ถ้าใครที่เคยดูซีรี่ย์ญี่ปุ่น คงจะชินกับละครประเภทคนวัยหนุ่มสาวตามหาความฝันของตัวเอง..มานะบากบั่นขยันอดทนเพื่อที่จะได้มาซึ่งความฝันนั้น และสุดท้ายก็ได้ลิ้มรสกับความฝันนั้นอย่างมีความสุข
เรื่อง Bambino! นี้ก็คล้ายกันค่ะ เป็นเรื่องราวของ บันคุง ชายหนุ่มนักศึกษาที่รักการทำอาหารอิตาเลี่ยนเป็นชีวิตจิตใจ บันคุงเรียนไปด้วยทำงานพิเศษไปด้วย ในร้านอิตาเลี่ยนเมือง Fukuokaที่เค้าอาศัยอยู่ เค้าถูกยกย่องให้เป็นเชฟฝีมือดี การได้รับความชมจากลูกค้าจึงเป็นเรื่องปกติสำหรับเค้า
เจ้าของร้านนั้นเห็นว่าบันคุงนั้นน่าจะเป็นเชฟที่มีอนาคตไกล จึงฝากฝังให้เค้าไปฝึกงานในร้านของเพื่อนซี้ชื่อร้าน Baccanaleในโตเกียว แม้จะกล้าๆกลัวๆ อยู่บ้าง แต่บันคุงก็ไม่รอช้าที่จะรีบวิ่งไปหาความฝันของเค้า
เมื่อมาถึงโตเกียว...บันคุงที่พกความมั่นใจมาเต็มร้อย..กลับต้องมาพบกับความรู้สึกที่ว่า เค้าเป็นแค่เด็กอ่อนหัดไม่ได้เรื่องคนนึงเท่านั้นเอง เหนือฟ้ายังมีฟ้าเสมอ ความมั่นใจของบันคุงถูกทำลายหายไปจนหมดสิ้น
บันคุงต้องพบกับอุปสรรคมากมายทั้งเรื่องความสามารถ และอีโก้ของเพื่อนร่วมงาน...ผ่านพ้นช่วงฝึกงานไปแต่ละวันอย่างทะลักทุเล ชวงเวลาที่บันคุงฝึกงาน...เค้าไม่ได้ทำอาหารเลยด้วยซ้ำ...ได้แต่เป็นลูกมือ เตรียมอาหาร ล้างจาน ทิ้งขยะแค่นั้นเอง
เจ้าของร้านจึงตั้งชื่อให้บันคุงใหม่ว่า Bambino เป็นภาษาอิตาเลี่ยน แปลว่าเด็กทารก ซึ่งก็เปรียบเหมือนบันคุงตอนนี้ที่ยังไม่ได้เข้าใกล้ความเป็นเชพที่ดีได้เลย
บันคุงได้เรียนรู้ว่า การทำอาหารให้อร่อยใครๆ ก็ทำได้...แต่ในการทำงานในร้านอาหารที่เป็นที่นิยมมีลูกค้ามากมายขนาดนี้ จะทำยังไงให้เสริฟ์อาหารได้ทันใจลูกค้า ตกแต่งอาหารให้สวยงาม และที่สำคัญต้องอร่อย เราเองก็เคยคิดว่าอาหารจานหรูพวกนี้ กว่าจะทำออกมาได้แต่งละจาน เชฟคงต้องพิถีพิถันใช้เวลาทำกันน่าดู...แต่ก็คิดผิด...ทุกคนทำงานแข่งกับเวลา อาหารแต่ละจานจึงไม่ได้ทำแบบใช้อารมณ์ศิลปิน แต่เมื่อเสร็จพร้อมเสริฟ์ กลับการเป็นผลงานชิ้นเอกราวกับใช้คาถาเศกเอา
เรื่องนี้ต่างจากเรื่องอื่นตรงที่เค้าสะท้อนมาให้เห็นค่ะ ว่าบางทีการวิ่งตามฝันแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ บางครั้งก็ทำให้เราสำลักความฝันตัวเอง
จนแล้วจนรอดบันคุงก็ยังไม่ได้ทำอาหาร พอช่วงเวลาฝึกงานอันหฤโหดจบลง บันคุงก็กลับไปยังบ้านเกิด แทนที่จะดีใจเค้ากลับติดใจร้านอาหารนั้น อยากที่จะกลับไปอีก อยากจะทำอาหารในร้านนั้นให้ได้ เฝ้าที่คิดถึงแต่ช่วงเวลาที่ขลุกตัวอยู่แต่ในร้านนั้น จนในที่สุดก็ลาออกจากมหาวิทยาลัย และยอมเลิกกับแฟนที่เคยสัญญาว่าแต่งงานกัน เพื่อเดินหน้าตามหาความฝันของตัวเอง
เอริจังแฟนของบันคุงนั้นเหมือนเป็นตัวแทนของผู้หญิงสมัยใหม่นะคะ แม้เธอจะดูเป็นผู้หญิงธรรมดา มีท่าทางเป็นช้างเท้าหลังทีดี และแม้เธอจะรักบันคุงมากแต่เธอกลับยอมเลิกโดยดี เพราะเธอคิดว่ามันไม่ถูกต้องที่จะตามไปอยู่ข้างเค้าที่โตเกียว เธอก็อยากมีชิวิตเป็นของตัวเอง เพราะเธอรู้จักตัวเองดีว่าเธอไม่เหมาะกับโตเกียว
แต่พอกลับไปที่ร้านนั้น เจ้าของร้านกลับให้เค้าไปเป็นพนักงานเสริฟ์แทน ความฝันพังทลายชั่วพริบตา ถอยหลังก็ไม่ได้เพราะทิ้งทุกอย่างไปแล้ว เค้าจึงจำใจทนทำงานเสริฟ์แบบหมดอาลัยตายอยาก สังกะตายไปวันๆ
วันนึงเค้าได้มีโอกาสคุยกับหัวหน้าเชฟ เค้าก็ระบายให้ฟังว่าเค้าไม่ชอบที่ต้องเป็นเด็กเสริฟ์ เค้ามาที่นี่เพื่อมาเรียนรู้ที่จะเป็นเชฟ อุตสาห็ทิ้งการเรียน ทิ้งคนรัก เพื่ออยากจะรีบเดินหน้าให้ประสบความสำเร็จให้เร็วที่สุด ไม่ใช่มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระพรรค์นี้
หัวหน้าเชฟได้ฟังก็สวนกลับไปว่า...สิ่งที่บันคุงพูดมานั้นเป็นการดูถูกอาชีพพนักงานเสริฟ์ พวกเค้าเหล่านั้นต่างก็รักและเคารพในอาชีพของตัวเอง ทุกคนในร้านต่างเป็นมืออาชีพและตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด
เชฟยังตอกกับไปว่า ผมไม่อยากได้คนอย่างคุณมาทำงานในครัว คนที่ไม่ตั้งใจทำงานที่อยู่ตรงหน้าของตัวเองให้ดี ก็ไม่มีสิทธิพูดถึงความฝันของตัวเองหรอก
คำพูดนี้แทงใจดำบันคุง (เราด้วย) อย่างแรง เค้าจึงได้สติ เริ่มต้นใหม่ เริ่มตั้งใจกับงานบริการลูกค้า
เมื่อมีการแข่งขันเพิ่มเมนูพาสต้าใหม่ประจำฤดูร้อน บันคุงจึงรีบฉวยโอกาสนี้ลงแข่งขัน หวังที่จะชนะแล้วได้ย้ายไปทำงานในครัวเสียที
แต่เพราะความที่เป็นเด็กใหม่ เมื่อต้องฝึกซ้อมทำอาหารเพื่องแข่งขันอย่างนัก เค้าก็เสียสูญ งานในห้องอาหารก็บกพร่อง ทำงานผิดพลาดหลายครั้ง...แต่แทนที่เค้าจะถูกเพื่อนร่วมงานตำหนิ พวกเค้าเหล่านั้นกลับเข้าใจเพราะบันคุงต้องฝึกหนัก
เป็นอีกครั้งที่เค้ามองมุมกลับ แทนที่จะสบายใจและซ้อมทำอาหารต่อไป เค้ากลับรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความเป็นมืออาชีพ ไม่มีสปิริตกับเพื่อนร่วมงานเลย จึงถอนตัวออกจากการแข่งขันแล้วกลับมาทำหน้าที่ในห้องอาหารให้ดีต่อไป
Just Smile!
ถึงตรงนี้แล้วเข้าใจเลย ว่าเค้าต้องการที่จะสื่อว่า คนที่ไล่ตามความฝัน บางทีก็รีบร้อนเกินไป ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งตรงดิ่งไปอย่างเดียว โดยที่ไม่ยอมที่จะเรียนรู้ว่าระหว่างทางนั้นมีรายละเอียดที่จำเป็นต้องรู้มากมาย อย่างเช่นการที่บันคุงต้องมาเป็นเด็กเสริ์ฟก็เพราะว่า....พ่อครัวที่ต้องทำงานอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมนั้นถ้าไม่รู้จักความต้องการของลูกค้าจะเป็นพ่อครัวที่ดีได้อย่างไร
บางทีเราอาจจะไม่ต้องรีบร้อนถึงขนาดนั้น ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆเรียนรู้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ เมื่อมันถึงเวลาที่เหมาะสม เราก็พร้อมที่จะยืนอยู่ตรงจุดที่ฝันได้อย่างมั่นคง เพราะการรีบร้อนที่จะประสบความสำเร็จจนเกินไป
ก็เปรียบเหมือนต้นไม้ที่โตแต่ลำต้น ไม่มีกิ่งก้านสาขาแตกออกไป สูงเพียงใดก็ไม่มีความมั่นคง พอถูกพายุพัดแรงก็ล้มได้ง่ายดาย
ผ่านไปหนึ่งปี..เมื่อถึงเวลาอันควร เจ้าของร้านก็อนุญาติให้บันคุงเริ่มงานในครัว..เค้าก็พร้อมที่จะเรียนรู้...และก็ไปถึงฝันได้อย่างที่ตั้งใจ
ละครยังไม่ได้จบแค่นี้นะคะ.....เค้ายังให้คิดต่อว่า..คนเราจะทำอะไรต่อไป..เมื่อเดินทางถึงที่หมายแล้ว
มีคนเคยบอกเราว่า สัญชาตญานของมนุษย์กระหายที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ตราบใดที่ใจยังสู้ ยังมีไฟ มีความทะเยอทะยาน ลองสังเกตุเอาง่ายๆ นะคะ สมมุติว่าเราตั้งใจเก็บเงินซื้อรถคันนึง พอเราได้เป็นเจ้าของมันแล้ว สักพักเราก็จะเริ่มคิดเก็บเงินซื้อบ้าน
.จะเป็นเป็นกิเลสก็คงจะไม่ผิด
เหมือนกับเวลาทำงานนานๆ มันก็เริ่มวนๆเวียนๆอยู่ที่เดิม บางทีเราก็เบื่อเริ่มอยากหางานใหม่ เหมือนอย่างบิล เกต รวยจนชาตินี้ก็ใช้เงินไม่หมด ก็ยังไม่ยอมหยุดทำโน่นสร้างนี้อยู่ตลอดเวลา
ในเรื่องก็ไม่ได้จบลงที่.. แล้วทุกคนก็ทำงานอยู่ในร้าน Baccanale อย่างมีความสุขตลอดไป
หลายคนในร้านก็ลาออกไปตามความฝันที่ 2 ที 3 กลับไปเป็น Bambino ไปเริ่มต้นเรียนรู้ใหม่อีกครั้ง
ชอบละครเรื่องนี้ตรงเค้าคิดมุมกลับตลอด...อะไรที่พวกเราคิดว่าดีแล้ว ทำถูกแล้ว เค้ากลับมองอีกด้านนึงตลอด..ลองมองดูด้านที่ไม่มีใครคิดถึงมาก่อน...น่าสนใจดีเหมือนกัน...และที่สำคัญ...ทุกคนรู้จักตัวเอง...รู้ความต้องการของตัวเอง มีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจน
ติดใจอยู่เรื่องนึง....ตอนที่บันคุงเริ่มสับสนว่า..ทำไมเค้าต้องมาทนลำบากขนาดนี้ ทำไมต้องทิ้งบ้าน ทิ้งแฟนมาอย่างนี้ ทำไมไม่แค่ใช้ชีวิตให้สนุกสนานเหมือนนักศึกษาคนอื่นๆ
เชฟทำขนมหวานบอกเค้าว่า....การที่จะประสบความสำเร็จ บางทีเราก็ต้องเสียสละบางอย่าง
มันก็จริงนะคะ...แต่ถ้าสิ่งที่ต้องเสียสละคือ..คนรัก...ครอบครัว....เราว่ามันก็น่าเศร้านะ
บางที่ก็อดคิดไม่ได้ว่า....คนเราจะก้าวไปถึงฝัน โดยที่มีไม่ต้องละทิ้งสิ่งเหล่านั้นไม่ได้เลยเหรอ?
ไอ้น้อง เคยฟังเพลงได้อย่างเสียอย่างป่ะ..อย่าโลภให้มันมาก
อิอิ...ก็คนมันกิเลสหนา..อยากได้ไปโม้ดดด
ปล. เรื่องนี้ดูแล้วสบายตาดีนะ พนักงานในร้านหล่อๆทั้งนั้นเลย