รักจำนวนไม่น้อยเลยที่สร้างความรักขึ้นมาด้วยใจ
สานสัมพันธ์สายใยกันด้วยชีวิต แต่กลับทำลายด้วยภาษา (ภาษาในที่นี้หมายถึงคำพูด การกระทำ การแสดงออก) อันไม่เข้าท่าและไม่ควร จนเกิดความเสียหายที่ไม่ปราถนาตามมามากมาย
ภาษารักจึงเป็นระบบการสื่อสัมพันธ์ของคนทั้งสองให้ตรงตามจริง
และตามวัตถุประสงค์มุ่งหวัง เป็นภาษาที่ต้องรู้ เข้าใจ ฝึกให้ดี ใช้ให้เป็นและบริหารให้เกิดประโยชน์
|
|
|
1. ภาษาใจ
เป็นการส่งรับด้วยจิตนิ่งเป็นหนึ่ง เมื่อจิตว่าง การรับรู้จะชัดเจน แจ่มใส และแม่นยำ การส่งการรับภาษาใจนี้จะก่อให้เกิดความเข้าใจ
และความประทับใจในความสัมพันธ์กันมากซึ่งเป็นความจำเป็นพื้นฐานของคนสองคนที่จะเป็นคู่ชีวิตใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน
|
|
2. ภาษาสายตา
เป็นภาษาที่ลึกซึ้งและเที่ยงตรงที่สุดเพราะหลอกกันไม่ได้ วิธีการส่งภาษาใจออกมาเป็นภาษาตานั้น เพียงแผ่ความรู้สึกลึกๆในใจออกมา ความรู้สึกนั้นก็จะฉายออกมาทางแววตา แววตาของมนุษย์สามารถบอกสิ่งต่างๆมากมาย
จนกล่าวว่า ดวงตา คือหน้าต่างของหัวใจ"
|
|
|
3. ภาษายิ้ม
ยิ้มเป็นสิ่งที่บ่งบอกและแสดงความเป็นไปของผู้ยิ้ม การกำหนดยิ้ม เกิดจากสภาวะทั้งภายใน ภายนอก และจากอุปนิสัย โดยแบ่งเป็น 3 แบบของยิ้ม คือ ยิ้มแบบมีความสุข ยิ้มแบบเหนื่อยๆ และยิ้มแบบขอไปที การยิ้มมีทั้งประโยชน์และโทษ
ดังนั้นเราจึงควรฝึกยิ้มให้มีเสน่ห์ และมีความสุข ดังนี้
1)ยิ้มจากใจ
2)ยิ้มหมด
3)ยิ้มเปล่งประกาย
4)ยิ้มให้พอดี
5)ยิ้มให้ปรากฎ
6)ยิ้มให้ถูกกาละเทศะ
7)ยิ้มให้ถูกวัตถุประสงค์
8)ยิ้มอย่างทรงพลัง
9)ยิ้มทั้งตา
|
|
4. ภาษาวาจา
คำพูดทุกคำที่เปล่งออกมาจะมีพลังอยู่ในตัว และซึมซาบเข้าสู่ผู้ฟัง สามารถใช้สร้างสรรค์หรือทำลายก็ได้
พลังแห่งคำพูดมี 2 องค์ประกอบ คือ
พลังแห่งเสียงและพลังแห่งความหมาย ดังนั้นจึงต้องกลั่นกรองวาจาก่อนเจรจาใดๆ ทุกครั้งที่พูดให้ใคร่ครวญในสิ่งที่พูดว่าเป็นจริงหรือเปล่าเพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน ความเข้าใจที่ถูกต้องจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริงเท่านั้น
การพูดเท็จจึงเป็นการสร้างความเข้าใจผิด
และเป็นการทำลายระบบสัจจะ ก่อให้เกิดปัญหาตามมา ทั้งนี้อย่าคิดว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจความหมายได้เอง
ภาษาวาจามีอานุภาพมาก
มีทั้งประโยชน์และโทษถ้าไม่ระมัดระวังคำพูด ดังนั้นทุกครั้งที่พูดควรกลั่นกรองคำพูด เพื่อจรรโลงใจยังความรักให้งอกงามสถาพร
|
|
|
5. ภาษาท่าทาง
ท่าทางอันจรรโลงรักให้ภาคภูมิ งดงาม และยังความมั่นใจในสัมพันธภาพ คือ
1)บุคคลิกอันงามสง่า
2)กิริยาที่สำรวม
3)อิริยาบถอันสมดุล
4)ท่วงท่าอันมั่นคง
5)ท่าทีจริงจังที่ปล่อยวาง
จึงจะได้ความมั่นคงอันอบอุ่น และความสบายใจอันเป็นรากฐานแห่งความสุข
|
|
6. ภาษาสัมผัส
เป็นอีกระบบภาษาหนึ่งที่คู่รักชอบใช้กันเช่นการโอบกอด ภาษาสัมผัสเป็นการถ่ายทอด หรือแลกเปลี่ยนพลังระหว่างบุคคล
การสัมผัสควรพิถีพิถันบรรจง อ่อนโยน ทะนุถนอม นุ่มนวลและหนักแน่นเป็นการเกื้อกูลกันให้เกิดพลังมาก สมานสัมพันธ์ให้แนบแน่นยิ่งขึ้น
7. ภาษาพฤติกรรม
รักแท้ที่จริงมิใช่คำพูด แต่ต้องฉายออกมาจริงทุกระดับทั้งใจ แววตา ยิ้ม วาจา ท่าทาง สัมผัส และพฤติกรรม ดังนั้นภาษาพฤติกรรมจึงเป็นภาษารักแห่งยั่งยืน
8. ภาษาสัมพันธ์
คือการจัดสมดุลให้แก่ชีวิตคู่ให้สัมพันธภาพคงอยู่เสมออย่างบริสุทธิ์ใจ มั่นคง ลงตัว เข้ากันได้อย่างดี ให้คู่รักทั้งสองร่วมกันพัฒนายิ่งๆขึ้น จนกว่าสัมพันธภาพนั้นนิรันดร
|
|
|
9. ภาษาแห่งความสงบ
ในบรรดาภาษาทั้งหลาย ภาษาแห่งความสงบเป็นภาษาที่ทรงอานุภาพสูงสุด เมื่อใดที่เข้าถึงความสงบได้ ความสุขจึงปรากฎ ความเข้าใจเที่ยงตรงตามจริงจึงแจ่มชัด ความตั้งใจเชิงสร้างสรรค์จึงพรั่งพรู
จรรยามารยาทอันงดงามจึงส่องแสง
ความอ่อนโยนจึงยังความอบอุ่นให้บังเกิดสัมผัสจึงทราบซึ้ง สัมพันธภาพจึงมั่นคง ดังนั้นภาษาแห่งความสงบจึงเป็นที่สุดแห่งภาษารักทั้งมวล
|
|
ดังนี้เองการสื่อภาษารักใดๆนั้นจะทรงพลัง
มีค่าความเที่ยงตรง ความละเอียดอ่อน และความลึกซึ้ง ขึ้นอยู่กับพลังชีวิตและระดับจิตใจของแต่ละคน ต่อไปนี้ขอทุกท่านที่พึงประสงค์มีรักแท้ที่ยิ่งใหญ่
จงหมั่นฝึกฝนตนเองให้เป็นคนที่สื่อภาษาอย่างประเสริฐ ล้ำค่าและทรงพลัง ก็จะนำมาซึ่งความถูกต้องตรงตามเจตนาบนฐานของความจริงใจ สามารถสานสัมพันธ์กันได้ดียิ่งขึ้น และรักกันตราบนานเท่านาน ยั่งยืนสถาพร
|
|
|
|
สนับสนุนข้อคิดนานาสาระโดย:
|
|
|
|