สวัสดีครับเพื่อนๆชาวบลูแพลนเน็ต วันนี้ผมนายพีทจะพาเพื่อนๆไปชมการท่องเที่ยวไทย ฉบับนักศึกษา กันบ้างนะครับ โดยครั้งนี้ผมได้ซื้อโปรถูกๆจาก  AirAsia  ด้วยโปรซื้อที่พัก แถม ตั๋วบินฟรีมาแบบ 3 วัน 2 คืนซึ่งบอกก่อนว่าคุ้มสุดๆเพราะว่าผมซื้อด้วยราคา 2600 THB บินฟรี ซึ่งราคานี้แอร์เอเชีย (หางแดง)บ่องตงว่ามีแทบตลอดปี ไม่ว่าจะ Low Season หรือ High Season ก็จัดกันไปด้วยราคานักศึกษาได้ครับซึ่งบอกก่อนว่าถ้ามีโปรต้องรีบจองนะครับ เพราะว่าหางแดง ปล่อยที่นั่งฟรีค่อนข้างน้อยเอามากๆ และต้องตรวจทานดูให้ดีดีก่อนจะโอนเงินจ่ายค่าโรงแรมนะครับ ไม่งั้นจะได้ไฟท์ผิดพลาดแบบผม โดยขาไปผมออกเดินทาง 17.20 น แต่ผมได้ขากลับ 8.30น ซึ่งบอกก่อนว่าตอนแรกผมเลือกไฟท์ตอนเย็น พอจะขอเปลี่ยนไฟท์ซึ่งกรณีได้บินฟรีค่าเปลี่ยนไฟท์แพงแบบสุดๆ คือ3000THB ซึ่งแบบชั้นเอาเงินตรงนั้นนไปเที่ยวที่อื่นได้อีกที่เลยนะเธอ





และแล้ววันเดินทางก็มาถึงเด็กตัวน้อยๆ (ตรงไหน) ก็มาถึงท่าอากาศยานนานาชาติ ดอนเมือง (มีแต่Low Cost Airline นะจ๊ะ) เวลาถึงก็ประมาณสามโมงกว่าๆผมเลยเก็บภาพบรรยากาศสนามบินมาให้เพื่อนๆได้ชมกันเลยแล้วกันครับ





สำหรับเดินทางภายในประเทศหรือ เราเข้าช่องที่3 ซึ่งเป็นช่องของสายการบินภายในประเทศครับเพราะว่าช่อง 1,2 เป็นช่องสำหรับการบินระหว่างประเทศนั่งเองครับ




แต่พิเศษกว่าสำหรับคนที่ไม่ได้แบกสัมภาระเยอะมากแบบผม (แบกไม่เกิน 7กก หรือ ไม่มีอะไรโหลดใต้เครื่อง) ก็แนะนำว่าให้แช็คอินแบบออนไลน์ หรือ เครื่องเช็คอินอัตโนมัติเพื่อออกตั๋วแบบรวดเร็วดีกว่าครับเพราะว่าส่วนใหญ่ช่องทางด้านบน จะเห็นได้ว่าชาวต่างชาติใช้บริการค่อนข้างมากซึ่งสำหรับเราแล้ว กดปุ๊บได้บัติออกมาป๊บเลยจะสะดวกกับเวลา และ ไม่ต้องเบื่อรออะไรมากมายด้วย





พอเข้ามาด้านในก็จะเจอคุณกินรี ยืนไหว้อยู่ซึ่งตรงนี้บ่องตงว่าแสดงถึงความงดงามด้านวิจิตศิลป์ของคนไทยได้อย่างดีเพราะโดยส่วนตัวชอบมากๆครับ พอถัดไปเรื่อยๆก็จะเจอร้านค้าเรียงกันซึ่งก็จะเป็นขนมบ้าง ของกระจุกกระจิกบ้าง แต่โดยส่วนตัวแล้วเข้าไปในเกท ก็จะมีของให้ผมซื้อเยอะแยะอยู่แล้วผมเลยเดินขึ้นไปชั้นสองของสนามบินครับ







ไหนไหนก็ไหนไหน พาไปชมชั้นสองด้วยเลยครับซึ่งบอกก่อนว่าชั้นสองจะเป็นร้านอาหารซึ่งราคาก็ OMG !! ข้าวราคา150 +++ แล้วแต่ร้านซึ่งส่วนตัวผมขอเก็บแต่ภาพมาฝากเพื่อนๆ บลูแพลนเน็ตละกันครับ นอกจากร้านอาหารแล้วก็จะเป็นจุดชมเครื่องบินที่ทางสนามบินได้จัดให้สำหรับนักท่องเที่ยวที่รอเวลาก่อนเข้าเกทครับ (อารมณ์ว่าว่าง และ ไม่มีอะไรทำ) ซึ่งถ้าแบทหมดสามารถเอามาชาร์ตแบทได้ณ จุดจุดนี้


















พอเข้ามาในเกทนะครับบอกก่อนว่าแนะนำให้เช็ค เกท หรือ ประตูขึ้นเครื่องก่อนจะเดินร่อนดูของนะครับไม่งั้นอาจหลงแบบผม ส่วนด้านในเกทนั้นก็จะมีขายพวกเครื่องสำอาง ขายประเป๋า ปล.ไม่มีอะไรลดราคานะครับเพราะว่าที่นี่ไม่ใช่ Duty Free ราคาเท่าข้างนอกเลยเพียงแต่บางร้านอาจจัดโปรโมชั่นซื้อ1 get 1 ประมานนั้น ส่วนเครื่องสำอางบ่องตง ไม่มีอะไรลดเลยเซงมากมาก Mc Donald  ,  BurgerKing , Subway , KFC แพงกว่าข้างนอกสามเท่าอย่างที่ผมโดนมาคือ ซามูไรเบอร์เกอร์หมู 85THB เอิ่มนะจากที่ชั้นกินก่อนเข้ามหาลัยก้อนละ 29THB ดู๊ดู อัพราคากันได้ T^T












ต่อมาเราจะรีวิวบนเครื่องบินนะครับถือว่า รีวิว แอร์เอเชียไปด้วยเลยสำหรับใครที่ไม่เคยขึ้น หรือ ใครที่ขึ้นแล้วแต่ไม่รู้จะเลือกอะไรระหว่าง Hot Seat ที่นั่งร้อน กับ Normal Seat ที่นั่งธรรมดา กับเครื่องเที่ยวบินไปกระบี่ FD3221



ก่อนอื่นเรามาดูฮอตซีทกันก่อนนะครับลักษณะคือเป็นที่นั่ง ที่มีผ้าสีแดงมาคลุม ร้อนละหรอ ? ซึ่งจะบอกว่าเราต้องเลือกที่นั่งแบบดีจริงๆครับถึงได้ฮอตซีท ที่มีขนาดใหญ่ และ นั่งแล้วสบายตัว ซึ่งฮอทซีทจะมีทั้งหมด 8 แถวได้แก่ 1-4 และ 12-15 ซึ่งจะได้สิทธิพิเศษที่เห็นความแตกต่างคือ

1.แพงกว่าชาวบ้านในราคา300THB
2.ขึ่นเครื่องก่อนชาวบ้าน
3.มีเบาะแดงคลุมมาคลุม

**ที่นั่งที่เหมาะสมที่สุดคือที่นั่งแถว 1 เท่านั้น เน้นว่าแถว1 เท่านั้นครับเพราะแถวอื่นๆขนาดมันเท่ากับเก้าอี้ธรรมดาเลยจริงๆ





ส่วนที่นั่งธรรมดานั้งก็ค่อนข้างแคบแต่พอนั่งได้ครับ(สำหรับระยะทางใกล้ๆ) คือพอดีตัวจริงๆอะนะ ขึ้นเครื่องทีหลังแต่เสียเพียง 50THB ครับ เสียตรงที่ว่าขึ้นเครื่องหลังจากที่เก้าอี้ร้อนได้ขึ้นแล้วก็เท่านั้น แต่โดยรวมความสามารถเหมือนกับเก้าอี้ร้อนทั่วๆไปครับ แถมภาพถ่ายจากด้านหลังเครื่องบินครับ









เอาหล่ะถึงเวลาเครื่อง Take Off แล้ว




เรามาดูห้องน้ำบนเครื่องกันดีกว่าครับ ซึ่งค่อนข้างขนาดพอดีกับเครื่อง (เล็กแต่สะอาด รวมถึงอุปกรณ์สำหรับทำความสะอาดพร้อม ) ซึ่งตรงนี้มีที่เปลี่ยนผ้าอ้อมสำหรับคุณแม่ที่อุ้มเด็กน้อยมาด้วยครับ






ภาพบรรยากาศบนฟากฟ้า เก็บเอามาฝากครับถ่ายด้วยกล้อง SONY NEX3 ครับผม





และแล้วเราก็มาถึงสนามบินกระบี่โดยสวัสดิภาพครับ ค่อนข้างมืดครื้ม ครับรวมถึงวันที่ผมไปมีม็อบสวนยางด้วย รถเลยค่อนข้างติดกันเลยทีเดียวลืมบอกว่าค่าเดินทางจากกระบี่เข้าถึงอ่าวนางราคา 600THB โดยแท็กซี่ แต่ว่าพีทไม่ไปแท็กซี่ครับ นั่งรสบัสรับส่งไปที่นั่งละ 150THB ซึ่งบ่องตงว่ามันก็แพงอยู่ดีปะแก เราคิดถึงแท็กซี่ที่มีมิเตอร์ในกรุงเทพขึ้นมาทันทีเลยหล่ะ




ก่อนเราจะเข้าไปที่พัก ผมก็ต้องแว็ปเช่ามอเตอร์ไซค์แว๊นซะหน่อย ราคาเต็ม 250THB แต่ผมก็ต่อรองจนเหลือ 150THB ครับอาจเป็นช่วงโลวซีซั่นเลยได้ราคานี้แต่ช่วงไฮซีซั่นบอกเลยว่าแพงเกือบทุกอย่างครับผม ซึ่งมอไซที่นี่มีหลายแบบให้เลือกครับ สามารถเลือกได้ตามใจชอบเลยครับ




และแล้วเราก็มาถึงที่พักครับผมโดยครั้งนี้ผมพักที่ Royal Nakara Resort อยู่ที่ซอยคลองแห้งครับโดยบอกก่อนว่าผมซื้อห้อง Superier ไปแต่ว่าเค้าบอกว่าเป็นบริการพิเศษช่วงโลวซีซั่นเลยอัพให้เป็น Deluxe เพราะลูกค้าไม่เยอะครับผม ซึ่งผมจะพาไปดูบรรยากาศรอบๆโรงแรมกันก่อนนะครับ
ซึ่งบอกก่อนว่าผมจองไปสองคืนราคารวมอยู่ที่ 2600 THB แค่นั้นครับ









ก่อนอื่นจะพาไปดูห้องของผมที่ได้เป็น Deluxe ก่อนนะครับโดยรวมคืนละ 1300 แต่ห้องขนาดใหญ่และมีคุณภาพครับ ตกแต่งแบบบูธิคสวยงาม  พร้อมวิวทะเลที่อากาศค่อนข้างดีมากๆครับ โดยส่วมตัวผมคิดว่าคุ้มค่ากับการมาพักเพราะราคาไม่แพงมากแถมไม่ไกลจากชายหาดมากนักครับ













ต่อมาเราก็มาดูที่สแน็คบาร์กันบ้างนะครับ ซึ่งบอกก่อนว่าสิ่งที่ฟรีมีแค่น้ำเปล่า(แบบแก้ว)และ กาแฟในถาดเท่านั้นที่เหลือเสียเงินนะจ๊ะ โดยรวมแล้วถือว่าโอใช้ได้รวมถึงถ้าใครมาช่วงโลวซีซั่นแบบผมเพื่อนๆก็อาจได้ห้องพัก แบบพรีเมี่ยมที่มีห้องครัวมาให้พร้อมด้วยครับ










หลังจากนั้นผมก็โทรจองพีพีทัวร์ กับ //www.krabiontours.com ราคา 1200THB ซึ่งถูกกว่าทัวร์ที่อื่นๆครับ ณ ช่วงเวลานั้นเพราะว่าทัวร์อื่นๆคนไทยยังคิด 1500THB เลยแงแง





รายละเอียดโปรแกรมทัวร์ : ทัวร์หมู่เกาะพีพี - อ่าวมาหยา



✔ รถรับ-ส่ง ที่พัก-ท่าเรือ     ✔ ค่าบริการเรือเร็วตามรายการ     ✔ อาหารกลางวันแบบบุฟเฟ่ต์
✔ เสื้อชูชีพ, หน้ากากดำน้ำ    ✔ น้ำดื่ม, น้ำแข็ง                             ✔ ผลไม้, เค้กกระบี่
✔ มัคคุเทศก์มืออาชีพ           ✔ ค่าธรรมเนียมเข้าชมอุทยาน ฯ     ✔ ประกันภัยนักท่องเที่ยว

เช้าวันรุ่งขึ้นผมก็ลงมาทานอาหารเข้าก่อนเลย จะพาไปดู บรรยากาศในห้องอาหารนะครับ



ส่วนอาหารนั้นต้องสั่งเป็นออเดอร์ครั้งสำหรับช่วงโลว ส่วนช่วงไฮนั้นจะเป็นอาหารบุฟเฟ่ต์ครับ
สำหรับวันนี้ผมเลือกเป็นเซ็ทอาหารแบบฝรั่ง พร้อมซีเรียลครับเบาเบาก่อนออกทะเล






เอาละครับเริ่มวันใหม่ เวลา8.30 ทางรถจากทัวร์ก็มาถึงที่พักเพื่อรับ ผู้โดยสารกันเลยทีเดียวครับ



สำหรับเพื่อนๆคนไหนที่ต้องการเข้าชมอุทยานที่อ่าวนพรัตน์ มีค่าบริการตามป้ายที่ผมนั่งแหม่ะได้เลยครับ



เอ๊ะ ตุ๊ดสองตัวนี้ทำหน้าเอ๋ออะไรกันนะ ?



ลำไหนน้าที่เราจะนั่งไปกันอิอิ



และแล้วเรือก็ออกจากชายฝั่งหุหุ



ที่แรกที่เรามานั้นก็คือ เกาะไผ่ครับ ซึ่งเป็น  เกาะงามอันไกลโพ้นของทะเลกระบี่ อยู่ห่างฝั่งกระบี่ประมาณ 40 กิโลเมตร ไปตามเส้นทางไปเกาะพีพีอยู่ก่อนถึงเกาะพีพีประมาณ 3 กิโลเมตร เกาะไผ่เป็นเขตอุทยาแห่งชาติ อยู่ในพื้นที่การดูแลของอุทยานแห่งชาตินพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี  ลักษณะเป็นเกาะขนาดเล็กตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางทะเล ด้านหน้าเกาะมีชายหาดยาวตลอดแนวตั้งแต่หัวเกาะยังท้ายเกาะ  น้ำทะเลที่นี่สีเขียวสวย หาดทรายขาวเนียนนุ่นสะอาดตา  โลกใต้น้ำรอบๆ เกาะไผ่มีความสวยงามเหมาะกับการดำน้ำชมปะการัง  มีปะการังหลากหลายกระจายอยู่เป็นบริเวณกว้าง




อย่างทีว่ากันว่าเกานี้เป็นเกาะที่มีอุทยานเพราะฉะนั้นจะมีคนมาตั้งแคมป์กัที่เกาะนี้ด้วยครับ ปล.สำหรับคนที่ชอบเอ๊าดอร์
อย่าพลาดกับการตั้งแคมป์ปิ้ง กันกลางป่านะครับ





และแล้วอีตุ๊ดสองตัวนี้ก็เล่นท่ายากก่อนลาเกาะไม้ไผ่แห้งนี้ ปล.กว่าจะได้ฉากนี้หลายเทค นะเธ๊อ



ต่อมาก็จะเป็นถ้ำไวกิ้งครับ ซึ่งถ้ำไวกิ้งเป็น อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะพีพีเล ซึ่งเมื่อปี พ.ศ.2515 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จประพาสถ้ำแห่งนี้ และทรงพระราชทานนามใหม่ว่า ถ้ำพญานาค ตามรูปร่างหินก้อนหนึ่งที่คล้ายเศียรพญานาค อันเป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้านที่เก็บรังนกนางแอ่นบนเกาะแห่งนี้ ภายในถ้ำทางทิศตะวันออกและทิศใต้พบภาพเขียนสีสมัยประวัติศาสตร์ เป็นรูปช้าง และรูปเรือชนิดต่างๆ ปัจจุบันนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะชมได้บริเวณหน้าปากถ้ำ เนื่องจากผู้ที่ดูแลถ้ำกลัวว่าจะเป็นการรบกวนนกนางแอ่นในการทำรัง จึงเปิดให้ชมในบางโอกาสเท่านั้น







ต่อไปก็จะเป็นอ่าวปิเละ (อ่านให้ถูกนะครับอย่าเติม ไม้ตรี ) เป็น Lagoon ที่สวยงามมากๆที่หนึ่งเลยก็ว่าได้ และ เมื่อหลายพันหลายหมื่นปีมาแล้ว ผนังถ้ำใต้ทะเลของเกาะแห่งนี้ทนรับน้ำหนักหินปูนหลายหมื่นตันที่อยู่ด้านบนไม่ไหว ถึงแก่กาลพังทลายยุบตัวลงมาพร้อมกัน เกิดเป็นแอ่งกว้างเกือบเป็นรูปทรงกลม การยุบตัวในลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นทั่วประเทศไทย บางบริเวณที่อยู่บนบก แอ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นกลายเป็นบึง เช่น ทะเลบัน (สตูล) บึงแฝด (อุ้มผาง)ฯลฯ ขณะที่แอ่งกลางเกาะในทะเลกลาย เป็น Lagoon หรือ “ทะเลใน” มีถ้ำทะเลเชื่อมต่อกับด้านนอก น้ำทะเลไหลผ่านเข้าถึง ภายในแอ่งเหล่านี้เป็นเสมือนอีกโลกหนึ่งที่โอบล้อมไว้ด้วยผาหินปูน รวมถึง มีหน้าผาสูงชันปิดล้อมเกือบรอบด้าน น้ำทะเลลงต่ำและเรียบกริบ ปราศจากคลื่นลม ดูแล้วช่างเหมือนสระว่ายน้ำที่โรงแรม น้ำทะเลใสสะอาด พื้นน้ำนิ่ง จนมองเห็นพันเห็นหมื่นปะการังอยู่ด้านล่าง ปะการังหลากหลายรูปทรง ทั้งปะการังแผ่น ปะการังเขากวาง ปะการังพุ่ม สีเขียว สีเทา สีฟ้า มีให้เลือกเกือบทุกสี กลายเป็นที่อยู่อาศัยและแหล่งหากินของปลาไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยชนิด








สถานที่เที่ยวต่อมาคือ อ่าวมาหยา เป็นการสร้างสรรค์ของธรรมชาติที่เกิดจากหน้าผาที่โอบล้อมพังทลายกลายเป็นช่องเปิดขนาดใหญ่เชื่อมต่อกับทะเลภายนอก น้ำทะเลไหลเวียนเข้าออกได้ดี เกาะหินปูนแห่งนี้ยังตั้งอยู่ห่างชายฝั่งหลายสิบกิโลเมตร  น้ำทะเลใสช่วยให้แสงส่องผ่านในระดับเหมาะสม ตัวอ่อนของปะการังที่ล่องลอยอยู่ทั่วบริเวณพากันลงเกาะบนหินที่ทับถมอยู่กลางอ่าว  เวลาผ่านไปหลายพันปี แนวปะการังขยายขนาดปกคลุมทั่วอ่าวมาหยา ในเวลาเดียวกับที่ทะเลมีการเปลี่ยนแปลง กระบวนการของธรรมชาติยังเกิดขึ้นบนชายฝั่ง ตะกอนทรายตกทับถมรวมกันกลายเป็นหาด ผลของพืชชายทะเลที่ล่องลอยมากับน้ำบ้าง มากับสัตว์ต่างๆ บ้าง เจริญงอกงามกลายเป็นป่าชายหาด กินพื้นที่ตอนในของอ่าวประมาณ ๕๐ ไร่



อ่าวมาหยา มีหาดทรายที่ขาวละเอียด น้ำทะเลที่นี่ใสมาก เหมาะสำหรับพักผ่อน เล่นน้ำ  นับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลท์อีกจุดหนึ่งของทะเลกระบี่ อยู่ห่างจากเกาะพีพีดอน 2 กิโลเมตร อยู่ห่างฝั่งกระบี่ประมาณ 45 กิโลเมตร อ่าวมาหยา เป็นอ่าวที่ซ่อนอยู่ภายใต้แนวกำบังของกำแพงผา ด้วยเพราะเหตุที่เมื่อครั้งที่เกิดคลื่นยักษ์สึนามิเกาะพีพีเลจึงรอดพ้นไม่ถูกทำลายและยังคงสวยงาม เป็นอ่าวที่ถ่ายหนังเรื่อง The Bleach และเรื่องเจมบอน 007 ด้วยนะครับ



ต่อมาจะพาไปดูJungle ด้านหลังของอ่าวมาหยาครับซึ่งจะเป็นทางเดินไปชมวิวด้านหลัง
ซึ่งเป็นอ่าวค่อนข้างสวยมากๆเลยครับ คนที่มาอ่าวมาหยา แนะนำเดินมาทางป่าด้านหลังด้วยนะครับ











โอเคครับต่อมาเราไปกับต่อที่เกาะพีพี กันครับ ซึ่งคนก็ค่อนข้างเยอะกันเลยทีเดียว





ซึ่งวันนี้เราก็มาทานอาหารกันที่นี่ครับโดยจะเป็นอาหารแบบบุฟเฟ่ต์
ซึ่งจะมีไก่ กับ ซีฟู๊ดเท่านั้น เพราะว่าส่วนนึงคนที่นี่นับถืออิสลาม
และทัวร์ที่นี่ส่นใหญ่เป็นคนจีน ไม่ค่อยกินเนื้อวัวครับผม







และที่นี่ก็มีมินิมาร์ทบริการซึ่งราคาไม่ได้แพงจนเกินไปเท่าเกาะเสม็ด หรือ ที่ภูเก็ตครับ
รวมถึงนักท่องเที่ยวค่อนข้างชุกชุมเยอะ มีร้านอาหารหลายแห่งกันเลยทีเดียวครับ









ส่วนผมเองของเปิดค็อกเทลเบาเบาที่มินิบาร์ละกันครับ





ค็อกเทลวันนี้ผมเลือก Sex on the Beach ครับผม



ต่อมาผมก็จะพาไปดำน้ำกันครับผม โดยผมดำแบบสน็อคเคิ่ลครับ
ไม่ได้ดำแบบสคูบาร์นะฮาฟ ซึ่งบอกก่อนจากใจว่าดำน้ำครั้งนี้เราดำที่
อ่าวโล๊ะซามะกันครับ



อ่าวโละซามะ อีกมุมหนึ่งของทะเลอันดามันซึ่งเงียบสงบ กลางท้องน้ำ ท้องฟ้า และภูเขาหินที่ตระหง่านเหนือเวิ้งทะเล บริเวณชายหาดเล็กๆทางด้านขวาทอดตัวอยู่เคียงคู่เกลียวคลื่นที่เคลื่อนตัวตามลมพลิ้วไหว โดยมีหมู่แมกไม้พุ่มและไม้เลื้อยสีเขียวสดโลมเลียเข้ามาเป็นส่วนประกอบ ถัดต่อไปในบางส่วน คลื่นทะเลกำลังพัดเข้าปะทะ หน้าผาหินที่ประดับด้วยเรียวหินย้อยที่งามราวกับถูกออกแบบบรรจง แตกตัวกลายเป็นฟองสีขาวสาดกระเซ็นเห็นเป็นภาพที่เหนือกว่างานจิตรกรรมของจิตรกรใดๆ



และเราก็กระโดดลงไปกานเล๊ย







ต่อมาเรากลับมามาที่อ่าวนพรัตน์ยามเย็นกันบ้างนะฮาฟ ที่นี่เมฆค่อนข้างมืด
เลยไม่ค่อยเห็นพระอาทิตย์เท่าไหร่แล้วเสียดายมากๆครับ





แล้วก็ก็แว็ปร้านอาหารวังทรายกันครับ
เพราะว่าร้านนี้เค้าบอกว่ามีชื่อเสียงที่สุดที่อ่าวนาง
และอาหารค่อนข้างอร่อยด้วยครับ







โดยมื้อเย็นนี้ผมก็สั่งเป็นปลาเก๋าตัวนึงซึ่งผมทำอาหารสองอย่าง
ได้แก่นำไปทอดน้ำพริก แล้วก็ทำเป็นแกงส้มครับ บอกก่อนว่า
ปลาเก๋าเนื้อแน่นมาก และนุ่มมากๆครับผม





และสุดท้ายของมื้อนี้ก็เป็น หอยสังฆ์ลวกในนามว่า "หอยชักตีน" ครับ
บอกได้เลยว่านุ่มลิ้น กรุบกรอบและอร่อยมากๆครับ เพราะว่า
น้ำจิ้มซีฟู๊ดที่นี่ กลมกล่อมและแซบกำลังดีครับผม



และสุดท้ายผมขอนำรูปขากลับมาให้เพื่อนๆได้ชมกับพระอาทิตย์
กับแสงแดดในยามเช้าครับ (แอบร้อนนะครับบนฟ้าเนี่ย)









 โดยสรุปแล้วทริปนี้ผมไปกันสองคนรวมค่าที่พัก + เครื่องบิน + ค่าทัวร์พีพี 5000 THB ซึ่งหารกันสองคนก็ตกคนละประมาณ 2500THB ซึ่งคุ้มมากๆครับซึ่งบอกก่อนว่าไม่รวมค่าเบ็ดเตล็ดและค่ากินอื่นๆนะครับ ซึ่งวันนี้ทริปกระบี่ของผมก็จบแต่เพียงเท่านี้ครับ หากเพื่อนๆชอบกันก็อย่าลืมติดตามผลงานของผมกันต่อต่อไปนะครับสำหรับวันนี้ สวัสดีครับ