พฤศจิกายน 2555

 
 
 
 
1
2
3
4
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
บุคคลผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖

มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์

วิภังควรรค

๑. ภัทเทกรัตตสูตร (๑๓๑)

             [๕๒๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของ

อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแลพระผู้มีพระภาคตรัสเรียก

ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว พระผู้มี-

*พระภาคได้ตรัสดังนี้ว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอุเทศและวิภังค์ของบุคคล

ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญแก่เธอทั้งหลายพวกเธอจงฟังอุเทศและวิภังค์นั้น จงใส่ใจให้ดี

เราจักกล่าวต่อไปภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า ชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ฯ

             [๕๒๗] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า

บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่

มาถึง สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว และสิ่งที่

ยังไม่มาถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบัน

ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ได้ บุคคลนั้นพึง

เจริญธรรมนั้นเนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด พึงทำความเพียรเสียใน

วันนี้แหละ ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่าความ

ผลัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้น ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย

พระมุนีผู้สงบย่อมเรียกบุคคลผู้มีปรกติอยู่อย่างนี้ มีความเพียร

ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน นั้นแลว่าผู้มีราตรีหนึ่ง

เจริญ ฯ

             [๕๒๘] ดูกรภิกษุทั้งหลายก็บุคคลย่อมคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้วอย่างไร

คือ รำพึงถึงความเพลิดเพลินในเรื่องนั้นๆ ว่าเราได้มีรูปอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว

ได้มีเวทนาอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้วได้มีสัญญาอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว ได้มี

สังขารอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้วได้มีวิญญาณอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว ดูกรภิกษุ

ทั้งหลาย อย่างนี้แลชื่อว่าคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ฯ

             [๕๒๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลจะไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้วอย่างไร

คือ ไม่รำพึงถึงความเพลิดเพลินในเรื่องนั้นๆ ว่าเราได้มีรูปอย่างนี้ในกาลที่

ล่วงแล้ว ได้มีเวทนาอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้วได้มีสัญญาอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว

ได้มีสังขารอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้วได้มีวิญญาณอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว ดูกร

ภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แลชื่อว่าไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ฯ

             [๕๓๐] ดูกรภิกษุทั้งหลายก็บุคคลย่อมมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึงอย่างไร

คือ รำพึงถึงความเพลิดเพลินในเรื่องนั้นๆ ว่าขอเราพึงมีรูปอย่างนี้ในกาลอนาคต

พึงมีเวทนาอย่างนี้ในกาลอนาคต พึงมีสัญญาอย่างนี้ในกาลอนาคตพึงมีสังขาร

อย่างนี้ในกาลอนาคต พึงมีวิญญาณอย่างนี้ในกาลอนาคตดูกรภิกษุทั้งหลาย

อย่างนี้แล ชื่อว่ามุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง ฯ

             [๕๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลายก็บุคคลจะไม่มุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึงอย่างไร

คือ ไม่รำพึงถึงความเพลิดเพลินในเรื่องนั้นๆ ว่าขอเราพึงมีรูปอย่างนี้ในกาลอนาคต

พึงมีเวทนาอย่างนี้ในกาลอนาคตพึงมีสัญญาอย่างนี้ในกาลอนาคต พึงมีสังขาร

อย่างนี้ในกาลอนาคต พึงมีวิญญาณอย่างนี้ในกาลอนาคตดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่าง

นี้แลชื่อว่าไม่มุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง

             [๕๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลายก็บุคคลย่อมง่อนแง่นในธรรมปัจจุบันอย่างไร

คือ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้วในโลกนี้เป็นผู้ไม่ได้เห็นพระอริยะ ไม่ฉลาดในธรรม

ของพระอริยะ ไม่ได้ฝึกในธรรมของพระอริยะไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดใน

ธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้ฝึกในธรรมของสัตบุรุษย่อมเล็งเห็นรูปโดยความเป็น

อัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีรูปบ้างเล็งเห็นรูปในอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาในรูป

บ้าง ย่อมเล็งเห็นเวทนาโดยความเป็นอัตตาบ้างเล็งเห็นอัตตาว่ามีเวทนาบ้าง

เล็งเห็นเวทนาในอัตตาบ้างเล็งเห็นอัตตาในเวทนาบ้าง ย่อมเล็งเห็นสัญญา

โดยความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีสัญญาบ้างเล็งเห็นสัญญาในอัตตาบ้าง

เล็งเห็นอัตตาในสัญญาบ้างย่อมเล็งเห็นสังขารโดยความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็น

อัตตาว่ามีสังขารบ้าง เล็งเห็นสังขารในอัตตาบ้างเล็งเห็นอัตตาในสังขารบ้าง

ย่อมเล็งเห็นวิญญาณโดยความเป็นอัตตาบ้างเล็งเห็นอัตตาว่ามีวิญญาณบ้าง เล็งเห็น

วิญญาณในอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาในวิญญาณบ้างดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล

ชื่อว่าง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน ฯ

             [๕๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลายก็บุคคลย่อมไม่ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน

อย่างไร คือ อริยสาวกผู้สดับแล้วในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ได้เห็นพระอริยะ ฉลาด

ในธรรมของพระอริยะ ฝึกดีแล้วในธรรมของพระอริยะได้เห็นสัตบุรุษ ฉลาด

ในธรรมของสัตบุรุษ ฝึกดีแล้วในธรรมของสัตบุรุษย่อมไม่เล็งเห็นรูปโดยความ

เป็นอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาว่ามีรูปบ้างไม่เล็งเห็นรูปในอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็น

อัตตาในรูปบ้าง ย่อมไม่เล็งเห็นเวทนาโดยความเป็นอัตตาบ้างไม่เล็งเห็นอัตตาว่า

มีเวทนาบ้าง ไม่เล็งเห็นเวทนาในอัตตาบ้างไม่เล็งเห็นอัตตาในเวทนาบ้าง ย่อม

ไม่เล็งเห็นสัญญาโดยความเป็นอัตตาบ้างไม่เล็งเห็นอัตตาว่ามีสัญญาบ้าง ไม่เล็ง

เห็นสัญญาในอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาในสัญญาบ้างย่อมไม่เล็งเห็นสังขารโดย

ความเป็นอัตตาบ้างไม่เล็งเห็นอัตตาว่ามีสังขารบ้าง ไม่เล็งเห็นสังขารในอัตตาบ้าง

ไม่เล็งเห็นอัตตาในสังขารบ้างย่อมไม่เล็งเห็นวิญญาณโดยความเป็นอัตตาบ้าง

ไม่เล็งเห็นอัตตาว่ามีวิญญาณบ้างไม่เล็งเห็นวิญญาณในอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตา

ในวิญญาณบ้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แลชื่อว่าไม่ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน ฯ

             [๕๓๔] บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่

ยังไม่มาถึง สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไป

แล้ว และสิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง ก็บุคคล

ใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบันไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน

ในธรรมนั้นๆ ได้ บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ

ให้ปรุโปร่งเถิด พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ

ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่าความผลัดเพี้ยน

กับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้น ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย

พระมุนีผู้สงบย่อมเรียกบุคคลผู้มีปรกติอยู่อย่างนี้ มีความ

เพียร ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน นั้นแลว่า

ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำที่เรากล่าวไว้ว่า เราจักแสดงอุเทศและวิภังค์ของ

บุคคลผู้มีราตรีหนึ่งเจริญแก่เธอทั้งหลายนั้นเราอาศัยเนื้อความดังนี้ กล่าวแล้ว

ด้วยประการฉะนี้ ฯ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดี

พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ

จบ ภัทเทกรัตตสูตร ที่ ๑

-----------------------------------------------------

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ บรรทัดที่ ๗๐๓๑ - ๗๑๑๔. หน้าที่ ๒๙๗- ๓๐๐.

//84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=7031&Z=7114&pagebreak=0

ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-

//84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=526




Create Date : 05 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2555 7:30:42 น.
Counter : 1039 Pageviews.

0 comments

นิแรน
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



I am nobody.