Better to reign in Hell than serve in Heaven
Group Blog
 
 
มกราคม 2549
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
28 มกราคม 2549
 
All Blogs
 
ความในใจของเกย์คนหนึ่ง (ถึงคนทั่วไป) ตอนที่ 11

บทความนี้คัดมาจากเรื่อง ความในใจของเกย์คนหนึ่ง (ถึงคนทั่วไป) ที่คุณวิศรุตแต่งขึ้น
โพสต์ครั้งแรกที่ห้องถนนนักเขียน
//www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4037641/W4037641.html


<<< ตอนที่ 10
ตอนที่ 12 >>>




พ.ศ. 2529

อีกเช้าหนึ่งของการไปโรงเรียน เป็นเช้าที่ผมต้องมานั่งผูกเชือกรองเท้าเหมือนเดิม และสหัสชัยก็ออกมานั่งด้วย
เรามักจะออกจากบ้านในเวลาที่ตรงกันเสมอ มีบ้างที่ผมออกก่อนหรือเขาออกก่อน แต่ส่วนมากมักจะตรงกัน

วันนี้เขาก็นั่งผูกอยู่ข้างๆผม ผมไม่ได้ทักทายอะไรเลย เพราะเคยบอกว่าหวัดดีครับไปแล้วหลายครั้ง
แต่ไม่เคยได้ยินเสียงตอบกลับมา ขณะที่ผมกำลังผูกเชือกรองเท้าจนใกล้จะเสร็จนั้น
ผมก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังมาจากคนที่นั่งข้างๆ

"หวัดดีครับ"

.................................................

บรรยากาศของโรงเรียนชายล้วนยังคงเหมือนเดิม มีนักเรียนชายเดินกันขวักไขว่อยู่เต็มไปหมด
แต่สองกลุ่มที่ค่อนข้างเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนคือกลุ่มเล่นบอลกับกลุ่มลานสน
แต่เช้านั้นมันมีอะไรมากกว่าที่เคยเป็นมา

ขณะที่พี่จอมกำลังถอดเสื้อเล่นบอลอยู่กลางสนามคล้ายกับทุกวัน ตรงบริเวณที่อยู่ใกล้กับลานสน อ.สมเกียรติ
อ.ฝ่ายปกครองของโรงเรียนกำลังดู ด่า ว่า กล่าว พี่สุชาติหรือสุชาวดีอยู่ในขณะนั้น

"เกิดเป็นผู้ชายซะเปล่า ทำตัวอย่างกับพวกโรคจิต เทอมนี้ยิ่งหนักข้อมากขึ้นทุกที เป็นบ้าอะไรไป"

พี่สุชาติไม่ได้พูดอะไรโต้ตอบ ได้แต่ยืนก้มหน้านิ่ง

"ทำตัวอย่างกับตัวประหลาด จะผู้หญิงก็ไม่ใช่ ผู้ชายก็ไม่เชิง นับวันก็ยิ่งทำตัวงี่เง่าขึ้นทุกวัน"

ขณะที่พี่จอมเล่นบอลอยู่นั้น เมื่อเขาเห็นเหตุการณ์ เขาถึงกับชะงัก แล้วรีบวิ่งมาตรงที่
อ.สมเกียรติกับพี่สุชาติยืนอยู่
อ.สมเกียรติงงที่พี่จอมวิ่งมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

"พอเถอะครับอาจารย์ พอได้แล้ว"

อ.สมเกียรติเปลี่ยนเป้าหมายทันทีจากพี่สุชาติมาเป็นพี่จอม

"แล้วโผล่มาได้ยังไงเนี่ย เสื้อแสงก็ไม่ใส่ แต่งตัวไม่เรียบร้อยเลย"

อ.สมเกียรติเดินเข้าไปใกล้พี่จอมมากขึ้นพร้อมกับเหวี่ยงฝ่ามือไปฟาดที่อกแกร่งของพี่จอมอย่างแรง
จนพี่จอมต้องเซไปข้างหลังนิดนึงโดยมาเท้าซ้ายถอยไปข้างหลังเพื่อยึดไว้เป็นที่มั่น
เหตุการณ์นั้นสร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนในที่นั้น พี่สุชาติวิ่งร้องไห้ออกไปจากตรงนั้นโดยมี
"ยัยทอมมี่" สมาชิกลานสนเกย์สีม่วงองุ่นที่ก๋ากั่นแบบสุดๆคอยวิ่งไปปลอบ

"รอเดี้ยนด้วยฮ่ะ พี่สุชาวดี"

อ.สมเกียรติเป็นอาจารย์ที่ชอบกระทำรุนแรงกับนุกเรียนชายทุกครั้งที่มีโอกาส
สิ่งที่แกทำมีอยู่สองอย่างคือฟาดหน้าอกกับทุบหลัง พอผมเห็นสิ่งที่แกกระทำ ผมก็ต้องอุทานในใจว่า
"ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก" เพราะเรื่องที่ อ.สิงหลชอบทำอะไรรุนแรง
ยังเป็นประเด็นที่ห้องของผมยังถกกันอยู่เลย นี่โผล่มาอีกหนึ่ง

ต่างกันนิดเดียวตรงที่ว่า อ.สิงหลถนัดใช้เท้า ส่วน อ.สมเกียรติถนัดใช้ฝ่ามือและกำปั้น
เท่าที่ผมพอจะรวบรวมข้อมูลได้ นักเรียนชายที่เคยถูก อ.สมเกียรติทุบหลังอย่างแรงมาแล้วมีอยู่ไม่ใช่น้อย
อาจจะถึงขั้นเป็นร้อยคน

เรากลับมาพูดถึงเรื่องของพี่จอมกับพี่สุชาติดีกว่า ตอนที่ทั้งคู่เข้า ม.4 มามีหลายคนพูดตรงกันว่า
พี่จอมกับพี่สุชาติเป็นคู่หูที่ทักกันเป็นคนแรกคล้ายๆผมกับองอาจ
ตอนนั้นพี่สุชาติยังดูเป็นนักเรียนชายธรรมดาคนหนึ่งที่ดูเรียบร้อย แต่งตัวสะอาดสะอ้านและผิวพรรณดี

หลายคนบอกว่าประมาณช่วง 2 เดือนแรกของการเรียนชั้น ม.4 ทั้งคู่สนิทสนมกันมาก
เพราะมีอะไรหลายอย่างที่คิดเห็นตรงกัน ต่างกันตรงที่พี่จอมชอบเล่นบอลเป็นชีวิตจิตใจ
แต่พี่สุชาติไม่สนใจเลย พี่สุชาติจะชอบเข้าห้องสมุดหรือไม่ก็ชอบไปหาซื้อตำราทำอาหารที่พี่เขาสนใจ

พี่จอมเคยชวนพี่สุชาติเล่นบอลหลายครั้ง แต่พี่สุชาติบอกว่าไม่ชอบ พอเข้าเดือนที่ 3
พี่สุชาติก็เริ่มเปลี่ยนไปทีละนิด และมาสนิทกับสมาชิกที่ลานสนมากขึ้นซึ่งแทบทั้งหมดเป็นเกย์สีม่วงองุ่น

ตอนนั้นพี่จอมรู้สึกแปลกใจในพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของพี่สุชาติ เขาไม่เข้าใจ
ยิ่งนำความรู้สึกของพี่สุชาติมาเปรียบเทียบกับพี่จอมแล้ว พี่จอมยิ่งงงหนัก เพราะพี่จอมชอบเล่นบอล
หลังจากเรียนจบก็คงทำงานอย่างหนัก หาเงินซื้อบ้านซื้อรถ
และหาผู้หญิงน่ารักๆสักคนมาเป็นภรรยาที่เขาพร้อมจะปกป้องเธอไปตลอดชีวิต

แต่พี่สุชาติไม่ใช่ พี่สุชาติใฝ่ฝันอยากจะเป็นเหมือนอาภัสรา นางงามจักรวาลคนแรกของไทย
พี่สุชาติอยากจะสวยแบบนั้น อยากจะมีกิริยาแบบนั้น และอยากจะคว้ามงกุฏความงามมาครอบครอง
อย่างที่คุณอาภัสราทำ เธออยากจะเป็นที่ยอมรับแบบนั้น

พี่สุชาติรู้สึกเสียดายมากที่เธอไม่ได้เกิดมาทันในสมัยที่คุณอาภัสราคว้ามงกุฏนางงามจักรวาล
เธอฟังแต่ที่แม่เล่าให้ฟังว่าสมัยนั้นพอคนไทยรู้ข่าวว่าคุณอาภัสราสามารถคว้าตำแหน่ง
นางงามจักรวาลมาครอบครองได้ พวกเขาก็โห่ร้องกันลั่นด้วยความยินดี
และมันทำให้ประเทศชาติมีชีวิตชีวาขึ้นมาในชั่วระยะเวลาหนึ่ง

แต่พี่สุชาติหารู้ไม่ว่า พี่สุชาติกำลังจะได้ของขวัญชิ้นพิเศษจากคนบนฟ้า
เพราะปีหน้าคุณปุ๋ย พรทิพย์กำลังจะทำให้ความฝันของพี่สุชาติเป็นจริง ขณะที่พี่สุชาติกำลังวิ่งไปร้องไห้
โดยมียัยทอมมี่คอยปลอบใจ เป็นเวลาเดียวกับที่คุณปุ๋ย พรทิพย์กำลังเตรียมตัวเข้าประกวดธิดาโดมแอลเอ
โดยที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าการก้าวเข้ามาประกวดธิดาโดมแอลเอนี้จะทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

==============================================

พอกลับเข้ามาในห้อง ม.4/1 ผมขอพูดถึงกลุ่มเกย์เบญจรงค์ก่อนดีกว่าก่อนอื่นอยากพูดว่า
พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ในปัจจุบันนี้

สุทธิพงษ์ เรียนจบปริญญาตีและโท คณะวิศวกรรมศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง เขาเอ็นท์ติดตั้งแต่ ม.5

นิธิ เป็นสจ๊วตของสายการบินแห่งหนึ่ง

นเรศเป็นอาจารย์ เขาเป็นติวเตอร์สอนคอร์สโทเฟิลได้ดีมาก

กิตติคุณ เรียนจบทางบริหารธุรกิจ ทั้งตรี โท เอก จากสหรัฐอเมริกา เกือบลืมว่าเขาจบตรีที่เมืองไทยก่อนครับ
จากสถาบันมีชื่อแห่งหนึ่ง

และผม ความสำเร็จล่าสุดคือ การกลับเข้ามาเป็นสมาชิกของพันทิปอีกครั้ง

ตอนนั้นกลุ่มเกย์เบญจรงค์นับเป็นกลุ่มเด็กเรียนที่ค่อนข้างชัด พอว่างเมื่อไหร่ก็เข้าห้องสมุดหรือไม่ก็หาที่นั่งติวกัน

ผมเองก็มีพฤติกรรมแบบเดิมๆคืออาสาเป็นเจ้าหน้าที่ห้องสมุด น่าแปลกมากเลย ตอนทำงานอยู่นี้
ผมยังเข้ามาใน "ห้องสมุด" ของพันทิปอีก สงสัยจะผูกพันกับห้องสมุดไปจนตาย

ขอพูดถึงการพัฒนาของอีกกลุ่มหนึ่ง ตอนแรกกลุ่มนั้นมีสมาชิกแค่ 2 คนคือศราวุธกับพิทยา
หลังจากคู่นี้เล่นบอลกับเพื่อนๆได้ไม่นาน เขาก็รู้จักกับชายหนุ่มหน้าตี๋ที่รวยมากๆ ที่ชื่อว่าทศพล
หลังจากนั้นกลุ่มนี้จึงมีสมาชิก 3 คน แต่ไม่นานนัก กลุ่มนี้ก็ได้สมาชิกคนที่ 4
การเข้ามาของสมาชิกคนที่ 4 นี้ เหมือนเป็นการเข้ามาโดยบังเอิญ สมาชิกคนที่ 4 ของกลุ่มคือ อัคนี

หลังจากนั้นผมก็เรียกกลุ่มนี้ว่ากลุ่มจตุรเทพนับแต่นั้นเป็นต้นมา

ตอนแรกอัคนีเองก็มีเพื่อนคู่หูเหมือนกัน เขาชื่อว่าวิวัฒน์ แต่พอวิวัฒน์อ้างว่าเขาไปติดต่อราชการ
ในสถานที่ราชการแห่งหนึ่ง วันนั้นเขาเข้าห้องน้ำ กำลังยืนฉี่อยู่ แล้วก็มีผู้ชายตัวใหญ่มาจับวิวัฒน์เข้าไปในห้องน้ำ
แล้วก็ล่วงละเมิดทางเพศเขาอย่างถึงพริกถึงขิง เรื่องราวที่วิวัฒน์เล่าให้ผมกับอัคนีฟังในวันนั้น
มันค่อนข้างเหลือเชื่อมากทีเดียว แต่พอมาจนถึงวันนี้ผมว่ามันมีมูลอยู่บ้าง

หลังจากนั้นอัคนีก็รู้สึกโดดเดี่ยวที่เขาเหมือนกับถูกวิวัฒน์ตีจาก วิวัฒน์ได้เข้าเป็นสมาชิกของ "ลานสน"
และได้รับการบัญญัติชื่อใหม่ว่าวิลาวัณย์

ส่วนอัคนีนั้น ศราวุธเป็นคนลากมาเข้ากลุ่มเข้า จนกลุ่มของศราวุธมีอยู่ด้วยกัน 4 คน
อัคนีต่างจากคนอื่นในกลุ่มคือพอเล่นบอลได้บ้าง แต่ไม่ค่อยชอบนัก
อัคนีนับเป็นตัวแปรสำคัญที่ดึงให้ผมเข้าใกล้กับศราวุธโดยที่ผมไม่ได้ตั้งใจ (แต่ความรู้สึกภายในมันเรียกร้องแบบสุดๆ)

และในตอนนั้นบรรยากาศแบบเดิมๆก็ยังคงอยู่เมื่อศราวุธเข้ามานั่งจดงานบนกระดานข้างๆผม
ตอนที่เขาจดงานบางครั้งก็อ่านที่อาจารย์เขียนไม่ออก เขาก็ถามผม น่าแปลกที่ผมอ่านได้ทุกตัวอักษร
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมใกล้ชิดเขาเฉพาะเวลานั้นเท่านั้น

ถึงมันจะเป็นเวลาช่วงสั้นๆ แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ผมได้รับไออุ่นบางอย่างจากเขา แต่สำหรับเขาแล้ว
เวลาช่วงสั้นๆนั้นทำให้เขารู้สึกว่า ผมน่าจะเป็นเพื่อนที่น่าจะคบหาสมาคมด้วยอีกคนหนึ่ง ก็เท่านั้น
ตอนนั้นเขายังไม่คิดอะไรมาก คงคิดแต่เพียงว่าผมก็เป็นเพื่อนที่มีน้ำใจคนหนึ่ง

อยู่มาวันหนึ่ง หัวหน้าห้องของผมคือ วสุ ก็ได้เข้ามาทาบทามผมให้รับหน้าที่สำคัญในห้องเป็นครั้งแรก

"วิศรุต นายช่วยมาเป็นเหรัญญิกให้เราหน่อยสิ ถ้าให้ไอ้พวกทโมนนั่นเป็น เราว่าเงินคงหายหมด"

ผมตอบตกลงเพราะอยากช่วยงานวสุบ้าง ผมชอบทำตัวให้เป็นประโยชน์อยู่แล้วนี่ครับ
แล้วก็มีอยู่วันหนึ่งที่ทำให้ผมคุ้นเคยกับอัคนีมากขึ้น เพราะวันนั้น 3 จตุรเทพใช้เวลาให้หมดเปลืองไป
กับการเล่นบอลอย่างสนุกสนาน ส่วนอัคนีใช้เวลาเข้ามาค้นคว้าในห้องสมุด

ช่วงนั้นเขากำลังจะหาหนังสืออะไรอยู่ก็ไม่ทราบ แต่เห็นหาเท่าไหร่ก็ไม่พบสักที
กลุ่มเกย์เบญจรงค์ทุกคนนั่งอยู่แถวนั้น ผมเห็นเขากุลีกุจออยู่นานแล้ว ผมจึงเข้าไปช่วยเขาหาหนังสือ
พอหาเจอก็เลยนั่งคุยกันหน่อยนึง คือนั่งคุยกันสองคนโดยแยกออกมาจากกลุ่มของเกย์เบญจรงค์

ผมถามขึ้น "ทำไมไม่ไปเล่นบอลกับไอ้วุธล่ะ"

"อืมก็มีบ้าง แต่ช่วงนี้เซ็งๆ เลยไม่อยากเล่น"

"นายเซ็งเรื่องอะไรเหรอ"

"ก็เรื่องของ ... เออ ... วิวัฒน์น่ะสิ"

พอเข้าพูดมาแค่นี้ก็ทำให้ผมนึกถึงเรื่องของพี่จอมกับพี่สุชาติขึ้นมาทันที

"ตอนแรกเราก็กลับบ้านกับเขา กินข้าวกับเขา และก็นั่งเรียนด้วยกัน วิวัฒน์ไม่มีวี่แววเลยว่าจะเป็นแบบนี้
เราเองงงไปหมดเลยที่เขาเปลี่ยนพฤติกรรมเร็วมากจนเราแทบตั้งตัวไม่ทัน มันอะไรกันนักกันหนานะ"

ผมเข้าใจถึงความหงุดหงิดของเขา มันเป็นอะไรที่บางครั้งบางคนจะเรียกว่า "สิ่งที่เข้าใจไม่ได้"

วันนั้นผมคุยกับอัคนีหลายเรื่องจนทำให้เราสนิทกันมากขึ้น พอตอนจะกลับบ้านกลุ่ม 4 จตุรเทพ
จะเดินออกนอกโรงเรียนไปพร้อมกันเพื่อไปเล่นบอลกันที่อื่น และแล้ววันหนึ่งอัคนีก็เข้ามาทักผม
ตอนนั้นผมเดินกลับบ้ายคนเดียว

การทักของเขาทำให้อีก 3 จตุรเทพต้องหยุดรอ ผมยอมรับว่าเวลายืนคุยกับอัคนี ผมจะชอบมองเลยไปถึงศราวุธ
ผมชอบมองเขามากขึ้นทุกวัน แต่มันไม่ค่อยจะมีโอกาสเท่าไหร่นัก เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาสเล็กๆน้อยๆ ผมก็ต้องฉวยมันไว้
เปรียบกับคนที่เดินอยู่ในทะเลทราย แม้เห็นน้ำซักหยด เขาก็ไม่อาจมองข้าม ต่างจากคนบางคนที่ปลูกบ้านอยู่ริมน้ำ
ที่พอมีขยะก็ทิ้งลงในน้ำโดยที่ไม่ได้คิดอะไร

นอกจากเวลาที่ศราวุธมานั่งจดงานข้างๆผมแล้ว ผมไม่มีโอกาสที่จะใกล้ชิดเขาเลย จนถึงวันหนึ่งที่เหมือนกับเป็นใบเบิกทาง
ให้สิ่งที่ยากกลายเป็นสิ่งที่ง่ายขึ้น เมื่อศราวุธนึกอยากที่จะเล่นปิงปอง และเขาเตรียมไม้ปิงปองไว้พร้อมแล้ว
แต่พิทยาลืมเอาลูกปิงปองมา ผมยังจำเหตุการณืในวันนั้นได้ดี

ศราวุธดูกระวนกระวายเพราะเขาอยากเล่นปิงปองมาก เขาก็เลยถามแบบพล่านไปทั่งห้อง

"ใครติดลูกปิงปองมาบ้างวะ"

จริงๆแล้วในกรัเป๋าของผมจะมีลูกปิงปองอยู่ 3 ลูก และลูกเทนนิสอยู่ 3 ลูก ผมต้องติดเอาไว้ในกระเป๋าไม่เคยขาดเลย
ผมเอาไว้ทำอะไรน่ะเหรอครับ เดากันเอาเองก็แล้วกันนะ

ตอนขณะที่ศราวุธถามคนอื่นไปทั่ว และเขาไม่สนใจไยดีผม ผมนั่งคิดอยู่ตั้งนานว่าผมจะเอาลูกปิงปองให้เขายืมดีไหม
คือ ผมสองจิตสองใจครับ ตอนนั้นผมรู้ตัวดีว่าผมเริ่มมีใจให้กับเขาแล้ว และเขาเองก็เริ่มชอบผมแบบ "เพื่อน"

ตอนนี้มันขึ้นอยู่กับผมแล้วว่าผมจะเลือกที่จะทำตัวใกล้เขามากขึ้น หรือรักษาระยะห่างให้เท่าเดิมหรือไกลกว่าเดิม
ผมจะทำยังไงดีนะ ผมจะทำยังไงดี แต่ตอนนั้นผมเห็นใจเขา ศราวุธเป็นผู้ชายที่ชอบเล่นกีฬาทุกประเภท
และเวลาที่เขาใส่แต่เสื้อกล้าม เขาชอบเบ่งกล้ามเพื่อดูว่าตัวเองล่ำถึงขั้นไหนแล้ว

วันนั้นเขาก้ดันอยากเล่นปิงปองขึ้นมาด้วยสิ ผมเห็นใจเขานะ ผมเลยตัดสินใจเดินไปหาเขาพร้อมกับเอาลูกปิงปองให้เขาไป 1 ลูก
เขางงมาก

"ไอ้รุต นายมีลูกปิงปองด้วยเหรอวะ ขอบใจว่ะ แต่ เอ ไม่เห็นนายเคยเล่นกีฬาเลย แล้วนายมีลูกปิงปองเอาไว้ทำไมน่ะ"

"ไม่ต้องถามอะไรให้มันมากเรื่องหรอกไอ้วุธ มองที่มือของนายก็พอ นี่นายมีไม้ นี่นายมีลูก
ตอนนี้นายก็ชวนพิทยาไปเล่นปิงปองได้แล้ว"

ศราวุธมองไปที่มือของเขาตามที่ผมแนะนำ แต่ผมมองไปที่ท่อนแขนของเขาที่เนื้อแน่นและเห็นเส้นเลือดปูดโปนอย่างได้รูป
และขับเน้นความล่ำสันของเขาให้เห็นได้จากแขนที่แกร่ง

"เออ จริงด้วยว่ะ นายพูดถูงไอ้รุต งั้น ขอบใจว่ะ แล้วด้วยเราเอามาคืนนะ นายนี่มีน้ำใจดีจริงๆเลย"

และนั่นเป็นคำชมที่ทำให้ผมสามารถที่จะตัวลอยได้ ผมได้ตัดสินใจทำอะไรบางอย่างไปแล้ว
คือเขยิบระยะห่างของผมกับศราวุธให้เข้าใกล้กันมากขึ้น ให้รู้สึกสนิทสนมกันมากขึ้น
แล้วพยายามทำให้ความหมายใหม่เกิดขึ้นด้วย

วันนั้นนับเป็นก้าวแรกที่สำคัญมาก

============================================

ความผูกพันระหว่างผมกับไอ้วุธเริ่มพัฒนาขึ้นจากความสัมพันธ์แบบผู้ชายก่อน ตอนั้นไอ้วุธซีเรียสเรื่องหุ่นของมันมาก
มันอยากมีหุ่น perfect เหมือนกับพี่จอม ตอนนั้นพี่จอมดูจะเป็นต้นแบบของผู้ชายในอุดมคติของใครหลายๆคน
ช่วงนั้นไอ้วุธมันเอาทั้งวิดพื้น ซิทอัพ และก็เข้ายิม

ส่วนผมเองนั้นผมก็วิดพื้นและซิทอัพเหมือนกัน แล้วก็เอาลูกเทนนิสมาโยนเล่น
แขนกับข้อของผมก็แข็งเหมือนกันในตอนนั้น

ช่วงเช้าๆกลุ่มของศราวุธและคนอื่นๆจะมาประลองกำลังกันด้วยการงัดข้อ ตอนนั้นนับเป็นกิจกรรมโปรดของใครหลายๆคน
ส่วนใหญ่ศราวุธจะเป็นคนชวน วันหนึ่งพอผมเข้าห้องมา พวกเขาก็ประลองกำลังกันแล้ว

ส่วนใหญ่คู่ที่พอฟัดพอเหวี่ยงกันมักจะเป็นศราวุธกับราเมศ เพื่อนๆคงจำราเมศที่ถูก อ.สิงหลเตะก้นได้นะครับ
ถ้ามองจากลำตัวดูเหมือนราเมศจะล่ำกว่า แต่ถ้ามองจากความแกร่งไอ้วุธของผมมีอยู่เต็มร้อย
เวลาที่คู่นี้ขับเคี่ยวกันในการงัดข้อ มันช่างเป็นภาพที่น่าดูมาก

ตอนที่พวกเขาออกแรงหน้าตาจะบูดเบี้ยวกันไปหมด แต่ดูแล้วโคตรเท่เลย มัดกล้ามที่ขึ้นมาตรงแขนจะเห็นได้ชัด
เพราะก่อนที่จะงัดข้อหลายคนชอบดึงเสื้อขึ้นเพื่อจะได้โชว์กล้ามชัดๆหน่อย บางวันไอ้วุธถึงกับถอดเสื้อนักเรียนออก
เหลือแต่เสื้อกล้ามไว้

แล้ววันหนึ่งเมื่อไอ้วุธหันมาหาผมแล้วบอกว่า "มาไอ้รุตมาเจอกับเราหน่อย"

แร่องการใช้คำสรรพนามทำให้ผมแตกต่างจากผู้ชายหลายคนในห้องเพราะส่วนใหญ่เขาจะใช้คำว่า "กรู-มรึง"กัน
แต่พอหลายคนมาพูดกับผม พวกเขาจะเปลี่ยนมาเป็น "เรา-นาย"โดยอัตโนมัติ

ตอนที่ไอ้วุธชวนผม ผมเองก็รู้สึกคึกไปกับมันด้วย ผมจึงรับคำท้าของมัน และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสมือกับไอ้วุธ
ซึ่งผมรุ้สึกเสียวซ่านไปหมดเพราะสัมผัสได้ถึงความเป็นลูกผู้ชายของเขา ผมอาจจะรู้สึกเขิน รู้สึกเหนียมอาย
รู้สึกอะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง

ทางด้านของไอ้วุธเองมันก็รูเสกกับผมประมาณว่าผมแตกต่างจากกลุ่มเบญจรงค์นั่นอย่างชัดเจน
ผมเป็นที่ไว้วางใจของวสุในการให้เป็นเหรัญญิก ผมเข้ากับกลุ่มเบญจรงค์ได้ และผมยังสนใจที่จะงัดข้อกับเขาอีกด้วย
เขารู้สึกว่าผมแตกต่างอย่างชัดเจนกับเพื่อนผู้ชายคนอื่นที่อยู่รอบตัวเขา นั่นทำให้ผมเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับเขา

วันนั้นผมมีความสุขมากที่ได้ใกล้ชิดเขามากขึ้น ตอนงัดข้อกัน ยอมรับเลยว่าข้อของไอ้วุธแข็งมาก แข็งจนผมก็แทบจะทนไม่ไหว
เสียงเชียร์ของเพื่อนๆดังลั่นจนผมเริ่มรู้สึกฮึกเหิมขึ้นจนทำให้ไอ้วุธรู้สึกว่า "มันไม่ง่ายอย่างที่คิด"

ผมพยายามอย่างสุดกำลังที่จะทานพละกำลังอันมหาศาลของเขา แต่สุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ หลังจากแข่งกันเสร็จ
ผมขอจับกล้ามของเขาว่ามันแข็งขนาดไหน โอ้ พระเจ้า มันแข็งมากและเซ็กซี่มากๆเลย ส่วนเขาก็จับกล้ามแขนของผมบ้าง
และพูดว่า "ยังอ่อน" นั่นทำให้ผมต้องฟิตร่างกายให้มากขึ้นเพื่อมาท้าเขางัดข้อ

เหตุการณ์แบบนี้ไม่รุ้จะเรียกว่าอะไรดี แต่ผมมีความสุขมากกับการงัดข้อกับเขา มันเป็นอะไรที่ได้ใกล้ชิดเขา
ได้สัมผัสไออุ่นอันประหลาดจากเขา และผมก็เข้าใจตัวเองมากขึ้นด้วยว่า ผมชอบผู้ชายมากขนาดไหน
ความรู้สึกสมัยที่ผมชอบสมชายท สิทธิพันธ์ และเสกสรรมันกลับมา แต่มันแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
เพราะตอนนี้ฮอร์โมนในร่างกายของผมมันพลุ่งพล่าน

ความคิดความรู้สึกบางอย่างก็เปลี่ยนไป ผมมีความสุขที่ได้ใกล้ชิดเขา และมันร้อนแรงกว่าสมัยที่ผมยังเด็ก
ตอนที่รู้สึกดีๆกับสมชาย สิทธิพันธ์หรือเสกสรร แต่นี้มันไม่ใช่ มันดันมีเรื่องทางเพศเข้ามาเจือปนค่อนข้างมาก
และเรื่องทางเพศที่ผมกำลังพูดมันก็ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับการที่อวัยวะแข็งตัว แต่มันเป็นเรื่องของความอบอุ่นในหัวใจ

มันเป็นเรื่องของการใกล้ชิดที่ทำให้เกิดพลังบางอย่าง แต่ตอนนั้นผมเริ่มเห็นแล้วว่า
ความรู้สึกของผมกับเขามันค่อนข้างสวนทางกันอย่างเห็นได้ชัด ผมรู้สึกว่าเขาอบอุ่นจนอยากเจอกันอีก
แต่เขารู้สึกว่าผมเป็นมิตรและมีน้ำใจจนอยากใกล้ผมเข้ามาเรื่อยๆ ตอนนั้นเราทั้งสองเหมือนกับมีแรงดึงดูดเข้าหากัน
แต่มันค่อยเป็นค่อยไป แต่บังเอิญว่าเป็นแรงดึงดูดคนละแบบ

การที่ต่างฝ่ายต่างมีแรงดึงดูดต่างกันเช่นนี้ ถึงแม้ว่ามันจะดูดให้เราเข้าหากันมากขึ้น
แต่มันก็จะมีแรงผลักที่ทำให้เรารู้ว่าเราเข้ากันแนบสนิทอย่างที่แต่ละฝ่ายต้องการไม่ได้
และตอนนั้นพวกเรายังไม่รู้ตัว พวกเรามีความสุขแค่การไปงัดข้อกัน กานั่งคุยกัน
ตอนนั้นมันมีพลังดูดอย่างมหาศาลจากทั้งสองฝ่าย แต่แรงผลักให้ออกจากกันมันกลับซ่อนเร้นอยู่ในที่เร้นลับแห่งหนึ่ง
ซึ่งยังไม่มีผู้ชายคนไหนเดินทางไปถึงถ้าเขายังไม่มีประสบการณ์เหมือนกับผมและศราวุธในท้ายที่สุด

เช้าวันหนึ่งหลังจากผมกับไอ้วุธงัดข้อกันเสร็จแล้ว ผมก็เดินลงมาข้างล่าง นั่นเป็นช่วงที่พี่จอมเล่นบอลเสร็จพอดี
เหงื่อเต็มตัวแกไปหมด พร้อมทั้งมีคราบโคลนอยู่นิดๆด้วย หลังจากเล่นเสร็จพี่จอมมักตรงไปที่ที่ล้างมือ
ซึ่งเป้นทางยาวและมีก็อกอยู่หลายอันที่ตั้งไว้ริมทางเดิน พี่จอมมักจะไปล้างตัวที่นั่น

เขาล้างมือก่อนแล้วก็ใช้มือวักน้ำล้างตัว หลังจากนั้นเขาก็เอาหัวจุ่มลงไปตรงน้ำที่ออกมาจากก๊อก
แล้วก้เงยขึ้นสะบัดหัวไปมาจาน้ำกระเซ้นไปยังทุกทิศทุกทาง พอเขาสะบัดหัวเสร็จ มันก็จะมีละอองน้ำเล็กๆ
คล้ายๆหยดน้ำมาเกาะตามบริเวณหน้าอก ท้องและแขนของเขา น้ำจากศรีษะ ไหลเรื่อยผ่านหน้า คอและอก

หลังจากชำระล้างคราบไคลแล้วพอเขาหันหน้าออกมาก็สบสายตากับพี่สุชาติที่กำลังยืนมองดูเขา
ตอนแรกทั้งคู่ทำหน้างงๆเมื่อได้สบสายตากัน แต่พี่จอมได้สติก่อนและพยายามยิ้มให้
แต่พี่สุชาติดูขัดเขินและเดินหลบไป พี่จอมมองพี่สุชาติเดินจนลับสายตาไป...

=========================================

เรื่องราวเริ่มดุเดือดมากขึ้นมื่อ อ.สิงหลเมามันกับการเตะก้นนักเรียนชาย
และเขาคิดว่าการจะฝึกให้คนเป็นลูกผู้ชายที่แข็งแกร่งมันต้องฝึกด้วยตรีน
แปลกมากที่มีนักเรียนชายหลายคนไม่เห็นด้วย และเกิดเป็นประเด็นถกเถียงที่ทำให้พวกเราหลายคน
จากหลายกลุ่มรวมตัวกันมากขึ้น โดยมีวสุเป็นผู้นำในการเปิดประเด็น

พวกเราหลายคนเริ่มไม่พอใจต่อพฤติกรรมของ อ.สิงหล และมีหลายคนแนะว่าให้ปรึกษากับ อ.โสภา
แต่หลายคนไม่เห็นด้วยโดยเฉพาะราเมศผู้ที่เคยโดนฝีเท้าของ อ.สิงหลไปแล้ว

"ฟ้องอาจารย์โสภา คิดไยงไงฟ่ะ ไม่สมเป็นลูกผู้ชายเลย เมื่อโดนมันทำอย่างนี้ก็แลกกับมันไปเลยสิ
ลูกผู้ชายด้วยกันจะไปกลัวอะไรมัน" แต่วสุไม่เห็นด้วย

"แต่ยังไงเขาก็เป็นอาจารย์นะ จะทำอะไรก็ต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี"

ผมช่วยเสริม "พวกเราเป็นเด็กถ้าเกิดมีเรื่องชกต่อยกับอาจารย์ มันต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่
และคนทั่วไปก็ต้องมองว่าเด็กผิดเต็มประตูอยู่แล้ว ยิ่งสังคมไทยยิ่งไม่ชอบพวกเด็กที่ไม่เคารพครูอาจารย์อยู่ด้วย
เราควรจะต่อสู้เพื่อให้เห็นว่าเราไม่ชอบที่อาจารย์ใช้วิธีแบบนี้ และคนทั่วไปจะต้องเข้าใจด้วยว่าอาจารย์เป็นฝ่ายที่ทำผิดก่อน"

คำพูดของผมทำให้หลายคนใจเย็นลงและเห็นชอบกับวิธีของผม ไอ้วุธถึงกับพยักหน้าให้กับความคิดของผม
และในท้ายที่สุดเราก็ต้องพึ่งอาจารย์โสภาในฐานะที่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเรา
แต่พออาจารย์โสภาไปคุยกับ อ.สิงหล มันก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น

"พี่สิงหล พี่ทำแบบนี้ไม่ถูกนะ การกระทำแบบนี้มันรุนแรงไป พี่มีวิธีตั้งมากมายที่จะทำให้เด็กพวกนี้มันมีวินัย
แต่ไม่ใช่การกระทำที่รุนแรงแบบนี้"

"เธอไม่เข้าใจนะโสภา ไอ้พวกนี้มันเป็นเด็กผู้ชาย พอมันมารวมกลุ่มกันแบบนี้เราก็ควรกำหราบและต้องเอาให้อยู่หมัด
เพราะวัยแบบนี้มันร้อนแรงจะตายไป ไหนจะเรื่องผู้หญิง ไหนจะยาเสพติด ไหนจะบุหรี่
แล้วยังมีปัญหาที่ไอ้บางกลุ่มชอบไปหาเรื่องชกต่อยกับโรงเรียนอื่นอีก ปัยหาของผู้ชายมันเยอะจนคุณไม่รุ้หรอกว่า
คุณควรจะจัดการกับมันยังไง แต่ผมเนี่ยรู้ดี เพราะผมเองเป็นผู้ชาย ผมรุ้ว่าผมควรจะจัดการกับเด็กพวกนี้ยังไง"

และในท้ายที่สุดฝ่ายที่แพ้คือ อ.โสภา แต่ก่อนที่เรื่องจะเขม็งเกลียวไปกว่านี้ มันก็มีบัตรสนเท่ห์ไปถึงท่าน ผอ.โรงเรียน
โดยเนื้อความกล่าวหาการกระทำที่ไม่เหมาะสมของ อ.สิงหล แต่ที่ผมไม่เข้าใจมาจนถึงทุกวันนี้คือ บัตรสนเท่ห์มันมีใบเดียว
แต่มีคนอ้างว่าเป็นคนเขียนบัตรสนเท่ห์นั้นถึง 4 คน

คนแรกคือ อ.โสภาเอง แกอ้างว่าแกเขียนเพราะทนไม่ไหว

คนที่สองคือป้าของพงษ์ศักดิ์ เพราะหลานแกโดนเตะหลายครั้ง

คนที่สามคือ พ่อของวสุ เพราะเขากลุ้มใจที่ลูกชายเป็ยหัวหน้าห้องแต่ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้เลยยื่นมือเข้าช่วย

คนที่สี่คือแท่ของผมเอง เพราะแม่อ้างว่าเห็นผมบ่นเรื่องนี้อยู่หลายวันเวลาที่แม่มาเยี่ยมและมานอนค้างที่บ้านของลุง
จนแกทนไม่ไหว

แต่เท่าที่ผมเช็คผ่านจาก อ.ที่ห้องสมุด ยังไงก็ตามบัตรสนเท่ห์ที่ส่งผ่านเข้ามามันมีใบเดียว
โดยส่งมาที่ท่าน ผอ.ทางไปรษณีย์ แต่ดันมีคนอ้างตั้ง 4 คน ผมก็เลยงงว่านี่มันไม่ใช่นิยายเรื่องราโชมอนนะ
แต่ก็ยังสงสัยอยู่ไม่หายว่าคนที่ไม่ได้เป็นคนเขียนที่แท้จริงจะอ้างทำไมว่าตัวเองเป็นคนเขียน
อ้างไปก้ไม่เห็นจะได้อะไรขึ้นมา และในท้ายที่สุดเมื่อท่าน ผอ. รวบรวมข้อมูลแล้ว
ท่านก็เรียก อ.สิงหลไปคุยกันในห้องแบบตัวต่อตัว

"เฮ้ยสิงหล นายต้องคิดสิว่านี่มันสมัยไหนแล้ว แกจะมายึดการลงโทษเด็กแบบโบราณแบบนี้ โรงเรียนก็ซวยสิ"

"แต่พี่ครับ ผมสอนวิชาพละนะ และนี่มันก็โรงเรียนชายล้วนที่นับวันจะมีอาจารย์ผู้หญิงเข้ามามากขึ้น
อาจารย์พวกนี้ชอบให้ท้ายเด็ก จนไอ้เด็กพวกนี้มันไม่มีระเบียบวินัยกันจะตายอยู่แล้ว เราต้องหาทางกำหราบมัน
ไอ้พวกนี้มันเป็นผู้ชายนะ โตไปมันจะต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว มันจะต้องเข้มแข็ง ดูแลครอบครัวได้
ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆได้ด้วยตัวเอง มันต้องแสดงศักยภาพว่ามันเป็นลูกผู้ชายพอ ไม่ใช่เป็นลูกแหง่ที่พอมีอะไรก็หันไปซบอกแม่"

"แต่คุณมีสิทธิ์ถึงขนาดนั้นเหรอสิงหล คุณรู้ไหมว่าพอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ผมจะลำบากใจแค่ไหน
คุณจะให้ผมทำอย่างไร สนับสนุนความคิดของคุณเหรอ และถ้าคุณทำอะไรที่มันรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นข่างหน้าหนึ่งขึ้นมา
คุณคิดเหรอว่าผมพร้อมที่จะเสี่ยงกับคุณ ผมไม่พร้อมหรอกนะ และผมขอสั่งห้ามไม่ให้คุณทำอะไรแบบนี้อีก"

อ.สิงหลออกมาจากห้องของท่านผู้อำนวยการและหน้าเหมือนตูดไม่มีผิด หลังจากนั้นแกก็เพลาลง
แต่ไม่ถึงกับหายไปหมด แต่คนที่กลับทวีความรุนแรงมากขึ้นกลับกลายเป็น อ.สมเกียรติ อ.ปกครองของโรงเรียน

หลังจากผมออกความคิดแก้ปัญหาขึ้นมาแล้วดูท่าว่าไอ้วุธจะสนใจผมมากขึ้น แต่ผมเองสนใจมันมาตั้งนานแล้ว
แต่เราก็ยังไม่ได้ใกล้กันอย่างที่ผมอยากจะให้เป็น เราแค่งัดข้อกัน นั่งเรียนใกล้กันบ้าง
และร่วมกันแก้ปัญหา แต่กลุ่มจตุรเทพก็ยังเป็นกลุ่มจตุรเทพ กลุ่มเบญจรงค์ก็ยังเป็นกลุ่มเบญจรงค์

ตัวแปรสำคัญที่ในท้ายที่สุดทำให้ผมเข้าไปเป็นหนึ่งในกลุ่มจตุรเทพก็คือ
กลุ่มเทพบุตรนั่นเอง ซึ่งราเมศเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มนั้น

============================================



Create Date : 28 มกราคม 2549
Last Update : 28 มกราคม 2549 7:37:24 น. 0 comments
Counter : 445 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นาย Q
Location :
Over the rainbow United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





BlogStat:
Friends' blogs
[Add นาย Q's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.