Better to reign in Hell than serve in Heaven
Group Blog
 
 
มกราคม 2549
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
19 มกราคม 2549
 
All Blogs
 
ความในใจของเกย์คนหนึ่ง (ถึงคนทั่วไป) ตอนที่ 9

บทความนี้คัดมาจากเรื่อง ความในใจของเกย์คนหนึ่ง (ถึงคนทั่วไป) ที่คุณวิศรุตแต่งขึ้น
โพสต์ครั้งแรกที่ห้องถนนนักเขียน
//www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4025001/W4025001.html



<<< ตอนที่ 8
ตอนที่ 10 >>>




ก่อนจะต่อเรื่องของผมจนจบ ม.3 ขอฉายหนังตัวอย่างให้ชมก่อนนะครับ

ม. ปลาย

พอขึ้นชั้น ม.ปลาย เป็นช่วงที่อารมณ์รักแบบบริสุทธิ์กำเริบในโรงเรียนชายล้วน ผมพยายามไม่ไปข้องเกี่ยวกับศราวุธแล้วนะ แต่ลูกปิงปอง ก็ทำตัวแบบกามเทพจนได้ จนท้ายที่สุด ผมรักเขามาก รักแบบผู้ชายเขารักผู้หญิงกัน

และเขาเองก็รักผมมาก แต่รักแบบผู้ชายรักเพื่อนที่ถูกคอกันมากๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ ความรู้สึกต่างๆจึงล้นทะลักกันออกมาจนแทบจะลืมหายใจ

มหาวิทยาลัย ปี 1

การเรียนพอไปไหว เริ่มมีแฟนเป็นผู้หญิงคนแรก เป็นคนขึ้นบูมของคณะและมหาวิทยาลัยที่หลายคนบอกว่า เสียงมีพลังสุดๆ

มหาวิทยาลัย ปี 2

เป็นประธานเชียร์ของคณะ และรับรู้ถึงความหลาหหลายทางเพศและความแตกต่างได้มากขึ้น

มหาวิทยาลัยปี 3

สอนพิเศษแบบบ้าระห่ำ เข้าไปอยู่ในเรื่องราวความสัมพันธ์ของสามดาวแห่งมหาวิทยาลัย กับกลุ่มชายหนุ่มที่ตามจีบพวกเธอ เกิดอาการเล่นแง่และท้าทายความรู้สึกกันแบบเอาเป็นเอาตาย

มหาวิทยาลัยปี 4

เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ และมีรุ่นน้องมาแอบรัก ตามจีบผู้ชายต่างคณะ แต่ไม่สำเร็จ

ปริญญาโทปีที่ 1-2

มีแฟนผู้หญิงคนที่สอง

ปริญญาโทปีที่ 3-4

มีแฟนผู้หญิงคนที่สาม

ทำงานที่แรก มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย คือ

1. มีแฟนผู้หญิงคนที่ 4 ซึ่งเป็นสาวไฮโซตระกูลหนึ่งของไทย เกือบมีงานแต่งครั้งยิ่งใหญ่ที่โอเร็นเต็ล แต่ดันมาเกิดเหตุการณ์พลิกผันที่ทุกคนคาดไม่ถึง

2. เข้าไปเขียนเรื่องหลายเรื่องในเว็บเกย์เว็บหนึ่ง จนสามารถดึงเกย์เข้ามาที่เว็บได้หลายพันคน และทำให้สามารถติดต่อกับเกย์ได้หลายร้อยคน แต่สุดท้ายเว็บถูกปิด แต่ในปัจจุบันนี้ได้เปิดเหมือนเดิมแล้ว

3. ครอบครัวเร่งเรื่องการแต่งงาน

4. ญาติหลายคนอยากให้บวช แต่พอเข้าไปในวัดก็ต้องรีบเผ่นเพราะเด็กวัดหล่อมาก

5. ตอนนั้นสังคมไทยตั้งท่ารังเกียจเกย์กันมาก โดยมีหลายท่านเป็นตัวตั้งตัวตี

ผลจากเหตุการณ์ทั้ง 5 ประกอบกับความรู้สึกโหยหาอดีต ทำให้เกิดอาการทางจิตอย่างต่อเนื่อง และในท้ายที่สุดก็ลงเอยด้วยการพยายามฆ่าตัวตายในปี พ.ศ. 2545

แต่บังเอิญว่าเลือกวิธีฆ่าตัวตายต่างจากคนอื่น เลยไม่ตาย และได้สติกลับมา พร้อมกับได้ความรู้บางอย่างในแบบ intuition จนเหมือนกับว่า ตายแล้วเกิดใหม่ และซาบซึ้งกับคำว่า reincarnation เป็นอย่างดี

ปี 2546 ได้ทำงานที่ใหม่ และได้รู้จักกับเดชา

ปลายปี 2548 เข้ามาเขียนเรื่อง ความในใจของเกย์คนหนึ่ง (ถึงคนทั่วไป) เป็นครั้งแรก

========================================================

สุพจน์เข้ามาพูดกับผมว่า "ไอ้หนั่นมันไปก่อเรื่องอีกแล้ว มันดันไปเดินชนกับพวกของอินทร์ธนูเข้า แล้วยังไปกวนตี_เขาอีก สงสัยพวกมันต้องมาหาเรื่องพวกเราแน่"

ผมพยายามนึกหน้าของอินทร์ธนู เจ้ารูปหล่อแบบเถื่อนๆคนนั้นนั่นเอง ผมกำลังเดาใจสุพจน์ว่าเขามาบอกผมแบบนี้ทำไม

"ตกลงว่าจะให้เราไปไกล่เกลี่ยให้ว่างั้นเถอะ""

สุพจน์พูดแบบยาวมาก และอารมณ์ดีแบบสุดๆว่า

"เออ"

และนั่นคือประตูที่เปิดให้ผมได้เข้าไปใกล้ชิดนายอินทร์ธนู

อีกพักใหญ่ๆผมก็เดินเข้าไปหาอินทร์ธนูที่หมู่ของเขา เขายิ้มต้อนรับแบบเถื่อนสะใจ

"นึกแล้วว่าพวกเขาต้องส่งนายมา"

ผมสงสัย "ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ"

"ถ้าเขาไม่ส่งนายมาก็ต้องส่งไอ้บ้านั่นมาให้พวกเรากระทืบ"

ผมยิ้ม "คุยกันก่อนก็ดีนะ เวลาไม่หายไปไหนหรอก ไม่ต้องรีบ"

อินทร์ธนูมองผมแปลกๆ "นึกว่านายจะมาหาเรื่องซะอีก คงจะคึกหลังจากถูกลงโทษตั้งแต่เมื่อวาน"

"คนเรา ถ้าขัดแย้งกันแล้ว พอพูดจาดีๆกันไม่ได้ ก็ต้องใช้กำลังกันอยู่แล้ว เพราะงั้นนายไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ใช้กำลังหรอก แค่ทำตัวให้ห่างเหตุผลก็พอแล้ว"

"พูดเก่งจริงนะ มิน่าล่ะ ใครๆเขาถึงอยากได้นายไปช่วยงานเขากันทั้งนั้น"

ผมวกเข้าประเด็น "ไอ้หนั่นมันกวนตี_นายยังไงวะ"

"มันไม่ได้ยั่วโมโหเฉพาะฉันหรอก แต่เหมาทั้งหมู่เลย มันเดินชนคนในหมู่ แล้วยังไม่สำนึก แถมยังมาหาเรื่องอีก แบบนี้มันก็น่าอยู่เหมือนกัน"

"แล้วนายจะเอายังไง"

"ไม่เอายังไงหรอก เพียงแค่ไม่อยากเห็นหน้ามันก็เท่านั้น"

"เรื่องนั้นเดี๋ยวจัดการให้"

"นายมีวิธีจัดการกับมันเหรอ"

"เปล่าหรอก เรามีวิธีจัดการกับทุกคนต่างหากล่ะ"

อินทร์ธนูยิ้มในแบบที่เขาชอบยิ้ม

"เออ เอาเหอะ ทำยังไงก็ได้ไม่ให้พรุ่งนี้มันมาป่วนที่หมู่นี้ก็พอแล้ว"

"เออ เดี๋ยวเราจะลองดู"

พอผมกำลังจะหันกลับไป อินทร์ธนูก็พูดขึ้น "อย่าเพิ่งไปดิ"

ผมหันกลับมาสบตาเถื่อนๆของไอ้หมอนี่ (แม่งเถื่อนไปทั้งตัวเชียว) "มีอะไรอีกล่ะ" เขายิ้มให้ผม "นายเล่นบอลรึเปล่า "

"ไม่หรอก เราสุขภาพไม่ค่อยดี ก็เลยไม่ได้เล่นบอล"

"น่าเสียดายนะ ถ้านายเล่นได้ก็อยากชวนนายมาร่วมวงด้วย "

ผมมองเขาแล้วยิ้มๆ "อืม ... เราก็เสียดายเหมือนกัน ... ถ้าไม่มีอะไรแล้วเราขอตัวก่อนนะ"

แล้วผมก็เดินผล่ะออกมา การได้คุยกับอินทร์ธนูถือว่าสุดยอด มันทำให้ผมนึกถึงสมชาย สิทธิพันธ์ และเสกสรร ความรู้สึกแบบนั้นกลับมาอีก แต่มันคงไม่ได้พัฒนาเกินไปกว่านี้

เพราะผมได้มาคุยกันอินทร์ธนูในตอนที่ใกล้จะจบ ม.3 เต็มที อีกไม่นานพวกเราก็ต้องแยกจากกัน แล้วทิ้งความทรงจำไว้เบื้องหลัง

มีหลายครั้งในชีวิตนะ ที่ทำให้ผมคิดว่าทำไมชีวิตต้องดำเนินไปแบบนี้ จังหวะเวลาหนึ่งก็พาเราให้มาพบกับใครบางคน พอเวลาผ่านเลย มันก้เหมือนพาเขาออกไปจากชีวิตของเรา

หลังจากเขียนถึงเพื่อนๆในอดีต ผมก็เลยอยากรู้ว่าตอนนี้แต่ละคนเป็นยังไงกันมั่ง ผมก็เลยเข้าไปที่ google แล้วก็ลอง search ชื่อเพื่อนที่ผมจำทั้งชื่อและนามสกุลได้ เช่น สุพจน์ วารุณี จิมมี่ ปรียานุช น่าแปลกมากที่ไม่พบใครเลย

ผิดกับชื่อและนามสกุลของผมนะ ถ้า search หาใน google มันจะขึ้นประมาณ 100 web page ก็ถือว่าพอสมควรนะ แต่พอผม search ชื่อโรงเรียนสมัยประถม มันจะขึ้นมาประมาณ 40 web page และพอ search ชื่อโรงเรียนสมัยมัธยมต้นก็จะขึ้นมาประมาณ 100 เหมือนกัน

ตอนนี้โรงเรียนที่ผมเรียนสมัยมัธยมต้นกำลังก้าวหน้าโดยลำดับ ผม search ชื่อท่าน ผอ. ท่านก็ยังเป็น ผอ. อยู่ที่นั่นนะครับ แต่ search ชื่อของ อ.ธนูแล้วหาไม่เจอ

พอผมคุยกับอินทร์ธนูเสร็จ คืนนั้นผมก็เลยขอนอนใกล้ไอ้หนั่น แต่ขอโทษเถอะครับ มันทรมานมากๆเลย จริงๆแล้วช่วงนั้นเป็นหน้าหนาวนะ แต่ทำไมคืนนั้นมันร้อนหน่อยๆก็ไม่รู้ ไอ้นั่นเลยนุ่งกางเกงในตัวเดียวเป็นชุดนอน

คงไม่มีใครห่ามเกินมันแล้ว ผมเองใส่เสื้อยืด นุ่งกางเกงวอร์มขายาวแบบมิดชิด คืนนั้นก่อนจะนอน ผมกับไอ้หนั่นคุยกันถึงเรื่องประโยชน์และโทษในการใช้กำลัง และวิธีแก้ปัญหาความขัดแย้งที่ดี ผมทำคล้ายๆการแถลงเหตุผลในตอนที่ 9 แต่ดูจะไม่วุ่นวายเท่านั้น

ไอ้หนั่นฟังจนเคลิ้มหลับไป เสมือนหนึ่งว่าผมกำลังร้องเพลงกล่อมมัน

พอรุ่งเช้าสุพจน์รีบเข้าไปถามไอ้หนั่น "ว่าไง เช้านี้จะไปอัดใครรึเปล่า"

ไอ้หนั่นตอบแบบสุภาพ แต่ก็ยังออกอาการล้อเลียนผม "ไม่ล่ะครับ ไม่อัดใครแล้ว ผมฟังที่พี่เขาเทศน์มาก่อนเข้าเต็มสองหูเลย"

สุพจน์ยิ้ม "มองแล้วไงล่ะว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง อย่าลบหลู่"
และผมก็สามารถแก้ปัญหาความวุ่นวายได้อีกช่วงหนึ่ง

====================================================

ตอนนั้นปรียานุชเป็นคนมาบอกว่าญาติของอุมาวดีมารับตัวเธอกลับไปต่างจังหวัดแล้ว จนบัดนี้ก็ไม่มีใครทราบข่าวของเธอเลย ช่วงปลายๆเทอมนี้ผมยังได้พบเพื่อนผู้ชายต่างห้องอีกหนึ่งคน เดขาหล่อและเป็นคนดีมาก ผมได้คุยกับเขาน้อยมาก แต่พอได้คุยทีไร ผมก็รู้สึกดีขึ้นมาทุกครั้ง ผมพบเขาโดยบังเอิญในงานนิทรรศการของโรงเรียนในช่วงนั้น

ผมคุ้นหน้าเขา เคยเห็นเขาบ่อย เขาเองก็น่าจะรู้จักชื่อของผมนะ ช่วงนั้นน่าเสียดายที่ไม่ค่อยได้สานสัมพันธ์ที่ดีกับเขาเอาไว้ ถึงทุกวันนี้ผมก็ยังประทับใจในความเป็นมิตรของเขานะครับ

ผมทราบมาหลายปีแล้วว่าเขาเสียชีวิตแล้ว เขาเสียตอนที่ไปรับน้องของมหาวิทยาลัยทางภาคเหนือ ตอนที่รู้ข่าวใหม่ๆผมก็เสียใจมาก ผมคงไม่เอยชื่อจริงของเขา และคงไม่ตั้งชื่อสมมติ แต่ก็ยังอาลัยในตัวเขานะครับ ตอนนี้ก็ยังพอจำหน้าเขาได้ หน้าตาของเขาคมเข้ม ผิวค่อนข้างคล้ำ และก็ดูเป็นนักเรียนชายที่สุภาพมากๆ

และวันที่ผมเจอเขาก็คือวันที่ทางโรงเรียนจัดเทศกาลภาพวาดปลายปี ผมเดินไปเห็นภาพของเขาและบังเอิญที่เขาก็อยู่แถวนั้น

"นี่ภาพของนายเหรอ"ผมถามด้วยความสนใจ เขายิ้มให้ผมอย่างอบอุ่น หน้าตาของเขาคมมาก คิ้วเข้ม และแววตาเป็นประกาย "ใช่แล้ว เราวาดเอง" เขาตั้งชื่อภาพว่า "สีน้ำทะเล" ในภาพเป็นท้องฟ้าที่ตัดกับเส้นของมหาสมุทร สีมันแทบจะเป็นสีเดียวกัน แต่ก็ยังมองออกว่าเป็นภาพของท้องฟ้าและมหาสมุทรที่อยู่คู่กัน

ผมถามเขาว่า "ชอบวาดภาพเหรอ"

"ใช่ ... ชอบมาตั้งแต่เด็กแล้ว"

"นายวาดสวยนะ ใช้ลูกเล่นของสีดีจัง แล้วยังตวัดปลายภู่กันได้คมมาก โตขึ้นคงจะอยากเรียนทางศิลปะน่ะสิ"

"อืม ... เคยคิดไว้เหมือนกัน เราอยากเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงล่ะ เราอยากวาดภาพพวกทะเลกับท้องฟ้า เราชอบภาพแบบนี้ เวลามองดูแล้วมันทำให้เกิดความรู้สึกหลายๆอย่าง มันทำให้เราอยากจะมีชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติ เราชอบอยู่กับธรรมชาตินะ ชอบภูเขา แม่น้ำ เดินป่าอะไรแบบนี้"

อืม ... ตอนที่เริ่มเขียนเมื่อประมาณ 2 นาทีที่แล้ว ผมจำไม่ได้นะว่าเขาตายยังไง แต่พอเล่าไปเล่ามามันก็จำได้ขึ้นมาเอง หรือเขาจะมาดลใจผม หรือเขาจะมานั่งอยู่ใกล้ๆผมในคืนนี้ และหวลหาอดีตไปด้วยกัน

ผมอยากบอกชื่อเขาแล้วล่ะ เขาชื่อภาณุวัฒน์ครับ เรียน ม.ต้น ปีเดียวกับผม จากการสันนิษฐานคาดว่าเขาน่าจะเป็นเกย์สีฟ้านะ แต่ผมไม่แน่ใจ ตกลงว่าภาณุวัฒน์จมน้ำตาย ในการรับน้องของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ

เนื่องจากเป็นภาคเหนือผมเลยไม่แน่ใจนะว่าเขาจมน้ำตายในสระหรือที่ไหน สาเหตุคงเกิดจากความประมาทของรุ่นพี่ แต่คงเป็นเรื่องบังเอิญที่ภาพวันนั้นชื่อว่า "สีน้ำทะเล"

ผมประทับใจในวันที่คุยกับเขา เลยแต่งกลอนที่มีชื่อว่า "สีน้ำทะเล" น่าเสียดายที่มันหายไปแล้ว จำได้แค่บางบทเองนะ เช่น "ฉันเพ่งมองสีฟ้าและน้ำนั้น มันช่างดูเหมือนกันไม่แตกต่าง" กลอนที่ผมเขียนให้อารมณ์ประมาณว่า ถึงจะเป็นน้ำ หรือฟ้า แต่มันก็สีเดียวกัน แสดงว่าธรรมชาติรวมกันเป็นหนึ่งและไร้ซึ่งความขัดแย้งใดๆทั้งสิ้น

พอพูดถึงเรื่องนี้ทำให้นึกถึงภาพยนตร์เรื่อง The Thin Red Line ของเทอร์เลน มาร์ลิค ที่ได้สร้างฉากสงครามที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติ ในหนังเรื่องนั้นท้องทุ่ง และธรรมชาติงดงามมาก แต่มนุษย์กำลังจับอาวุธเข้าห้ำหั่นซึ่งกันและกัน

ตอนนี้ก็ขอไว้อาลัยให้ภาณุวัฒน์นะ ถึงนายจะเสียชีวิตมานานแล้ว แต่เรายังไม่ลืมนายเลย ไม่ลืมหน้าตาคมๆ ผมดำคิ้วเข้มของนาย ไปสู่สุคตินะเพื่อนนะ ถ้าชาติหน้ามีจริงคงจะได้เป็นเพื่อนกันอีกครั้ง

==================================================

ช่วงใกล้จะจบ ม.3 ก็ดันมีข่าวลือถึงรางวัลนักเรียนดีเด่นของปีที่จะมอบให้กับนักเรียนทุกระดับ

สำหรับระดับชั้น ม.ต้นมีผู้เข้าชิง 5 คนดังต่อไปนี้

1. สุพจน์ จากชั้น ม.3/1
2. วารุณี จากชั้น ม.3/1
3. วิศรุต จากชั้น ม.3/1
4. อัศวิน จากชั้น ม.3/1
5. ชนุตพร จากชั้น ม.1/1

ผู้เข้ารอบ 5 คนสุดท้ายก็มีความโดดเด่นที่แตกต่างกันไป เพื่อนๆคงจำได้ว่าใครเด่นทางไหนกันบ้าง

ก่อนจะถึงวันประกาศรางวัล พวกเราบางคนก็ไปส่งจิมมี่กันที่สนามบิน ชีวิตแบบจิมมี่ก็เป็นอีกชีวิตหนึ่งที่น่าสนใจ เขาต้องเรียนที่เมืองไทยและเมืองนอกสลับกัน ปีหน้าเขาต้องไปต่อเกรด 10 ที่อเมริกา

จิมมี่ยังรู้สึกรักวารุณีไม่เสื่อมคลาย ผมเลยแอบเอารูปที่ผมถ่ายกับวารุณีให้เขาไปด้วย เวลาคิดถึงจะได้ดูรูปให้หายคิดถึง

"ขอบใจมากนะวิศรุต"

"ไม่เป็นไรหรอก" จิมมี่มีสีหน้าที่ดูเศร้าก่อนที่จะพูดว่า

"ฉันยังเสียใจอยู่เลยนะที่วันนั้นดันไปพูดใส่หน้าเธอแบบนั้น ฉันคิดว่าเธอยังคงเกลียดฉันอยู่แน่ๆ แต่ทำไงได้ล่ะ ฉันรักเธอข้างเดียวเข้าแล้ว มันคงไม่มีทางเปลี่ยนได้ง่ายๆหรอก"

ผมพยายามปลอบใจเขา "วารุณีคงยังสะเทือนใจเรื่องของพี่อลงกรณ์ยังไม่หาย นายอย่าคิดมากเลย เธอก็คงอยากเป็นเพื่อนกับนายแหละ แต่พอเกิดเรื่องที่นายไปว่าเธอเข้า เธอก็คงทำใจลำบากอยู่เหมือนกัน"

"ยังไงก็ต้องขอบใจนายด้วยนะวิศรุต สำหรับทุกอย่างที่นายทำให้กับฉัน ฉันจะไม่ลืมนายเลย"

แล้วจิมมี่ก็กล่าวอำลากับเพื่อนคนอื่นๆที่ไปส่งเขา พวกเราลาพ่อกับแม่ของเขา แล้วก็โบกมือให้เขา พวกเรายืนมองจนเขาลับตาไป จิมมี่เป็นเพื่อนที่ดีมาก ช่วงระยะเวลาที่เขามาอยู่กับเรา 1 ปี เขาก็สร้างสถิติไว้อย่างมากมาย ประการแรกเลยคือทำคะแนนวิชาภาษาอังกฤษเต็ม

จนอาจารย์ที่โรงเรียนบอกว่าตั้งแต่สอนมาเกือบ 15 ปี ยังไม่เคยมีใครทำข้อสอบของแกได้เต็มเลย มีก็แต่จิมมี่นี่แหละ จิมมี่ก็เล่นบอลเก่งอีกด้วย เพื่อนๆนักบอลรักเขาแทบทั้งนั้น จิมมี่ชอบนักฟุตบอลคนเดียวกับที่สุพจน์ชอบ รู้สึกว่านักฟุตบอลคนนั้นจะชื่อว่า เอียน รัช ประมาณเนี้ยครับ

หลังจากจิมมี่ไปแล้ว พวกเราก็หันหลังกลับ แล้วผมก็ต้องตกใจมากเมื่อเห็นวารุณียืนอยู่ข้างหลัง เพื่อนๆถามว่าทำไมเธอเพิ่งมา เธอก็บอกว่าตื่นสาย หลังจากนั้นผมกับวารุณีก็ออกจากสนามบินพร้อมกันโดยพ่อของวารุณีไปส่งเราสองคนที่ห้างแห่งหนึ่ง

ผมชวนวารุณีไปกินไอติม ขณะที่นั่งกินไอติมอยู่นั้น วารุณีก็พูดขึ้นว่า "วิศรุต ฉันมีอะไรจะบอกเธอ"

ผมเลยหน้าขึ้นสบตาเธอ แต่ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น วารุณีจึงพูดต่อว่า "ฉัน ... ฉันชอบจิมมี่ตั้งแต่แรกเห็น" ผมตกใจกับคำพูดนั้นมาก "วารุณี"

ผมสงสัยเลยถามต่อ "แล้วทำไมเธอถึงทำเป็นเหมือนเย็นชาต่อเขาล่ะ"

"เธอก็รู้นี่ว่า ม.2 ฉันเจออะรมาบ้าง ถึงฉันจะชอบจิมมี่ แต่ฉันไม่รู้เหมือนกัน ถ้าฉันผูกพันกับเขาไปมากกว่านี้ แล้วเกิดอะไรขึ้นอีกล่ะ ฉันคงจะรับไม่ได้แน่ๆ สู้อยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆดีกว่า และก็แอบรักเขาไปเรื่อยๆ มันน่าจะทำให้ความรู้สึกของฉันดีขึ้น"

"ถ้าอย่างนั้น วันนี้เธอก็ไม่ได้ตื่นสายน่ะสิ" วารุณีหยุดนิ่งนิดนึงก่อนจะพูดว่า

"ใช่แล้วล่ะ ฉันตื่นแต่เช้า นั่งคิดอยู่ตั้งนานวาจะมาส่งเขาดีหรือปล่า พอคิดตกก็รีบไปอ้อนพ่อให้ขับรถมาส่งฉันที่นี่ ฉันมาทันนะ แต่ตัดสินใจว่าจะไม่เข้าไปใกล้เขาน่าจะดีกว่า แค่ยืนอยู่ห่างๆก็พอแล้ว"

ผมสะเทือนใจกับเหตุการณ์นี้มาก ทำไมวารุณีจะต้องมีเรื่องแบบนี้อยู่บ่อยๆนะ ผมไม่เข้าใจเลย ผมนั่งคิดและนึกไปว่า ตอนนี้จิมมี่คงนั่งอยู่บนเครื่องบิน และกำลังหยิบรูปของวารุณีขึ้นมาดู ให้มันได้อย่างนี้สิ ... ความรัก

และวันที่ประกาศรางวัลนักเรียนดีเด่นแห่งปีก็มาถึง วันนั้นมีนักเรียนทั้งโรงเรียนเข้ามาที่ห้องประชุม หลายคนเบื่องานแบบนี้ แต่หลายคนก็กำลังรอลุ้นว่าใครจะได้ ปีนั้นผมมไอยากให้ตัวเองได้หรอกครับ คาดว่าเพื่อนๆคงเดาถูกว่าผมอยากให้ใคร

บนเวที ท่าน ผอ. ขึ้นมายืนแล้ว อ.สาลี่กำลังประกาศออกไมล์ว่า "นักเรียนดีเด่นชั้น ม.ต้น ประจำปี 2528 ได้แก่ ... เด็กชายวิศรุต ............... ขอแสดงความยินดีไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ"

ผมตื่นเต้นนกับรางวัลนี้มาก เดินขึ้นไปรับแบบตัวลอยๆ นักเรียนทั้งโรงเรียนต่างปรบมือให้ผม ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้รับรางวัลนี้

ตอนนั้นทุกคนดีใจกับผมมาก และคงไม่มีใครคิดว่าอีก 17 ปี ต่อมาผมจะฆ่าตัวตาย



Create Date : 19 มกราคม 2549
Last Update : 20 มกราคม 2549 13:02:22 น. 0 comments
Counter : 517 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นาย Q
Location :
Over the rainbow United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





BlogStat:
Friends' blogs
[Add นาย Q's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.