ผู้ว่าการ ธปท.เชื่อ 6 มาตรการช่วยแก้เงินบาทแข็งค่าได้

กรุงเทพฯ 24 ก.ค. – ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เชื่อ 6 มาตรการแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่าที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติจะเกิดประโยชน์และได้ผล เพราะเป็นไปตามความเห็นที่สอดคล้องกันของทุกฝ่าย โดยเกือบทุกมาตรการมีผลบังคับใช้ทันที ขณะเดียวกัน ธปท.ได้อนุญาตให้ผู้ที่มีถิ่นฐานต่างประเทศถิ่นฐานเข้ามาซื้อเงินบาทในประเทศแล้ว คาดจะทำให้ค่าเงินบาทนและต่างประเทศใกล้เคียงกันมากขึ้น

นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยว่ามาตรการแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่าที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติวันนี้ (24 ก.ค.) ทั้งขยายเวลาให้ผู้มีรายได้นำเงินตราต่างประเทศเข้ามาใน 360 วัน ให้ผู้มีรายได้เงินตราต่างประเทศ ถือครองไม่มีกำหนด สามารถเปิดบัญชีเงินฝากสกุลต่างประเทศในธนาคารในประเทศไทย ให้บริษัทจดทะเบียนลงทุนโดยตรงในต่างประเทศไม่เกิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ให้โอนเงินให้ญาติ/บริจาค/ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศไม่เกิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ/คน/ปี และให้นักลงทุนสถาบันลงทุนในต่างประเทศได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจาก ธปท.มีผลทันที ยกเว้นการขยายระยะเวลาให้นำเงินตราต่างประเทศกลับเข้าประเทศให้มีผลในวันถัดจากวันประกาศกฎกระทรวงในราชกิจจานุเบกษา ซึ่ง ธปท.จะประกาศให้ทราบอีกครั้ง และรายละเอียดที่เกี่ยวข้องสามารถดูได้จากเว็บไซต์ ของ ธปท. ที่ //www.bot.or.th และข้อมูลเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้จากศูนย์ฮอทไลน์ ธปท. โทร. 0-2283-6000

นางธาริษา กล่าวว่าในส่วนของการไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ธปท.ได้เพิ่มวงเงินเป็น 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากวงเงินเดิมที่เคยอนุมติให้ 6,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งขณะนี้วงเงินดังกล่าวยังใช้ไม่เต็มวงเงินโดยมีการใช้ไปเพียงร้อยละ 25 เท่านั้น ซึ่งวงเงินดังกล่าวทาง ก.ล.ต.จะเป็นผู้จัดสรรและการไปลงทุนในต่างประเทศ ประชาชนสามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมที่บริษัทหลักทรัพย์จัดตั้งขึ้น คาดว่าไม่เกิน 2 สัปดาห์มาตรการดังกล่าว น่าจะประกาศใช้ได้ ส่วนวงเงินที่อนุมัติเพิ่มเป็น 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ธปท.จะไม่มีการกำหนดเวลา หากวงเงินที่ให้ไปใช้หมดหากต้องการจะขอเพิ่มอีก หากอยู่ในวิสัยทัศน์ที่ ธปท.จะเพิ่มให้ได้ก็จะเพิ่มให้อีก

“ในส่วนของ บล.เท่าที่ได้คุยกัน ขณะนี้มีผู้ลงทุนในประเทศต้องการนำเงินออกไปลงทุนในต่างประเทศประมาณ 100,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่า ภาคเอกชนมีความต้องการที่จะนำเงินออกไปลงทุนจริงประกอบกับในส่วนของทางการเองก็เปิดช่องทางให้แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นความเห็นที่ตรงกัน อย่างไรก็ตาม คิดว่ามาตรการที่ออกมาทั้ง 6 ข้อเป็นมาตรการที่เป็นประโยชน์ ซึ่งได้มีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชนแล้ว และสอดคล้องกับข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบันหรือ กกร.เสนอมา” ผู้ว่าการ ธปท.กล่าว

สำหรับการจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอี วงเงิน 5,000 ล้านบาทนั้น นางธาริษา กล่าวว่าจะมีการตั้งเป็น 2 กองทุนย่อย โดยกองทุนแรก วงเงิน 4,500 ล้านบาท ธปท.จะสมทบเงินร้อยละ 50 และธนาคารพาณิชย์ ร้อยละ 50 ส่วนกองทุนที่ 2 วงเงิน 500 ล้านบาท ธปท.จะสมทบเงินให้ร้อยละ 90 และธนาคารพาณิชย์ สมทบเงิน ร้อยละ 10 ซึ่งกองทุนที่ 2 วงเงิน 500 ล้านบาท นั้น ธปท.ต้องการช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอีที่อาจจะมีปัญหาทางธุรกิจ แต่ยังมีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามา โดยการที่ ธปท.เข้าไปช่วย จะช่วยลดต้นทุนในการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์ คือธนาคารพาณิชย์ไม่ต้องมีภาระในการกันสำรองหนี้จัดชั้น ขณะที่ การคิดอัตราดอกเบี้ยจะถูกกว่าท้องตลาด เพราะเป็นเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ

นายสุชาติ สักการโกศล ผู้อำนวยการฝ่ายกำกับการแลกเปลี่ยนเงินและสินเชื่อ สายตลาดการเงิน ธปท. กล่าวว่าขณะนี้ ธปท.ได้อนุญาตให้ผู้ที่มีถิ่นฐานต่างประเทศ (non-resident) รายใหญ่รายหนึ่งเข้ามาซื้อเงินบาทในตลาดเงินบาทในประเทศ (onshore) เพื่อนำไปปิดสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศ และการทำประกันความเสี่ยง (hedging) ในตลาดเงินบาทต่างประเทศ (offshore) ตามมาตรการที่จะช่วยให้ค่าเงินบาทในตลาดเงินบาทในประเทศและต่างประเทศใกล้เคียงกันมากขึ้น ซึ่งเป็นเม็ดเงินจำนวนมากพอสมควร คาดว่าจะเริ่มมีผลต่อค่าเงินบาทในตลาด เพราะเป็นเม็ดเงินที่ค่อนข้างมาก และหลังจากนี้ คาดว่าสถานการณ์ในตลาดต่างประเทศจะเริ่มดีขึ้น เพราะ ธปท.จะทยอยอนุญาตนักลงทุนต่างประเทศที่ขออนุญาตปิดสัญญาล่วงหน้าในประเทศเพิ่มเติมอีก. -สำนักข่าวไทย

Create Date : 24 กรกฎาคม 2550		0 comments
Last Update : 4 สิงหาคม 2550 3:20:45 น.
Counter : 498 Pageviews.
Share Tweet