1.6 Euro จะขึ้นจะลงกี่ต่อก็ได้ตราบเท่าที่ยังไม่ออกจากสถานี (ก็เหมือนบ้านเราเนาะ แต่แพงกว่าเยอะ) Metro ใน Paris มีสิบกว่าสาย เขาจะเรียกสายเป็นตัวเลข เช่น ที่พักของพวกเราต้องนั่งสาย 9 เป็นต้น
ทีนี้ ถ้าจะเข้าเมืองด้วยรถไฟ ก็จ่าย RER ที่ราคา fix เลยค่ะคือ 8ยูโร แล้วก็ใช้ตั๋วนี้นั่ง Metro ต่อได้เลย วิธีนี้ดูดีนะ แต่ข้อเสียคือ ข่าวว่า สถานีรถไฟของปารีส มีบันไดเลื่อนน้อยมาก ถ้าเราจะใช้วิธีนี้เข้าเมือง เราจะต้องเปลี่ยนสายรถที่สี่สถานี ซึ่งหมายความว่า อาจต้องยก ลาก หิ้ว กระเป๋าขึ้นลงบันไดถึง 4 รอบ! 2) วิธีที่สองคือนั่งรถชัตเทิ่ลบัส รถบัสเขาชื่อรัวซี่ค่ะ (Roissy) ราคาจะแพงกว่าเล็กน้อย คือ 9ยูโร รถคันนี้จอดที่เดียว คือที่โอเปร่าเฮ้าส์ เราคำนวณแล้ว ถ้านั่งเมโทรจากละแวกโอเปร่า สามารถนั่งต่อเดียวถึง นั่นคือลงจากบัส เดินหาสถานี Metro ที่มีสาย 9 ก็ถึงบ้านเลย สรุปเราก็เลยเลือกวีธีที่สองค่ะ
ดังนั้นเมื่อออกจากห้องน้ำ ก็เริ่มมองหาป้าย แต่ก็ยังมะงุมมะงาหรากันอยู่ ว่าจะไปทางไหนดี เจอพี่ฝรั่งสองสามีภรรยาที่นั่งเครื่องมาข้างๆเรา และบอกว่ามาปารีสครั้งแรกและรู้สึกตื่นเต้นมาก กำลังถามข้อมูลที่ Information เราก็ตั้งใจจะไปแจมบ้าง แต่พอดีเจอป้ายก่อน เขาจะมี Paris by train กับ Paris by bus ให้เห็นชัดๆเลยค่ะ เราก็ใจชื้น ไม่หลงละ เดี๋ยวก็ตามป้ายไปได้ แต่ต้องให้คุณนายเจี๊ยบเก็บโบรชัวร์ต่างๆที่ Information ให้พอใจก่อนค่ะ (เราแอบนินทากับพัมว่า จะเอาไปชั่งกิโลขายหรือไง? ฮ่าๆ ไม่หรอกเรารู้ว่าโบรชัวร์นี้จะเอาไปให้น้องชาย เอดิเตอร์ชลบุรีไลฟ์ดูว่า เมืองนอกเขากราฟิคดีไซน์ถึงไหนกันแล้ววว)
ป้าย Paris by bus พาเราออกนอกตัวอาคารค่ะ ข้างนอกหนาวโพด ฝนยังตกปรอยๆ ฟ้าเหมือนเพิ่งตีห้ากว่า เราบอกให้สองสาวรอที่ชายคา แล้วตัวเองก็วิ่งปรู้ดไปที่ป้อมน้อยๆฝั่งตรงข้ามที่ดูลักษณะแล้วเหมือนป้ายรถเมล์ ถามลุงคนที่นั่งในนั้นว่าซื้อตั๋วรัวซี่ได้ที่ไหน? เขาบอกว่า เฮีย ดีใจมากเลย ก่อนจัดการซื้อไปสามใบ จากนั้นก็ถามต่อว่าขึ้นรถที่ไหน เขาก็ว่า เฮีย อีก ดีใจดับเบิ้ล แล้วก็กวักมือเรียกสองสาวโดยไว ซักหน่อยก็มีนักท่องเที่ยวอเมริกันทำหน้าตางงๆมาถามเราว่า รัวซี? เสียงสูงๆ เราก็ เย่ เฮีย เหมือนคุณลุง อย่างภูมิใจ ^^
สภาพบนรัวซี่บัส เขามีที่วางกระเป๋าให้ด้วย ใหญ่ขนาดกระเป๋าเราก็วางได้สบายๆ
นั่งรัวซี่เข้าเมืองประมาณ 40 นาทีค่ะ ระหว่างทางจะผ่านสต๊าดเดอฟร้องซ์ สนามฟุตบอลที่ใช้แข่งฟุตบอลยูโรด้วยนะคะ
วันนี้เป็นเช้าวันอาทิตย์ ในเมืองรถราน้อยมาก ฝนก็ยังตกปรอยๆตลอดเวลา เศร้านิดๆ เพราะโปรแกรมเราแน่นมากสำหรับวันนี้ ระหว่างทางก็นั่งคิดถึงโปรแกรม เข้าที่พักเสร็จ เราต้องรีบดิ่งไปลูฟร์เลย แล้วก็ต่อด้วยดอร์ซี่ จากนั้นค่อยๆเดินเก็บที่เที่ยวละแวกนั้นตามโปรแกรม
พอลงจากรถ ก็เริ่มงงอีกแล้ว เดินไปทางไหนดีเนี่ย คุณปุ๊กเริ่มดูแผนที่ปารีสที่หยิบมาจากที่ขายตั๋วรัวซี่ ดูแล้วก็ยังงงอยู่ เลยใช้วิธีตามคนอื่นดีกว่า ว่าแล้วเราก็ลากกระเป๋านำสองสาวไป เหมือนรู้ทางนะแต่จริงๆไม่รู้หรอก ตามชาวบ้านไป และแล้วพอพ้นมุมตึก เราก็เจอจตุรัสกว้างๆ หันไปด้านซ้ายก็เจอโอเปร่าเฮ้าส์ เยส... เรามาถูกแล้ว ขณะที่สองสาวกำลังถ่ายรูปกับ Opera House เราก็ง่วนกับแผนที่ ต้องหาสถานีเมโทรเพื่อไปที่พักต่อ สุดท้ายก็ยอมแพ้ ถามคนดีกว่า กลายเป็นว่าที่จริงเรายืนอยู่หน้าสถานีอยู่แล้ว แต่แม่เจ้า คนไทยไม่รู้หรอกว่าไอ้ที่เห็นมีบันไดลงไปด้านล่างกับมีป้ายน้อยๆ 1 อันบอกว่า opera นั้น คือสถานีเมโทร
กระเป๋ารออยู่ ในภาพจตุรัสหน้าโอเปร่าเฮ้าส์ ตรงกร้างเวิ้งนั้นแหละมีทางลงเมโทร สถานีโอเปร่า
โล่งๆไม่มีคน ฝนหยุดแล้ว ถ่ายจากฝั่ง Opera house ค่ะ วงๆนั่นคือป้ายบอกสถานีเมโทร
Opera house ถ่ายจากฝั่งสถานีเมโทร ตัวอาคารใหญ่จนกล้องเก็บไม่หมด
พวกเราลงไปที่สถานีแล้วมองหน้ากัน เหอๆๆ เก่า สมคำร่ำลือจริงๆ ผนังกระเบื้องแตก พื้นซีเมนต์ดำๆ เอาน่าเขามีรถไฟใต้ดินก่อนบ้านเราเป็นชาติอย่าได้หวังว่ามันจะสะอาดเอี่ยมเหมือน MRT บ้านเรา
กระเป๋า 26 นิ้วถูกหิ้วลงสถานีที่ไม่มีบันไดเลื่อนอย่างทุลักทุเล ได้แต่บอกตัวเองว่า ถ้าจะต้องมาเที่ยวแบบนี้อีก เราจะต้องซื้อเป้ใบใหญ่ๆแล้วล่ะ
ต่อไปก็ต้องซื้อตั๋วเมโทรบ้าง เขามีตู้หยอดนะ แต่เราจะไม่ซื้อตั๋วเป็นเที่ยวๆละ 1.6ยูโรหรอก เราได้ทิปมาว่าต้องซื้อทีละ 10ใบเลย เรียกว่าคาร์เน่ต์ (Carnet) ไปอ่านมาว่า เวลาซื้อตั๋วคาร์เน่ต์เป็นภาษาฝรั่งเศสให้พูดว่า อะการ์เน่ซิลวูเปล แปลว่า ตั๋วคาร์เน่ต์หนึ่งชุดพลีส ฮ่าๆ ใช้ได้ค่ะ คนขาย ส่งตั๋วมาเลย 10 ใบในราคา 11.6ยูโร ถูกกว่าซื้อทีละใบเห็นๆ แจกจ่ายตั๋วให้ชาวคณะคนละใบแล้ว ก็เข้าไปในสถานี แล้วมองหาสาย 9 ปรากฎไม่มี อ้าว... สรุปเราลงผิดสถานี ไม่เป็นไร จากตรงนี้ก็ถึงบ้านได้ แต่ต้องไปเปลี่ยนขึ้นสาย 9 ที่สถานี Republic
ทิปนะคะ เวลาที่มีของมากมายให้หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนรถที่สถานีใหญ่ๆ เพราะมันจะเดินไกลและต้องหอบหิ้วกระเป่า ขึ้นๆ ลงๆ หลายรอบ สถานี Republic เป็นสถานีที่ใหญ่มากค่ะ อุตส่าห์เลือกเข้าเมืองด้วยรัวซี่บัส สุดท้ายก็หนีไม่พ้นการต่อรถไฟจนได้
ระหว่างรอรถไฟที่สถานี Republic เขามี LCD คอยบอกด้วยนะว่าอีกกี่นาทีรถคันถัดไปถึงจะมา
เราจองที่พักชื่อ Hotel Belfort ไว้ค่ะ ในเอกสารบอกว่าอยู่ที่สถานีชาโรเน่ (Charone) แต่ไม่รู้ว่า ออกจากสถานีแล้วไปยังไงต่อ ฮาอีกแล้ว คุณพัมบอกว่า ให้ฉันเลือกนะ ไปทางขวา ... เราก็เดินไปทางขวาค่ะ ก่อนตัดสินใจแวะถามมินิมาร์ทใกล้ๆ ว่ารู้จักที่พักเราไหม ปรากฎเขาบอกว่าอยู่ในซอยนี่เลย มินิมาร์ทอยู่หน้าปากซอยใกล้ๆสถานีค่ะ โชคดีเป็นบ้า พวกเราซื้อของกินนิดหน่อยจากร้านแล้วก็เดินเข้าซอย ขณะเริ่มเห็นป้ายโรงแรมอยู่ด้านหน้า ก็มีผู้ชายคนนึงที่เราจำได้ว่าอยู่ในมินิมาร์ทตอนที่เราถามทางพอดี แกมาขอดูใบจองที่พักพวกเรา แล้วก็บอกว่า ตอนนี้ที่นี่ไม่มีคนเลยนะ ให้ข้ามไปฝั่งตรงข้ามก่อน แล้วก็จ่ายค่าที่พักให้เรียบร้อย จะได้กุญแจแล้วค่อยกลับมาที่นี่ ประมาณนั้น พร้อมเขียนแผนที่ให้เราเสร็จสรรพ เราก็งงสิ เลยถามว่ายูเป็นเจ้าของที่นี่เหรอ (โรงแรมที่เราจองไว้) เขาก็ว่า ใช่ ตอนนี้มันเช้าไม่มีคนอยู่หรอก เราก็เริ่มเอะใจ เลยบอกว่า ไม่เป็นไรพวกเราเอากระเป๋าไปไว้ก่อน แล้วค่อยไปจ่ายเงินที่ออฟฟิศที่ยูว่าละกัน มันก็เลยยักไหล่ แล้วก็เดินนำเราไป ไอ้เวล มันไม่ยอมแวะโรงแรมเลย เดินผ่านไปซะงั้น เราก็เลยยืนกันอยู่หน้าโรงแรม มองหน้ากันด้วยความงง นี่มันจะหลอกกันง่ายๆอย่างนี้เลยนะ? สุดยอด
พอหายงง เราก็พยายามดึงประตูโรงแรมให้เปิดค่ะ ทำยังไงก็เปิดไม่ได้ ในนั้นมีเด็กหนุ่มนั่งอยู่หลังคอมพิวเตอร์เงยหน้ามอง เราก็ดึงๆอีกก็ยังไม่เปิด สุดท้ายหมอนั่นเดินมา ดึง ประตูเปิดให้ สรุปคุณปุ๊กต้อง ผลัก ไม่ใช่ดึง ... ได้แต่ด่าตัวเองแก้เขินที่หนุ่มๆต้องมาเปิดประตูให้ว่า ฮาวดัมบ์ เหอๆๆๆ
สภาพห้องพักค่ะ สะอาด พอได้เนาะคืนละ 30ยูโรพร้อมอาหารเช้า
Hotel Belfort เป็นโรงแรมเล็กๆค่ะ มีคุณตาอายุเฉียดๆ 70 นั่งเป็นรีเซ็พชั่น แกตรวจใบจองของเรา พาเราเอากระเป๋าไปเก็บข้างในและบอกว่าห้องยังไม่เรียบร้อยจะไปเที่ยวก่อนก็ได้นะ แกพูดภาษาอังกฤษได้น้อยมาก ไอ้ที่เขียนๆมานี่ก็เดาทั้งนั้น ฮา แต่พวกเราเลือกจะรอที่ล้อบบี้ ให้ได้ห้องอะไรๆเรียบร้อยก่อนละกัน เราเริ่มคำนวณแผนเที่ยวหลังจากนี้ ชักไม่มั่นใจว่า จะได้ตามที่คิด ลูฟร์เข้าฟรีระหว่าง 10-13 โมงเท่านั่น สุดท้ายกว่าจะได้ออกจากที่พักก็เกือบเที่ยง พวกเรานั่งเมโทรดิ่งไปที่ลูฟร์ทันที คนในเมโทรช่วงใกล้ๆจะถึงลูฟร์เยอะมาก พอขึ้นจากเมโทร คนที่อยู่ในคิวจะเข้าลูฟร์ยิ่งเยอะกว่า ดูท่าแล้วสองชั่วโมงก็คงยังไม่ได้เข้าข้างในเป็นแน่ เราเลยตัดสินใจไปลุ้นดอร์ซี่ย์ตรงข้ามฝั่งแม่น้ำก่อนดีกว่า พวกเราเดินผ่านสวนตุยเลอรี่ไปยังปลาสเดอลาคองคอร์ด สวนนี้ถ้าใครได้อ่านดาร์วินชี่โค้ด ก็น่าจะจำได้ว่าแลงดอนก็นั่งรถวิ่งผ่านสวนนี้มาที่ลูฟร์ตอนเปิดเรื่อง
บายๆลูฟร์วันนี้หมดหวังและจะบ่ายโมงแล้ว คนยังไม่ลดเลย
ปลาสเดอลาคองคอร์ดเป็นสแควร์ที่ตั้งกิโยตินประหารพระนางมารี อังตัวเน็ตต์เนาะ ที่นี่มีโอเบลิสก์ที่เอามาจากหน้าวิหารลัคซอร์ ตั้งตระหง่าน เห็นแล้วสงสารคนอียิปต์ ที่วิหารลัคซอร์เขาออกแบบให้มีสองเสา ตอนนี้ก็โดดเดี่ยวอยู่ต้นเดียว แต่คุณปุ๊กก็ได้เห็นเสาทั้งสองต้นจนได้ โย่ว ^^
ถ่ายจากสวนตุยเลอรี่ เห็นโอเบลิสก์อยู่ไกลๆแล้ว ช่วงนี้แดดเริ่มออก
อีกรูปชัดๆ โอเบลิสก์ของรามเซสที่ 2 ที่ควรจะอยู่กับคู่ของมันที่หน้าวิหารลัคซอร์
เมื่อยืนตรงปลาสเดอลาคองคอร์ดหันหลังให้ลูฟร์ มองไปข้างหน้า จะเป็นถนนชอมอลิเซ่ที่ตรงแหน่วเหมือนถนนราชดำเนิน สุดปลายของถนน ก็จะเห็นประตูชัยของนโปเลียนอยู่ลิบๆ ถ้าสายตายาวพอและวันฟ้าแจ้งๆก็จะเห็นประตูชัยใหม่ กรองอาร์คที่ลาเดอฟ้องส์ซ้อนอยู่ด้านล่าง ถ้ามองไปทางขวาจะเห็นโบสถ์แมดีลีน มองไปทางซ้ายจะเห็นสะพานข้ามแม่น้ำแซนชื่อพอนเดอลาคองคอร์ดและที่ทำการเมือง(มั้ง? Assemblee Nationale) อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ
มองตรงขณะหันหลังให้ลูฟร์ เห็นกรองอาร์คไหม?
มองไปทางขวาบ้าง ไมมันดูใกล้จัง
ไม่ได้ถ่ายมุมทางซ้ายไว้ แต่ภาพนี้ถ่ายจากหน้าโบสถ์แมดีลีน จะเห็นโอเบลิสก์ และอาคาร Assemblee Nationale กับแองวาลิดที่มีโดมสีทองที่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำแซนอยู่
พวกเราเลือกเดินเลี้ยวซ้ายไปยังโบสถ์แมดีลีนก่อน จริงๆก็คิดว่าควรจะไปดอร์ซีย์ แต่ตอนนั้นคิดว่า คนในคิว ที่รอเข้ามิวเซี่ยม ที่จัดแสดงภาพอิมเพรสชั่นนิสดังๆ คงไม่น้อยกว่าลูฟร์แน่ๆ ก็เลยคิดว่าเก็บแมดีลีนฝั่งนี้ก่อนแล้วค่อยข้ามไปฝั่งนู้น คนอาจจะลดลงก็ได้
โบสถ์แมดีลีนเปิดให้เข้าชมฟรีค่ะ ข้างในก็สงบๆดี ตัวอาคารใหญ่มากจนกล้องเก็บไม่หมดอีกแล้ว ตอนอยู่ที่นี่ ฝนตกด้วยค่ะ เดี๋ยวแดด เดี๋ยวฝน สลับกับ สมแล้วที่เขาว่าอากาศแปรปรวน แต่ความหนาวเย็นนี่สิ ไม่ยอมหายไปไหนเลย
หน้าโบสถ์แมดีลีน
ออกจากโบสถ์ คุณเจี๊ยบก็เริ่มบ่นว่ารองเท้าเหมือนจะขาด เราก็ไม่ได้คิดว่าอาการจะรุนแรง ที่ไหนได้ พอเดินกลับมาถึงสวนหย่อมหน้าปลาสเดอลาคองคอร์ด พื้นรองเท้าทั้งสองข้างดันหลุดออกไปเลย
สภาพของทิมเบอร์แลนด์กันน้ำได้ที่กะเอามาลุยหิมะที่สวิตเซอร์แลนด์หลังจากเดินเที่ยวได้ไม่กี่ชั่วโมง
คุณนายเจี๊ยบเริ่มไม่สนุกแล้ว อากาศหนาวๆแทรกซึมเข้าไปในเท้าได้ พวกเราต้องหาร้านรองเท้าอย่างเร่งด่วน แต่มองซ้ายแลขวาแล้ว แถวนี้มันเหมือนศูนย์ราชการชัดๆ ร้านค้าที่เห็นระหว่างเดินมาจากโบสถ์คือกุชชี่กับดิออร์ ซึ่งก็ปิดทั้งคู่เพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ เราเลยตัดสินใจให้อดทนก่อน เดินข้ามสะพานพอนเดอลาคองคอร์ดไปฝั่งนู้น ดูดอร์ซี่และมองหาร้านรองเท้าไปด้วยในตัว แต่ไม่มีร้านเลย แถมดอร์ซี่ก็คนเข้าคิวยาวเหยียด ก็เลยต้องตัดใจ ไว้หนหน้ามาปารีสใหม่ ค่อยมาเข้าพิพิธภัณฑ์นี้ก็แล้วกัน อีกอย่างในทริปนี้ เรายังมีพิพิธภัณฑ์ภาพวาดเจ๋งๆที่ฟลอเร้นซ์อีกที่
สุดท้ายก็ได้ถ่ายรูปหน้าดอร์ซี่ และข้ามแม่น้ำแซนกลับไปที่ลูฟร์ เรามีถกกันเล็กน้อยว่าจะทำยังไงดีเรื่องรองเท้า กลับไปเปลี่ยนเป็นบู้ตหรือรองเท้าคัตชูอีกคู่ก่อน หรือจะลองหาร้านซื้อให้ได้ เท่าที่ดูแล้วร้านค้าปิดหมดเลยในวันอาทิตย์แบบนี้ แล้วก็มีมติว่า กลับที่พักเปลี่ยนรองเท้าแล้วค่อยออกมาเที่ยวใหม่ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณบ่ายสามกว่าแล้วล่ะ ถ้าเทียบกับเวลาบ้านเรา บวกเข้าไปอีก 5 ชั่วโมงก็จะเป็นเวลาสองทุ่ม ทุกคนทั้งหิวและเริ่มง่วง
ได้แค่นี้แหละ D'orsay อันโด่งดัง
เดินผ่านหน้าลูฟร์เพื่อหาเมโทรกลับบ้านก็เจอฝนอีกแล้ว คราวนี้ลูกเห็บตกด้วย คุณนายเจี๊ยบคว้ากล้องวีดีโอมาเก็บเหตุการณ์ หล่อนไม่เคยเห็นลูกเห็บค่ะ ระหว่างที่หลบฝนอยู่ก็เจอคนไทยด้วย พี่เค้าเปิดร้านขายของที่ระลึกอยู่แถวๆหน้าลูฟร์ เราเลยถามเรื่องจะซื้อรองเท้า พี่เค้าก็ว่า ร้านคงไม่เปิดหรอก พอดีนึกห้างสรรพสินค้าในสถานีรถเมโทรที่เคยอ่านเจอ เป็นเมโทรมอลล์ที่ใหญ่ติดอันดับโลกเลยค่ะ อยู่ที่ปารีสเนี่ย เลยถามพี่คนไทยว่าตรงนั้นน่าจะเปิดไหม แกไม่แน่ใจ พวกเราเลยจะลองเสี่ยงดู
Metro mall ที่ใหญ่ที่สุดนี้ชื่อว่า Forum Des Halles ค่ะ อยู่ที่สถานี Les Halles พวกเราไปที่นั่นอย่างมีความหวัง เห็นร้านรองเท้าเยอะเลยนะ แต่ก็ปิดหมดเลยเหมือนกัน สุดท้ายไม่มีทางเลือกแล้วก็เลยกลับบ้าน ขากลับเราเลือกที่จะขึ้นจากสถานีที่เลยไปหนึ่งสถานี คุณตาที่โรงแรมบอกว่าตรงนั้นมีร้านแมคโดนัลด์ เราได้เบอร์เกอร์มาสองชิ้นค่ะและแวะซื้อผลไม้สดๆ นมสดกับของกิน จากร้านละแวกนั้น ผลไม้ถูกใจมาก รู้สึกว่าคงไม่อดตายแล้วล่ะ ทั้งสามคนไม่ใช่คนช่างกินเนื้อสัตว์กันเท่าไหร่ กล้วยขายเป็นกิโลค่ะ กีวีขายกิโลละสองยูโรกว่า ถูกใจกีวีสุดๆ ว่าแล้วพวกเราก็กลับไปจัดการอาหารเหล่านี้ที่ห้อง
คุณเจี๊ยบก็เปลี่ยนเป็นรองเท้าคัตชูเสร็จสรรพ ห้าโมงเย็นแก่ๆพวกเราก็ออกจากห้องพักอีกรอบ
ซื้อของกินกันหน่อย
ผลไม้ที่ขายหน้าร้านมินิมาร์ทใกล้ๆสถานีที่ถัดจากที่พักไปหนึ่งสถานี
คราวนี้พวกเรานั่งเมโทรกันยาวๆไปที่ลาเดอฟ้องส์ เป็นย่านธุรกิจใหม่ของเขาค่ะ ที่นี่จะมีตึกสูง มีสำนักงานใหญ่ของบริษัทข้ามชาติดังๆเยอะแยะ ถ้าไม่มาละแวกนี้ ก็คงจะเห็นปารีสเป็นตึกที่ดูเก่าๆ สูงสามสี่ชั้น ถนนที่มีต้นไม้เหมือนกันไปหมดทั้งเมือง
นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ ก็ต้องมาดูกรองอาร์ค (Grand arc) หรือประตูชัยใหม่ที่ทำล้อกับประตูชัยเก่า ตั้งอยู่แนวเดียวกันด้วย ว่ากันว่ากรองอาร์คนี่ใหญ่พอใส่โบสถ์นอเตอร์ดามได้ทั้งหลังเลยค่ะ
มันใหญ่จริงๆค่ะ แดดแรงด้วย แต่อุ่นดี
จากตรงนี้เราก็นั่งเมโทรต่อไปที่สถานี Etoile ขึ้นจากสถานีปั๊บก็เห็นประตูชัยเก่าเลยค่ะ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อฉลองชัยชนะตั้งแต่สมัยนโปเลียน นั่งท่องเที่ยวขึ้นข้างบนชมวิวปารีสได้เนาะ แต่เราไม่ขึ้นกันหรอก เสียดายตังค์
ประตูชัยหรืออาร์คเดอไตรออมฟี่ Arc de Triomphe
โปรแกรมถัดไปคือเดินไปตามถนนชื่อดังชอมอลิเซ่ ตัวเองว่าไม่ค่อยมีอะไรดูเท่าไหร่ (แต่ก็ต้องมาเนาะ) เพราะพวกเราไม่ใช่ขาช้อปปิ้ง อีกอย่างร้านรวงก็ปิดหมดเพราะเป็นวันอาทิตย์ ที่นี่เขาให้มาดูคนปารีสเก๋ๆมานั่งกินข้าวตามร้านที่มีโต๊ะอยู่นอกร้านด้วย ร้านหลุยวิตตองที่จะมีกระเป๋าใบใหญ่ๆโชว์หน้าร้านก็ไม่โชว์ในวันนี้ พวกเราเดินเล่นถ่ายรูปกันจนสุดถนน
ถนนชอมอลิเซ่ จะทุ่มแล้วนะเนี่ย ยังไม่มืดเลย
แล้วต่อไปก็จะข้ามแม่น้ำแซนอีกรอบ คราวนี้จะข้ามด้วยสะพานที่สวยที่สุดคือพอนอเล็กซานเดอร์ที่ 3 (Pont Alexander III)
ระหว่างเดินไปสะพานก็จะเจอแกรนด์พาเลส กับเพอตีพาเลส ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์จัดแสดงนิทรรศการต่างๆตั้งแต่ปี 1900
แกรนด์พาเลส เป็น ฮอลล์กระจกขนาดใหญ่
เพอตีพาเลส เพอตีเป็นภาษาฝรั่งเศสเขียนว่า petit แปลว่าเล็ก
สะพานที่สวยที่สุด แต่เริ่มค่ำแล้ว เขาว่าสร้างพร้อมๆกับพาเลสสองหลังที่อยู่ทางขึ้นเลย
ถ่ายจากสะพานจะมองเห็นหอไอเฟลอยู่ลิบๆ อีกซักพักก็คงจะเริ่มเปิดไฟ
ตอนข้ามสะพานก็จะสองทุ่มกว่าแล้วนะ แต่ฟ้ายังไม่มืดดี ยังพอมองเห็นหอไอเฟลอยู่ลิบๆ นั่นแหละที่หมายของเราในวันนี้
ปลายสะพานนี้จะเป็นแองวาลิด (Invalid) โรงพยาบาลที่สร้างสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่นี่เป็นที่ฝังนโปเลียนด้วยนะ แต่เราไม่ได้เข้าไปดูกันหรอก ดูข้างนอกก็พอแระ
อาคารสวยๆที่มีโดมสีทองนั่นแหละคือแองวาลิด
เดินเลาะฝั่งแม่น้ำไปเรื่อยๆ ฟ้าก็เริ่มมืดลงๆ ไอเฟลที่เห็นไกลๆก็เริ่มเปิดไฟ และใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดูจากแผนที่แล้วจากสะพานอเล็กซานเดอร์ที่ 3 มาถึงไอเฟลก็ไม่ไกลเท่าไหร่ แต่เดินนานเอาการ เดินกันไม่พูดไม่จา เข้าใจว่าคงง่วงและเหนื่อยกันน่าดู ได้แต่หวังว่าพอถึงไอเฟลแล้วก็คงหายเหนื่อยกัน แต่กว่าจะถึงและได้ถ่ายรูปไอเฟลเต็มๆก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มกว่าแล้ว
วันนี้เดินกันเยอะ คุณปุ๊กปวดน่องเป็นตระคริวตั้งแต่อยู่กรองอาร์ค ช่วงที่เดินชอมอลิเซ่เจ็บมาก แต่พยายามไม่บ่น หวังว่าพรุ่งนี้จะหายเจ็บเพราะโปรแกรมเรายังแน่นเหมือนเดิม
สรุปวันนี้ เราได้เห็นที่ท่องเที่ยวตามที่วงไว้เรียบร้อย
Create Date : 05 พฤษภาคม 2553
Last Update : 6 พฤษภาคม 2553 10:24:05 น.
6 comments
Counter : 2086 Pageviews.
Share
Tweet
สนุกจังเลยพี่ปุ๊ก..ที่วงทั้งหมดนั้นคือด้วยการเดินใช่ไม๊..(ถึงได้ตะคริวกินได้นั่น)
โดย: Jikki IP: 115.64.44.170 วันที่: 5 พฤษภาคม 2553 เวลา:21:31:05 น.
มัวๆแฉะๆ ยุโร้ปยุโรป
โดย: Giiiiiiig IP: 115.87.83.123 วันที่: 6 พฤษภาคม 2553 เวลา:0:22:57 น.
น่าสนุกจังเนอะ
เดี๋ยวตามอ่านทุกตอนเลย ย ย ย
โดย: LadyLavender IP: 203.146.24.17 วันที่: 6 พฤษภาคม 2553 เวลา:11:01:31 น.
อ่านอย่างตั้งใจ เขียนละเอียดแล้วก็สนุกดีกี้
รองเท้าทิมเบอร์แลนด์ยังใหม่ๆอยู่เลยทำไมทำพื้นไม่ดีเลยเนอะ
โดย: ติ้ง IP: 218.208.19.193 วันที่: 6 พฤษภาคม 2553 เวลา:14:05:46 น.
ลูกเห็บตกที่ปารีส น้ำซึมเข้าทิมเบอร์แลนด์ตอนอุณหภูมิ 7องศา บรื๋อส์..ส์ หนาวจนพูดไม่ออก ขอบอก ขอบอก..พี่ปุ๊ก
โดย: Jiab-Chonburilive IP: 117.47.152.74 วันที่: 7 พฤษภาคม 2553 เวลา:20:57:55 น.
กี้ ให้ไว ๆ
แวะมาเช็ค รออ่านวันต่อไปง่ะ ......
โดย: LadyLavender IP: 203.146.24.17 วันที่: 8 พฤษภาคม 2553 เวลา:9:56:32 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
hs3puk
Location :
ปทุมธานี Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [
?
]
New Comments
Friends' blogs
Webmaster - BlogGang
[Add hs3puk's blog to your web]
Links
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.