|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
แนวคิดในการก่อความไม่สงบ เรื่องที่คนไทยทุกคนควรรู้
....... [บ่อนทำลายชาติ] แนวคิดในการก่อความไม่สงบ เรื่องที่คนไทยทุกคนควรรู้ ..... รูปแบบปฎิบัติการสมัยใหม่ของพวกบ่อนทำลายชาตินั้นต่างก้อมีแนวคิดจากสมัยก่อนที่ได้รับการปรับปรุงมาให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป .........
ประชาชนที่ล่อแหลม (Vulnerable Population): สำหรับประชาชนที่ล่อแหลมนั้น รส.100-20 พ.ศ.2540 ได้ให้ความหมายไว้ว่า เป็นประชาชนที่ไม่พอใจต่อสถานภาพทาง สังคม เศรษฐกิจ และการเมืองที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่กำลังพัฒนา เพราะความแตกต่างระหว่างชนชั้นมียังมีอยู่มาก และการดูแลที่ไม่ทั่วถึงของรัฐบาล เพราะรัฐบาลของประเทศพัฒนามุ่งเน้นไปในเรื่องของการพัฒนาประเทศ และด้วยข้อจำกัดนานาประการที่ประเทศกำลังพัฒนานั้น ๆ ส่งผลให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจ กระจายอย่างไม่ทั่งถึง นอกจากนี้ยังมีเรื่องของกระแสการไหลบ่าของวัฒนธรรมที่เป็นสากล หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นกระแสของโลกาภิวัฒน์ (Globalization) ส่งผลให้รัฐบาลของประเทศนั้น ดำเนินโยบายที่อาจจะส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของกลุ่มชน หรือ เผ่าพันธุ์ที่เรียกได้ว่า เป็นชนกลุ่มน้อย หรือ Minority ซึ่งประชาชนที่ล่อแหลมนี้เองที่เป็นเป้าหมายของขบวนการก่อความไม่สงบมีความต้องการที่จะแย่งชิงให้มาเป็นพวกตน เพื่อจะได้ให้การสนับสนุนการก่อความไม่สงบในพื้นที่ที่ต้องการ
การนำและชี้นำ (Direction and Leadership): สำหรับประชาชนที่ล่อแหลมนั้น โดยธรรมชาติแล้วจะไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ เพื่อก่อความไม่สงบ ถึงแม้ประชาชนที่ล่อแหลมบางกลุ่มอาจจะมีระดับของความไม่พอใจที่สูง แต่กระนั้นประชาชนที่ล่อแหลมอาจมีการรวมตัวกันขึ้นถ้ามีการดำเนินการที่เรียกว่า การนำและชี้นำ โดยขบวนการก่อความไม่สงบ อย่างไรก็ดีการก่อความไม่สงบที่เกิดขึ้นโดยประชาชนที่ล่อแหลมส่วนใหญ่แล้วยังมีระดับความคิดที่ไปไม่ถึงการก่อความไม่สงบเพื่อล้มล้างอำนาจรัฐบาล สำหรับการดำเนินการนำและชี้นำที่กระทำนั้น โดยส่วนใหญ่มีความไม่พอใจในระดับที่สูงจะมีพื้นฐานมาจากการที่ประชาชนล่อแหลมรู้สึกว่าตัวเองถูกเบียดบังผลประโยชน์ (Relative Deprivation) เพราะผลประโยชน์ที่ถูกเบียดบังนั้นสามารถใช้เป็นเรื่องที่ชี้นำทางความคิดได้ และ เรื่องของการถูกเบียดเบียนผลประโยชน์ เป็นเรื่องที่ถูกนำมาใช้เป็นพื้นฐานสำคัญของการปฏิวัติทางการเมืองตามแนวทางของ คาร์ล มาร์ค (Karl Marx) เฟรดริช เองเกลส์ (Friedrich Engels) และต่อมา วลาดิเมียร์ เลนิน (Vladimir Lenin) และ เหมาเซตุง (Mao Tsa-Tung) นำมาประยุกต์ ใช้ในการชี้นำเพื่อให้ประชาชนเข้าร่วมสู้เพื่อล้มอำนาจการปกครองของรัฐบาล
รัฐบาลขาดการควบคุม (Lack of Government Control): ประเทศใดที่รัฐบาลขาดการควบคุมดูแลปล่อยปละละเลย หรือ ดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดนั้น ขบวนการก่อความไม่สงบอาจจะฉวยโอกาสเข้าทำการเคลื่อนไหว โดยเป็นการนำหรือชี้นำเพื่อสนับสนุนการก่อความไม่สงบ เพราะรัฐบาลดูแลได้ไม่ทั่วถึง และถ้ารัฐบาลสามารถควบคุมดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ขบวนการก่อความไม่สงบก็จะยากที่จะเคลื่อนไหวใด ๆ ในทำนองกลับกัน ถ้ารัฐบาลมีการควบคุมอย่างเข้มงวด และดำเนินนโยบายที่เหมาะสมแล้ว การดำเนินการต่าง ๆ ของขบวนการก่อการร้ายจะกระทำได้ยาก นอกเหนือจากปัจจัยที่เอื้ออำนวยต่อการเกิดการก่อความไม่สงบเป็นสิ่งที่ต้องทำการศึกษาแล้วนั้น รูปแบบของการก่อความไม่สงบก็เป็นสิ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กันรูปแบบของการก่อความไม่สงบ ทั้ง 4 รูปแบบดังนี้
1. การก่อความไม่สงบโดยการบ่อนทำลาย (Subversion Insurgency): ลักษณะของการก่อความไม่สงบประเภทนี้ฝ่ายก่อความไม่สงบจะทำการแทรกซึมเข้าไปฝังตัวในโครงสร้างทางการเมืองของประเทศ องค์กรทางสังคมต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชน เพื่อหาทางการควบคุมโครงสร้างขององค์กรต่าง ๆ เหล่านั้น และใช้การโฆษณาชวนเชื่อทำการยุยงให้ องค์กรต่าง ๆ เกิดความขัดแย้ง และในบางองค์กรอาจก่อความไม่สงบขึ้น รวมถึงการชักจูงให้บุคคลระดับสูงขององค์กรเหล่านั้นให้มาเป็นพวก และจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อขยายแนวร่วมให้มากขึ้น เมื่อใดก็ตามที่ฝ่ายก่อความสงบที่ฐานการสนับสนุนทางการเมืองที่มั่นคงแล้ว จะเริ่มดำเนินการเรียกร้องต่อรัฐบาลในลักษณะที่ทางฝ่ายรัฐบาลไม่สามารถตอบสนองได้ จึงส่งผลให้การดำเนินการต่าง ๆ ของรัฐบาลมีความวุ่นวาย ไม่สามารถดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ การก่อความไม่สงบในรูปแบบนี้มักจะหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงโดยเปิดเผย ส่วนใหญ่แล้วสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการก่อความไม่สงบในลักษณะนี้ได้แก่ สภาพแวดล้อมที่มีเสรีในการดำเนินการทางการเมือง การก่อความไม่สงบโดยการบ่อนทำลายสามารถยกระดับเป็นการก่อความไม่สงบโดยใช้แกนนำปฏิวัติ (Critical-Cell Insurgency) ได้อย่างรวดเร็วเมื่อสถานการณ์เอื้ออำนวย ดังตัวอย่างของการขึ้นสู่อำนาจของฮิตเลอร์ และการเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์ในยุโรป การป้องกันและปราบปรามการก่อความไม่สงบลักษณะนี้เป็นหน้าที่หลักของหน่วยข่าวกรอง และตำรวจ ส่วนกำลังทหารจะมีบทบาทในการให้การสนับสนุนเท่านั้น
2. การก่อความไม่สงบโดยใช้แกนนำปฏิวัติ (Critical-Cell Insurgency): การก่อความไม่สงบรูปแบบนี้ฝ่ายก่อความไม่สงบจะแทรกซึมไปในสถาบันต่าง ๆ ของรัฐบาลเพื่อทำลายโครงสร้างการบริหารภายในระบบ ทั้งในทางลับและเปิดเผย เพื่อสร้างเงื่อนไขการปฏิวัติให้เกิดขึ้น โดยดำเนินการบ่อนทำลายในทางทั้งในทางลับและเปิดเผย และใช้ความรุนแรงดำเนินการในทางลับ และเมื่อสถานการณ์เอื้ออำนวย (รัฐบาลอ่อนแอและฝ่ายก่อความไม่สงบมีความเข้มแข็ง) ฝ่ายก่อความไม่สงบจะเข้าทำการยึดอำนาจโดยกำลังติดอาวุธ นอกจากนี้การก่อความไม่สงบลักษณะนี้มีการดำเนินงานออกได้ 2 ลักษณะคือ
2.1 การก่อความไม่สงบโดยใช้กลุ่มก่อความไม่สงบเล็ก ๆ (cell) ที่ผ่านการฝึกอบรมเป็นอย่างดีเข้าไปในกลุ่มประชาชนที่ล่อแหลม เพื่อทำการปลุกระดมประชาชนให้ออกมาเคลื่อนไหวต่อสู้กับรัฐบาล และเมื่อสถานการณ์เอื้ออำนวยกลุ่มก่อความไม่สงบเล็ก ๆ ดังกล่าวจะกลายเป็นแกนนำในการปฏิวัติยึดอำนาจรัฐบาล และเมื่อยึดอำนาจได้ ฝ่ายก่อความไม่สงบจะออกมาชี้นำในการสถาปนาการปกครองใหม่ การปฏิวัติลักษณะนี้มักจะนิยมปฏิบัติการในเมือง ดังตัวอย่างการปฏิวัติในรัสเซีย
2.2 การก่อความไม่สงบโดยใช้ยุทธศาสตร์ของโฟโก้ (Foco) หรือ คิวบา โดยการส่งกำลังติดอาวุธขนาดเล็กเข้าไปเคลื่อนไหวในพื้นที่ที่ประชาชนมีความไม่พอใจรัฐบาล เพื่อเป็นแกนนำในการต่อต้านจัดตั้งเป็นกลุ่มกองโจรขึ้น และเมื่อกองโจรที่จัดตั้งขึ้นมีความเข้มแข็งก็จะเข้าทำการยึดอำนาจรัฐบาลด้วยการปฏิวัติ ความเข้มแข็งของกลุ่มก่อความไม่สงบเล็ก ๆ ถือเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินการตามยุทธศาสตร์โฟโก การก่อความไม่สงบรูปแบบนี้จะประสบความสำเร็จเมื่อรัฐบาลมีความอ่อนแอ ส่วนหน้าที่หลักในการป้องกันและปราบปรามการก่อความไม่สงบจะเป็นหน้าที่ของ ตำรวจ และหน่วยข่าวกรอง ส่วนทหารจะเป็นหน่วยงานที่ให้การสนับสนุน แต่อาจจะมีกรณีของการก่อความไม่สงบโดยใช้ยุทธศาสตร์ของโฟโก ที่อาจต้องใช้กำลังทหารเข้าปฏิบัติการต่อกองโจรที่มีขนาดใหญ่
3. การก่อความไม่สงบโดยมุ่งเน้นมวลชน (Mass-Oriented Insurgency): การก่อความไม่สงบรูปแบบนี้เป็นการสร้างความขัดแย้งที่ยาวนานกับฝ่ายรัฐบาล โดยการจัดตั้งองค์กรมวลชนจากประชาชนส่วนใหญ่ ให้สนับสนุนการดำเนินงานของกลุ่มก่อความไม่สงบ การจัดตั้งองค์กรมวลชนของการก่อความไม่สงบรูปแบบนี้จะมีโครงสร้างที่สลับซับซ้อน เพราะจะมีส่วนที่เป็นกองโจรติดอาวุธ และองค์กรมวลชนที่ใช้ในการต่อสู้กับรัฐบาล และมีการนำโดยการจัดตั้งรัฐบาลซ้อนขึ้นมา เพื่อพร้อมที่จะเข้าเป็นรัฐบาลแทนรัฐบาลในปัจจุบัน ตังอย่างของการก่อความไม่สงบรูปแบบนี้ได้แก่ สงครามปฏิวัติในจีน การก่อความไม่สงบรูปแบบนี้เพื่อให้มีกรอบของการกำหนดมาตรการที่เหมาะสมจะมีการดำเนินการ 3 ขั้นตอน คือ
3.1 ขั้นที่ 1 ระยะซ่อนเร้น (Latent and Incipient): ในขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนเริ่มแรกของการเริ่มการก่อความไม่สงบ เพราะฉะนั้นการดำเนินการต่าง ๆ จะต้องปกปิดเป็นความลับ การดำเนินการส่วนใหญ่แล้วจะใช้การบ่อนทำลายเป็นหลัก เมื่อเริ่มมีความเข้มแข็งก็จะทำการยกระดับการดำเนินการบ่อนทำลายให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการและมีการดำเนินการที่บ่อยครั้งขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการก่อความไม่สงบในขั้นตอนนี้จะไม่ใช้ความรุนแรงในการปฏิบัติการขนาดใหญ่ เพราะยากต่อการควบคุมทิศทาง การดำเนินการในขั้นนี้จะมีการดำเนินการที่หลากหลาย เช่นการปฏิบัติการจิตวิทยาเพื่อขยายฐานของความไม่พอใจที่มีต่อฝ่ายรัฐบาล เริ่มมีการจัดตั้งรัฐบาลเงา (Shadow Government) และเมื่อมีความเข้มแข็งขึ้นก็จะขยายการดำเนินการ ด้วยการเริ่มโจมตีต่อกำลังตำรวจ เพื่อสร้างอิทธิพลในการจูงใจต่อประชาชน เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนทั้งทางด้านอาวุธและด้านอื่น ๆ นอกจากนี้ยังวางรากฐานเพื่อรองรับการสนับสนุนจากภายนอกประเทศในอนาคต
3.2 ขั้นที่ 2 สงครามกองโจร (Guerrilla Warfare): การดำเนินการในขั้นนี้จะเริ่มหลังจากได้รับการสนับสนุนทั้งจากประชาชนและจากภายนอกประเทศอย่างเพียงพอ โดยมีการดำเนินการต่าง ๆ ดังนี้ ยังดำรงการดำเนินการในขั้นตอนที่ 1 อย่างต่อเนื่องโดยขยายขอบเขตการดำเนินการให้กว้างขึ้น นอกจากนี้ยังดำเนินการรุกโดยใช้สงครามกองโจรอย่างกว้างขวาง เมื่อสถานการณ์ต่าง ๆ เอื้ออำนวยให้จัดตั้งรัฐบาลเงาขึ้นอยู่ในพื้นที่ที่ควบคุม และในพื้นที่ที่ยังไม่ได้ควบคุม กลุ่มก่อความไม่สงบจะพยายามดำเนินการเพื่อขยายการควบคุมออกไป เป้าหมายหลักของการดำเนินการขั้นนี้คือการขยายพื้นที่ควบคุมให้เพิ่มมากที่สุด เพื่อให้ฝ่ายรัฐบาลทุ่มเททรัพยากรที่มีอยู่มาใช้ในการป้องกันให้มากที่สุด
3.3 ขั้นที่ 3 สงครามขบวนการ (War of Movement): การดำเนินการขั้นนี้จะเริ่มเมื่อฝ่ายก่อความไม่สงบมีความเข้มแข็ง สามารถทำสงครามขบวนการ โดยการใช้กำลังกองโจรเข้าต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาลโดยตรง โดยมีการดำเนินการต่าง ๆ ดังนี้ ยังดำรงการดำเนินการนั้นขั้นตอนที่ 1 และ ขั้นตอนที่ 2 อย่างต่อเนื่อง โดยขายขอบเขตการดำเนินการให้ให้กว้างขวางมากขึ้น มีการใช่กำลังกองโจรขนาดใหญ่เข้าทำการต่อสู้กับกำลังฝ่ายรัฐบาลโดยตรงเพื่อทำการยึดที่หมายทางสำคัญทางยุทธศาสตร์ และเมื่อกลุ่มก่อความไม่สงบบรรลุเป้าหมายด้วยการล้มล้างรัฐบาลได้แล้ว ก็จะดำเนินการเสริมความมั่นคงด้วยการกำจัดบุคคลที่อาจจะเป็นฝ่ายตรงข้ามได้ พร้อมกับกำหนดกลไกต่าง ๆ ที่จะฟื้นฟูประเทศใหม่
สำหรับโครงสร้างของฝ่ายก่อความไม่สงบประเภทนี้โดยทั่วไปจะประกอบไปด้วย
(1) พรรค ซึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนการนำหรือส่วนควบคุม ดำเนินการในเรื่องของการกำหนดนโยบาย โดยมีหน่วยงานย่อย หรือที่เรียกว่า cell เป็นแกนกลางพื้นฐานของพรรค
(2) องค์กรมมวลชน ทำหน้าที่เชื่อมโยงประชากรเข้ากับพรรค โดยที่พรรคสามารถควบคุมหรือรับการสนับสนุนผ่านองค์กรมวลชน
(3) ส่วนกำลังติดอาวุธแบบเปิดเผยหรือลับ ทำหน้าที่ปฏิบัติการทางทหารต่อเป้าหายที่เลือกขึ้นซึ่งอาจจะเป็นบุคคล เอกสาร หรือสถานที่ก็ได้
ภาคผนวก CNN ถาม - คุณจะพูดอะไรกับคนที่อยู่ข้างนอก ซึ่งไม่ค่อยคุ้นเคยกับการเมืองไทย ซึ่งดูจะมองว่า ฝ่ายผู้ประท้วงฝ่ายคัดค้านได้เรียกร้องให้นายกฯลาออก นายกฯก็จัดให้มีการเลือกตั้งเพื่อให้ประชาชนได้ตัดสินใจ ประชาชนตัดสินว่าเขาชนะได้คะแนนเสียงข้างมาก แล้วเขาก็ยอมก้าวลงจากตำแหน่ง หลังจากถูกพวกคุณเรียกร้องให้ก้าวลงจากตำแหน่ง นี่ดูเหมือนพวกคุณจะไม่มีความเป็นธรรมเอามากๆ ต่อนายกฯ ต่อกระบวนการทางประชาธิปไตย ================== กะธิ ฟังเข้าหูหรือเปล่าก็ไม่รู้ น่าสมเพชจิง กู้ชาติบ้านใครกัน
ต่อไปคงแถอีกว่า บุช คลุกคลาม CNN
นายกก็จะให้ลาออก กกต ก็จะให้ลาออก การเลือกตั้งไม่บริสุทธิ์ มั.... จะให้ ประชาชนลาออกไม๊ ลามปรามไปถึงเบื้องสูงอีกด้วย ทรราชจริงๆ ใครควร ลาออกกันแน่ หนักแผ่นดิน
ต่อไปคงเหลือแต่ 5 แกนนำทรราช อาจารย์ฉีกบัตร พรรคแมลงสาป เหลือเป็นประชาชนประเทศไทย
อ่านคำให้สัมภาษณ์กะทิกับCNN ได้ที่นี่ //www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P4273310/P4273310.html
Create Date : 05 พฤษภาคม 2549 |
Last Update : 5 พฤษภาคม 2549 16:05:08 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1292 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
~ Passer By ~ |
|
|
|
|