หนังสือทั้งสองเล่มของพระอาจารย์พอมยุน สุนิม พระชาวเกาหลี ซึ่งมีเนื้อหาเหมือนกันอยู่บางบทตอน แต่ก็เป็นการย้ำประเด็นที่น่าสนใจในหลักคำสอน นั่นคือ การพูดถึงคน 4 ประเภท
1. พวกที่รับอิทธิพลจากปัจจัยเลวได้ง่าย 2. พวกที่ตั้งใจอยู่ห่างจากปัจจัยเลวทั้งหลาย 3. พวกที่วางตนเฉยได้แม้อยู่ท่ามกลางปัจจัยเลว 4. พวกที่สามารถอยู่กับปัจจัยเลวแต่มีอิทธิพลที่จะเปลี่ยนแปลงปัจจัยเหล่านั้นให้กลายกลับดี
คนประเภทที่ 1 คือ คนที่คบเพื่อนขี้เหล้าก็กินเหล้าตามไปด้วย ใครชวนทำเรื่องชั่วเรื่องเลวก็ไม่เคยปฏิเสธ เพราะไม่เห็นผิดชอบชั่วดี เวลามีใครชี้โทษให้ ก็มักจะบอกว่า “ที่ฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะคนนั้นคนนี้บอกให้ฉันทำ หรือทำให้ฉันเป็น” โดยไม่เคยคิดโทษตัวเองเลย
คนประเภทที่ 2 ถ้าจะนึกภาพเร็ว ๆ คือ กลุ่มผู้รักษาศีลทั้งหลาย ไปจนถึงกลุ่มนักบวช พวกเขาพยายามกันตัวเองออกจากกิเลสและอบายมุขทั้งปวงด้วยกฎเกณฑ์ ศีล ข้อบังคับ ข้อกำหนดต่าง ๆ
หากคนคนประเภทที่ 1 จะมีแนวโน้มที่จำตาม ๆ กันไปกับคนหมู่มาก เพราะเชื่อว่า “ฉันจะมีชีวิตเหมือนคนอื่น ๆ ทั่วไป เขาทำอะไร ฉันก็จะทำตาม” คนในคนประเภทที่ 2 ก็จะเป็นกลุ่มที่มีความเชื่อว่า “ฉันต้องไม่มีชีวิตเหมือนคนอื่น กฎเกณฑ์อันเข้มงวดจะสร้างความแตกต่าง”
คนประเภทที่ 3 คือ ผู้ที่ไม่ถูกปัจจัยภายนอกครอบงำ ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือพระ อยู่ใกล้คนโลภ จิตใจก็ไม่โลภ เห็นคนทำชั่วก็ไม่คิดจะทำชั่ว เห็นคนดื่มเหล้า ติดยาเสพติดก็ไม่ยุ่งเกี่ยวข้องแวะ มีอิสระทางความคิด เชื่อมั่นในตนเอง รู้ถูกผิดดีชั่ว อะไรควรทำ ไม่ควรทำ
ส่วนคนประเภทที่ 4 คือ ผู้รู้แจ้งในความจริง จนเป็นอิสระจากการร้อยรัดทั้งปวง และ ความอิสระในตนเองนั้น ยังสามารถสร้างอิทธิพลจนคนที่อยู่ชิดใกล้ เริ่มเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดีขึ้น
ผมชอบคำเปรียบเทียบในเรื่องนี้กับคนที่ดื่มเหล้า คนประเภทที่ 1 คบกับสหายสุรา ใครยื่นอะไรมาให้ก็ดื่ม คนประเภทที่ 2 ไม่คบหาสมาคมกับขี้เมาเลย คนประเภทที่ 3 ถึงมีเพื่อนเป็นขี้เหล้า แต่เขาก็ไม่ดื่มเลยเพราะรู้โทษของสุรา ส่วนประเภทที่ 4 คือ คนที่นั่งอยู่กับขี้เมา บางทีก็ดื่มไปด้วย แต่ในที่สุดกลับทำให้ขี้เมาคนนั้น เลิกดื่มเหล้าได้อย่างเด็ดขาดในที่สุด
ผู้ที่จะมี ‘อิสระ’ อย่างแท้จริงได้ จึงต้องเป็น ‘ผู้ตื่น’ เป็น ‘ผู้รู้’ ผู้ถ่องแท้ในความจริง แม้อยู่ท่ามกลางโลก ก็ไม่ถูกกิเลสข้องแวะ อยู่ท่ามกลางกิเลส แต่ไม่ถูกล่อลวงโดยอวิชชาทั้งปวง
คนที่ไม่รู้ ไม่ผิด เพราะแค่ยังหลง เมื่อรู้ว่าหลง แล้วกลับตัวกลับใจ ย่อมไม่มีคำว่า “สายเกินไป”
รู้ตัว รู้ตนเมื่อใด ‘จิตปุถุชน’ ก็กลายเป็น ‘จิตโพธิสัตว์’
แล้วสิ่งนี้ใครก็ทำให้เราไม่ได้ นอกจากเราต้องลงมือทำมันด้วยตัวเราเอง
Create Date : 24 มกราคม 2567 |
Last Update : 24 มกราคม 2567 7:03:26 น. |
|
0 comments
|
Counter : 32 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|