Better to reign in Hell than serve in Heaven
Group Blog
 
 
มกราคม 2549
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
28 มกราคม 2549
 
All Blogs
 

ความในใจของเกย์คนหนึ่ง (ถึงคนทั่วไป) ตอนที่ 16

บทความนี้คัดมาจากเรื่อง ความในใจของเกย์คนหนึ่ง (ถึงคนทั่วไป) ที่คุณวิศรุตแต่งขึ้น
โพสต์ครั้งแรกที่ห้องถนนนักเขียน
//www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4056802/W4056802.html


<<< ตอนที่ 15
ตอนที่ 17 >>>




พ.ศ. 2529

ตอนนั้นผมมีความสุขอยู่กับการเป็นสมาชิกในกลุ่มของศราวุธมาก ศราวุธเองนับว่าเป็นคนสำคัญของกลุ่ม
ส่วนผมก็กลายเป็นคนสำคัญของศราวุธ แต่พิทยาเองก็ยังได้ชื่อว่าเป็นคู่หูของศราวุธ ผมไม่หึงเขาแล้วล่ะ
เพราะเขาเป็นเพื่อนที่ดีมาก

แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ ทำไมเพื่อนๆถึงไม่ได้เป็นห่วง รังเกียจ หรืองงกับพฤติกรรมของผมกับศราวุธ
ถ้าจะวิเคราะห์กัน เหตุผลน่าจะมีอยู่ 3 ข้อคือ

1. ตอนนั้นดันมีคอลัมนิสต์รายหนึ่งเขียนคอลัมน์หัวข้อประมาณว่า "ถลกผู้ชาย"
เนื้อหาส่วนใหญ่จะพูดถึงชีวิตของผู้ชายที่เจาะลึกและหลายคนก็อยากรู้

มีเนื้อหาอยู่ตอนหนึ่งที่เขาพูดประมาณว่า สำหรับผู้ชายแล้วเพื่อนกับผู้หญิงสำคัญพอๆกัน
แต่สำหรับบางคนแล้วเพื่อนอาจจะสำคัญมากกว่า

และเขาก็พูดเลยไปด้วยว่าผู้ชายบางคนที่รู้จักกับผู้ชายอีกคนที่เขารู้สึกถูกชะตามากๆ
ความรู้สึกนั้นแทบไม่ต่างจากตอนที่เขาปิ๊งผู้หญิง

เมื่อเนื้อหามันเป็นแบบนั้น และดันมีคนถูกใจ บทความนั้นจึงถูกถ่ายเอกสาร
และเอาไปติดตามที่ต่างๆภายในโรงเรียน
หลายคนจึงเข้าใจว่าผมกับศราวุธปิ๊งกันแบบผู้ชายกับผู้ชาย
เราทั้งสองคนจึงยังเป็นที่ยอมรับของเพื่อนในกลุ่ม

2. เพื่อนๆต่างคิดกันว่าผมกำลังอยากเป็นผู้ชายในแบบที่ศราวุธเป็น
ส่วนศราวุธกำลังจะเป็นพี่เลี้ยงให้ผม ความสัมพันธ์ของเราจึงไม่ถูกสกัดกั้นในกลุ่มเพื่อน
และหลายคนรู้สึกยินดีไปกับผมด้วยที่ผมหันมาเล่นกีฬาหลายชนิด

3 ตอนนั้นช่วงบ่ายๆหรือเย็นๆ ช่อง 3 จะมีละครชีวิตเด็ก ม.ปลาย
ในละครจะมีกลุ่มเพื่อนผู้ชายหลายบุคลิก และตัวละครตัวหนึ่งจะมีบุคลิกคล้ายๆผม
และในละครเองยังได้ตีความว่าผู้ชายที่มีบุคลิกคล้ายๆผมนั้นที่เขาเป็นแบบนี้เพราะการเลี้ยงดู
แต่เขาก็ยังเป็นผู้ชายอยู่ และเขาต้องชอบผู้หญิง

จริงๆแล้วการตีความเช่นนั้นมันผิดมาตั้งแต่แรก ผมจึงยังสามารถที่จะสานความรัก
ระหว่างผมกับศราวุธต่อไปได้โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ แม้แต่ตัวของศราวุธเองก็ตาม

แต่แล้ววันหนึ่ง

ขณะที่ผมกำลังมีความสุขกับการกินอาหารกลางวันอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ในกลุ่มของศราวุธ
ผมก็เงยหน้าไปสบตากับอดิศัย หนุ่มขี้มูกไหลคนนั้น

เขาไม่ได้กำลังกินข้าวอยู่คนเดียวนะครับ แต่เขากำลังกินอยู่กับสุทธิพงษ์ อดีตสมาชิกกลุ่มเกย์เบญจรงค์
สุทธิพงษ์จ้องตรงมาที่ผมเขม็ง ในตาของเขาค่อนข้างก้าวร้าว และเต็มไปด้วยคำถามมากมาย

เขาเองคงทนไม่ได้ จึงได้นัดผมไปคุยด้วย

===========================================

สุทธิพงษ์ขมวดคิ้ว

"มันแปลกมากนะที่นายอยากเข้ากลุ่มของศราวุธ และพยายามจะเล่นบอล"

ผมทำหน้าเจื่อนๆเหมือนกับเด็กที่เพิ่งแอบขโมยมะม่วงของลุงข้างบ้าน และมีคนจับได้

"ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย ก็เราอยากจะเล่นกีฬาบ้างก็เท่านั้นเอง"

สุทธิพงษ์ ยังไม่หายข้องใจ

"พฤติกรรมแบบที่นายเป็นอยู่เนี่ยนะ คือพฤติกรรมของคนที่อยากจะเล่นกีฬา เป็นไปได้เหรอเนี่ย"

ผมรู้สึกไม่ชอบที่สุทธิพงษ์กำลังทำตัวเป็นเหมือนผู้ควบคุมความประพฤติของผม

"จะเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนายเลยนี่"

"ทำไมจะไม่เกี่ยวล่ะ"

ผมสงสัย "แล้วถ้ามันจะเกี่ยว มันจะเกี่ยวอะไรล่ะ"

สุทธิพงษ์พยายามยอกย้อนผม

"มันเกี่ยวแน่ และเกี่ยวกับตัวของนายด้วย นายเองก็น่าจะรู้นะว่าศราวุธเขาเป็นยังไง
แล้วสุดท้ายละครฉากนี้มันจะลงเอยยังไง"

ผมฉุน "มันจะลงเอยยังไงก็ไม่เกี่ยวกับนายนี่ มันเป็นชีวิตของเรานะ มันจะเป็นยังไงต่อไป
เราก็ต้องรับผลทุกอย่างที่มันจะตามมาได้อยู่แล้ว"

สุทธิพงษ์ขมวดคิ้ว "รับผลทุกอย่าง แล้วนายเองจะรับผลทุกอย่างได้คนเดียวจริงๆเหรอ
ตอนนี้มันกลายเป็นว่าทุกคนเข้าใจอีกอย่าง แต่นายกำลังเข้าใจอีกอย่าง"

"นายคิดว่านายก็กำลังเข้าใจตัวเองอย่างนั้นเหรอ" ผมรุกบ้าง
สุทธิพงษ์รู้สึกสะดุ้งเหมือนกับว่าเขาเป็นเด็กที่เอาของเล่นของเพื่อนไปซ่อนแล้วถูกจับได้ในที่สุด

"นายกำลังพูดถึงอะไร"

ผมทิ้งไพ่ใบสุดท้าย "นายรู้จักธนากรรึเปล่า"

สุทธิพงษ์อึ้ง "นายกำลังจะตีความว่า ..."

"หรือไม่จริง ..."

"นายเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว นายอย่าทำเป็นรู้ทุกเรื่องดีไปหมดแล้วเห็นคนอื่นเขาเป็นควาย"

"ถ้านายไม่อยากแต่จะไถนา เราก็คงไม่กล้าสรุปว่านายเป็นควายหรอก"

สุทธิพงษ์เริ่มไม่พอใจ แต่เขายังเก็บอารมณ์ไว้ได้

"นายเลิกนิสัยแบบนี้ซะทีเถอะวิศรุต ทุกอย่างที่นายทำ ใช่ว่าจะถูกเสมอไป"

ผมย้อน "แต่ทุกอย่างที่นายไม่กล้าทำ ใช่ว่าคนอื่นจะไม่มีสิทธิทำ"

"ใคร ... ไม่กล้าทำอะไร"

"ไม่มีควันย่อมไม่มีไฟ"

"นายกำลังพูดถึงอะไร วิศรุต"

"สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้กลุ่มเราแตกน่ะสิ"

"วิศรุต นายกำลังจะบอกอะไรเรา"

"จริงๆแล้วคนที่ชอบธนากรมากที่สุดคือใคร"

"นายจะมากไปแล้ว จริงๆแล้วคนที่ทำให้กลุ่มของเราแตกคือนายต่างหาก
นายอยากจะเข้าไปอยู่กลุ่มของศราวุธจนตัวสั่น ถึงคนอื่นจะไม่สังเกต แต่เราสังเกตเห็น"

"แล้วถ้าเราอยากจะทำอย่างนั้นจริงๆ มันจะผิดตรงไหนล่ะ"

"เรื่องบางเรื่องมันคงไม่มีถูกมีผิดหรอก ถ้าจะไปไล่ตามความเห็นของคนอื่นไปเรื่อยๆ
แต่นายเองนั่นแหละที่ควรจะรู้ว่าอะไรควรทำและอะไรไม่ควรทำ"

ผมเดือด

"ขอร้อง อย่ามาใช้คำว่าควรกับเรา เพราะมันเกินไป
นายจะมารุ้อะไรเกี่ยวกับเรามากมายขนาดนั้น เพราะฉะนั้นอย่ามายุ่งเข้าใจไหม"

"ที่พูดเพราะหวังดีและเป็นห่วง ตอนนี้มันเพิ่งปลาย ม.4
แต่นายต้องรู้นะว่านายไม่ได้อยู่ ม.4 ไปทั้งชาติ"

"ก็เพราะรู้น่ะสิ เราถึงทำแบบนี้ นายก็รู้ว่าเวลาเหลืออีกไม่มาก เวลาเพียง 3 ปีมันน้อยนัก
แค่เราจะขอเก็บบางสิ่งบางอย่างไว้ มันจะไม่ได้เชียวเหรอ"

"แต่ถ้านายถลำลึกไปกว่านี้ มันจะไม่มีอะไรให้นายเก็บได้เลย"

"เหมือนกับนายกับธนากรใช่ไหม ไม่คุยกัน ไม่ยินดียินร้าย ไม่มีอะไรกันเลย"

"ที่ไม่ทำก็เพราะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ไง"

"แต่ที่ทำอยู่ก็เพราะเราไม่ได้คิดถึงเรื่องประดญชนืหรือโทอะไร
แต่มันเป็นเรื่องของความรู้สึกข้างใน มันก็แค่นั้น"

"ความรู้สึกบ้าบออะไรของนาย วิศรุต ใครเขาจะมาเข้าใจความรู้สึกของนาย"

"สุทธิพงษ์ ถ้านายไม่พยายามเข้าใจ นายก็จะไม่มีวันเข้าใจ และนายก็จะไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองด้วย"

"แล้วการที่จะยอมรับ หรือเข้าใจความรู้สึกของตัวเองมันจะมีประโยชน์อะไร เมื่อเราต้องอยู่กันแบบนี้
ต้องใช้ชีวิตแบบนี้ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรที่จะไปทำแบบนั้น"

"นายใช้หลักประโยชน์มาคิดเป็นครั้งที่สองแล้วนะ แล้วถ้าเราจะขอใช้บ้างล่ะ
และอยากถามนายกลับว่าที่นายกำลังทำอยู่มันมีประโยชน์อะไร"

สุทธิพงษ์อึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดว่า

"แต่สิ่งที่นายทำมันแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย"

"มีสิ ก็อย่างที่นายบอกเรานั่นแหละสุทธิพงษ์ เราจะไม่ได้เป็นนักเรียน ม.4
ไปจนชั่วชีวิต นั่นหล่ะคือประโยชน์ของมัน"

"แต่ประโยชน์ที่นายกำลังจะหาอยู่นั้นมันต้องใช้ความรู้สึกตั้งมากมายเข้าแลก
นายไม่รู้อนาคตนะวิศรุต ว่าอีกปีสองปีข้างหน้านายจะเป็นยังไง ถ้ายังปล่อยตัวแบบนี้"

"ทำไมเราจะไม่รู้ ไม่ใช่แค่ 1-2 ปีข้างหน้าด้วยนะ เรารู้ว่าอีก 10-20 ปีข้างหน้าเราจะรู้สึกยังไง
นั่นหล่ะคือคำตอบ"

"มันไม่ใช่คำตอบหรอก มันคือการเห็นแก่ตัวมากกว่า"

"ชีวิตคนเรา บางครั้ง ความเห็นแก่ตัวบางอย่างก็คือคำตอบของการใช้ชีวิตไม่ใช่เหรอ
ก็ไม่ต่างกับที่นายกำลังทำอยู่หรอก"

เราทั้งคู่นิ่งเงียบไปพักนึง จนอดิศัยเดินเข้ามา

"วิศรุต เราไปห้องสมุดกันเถอะนะ"

สุทธิพงษ์พูดกับผมอย่างอ่อนโยน

"ไปกัน 3 คนนี่แหละวิศรุต ไปนั่งอ่านหนังสือกัน 3 คน และนายก็ไปบอกพวกศราวุธว่า
ที่นายคิดว่านายชอบเล่นบอลนั้นมันเป็นเรื่องเข้าใจผิด หรือจะอ้างว่านายมีโรคประจำตัวอะไรก็ได้"

อดิศัยยังพูดกับผมอีก "วิศรุตไปห้องสมุดกันเถอะ"

ผมระงับอารมณ์ไม่อยู่จึงตวาดออกไป "นายอยากจะไปไหนก็ไปสิ มันเกี่ยวอะไรกับเราด้วย"

อดิศัยหน้าเสีย เขาแสดงสีหน้าว่ารู้สึกไม่ดีเอามากๆ แล้วเขาก็เดินจากไป

สุทธิพงษ์ลุกและกำลังจะเดินตามอดิศัยไป ก่อนจะจากไป เขาไม่ลืมที่จะทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ให้ผมครุ่นคิด

"นายจะต้องเสียใจที่นายพูดกับอดิศัยไปแบบนั้น"

................................................

(หมายเหตุ เห็นเคยมีคนถามว่าตอนนี้อดิศัยกำลังทำอะไรอยู่ ตอนนี้เขารับราชการทหารครับ)

==========================================

หลังจากคุยกับสองคนนั่นแล้ว ยอมรับว่าผมเองก็ต้องรุ้สึกอะไรบางอย่างเหมือนกัน

ปัญหาคือ ผมจะไม่ได้อยู่ ม.4ไปทั้งชาติ นั่นคือข้อเท็จจริงที่เป็นยิ่งกว่าเหตุผล
เมื่อผมประจักษ์แล้วว่าชีวิตมันเป็นอย่างนั้น สิ่งที่ผมจะทำต่อไปคืออะไรดี

สิ่งที่ผมอยากทำ

สิ่งที่ผมต้องทำ

หรือสิ่งที่ผมควรทำ

ใครกันที่จะเป็นคนเลือกเกณฑ์ว่า ณ ขณะเวลาหนึ่ง มนุษย์ควรจะเลือกทะอะไร

ถูก ผิด มันคืออะไร

สังคม วัฒนธรรม วิถีชีวิต คนรอบข้าง ทำไมเราจะต้องแบกอะไรไว้มากกว่าตัวตนที่เราสำนึก
หรือเราควรจะกลายสภาพเป็นหุ่นยนต์ จะได้ไม่รู้สึกว่าหนักเมื่อถูกจับบังคับให้แบก

ชีวิต ทางเดิน หนทาง การเลือก ใครกันนะคิดคำพวกนี้ แล้วใครกันที่เป็นคนที่ต้องทำให้ชีวิตดำเนินไป

ขณะที่ผมกำลังคิดวนไปวนมาอยู่ในหัว เสียงที่ผมอยากได้ยินก็ตะโกนดังกึกก้อง

"ไปไหนมาวะ ไอ้รุต กรูตามหาจนเหนื่อยเลย ได้เวลาเล่นบอลแล้วนะ" ไอ้วุธตะโกนเรียกผม
และสิ่งที่ผมตอบออกไปทั้งๆที่ผมยังงงๆอยู่คือ "วันนี้กรูขอตัวนะ กรูรู้สึกไม่ค่อยสบาย"

แล้วผมก็เดินจากมา ผมอาจจะต้องการเวลาคิด ... อีกครั้งก็ได้

โชคดีมากที่ช่วงนั้นทางโรงเรียนจัดให้มีการประกวดการแต่งคำประพันธ์ ผมจึงสมัครเข้าประกวด
และถือเป็นข้ออ้างในการระงับการเข้ากลุ่มไอ้วุธไว้ชั่วคราว

หลายคนเข้าใจว่าผมต้องการสมาธิ และช่วงที่ผมกำลังต้องการสมาธิอยู่นั้น
อาจารย์จากหมวดวิทย์ก็เข้ามาทาบทามผมให้เป็นตัวแทนของโรงเรียน
ในการไปร่วมเสนอผลงานเนื่องในวันวิทยาศาสตร์ที่โรงเรียนปทุมคงคา

ตอนนั้นผมยังไม่ได้รับปากอาจารย์ และตอนนั้นวสุเป็นคนมาบอกว่า "พรุ่งนี้ไม่ต้องแต่งชุด รด.นะโว้ย"

เรื่องมีอยู่ว่าพวกเราเรียน รด. กันวันศุกร์แต่ช่วงนั้นทางโรงเรียนนึกคึกเลยกำหนดว่าให้เราแต่งชุด รด.
สัปดาห์ละ 2 วันคืออังคารกับศุกร์ ทั้งๆที่วันอังคารก็มาเรียนที่โรงเรียนนี่แหละ

แต่มันแปลกตรงที่ว่าวสุบอกเพื่อนทั้งห้องในวันจันทร์ของสัปดาห์หนึ่งว่า "พรุ่งนี้ไม่ต้องแต่งชุด รด. แล้วนะ"
ผมสังหรณ์ตั้งแต่ทีแรกแล้วว่าทำไมไม่มีการประกาศออกไมล์อย่างเป็นทางการ

พอวันรุ่งขึ้นกลายเป็นห้องเราห้องเดียวที่ไม่แต่งชุด รด. ส่วนห้องอื่นนั้นแต่งกันหมด
ผมถามวสุ วสุบอกว่า "อ.สมเกียรติบอกมาอย่างนั้น" เช้านั้นพวกเราถูกทำโทษโดยการถูกตีที่ก้นคนละ 6 ทีทั้งห้อง
และผู้ที่มาทำโทษพวกเราคือ อ.สิงหล

ผมสงสัยว่าเหตุการณ์มันไม่ชอบมาพากล หรือแกยังติดใจในเรื่องบัตรสนเท่ห์ แต่นั่นมันก็นานมาแล้วนะ
หรือแกยังติดใจอยู่ แต่ดูแล้วเหตุการณ์ไม่สู้ดีนัก

หลังจากที่พวกเราโดนลงโทษกันโดยทั่วหน้าแล้ว ผมก็เดินไปที่หมวดวิทย์ก่อนที่จะเข้าเรียน
เพื่อไปบอกกับอาจารย์ในหมวดว่า "ผมจะไปที่ปทุมคงคาเองครับ"
หลังจากนั้นอาจารย์หมวดใดที่เคยทาบทามอะไรผมไว้ ผมก็วิ่งไปบอกในเช้านั้นว่า ผมจะทำให้เหมือนกันหมด

และพอรุ่งเช้าอีกวัน ผมก็แข็งใจไปยืนอยู่หน้าห้องหมวดพละเพื่อที่จะอาสาเป็นคนเบิกอุปกรณ์กีฬา
ให้กับนักเรียนทั้งโรงเรียน ไม่ต้องบอกนะครับว่าผมเอาไอเดียนี้มาจากไหน

ผมยังจำความรู้สึกในวันนั้นได้ดี ผมยืนอยู่หน้าหมวดพละ ตอนแรกเลือกคำขวัญที่ทำให้จิตใจฮึกเหิมว่า

"อยากได้ลูกเสือก็จะต้องกล้าเข้าถ้ำเสือ"

แต่พอมาคิดอีกที "ลูกเสือเหรอวะที่เราอยากได้"

ผมก็เลยเปลี่ยนคำขวัญใหม่ในบัดเดี๋ยวนั้นว่า

"ต้องใจดีสู้เสือ"

เฮ้อ ขนาดหาคำขวัญปลุกใจ ผมก็ยังต้องยืนอยู่หน้าหมวดอยู่นานก่อนที่จะเดินเข้าไปข้างใน

===================================================

พอยืนทำใจได้สักพัก ผมก็เดินเข้าไปในหมวด ตอนนั้นจำได้ว่าลุ้นมากว่าผมจะเจอใครก่อน ช่วงที่กำลังเดินอยู่นั้นสิ่งหนึ่งที่นึกขึ้นมาได้คือ สุภาษิตไทยที่เขาบอกไว้ว่า

"ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี"

ผมชักจะเห็นด้วยก็ตอนนั้นแหละ เพราะหนังสือหรือความรู้นับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญก็จริง แต่ตัวเลขหรือโชคชะตาหรือโอกาสก็นับว่าเป็นสิ่งที่จะคอยเกื้อหนุนชีวิตของเราได้ส่วนหนึ่ง แต่ปากหรือคำพูดนั้นนับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก น้องๆที่กำลังเรียนอยู่อาจจะยังเห็นได้ไม่ชัด แต่น้องๆที่ทำงานแล้วคงรู้ซึ้งถึงคำว่า

"ลิ้นสามารถพลิกโอกาสให้เราได้" หรือ "ปลาหมอตายเพราะปาก" หรือ "ปากคนยาวกว่าปากกา"

ขณะที่ผมเดินเข้าไปในหมวดพละนั้น ไม่ว่าจะไปเจออาจารย์ท่านใดก็ตาม แต่คำพูดประโยคแรกของผมต้องตรงประเด็น และเป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ จะบิดพลิ้วบกพร่องไม่ได้เลยแม้แต่ตัวอักษรเดียว

ขณะกำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่นั้น อ.สิงหลก็เดินออกมาจากไหนก็ไม่รู้ ตอนแรกผมนึกว่ายักษ์ซะอีก เพราะแกตัวใหญ๋มาก อ้วนกลม ผิวดำเข้ม และพูดจาดุดัน พอแกเห็นผมแกก็ใช้น้ำเสียงที่ดุดันทักทายผมแบบเสียมิได้

"ใครใช้ให้มาเดินแถวนี้"

ผมรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี และพูดออกไปด้วยประโยคที่เรียบเรียงเป็นอย่างดีในขณะที่มีเวลาจำกัด

"มาปรึกษาอาจารย์เรื่องอยากจะมาอาสาช่วยเบิกอุปกรณ์กีฬาครับ"

อ.สิงหลได้ยินดังนั้น แกก็เริ่มที่จะสนใจขึ้นมา "อืม ... นั่งลงดิ"

ก่อนนั่งผมก็ไหว้แกไปหนึ่งทีในความเมตตากรุณาที่แกอนุญาติให้ผมนั่ง ตอนนั้นผมไหว้สวยกว่านางสาวไทยอีกนะ แต่ผมยังดูเป็นผู้ชายอยู่ ซึ่งนั่นมันก็ดีแล้ว เพราะ อ.สิงหลจะเกลียดพวกที่อยู่แถวลานต้นสนมากถึงมากที่สุด ทำไมแกถึงเกลียดมาก ผมคงไม่ต้องสาธยายนะครับ

"ไหนบอกแนวคิดของเอ็งมาสิ"

ผมพยายามใช้คำพูดที่สั้นๆและไม่เยิ่นเย้อ

"เห็นว่านักเรียนในโรงเรียนของเราชอบเล่นกีฬาในเวลาว่างกันมากขึ้น แต่คนเบิกอุปกรณ์และช่วยดูแลยังขาดอยู่ ผมเลยมาขออาสา"

แกวางมาดอย่างกับก๊อดฟาเธอร์

"ว่างมากหรือไง"

"เปล่าครับ ผมแค่เห็นว่าผมพอจะช่วยได้ ผมก็เลยมาอาสา"

แกนั่งคิดนิดนึงแล้วก็บอกว่า "ตกลง พรุ่งนี้มาทำงานนี้ได้เลย ต้องมาทำทุกเช้า กลางวันและเย็นเลยนะ ห้ามอู้ ห้ามขี้เกียจไม่งั้นเจอดีแน่"

พูดไม่พูดเปล่า แกยังหนอกล้อผมด้วยการตีที่ต้นแขน 1 ที เจ็บครับ เจ็บมากเลย แต่แผนการณ์ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และง่ายดายกว่าที่ผมคิดไว้

การที่ผมมาทำงานตรงนี้ ผมเองต้องฝากงานบางอย่างของห้องสมุดให้อัคนีทำแทน การเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้มันมีประโยชน์มากมายหลายอย่าง เช่น

1. การทำเกรดวิชาพละทางลัดในขณะที่ผมยังสอบเทียบไม่ได้
2. ได้มีเวลาคิดว่าจะทำยังไงต่อไปดีสำหรับเรื่องของผมกับศราวุธ ขณะที่คิดผมก็คงมีโอกาสได้เจอศราวุธบ้าง เพราะเขาต้องมาเบิกอุปกรณ์กีฬาแน่ๆ
3. ผมจะได้รู้จักรุ่นพี่และเพื่อนๆห้องอื่นมากขึ้น และที่สำคัญพวกที่ชอบเล่นกีฬามักจะหุ่นดีและหน้าตาหล่อ ตรงนี้แววเจ้าชู้เริ่มออก
4. ผมจะได้คุ้นเคยกับ อ.หมวดพละมากขึ้น เพราะทุกคนใช่ว่าจะโหด ที่เห็นๆว่าโหดก็มีแค่ 3 คือ อ.สิงหล อ.สมภพ และอ.วินัย แต่ก็ยังมีที่เป็นสุภาพบุรุษและหล่อที่ผมอยากรู้จักอีกสองคือ อ.ธีรภัทรกับ อ.เจษฎา
5. และผมจะได้มีเวลาอ่านหนังสือ คิดโครงการที่จะเอาไปแสดงที่ปทุมคงคาและแต่งคำประพันธ์ส่งเข้าประกวด

เพียงแค่นี้ แผนกระสุนนัดเดียวได้นก 5 ตัวของผมก็เริ่มขึ้น การทำงานตรงนี้ผมก็หวังที่จะผ่อนคลายจากความเครียดที่ผมเคยปะทะความคิดกับสุทธิพงษ์ จริงๆแล้วที่เขาพูดมันก็น่าคิดอยู่เหมือนกัน

ประเด็นมันอยู่ที่ผมไม่ได้เรียน ม.ปลายตลอดชาติ เพราะฉะนั้นผมควรจะไม่ปล่อยตัวเผลอใจหรือควรจะฉวยวันเวลาเอาไว้ ผมควรจะทำยังไงดี ไม่เป็นไรหรอก ผมยังมีเวลาที่จะคิดอีกพอสมควร ตอนนี้มาคิดดีกว่าว่าผมควรจะทำแผนกเบิกอุปกรณ์กีฬาของโรงเรียนให้มันมีสีสันได้ยังไง

ตอนที่ผมกลับไปที่บ้านลุง ก็ได้รับข่าวว่าพ่อกับแม่จะลงมาเยี่ยมในเร็ววัน และท่านทั้งสองก็ได้แก้ไขสถานการณ์วิกฤตไปพอสมควรแล้ว

ขณะที่ผมกำลังนั่งคิดวางแผนสำหรับงานใหม่อยู่นั้น สหชัยก็เดินเข้ามาหาผมแล้วเอาปากกามาให้ผม

"เห็นเหมาะกับนายเลยซื้อมาฝาก" แล้วเขาก็เดินออกไป ไอ้หมอนี่มันจะมาไม้ไหนกันแน่ เวลาผมกับเขาและลุงนั่งดูทีวีกันแล้วมีข่าวเกี่ยวกับเกย์ฆ่ากันตาย ลุงมักจะสบถว่า "ไอ้พวกเหรี้ยนี่เมื่อไหร่แม่งจะตายกันไปให้หมดโลกซะทีวะ"

ผมก็ได้แต่นึกในใจว่า "เกรงใจกันบ้างสิเฮีย มีเกย์อยู่ตรงนี้ 1 คน และลูกเฮียเองก็เข้าข่ายผู้ต้องสงสัยอีกด้วยนะ ... จะบอกให้"

===================================================




 

Create Date : 28 มกราคม 2549
3 comments
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2549 9:23:20 น.
Counter : 1096 Pageviews.

 



สมหวังร่ำรวยตรุษจีนนะครับ

 

โดย: Mr.Vop 28 มกราคม 2549 9:30:12 น.  

 

ผมคงต้องแวะมาบ่อยแล้ว

 

โดย: เหอะๆ IP: 58.10.238.105 30 มกราคม 2549 8:08:53 น.  

 

สวัสดีค่ะพี่วิศรุต นู๋รู้ว่าพี่คงไม่รู้จักนู๋หรอกค่ะ นู๋ชื่อพลอยค่ะ มีความบังเอิญที่ทำให้นู๋ได้เจอกับกระทู้ของพี่ในpantip และนู๋ก็รู้สึกว่า มันเป็นความบังเอิญที่วิเศษมากๆเลย เพราะทำให้นู๋ได้มาเจอพี่ไงคะ ตั้งแต่อ่านความในใจของเกย์คนหนึ่ง(ตอนที่8เป็นตอนแรกที่นู๋เจอค่ะ)นู๋ก้อหลงรักการเขียนของพี่มากๆๆๆ จิงๆคือนู๋กำลังเซิร์ชงานอยู่ค่ะ จู่ๆก้อมาเจอกระทู้ของพี่ ทีแรกก็ไม่ค่อยสนใจ แบบว่าไม่ใช่ประเภทที่ตัวเองชอบอ่าน และเป็นกระทู้ของเกย์(ซึ่งไม่น่าจะชอบกันในแง่ความรักได้) แต่พอนู๋ลองอ่านดู นู๋ก้อตกหลุมรักพี่อย่างแรง จิงๆนู๋ไม่ได้เป็นสมาชิกของpantipอะค่ะ เลยไม่แน่ใจว่าพี่จะได้อ่านคห.ของนู๋รึเปล่า เลยมาเขียนในนี้อีกทีค่ะ ..เขียนยาวไปรึเปล่านะ? ขอโทษด้วยแล้วกันนะคะ ยังไงก้อตามถึงพี่จะไม่ได้ชอบนู๋ หรืออาจจะรุสึกแปลกๆที่มีคนมาเขียนอะไรแบบนี้ แต่นู๋ก้อยังมีส่วนเหมือนพี่นะคะ ก้อชอบผู้ชายไงล่ะ! (อิอิ) จะขอเป็นกำลังใจให้พี่ต่อไปค่ะ จุ๊บ

 

โดย: พลอย ...ก้อแค่เด็กคนหนึ่ง IP: 58.10.95.91 1 กุมภาพันธ์ 2549 18:53:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


นาย Q
Location :
Over the rainbow United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





BlogStat:
Friends' blogs
[Add นาย Q's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.