-'@'-Journey Of Love-'@'- เมื่อหัวใจเดินทาง
<<
ธันวาคม 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
23 ธันวาคม 2553
 
 

-'@'-Journey of Love-'@'-...ตอน 5

อีกแค่หนึ่งสัปดาห์ก็จะหมดปีแย้ว...ยังมีสิ่งที่อยากจะทำตั้งเยอะ...แล้วจะทำได้ไหมเนี้ยะ...เฮ้อ...

**********

ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ทั้งสองสาวเดินเล่นอยู่ในสวนแห่งนี้ ก็ไม่ได้รอดพ้นสายตาคมที่นั่งเล่นอยู่ในสวนก่อน มองด้วยความขบขันกับการตั้งท่าถ่ายรูป และคำสั่งของสาวผมยาวที่บอกให้คนผมสั้นถ่ายตรงนั้นตรงนี้จนหน้าบูด แต่ซักพักก็หัวเราะร่วน นิโคลัสนั่งมองภาพตรงหน้าอยู่นาน ม่านสีขาวที่ซ้อนทับอยู่ค่อยๆ เริ่มชัดขึ้น ตอนแรกเขานึกว่าตาฝาดหรือเผลอหลับฝันกลางวันอยู่หรือเปล่า ภาพความทรงจำเก่าๆ ไหลย้อนเข้ามา ใครบางคนที่เค้านึกถึงตลอดเวลาแม้มันจะผ่านมานานแสนนาน แววตาและรอยยิ้มสดใสที่ซ้อนทับลงอย่างพอดิบพอดี หากแต่ต้องหยุดความคิดลงทันที เมื่อสาวหน้าหวานผมสั้นเรียกให้เพื่อนกลับที่พัก หลังจากที่ถ่ายรูปจนแสงแดดจะเริ่มหมด เขาจึงต้องรีบลุกเดินเข้าไปหาทันที ก่อนที่คนที่อยู่ตรงหน้าจะหายไป

“เฮ้ยปาย กลับเหอะ จะสองทุ่มครึ่งแล้ว ต้องไปซื้อเสบียงอีกนะเฟ้ย” ภัทราตะโกนเรียกพร้อมกวักมือให้เพื่อนสาวเดินมาหาที่ตัวเองยืนอยู่

“แป๊บดิ ถ่ายตรงนี้ให้ก่อนเร็วๆๆ นกมันยืนนิ่งแล้ว” ปวีร์รัตน์เรียกเพื่อนให้มาช่วยถ่ายรูปอีกรอบ

นิโคลัสตัดสินใจเดินเข้าไปช่วยสาวน้อยที่ทำหน้าเหมือนหมดอาลัยตายยาก ที่ต้องเดินตามถ่ายรูปให้เพื่อนหล่อนตลอด เสียงทุ้มนุ่มภาษาอังกฤษสำเนียงออสซี่ ดังขึ้นด้านหลังภัทรา ทำเอาหล่อนตกใจเกือบใช้แม่ไม้มวยไทยศอกกลับเตรียมป้องกันตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อหันกลับไปมองเต็มตา ปฏิกิริยาทางเคมีในร่างกายทำงานทันที จนหน้าเนียนใสขึ้นสีแดงระเรื่อ “หล่อกว่าคนที่บ้านอีก” เสียงพึมพำเหมือนเพ้อขึ้นมาเบาๆ

“Would you like me to help you take a photo?...ให้ผมช่วยถ่ายรูปคู่ให้พวกคุณดีไหมครับ” ชายหนุ่มเอ่ยแสดงความมีน้ำใจพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้สาวๆ หัวใจละลายได้ เพราะด้วยความสูงของชายหนุ่มที่สูงกว่า 185 เซนติเมตร ถึงแม้หล่อนจะสูงเลยมาตรฐานหญิงไทย แต่เมื่อยืนคู่กันแล้วก็เพียงแค่เลยไหล่หนามานิดเดียว จึงต้องเงยหน้าคุยแทน ยิ่งมายืนใกล้ๆ ทำให้สังเกตเห็นได้ถึงเค้าโครงหน้าเข้มดูไม่ออกว่าเป็นเชื้อชาติอะไร นัยน์ตาสีฟ้าคราม ขนตายาวเป็นแพหนา จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วและผมสีน้ำตาลเข้มรับกับสีตาทำให้ดูมีเสน่ห์ และริมฝีปากบางยักลึกชวนให้หลงใหล

“อะ...เอ่อ...” เล่นเอาภัทราพูดติดอ่าง ก่อนจะตั้งสติตอบกลับได้ทันควัน “ขอบคุณมากค่ะ นี่ค่ะกล้อง” หล่อนยิ้มหวานถึงหวานที่สุดในความคิด แล้วยื่นกล้องตัวเล็กให้ชายหนุ่มตรงหน้า

“แกคุยกะใครอ่ะ...เฟิร์น” ปวีร์รัตน์เดินเข้ามาถาม

“อ๋อ...เค้าจะช่วยถ่ายรูปคู่ให้พวกเราไง” ภัทราตอบ แล้วหันไปยิ้มหวานกับชายหนุ่มตรงหน้าต่อ

“งั้นเหรอ...ตั้งออโต้เองก็ได้ ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมาช่วยหรอก เดี๋ยวโดนชิ่งของหนีหรอก” ปวีร์รัตน์พูดเบาๆให้เพื่อนได้ยิน แต่สายตายังมองสบแววตาคมสีฟ้าครามของชายหนุ่มร่างสูงอย่างพิจารณา

“ไม่หรอกมั้ง หน้าตาท่าทางไม่ใช่พวกสิบแปดมงกุฎ” เพื่อนสาวรีบแย้งทันควัน

“พวกคุณจะถ่ายมุมไหนดีครับ เดี๋ยวผมช่วยดีกว่า พวกคุณจะได้มีรูปคู่ด้วย” ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นอย่างมีน้ำใจ

“นั่นดิปาย ถ่ายคู่เหอะ เฟิร์นอยากได้รูปคู่มั่งอ่ะ” ภัทรากระตุกแขนเสื้อเพื่อนสาว แล้วลากมาตรงมุมกอดอกไม้ที่มีนกตัวไม่ใหญ่ไม่เล็ก เดินจิกอาหารอยู่ใกล้ๆ อย่างไม่กลัวคน แล้วรีบจัดการโพสต์ท่าทันที

“OK. Say Cheese, One Two Three...ยิ้มนะครับ หนึ่ง สอง สาม”

“ขออีกรูปนะค่ะ เอาให้เห็นโอเปร่าด้วย”

“โอเคครับ” ช่างภาพจำเป็นจัดการยกกล้องถ่ายรูปถ่ายต่อให้อย่างเต็มใจอีกหลายรูป จนปวีร์รัตน์ต้องสะกิดเตือนให้เพื่อนสาวรู้สึก

“โอ๊ะ...ตายแล้ว ต้องขอโทษด้วยค่ะ ใช้แรงงานเพลินเลย ขอบคุณมากค่ะ” ภัทราเดินไปรับกล้องถ่ายรูปคืน รีบขอโทษขอโพย ก่อนจะกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ

“You're welcome...ไม่เป็นไรครับ นี่ครับ” นิโคลัสยิ้มบางๆ แล้วยื่นกล้องคืนให้ พลางเหลือบมองหน้าสาวผมยาวที่ยืนเยื้องหันหลังให้เขา ทำเป็นไม่สนใจมองเขาเลย จึงเอ่ยให้พอได้ยินถึงอีกคน “ผมสงสัยว่าเพื่อนของคุณคงจะไม่ค่อยพอใจผมเท่าไรนะครับ”

“ไม่ต้องไปสนใจหรอกค่ะ แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณมากนะค่ะ หวังว่าคงได้พบกันอีก ฉันชื่อเฟิร์น ส่วนนั่นก็ปายค่ะ”

“I see, Hope to see you again...ครับ หวังว่าคงได้เจอกันอีกครั้ง” นิโคลัสยิ้มรับ ขณะที่เพื่อนสาวตัวดีก็ส่งยิ้มหวานจ๋อยคืนให้เช่นกัน จนหล่อนรู้สึกหมั่นไส้เล็กๆ มองหน้าเพื่อนที่ยิ้มจนแก้มแทบปริ ดูท่าทางวันนี้คงจะมีคนกลับไปนอนฝันหวานละเมอเพ้อพกแน่เลย

“จะรีบไปไหน รอกันหน่อยก็ไม่ได้” ภัทราแห้วใส่ แล้วรีบก้าวยาวเดินตามหลังเพื่อน หลังจากที่พูดคุยกับชายหนุ่มได้แค่ไม่กี่ประโยค หันกลับมาเพื่อนหล่อนก็เดินไปนำไปทางออกแล้ว

“อ้าว ก็จะได้ไม่ต้องไปขัดความสุขของแกไง จีบกันสะดวกไม่ดีเหรอ บรรยากาศแสนโรแมนติก” ปวีร์รัตน์เอ่ยกระเซ้าแหย่ หมั่นไส้หน้าตาของเพื่อนที่ร่าเริงเกินเหตุ “เอาหัวเราะเข้าไป เดี๋ยวรอยเท้ากาขึ้นหรอก”

“ช่างฉัน” ภัทราตอกกลับยิ้มกว้างอย่างมีความสุข เดินมาจนถึงสถานีรถไฟเซอร์คูล่า คีย์ ที่อยู่ด้านหน้าถนนตัดเข้าโอเปร่าเฮ้าส์ เพื่อจะได้ขึ้นรถไฟรอบเมืองย้อนกลับที่พัก ที่อยู่ตรงสถานีเซ็นทรัล เพียงแค่สามสถานี นั่งยังไม่ทันคุ้มค่ารถก็ถึงแล้ว ทั้งคู่เดินลอดใต้ชานชลามาโผล่ด้านข้างที่พักใกล้กว่าเมื่อตอนแรกเยอะ แวะซื้อของกินเล็กๆ น้อยๆ ที่ร้านขายของชำที่อยู่ติดกัน

“แล้วจะกินอะไรดีเย็นนี้ ทำกินเอง หรือว่าจะซื้อแบบสำเร็จรูปกิน” ปวีร์รัตน์ถามพลางเดินดูชั้นวางของกินมากมาย ซึ่งมีสารพัดของนำเข้าจากต่างประเทศ รวมถึงเครื่องปรุงบางชนิดจากประเทศไทย

“ทำมักกะโรนีกินดีไหม ง่ายดี ทำได้หลายมื้อด้วย” ภัทราแนะนำขึ้นหลังจากเดินสำรวจราคาจนรอบ

“ก็ดี งั้นคงต้องซื้อซอสมะเขือเทศ กับออริกาโนไปด้วย” พูดพลางหยิบของลงตะกร้า

“ใส่ปลาทูน่ากระป๋องด้วยได้ป่ะ” เสียงใสเอ่ยถาม แต่ในมือมีอาหารกระป๋องเตรียมรอใส่อยู่แล้ว

“ถ้าอร่อยก็ซื้อไปเลย” ปวีร์รัตน์หันไปมองผ่านๆ แล้วเอื้อมไปหยิบสินค้าที่จำเป็นต่อ

จนได้ของที่ต้องการครบสำหรับ 2 มื้อ ทั้งคู่ก็หอบหิ้วกลับเข้าที่พัก เดินตรงดิ่งไปยังห้องครัวส่วนรวมทันที จัดการทำอาหารจนเสร็จก็นำจานไปล้าง แล้วกลับห้องพัก เตรียมไปอาบน้ำก่อนจะแยกย้ายกันนอนด้วยความอ่อนเพลีย กว่าจะได้หัวถึงหมอนก็ล่วงขึ้นวันใหม่แล้ว
ทั้งคู่พยายามลุกจากเตียงนอนนุ่มๆ ท่ามกลางอากาศเย็นสบายของอากาศยามเช้า มองนาฬิกาจากโทรศัพท์มือถือซึ่งตอนนี้เป็นเวลา 7 โมงเช้าแล้ว จึงรีบลุกจัดการเก็บที่นอน แล้วกระเด้งตัวไปอาบน้ำทันทีด้วยความรวดเร็ว จากนั้นจึงเข้าห้องครัวทำอาหารมื้อเช้า กว่าจะทานเสร็จก็เกือบจะ 9 โมงแล้ว จึงต้องรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปสถานีรถไฟ Central เพราะยังต้องนั่งรถต่อไปที่บลูเม้าท์เท่นอีก

หลังจากที่เช็คตารางเวลารถไฟ และหมายเลขชานชลาเป็นที่แน่นอนแล้ว ทั้งสองสาวก็เดินไปซื้อตั๋วที่ตู้ขายตั๋วอัตโนมัติ จากนั้นก็เดินไปตามป้ายหมายเลขชานชลาที่อยู่ไม่ไกลมากนัก ซึ่งทั้งคู่เริ่มคุ้นเคยกับเส้นทางในสถานีนี้แล้ว หลังจากเมื่อวานได้เดินสำรวจตอนก่อนจะกลับเข้าที่พัก

“นั่งฝั่งนี้เหอะ เพราะรถวิ่งมุ่งหน้าด้านนี้” เนื่องจากเป็นสถานีต้นทางจึงมีผู้มาใช้บริการยังไม่มากนัก ปวีร์รัตน์เลือกที่นั่งได้ก็จัดการผลักเบาะพิงไปอีกด้านหนึ่งของเก้าอี้ ซึ่งรถไฟในซิดนีย์จะทำเบาะพิงที่สามารถขยับหน้า-หลังได้ สะดวกต่อการนั่งแบบเป็นคู่หรือจะมาเป็นกลุ่มก็สามารถนั่งหันหน้าหากันได้ จากนั้นก็ขยับเข้าไปนั่งติดหน้าต่างเพื่อว่าหล่อนจะได้นอนพิงกำแพงได้เลย ระยะทางจากสถานี Central ถึง Katoomba ก็เกือบ 2 ชม. คงไม่คิดจะนั่งมองทางให้ตาแฉะหรอก อีกอย่างเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบ ตี 1 แล้ว เพราะระบบเวลาในร่างกายยังไม่เข้าที่

ขณะที่ทั้งคู่กำลังถกเถียงกันเรื่องการวางแผนโปรแกรมทัวร์ที่จะเดินทางในวันนี้ ก็รู้สึกว่ามีคนเข้ามายืนข้างที่นั่ง ปวีร์รัตน์จึงรีบคว้ากระเป๋าสะพายที่วางอยู่ฝั่งตรงข้ามมากอดไว้แทน เพื่อจะได้ให้ผู้เดินทางคนอื่นได้เข้ามานั่ง โดยไม่สนใจจะมองหน้าคนที่ยืนอยู่

“Good Morning...สวัสดีครับ” เสียงทุ้มเอ่ยดังขึ้น พร้อมรอยยิ้มอบอุ่นที่ส่งมา ทำให้ปวีร์รัตน์ต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง

**********




 

Create Date : 23 ธันวาคม 2553
0 comments
Last Update : 23 ธันวาคม 2553 10:03:33 น.
Counter : 827 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 

Poonchayapich-N
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Welcome to My Home...L'Amour De Ma Vie
[Add Poonchayapich-N's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com