กุมภาพันธ์ 2554

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
20
22
23
24
25
26
27
28
 
 
ปิ๊ง ปิ๊ง ปิ๊ง แล้วไง เรื่องมันเศร้าค่ะคู้นนนนนน
ก็ตามนั้นค่ะคุณ ขณะที่อัพเดทนี่ยังเศร้าไม่หาย 555 ล้อเล่นๆ ไม่ได้เศร้าหรอกค้า แต่เป็นอะไรที่ทำให้เราอมยิ้มได้ตลอดเลยล่ะ เรื่องนี้ (แต่จะให้ดีมันน่าจะ Happy Ending) เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อราว 6 ปีก่อน ที่ทำงานส่งเราไปดูงานที่ เมืองจีน โอวววว เกิดมาไม่เคยไปเมืองจีนสักครั้ง คราวนั้นไปกับกระทรวงพาณิชย์ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ประเด็นการไปครั้งนี้ จุดประสงค์คือพาบรรดานักธุรกิจ พ่อค้าข้าวเดินทางไปโรดโชว์ ไปแมทชิ่งกันระหว่างพ่อค้าไทยกับผู้นำเข้าของจีน รวมถึงไปโปรโมทข้าวไทยให้ชาวจีนได้รู้จัก เพราะตอนนั้น (ถึงคอนนี้) ปัญหาข้าวไทยถูกปลอมปน ถูกแอบอ้างก็ยังมี คือมีพ่อค้าหัวใสนำข้าวคุณภาพต่ำไปใส่บรรจุภัณฑ์ใหม่และใช้ชื่อว่าข้าวหอมมะลิไทย ทีนี้คนไม่รู้ก็คิดว่า ข้าวหอมบ้านเราไม่ดีคุณภาพแย่ และไม่อยากซื้อกิน เพราะความเข้าใจผิดแท้ๆ เป็นต้น

คราวนั้นเราก็เป็นหนึ่งในคณะที่ได้ไปร่วมงานระยะเวลาประมาณ 5-6 วันแน่ะ นับว่ายาวนานพอสมควร ด้วยความที่ไม่เคยไปจีน นักข่าวที่รับเชิญไปมีแค่สามคน แถมเค้าเป็นรุ่นใหญ่กันหมด ตอนนั้นเราก็ละอ่อนหน้าใส (หัวไป) สุดๆ เลยคิดว่าทริปนี้คงหมดสนุกเพราะไม่มีเพื่อนคุยเพื่อนช้อปแน่ๆ แต่ทุกอย่างหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ด้วยเพราะความมนุษยสัมพันธ์เป็นเลิศแค่วันแรกเราก็ทำความรู้จักกับพี่นักข่าวร่วมทริปได้ครบ (แหงล่ะมีแค่นี้เอง555)

แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่เพื่อนร่วมวิชาชีพ อิอิ แต่เป็นหนึ่งในนักธุรกิจหนุ่มที่เดินทางไปกับเรานั่นเอง โอววววว พระเจ้าจ้อดมันยอดมาก ตอนแรกไอ้เราก็ไม่ได้คิดอะไร ไม่อยากเข้าข้างตัวเอง แต่พอมีคนทัก เฮ้ย รึว่าจะจริงหว่า อิอิ แอบน้ำลายหยดติ๋งๆๆๆๆ ตลอดเวลา ที่นึกถึง เรื่องของเรื่องคือ ด้วยความที่เป็นนักข่าว ไอ้เรื่องแนะนำตัวเองกับคนแปลกหน้า การชวนคนอื่นคุยเรื่องสัพเพเหระ การตีซี้ ตีสนิท (อย่างมีกาลเทศะ) นั้นเป็นเรื่องชิวๆ ค่ะ รวมถึงการแลกเบอร์ แลกนามบัตรกับคนแปลกหน้าที่เรียกว่าแหล่งข่าวนั้นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทุกวันเช่นกัน

รวมถึงครั้งนี้ด้วย เพื่อให่ได้มาซึ่งข้อมูลมานำเสนอทั่นหัวหน้าที่รักที่รออยู่เมืองไทย เราก็ต้องคิดประเด็นว่าเราจะสัมภาษณ์เรื่องอะไร และกับใครดีหนอ ด้วยไหวพริบ และความฉลาด (ที่มีอยู่น้อยนิด) เลยรอดตัวมาได้ เพราะบรรดานักธุรกิจต่าง ก็ให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลที่เป็นปนระโยชน์กับงานของเรา แต่ครั้งนั้น เชื่อมั้ยคะว่าเรานะคุยกับใครได้ตั้งมากมาย แต่กลับมีคนนึงที่เราไม่กล้าแม้จะเข้าไปคุย แบบว่ามันเขิลลลลล เนื่องจากคิดไม่ซื่อกับเค้าน่ะสิเคอะ นึกถึงตอนนั้น นึกว่าตัวเองเป็นเด็กมัธยมอีกรอบ

ผู้ชายคนนั้น เป็นนักธุรกิจทายาทบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งในวงการส่งออกข้าว เชียวล่ะ อาตี๊ของเรา (เป็นตั้งแต่มื่อไรวะ) ไม่ใช่คนรูปหล่อ แต่เป็นคนอัชฌาสัยดีมาก ร่าเริง พูดเก่ง แต่เค้าก็ไม่ยักจะพูดกะเราแฮะ ดูนิ่งๆยังไงไม่รู้ เราก็คิดไปว่ารึว่าเค้าเหม็นขี้หน้าเราวะ เราเลยไม่ค่อยกล้าจะคุยกับเค้า ทั้งๆที่ปกติแล้ว เราจะเป็นฝ่ายชวนคนอื่นคุยตลอด

เราสองคน (ดูหนิดหนมเนอะ) เดินสวนกันไปกันมากี่รอบก็ไม่เคยทักทายกันเล้ย ทั้งๆที่เราก็อยากทักในฐานะคนร่วมทริป หรืออย่างน้อยตามมารยาทก็ยังดี แต่เราก็ไม่เคยสักที บางทีเราก็แกล้งทำเมินไม่มองซะงั้น แต่ก็แอบเขินอยู่ ไม่รู้มันจะเขินอะไรนักหนาว่ามะ

กระทั่งวันนึงเราตื่นเช้ามากินข้าวเช้าที่โรงแรม ไม่คิดว่าจะเจอใครเพราะวันนั้นมีงานช่วงสายๆ เราก็นั่งคนเดียวที่โต๊ะทานข้าว ขณะที่กำลังก้มหน้าก้มตาจัดการกับผัดผักเขียวๆอยู่นั่น ก็ได้ยินเสียงทุ้มๆ นุ่มๆของใครคนนึงดังขึ้นใกล้ๆว่า "มีใครนั่งรึยังครับตรงนี้" ไอ้เราก็เงยหน้าขึ้น โอว ผู้ชายในฝันของเรานั่นเอง วันนี้แต่งซะหล่อใส่เสื้อนอก สีดำ เท่ซะไม่มี กำลังจะอ้าปากบอกว่า "ว่าง นั่งด้วยกันได้ค่ะ" ทันใดนั้นเจ๊เพื่อนร่วมห้อง ก็โบกมือหยอยๆให้เราเห็นแต่ไกลจากหน้าห้องอาหาร ประมาณว่าจะไปนั่งด้วยนะ ไอ้เราก็ปากไว รีบบอก "พอดีพี่รูมเมทจะมานั่งน่ะค่ะ" กัดฟันพูดนะตอนนั้นไม่รู้เค้าจะรู้สึกมั้ย หุหุ เค้ายิ้มๆ บอกกับเราต่อว่า "ไม่เป็นไรครับ ผมนั่นโต๊ะข้างๆก็ได้" โหหหห คนที่เราปิ๊งพูดอย่างนี้ แสดงว่ามีใจชัวร์ โบราณบอก (ตอนไหน) ระหว่างกินข้าวเช้าวันนั้น เราแทบจะไม่ได้กินต่อเพราะมัวแต่เขิลลล แต่คราวนี้ก็รวบรวมความกล้าคุยกับเค้าได้มากขึ้น ส่วนเค้าก็คุยกับเราดี๊ดี แบบว่าน่ารักสุดๆ คริๆๆๆ เป็นเอามาก เรื่องที่เราคุยกันส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องงาน่ะค่ะ เราก็จดไปงั้นแหละทำเนียนว่าสัมภาษณ์เค้า แก้เขิน

วันนี้ดึกแล้วพรุ่งนี้มาต่อนะคะ มาติดตามกันว่าเรืองราวฟามรัก เอ๊ย การแอบปิ๊งของเราจะเป็นยังไงต่อไปจ่้า

มาต่อกันเลย (เช้าแล้วอิอิ) กระทั่งมื้อเช้าผ่านไป เจ๊คนที่เป็นรูมเมทเราก็ตั้งช้อสังเกตว่า อาตี๋น้อยคนนี้สนใจเราเป็นพิเศษนะเนี่ย เราก็ เหรอ (ทำหน้าซื่อสุดฤทธิ์ทั้งๆที่หัวใจพองโต) พี่เค้าย้ำ จริงๆ ดูไม่เหมือนคนอื่น ไอ้เราก็ ไม่จริงม้างงงง (ทั้งที่ในใจขอให้จริงทีเต้อะ) พอทานข้าวเช้าเสร็จเราก็เข้าห้องน้ำ ส่องกระจกสำรวจตัวเอง ว่าวันนี้โอเปล่า ก็บอกตัวเองว่าโอเค เสื้อผ้าหน้าผม แต่พอยิงฟัน แมร่งงงงงง ผักเมืองจีนติดเหงือกบาน กลายเป็นเหงือกปลอดสารพิษ ไร่นาสวนผสม เห็นแล้วเซ็ง เพราะคาดว่ามันคงติดอยู่ตั้งแต่ที่เจื้อยแจ้วกับอาตี๋คนนั้นแล้วล่ะ หมดกันลุคส์ดีๆ (ตรงไหน) สงสัยเค้าคงไม่มองเราแล้ว เฮ้อ เศร้า นั่งร้องไห้ในห้องน้ำ (ไม่จริงค่ะโม้ไปงั้นแหละ) ตอนนั้นก็ทำใจแระว่า ช่างเค้าเถอะผักติดเหงือกขนาดนี้คงไม่มีหวังแล้วขีวิต ว่าแล้วก็เดินคอตกออกมาจากห้องน้ำ ในสภาพหงอยเหงา เศร้าซึม

จากนั้นเราสองคน (และคณะอีกกว่า 60 คน) ก็เดินทางโดยรถบัสไปยังเมืองอะไรหว่า จำไม่ได้ เท่าที่จำได้เค้าพาเราไปดูนะ เหมือนตลาดกลางซื้อขายเมล็ดพันํธุ์ อันนี้คร่าวๆนะ แต่ที่ทำให้การเดินทางนประทับใจคือ อาตี๋ขอย้ายรถมานั่งคันเดียวกันกับเรา (คิดว่าคงอยากมาสานสัมพันธ์กับเราชัวร์ อิอิ) แถมเลือกมานั่งเบาะข้างเรา (เบาะติดทางเดินเหมือนกันเลย หุหุ ห่างกันแค่ทางเดินเอ๊ง) ตอนแรกที่เราเห็นเค้าเดินขึ้นรถมา เราก็เฮ้ย เราขึ้นผิดคันเปล่าวะ มองซ้ายดี ขวาที ก็ถูกคนนี่หว่า ยังไม่ได้ถามไถ่อะไร เค้าก็เกินมาถึงที่นั่งเรา และถามว่า "ห้องน้ำอยู่ไหนครับ" เอ๊ยยย ม่ายช่าย มั่วๆๆ เค้าถามเราว่า "ตรงนี้มีใครนั่งยังครับ" เค้าหมายถึงที่นั่งติดกันกับเรา อิอิ แต่เราก็ต้องกัดฟันตอบไปอีกรอบว่า "มีพี่เค้านั่งแล้วค่ะ" แล้วก็ยิ้มแห้งๆไปให้อีกรอบ (อะไรมันจะมีอุปสรรคขนาดนี้ฟะ) เค้าก็บอกอีกไม่เป็นไร ผมนั่งตรงนี้ได้นะ (ที่นั่งติดทางเดิน) อิอิ ก็ยังดีวะ ขืนมานั่งติดกันเดี๋ยวน่าเกลียด คนเค้าจะเข้าใจผิด เดี๋ยวต้องไปแก้ข่าวให้วุ่นวาย ซึ่งอั้มรับไม่ไหว (ขอเปลี่ยนชื่อชั่วคราว)

เหตุการณ์ทริปนั้นก็เป็นไปอย่างราบรื่น เราสองคนคุยกันตลอดทาง ส่วนใหญ่ก็เรื่องรอบตัว เรื่องขำๆ การเดินทาง สัพเพเหระ และเราก็ได้รู้ว่าเค้าเคยมาเรียนที่เมืองจีนทางบ้านส่งมาเรียนภาษาเพื่อให้ทำการค้ากับคนจีนเพราะตลาดของบริษัทเค้าค้าขายกับคนจีนเป็นหลัก เรียกได้ว่าวันนั้นคุยถูกคอมากมาย แถมยังอาสาบอกว่าหากเราและเพื่อนๆจะไปช้อปปิ้งที่ไหน ให้บอกด้วยเค้าจะไปด้วย ช่วยต่อของ เราก็ ว้าววว เข้าทางเรา เสนอตัวอย่างนี้ เจ๊ปลื้ม แต่ก็เก็บอาการบอกไปว่า "ต้องรอดูก่อนค่ะว่างานเยอะมั้ย ถ้าไม่เหนื่อยมากก็จะไปค่ะ" ดู๊ดู แอ็บสุดๆ ทั้งๆที่ในใจวางแผนไปร้อยแปดอย่างล่วงหน้าไปนานแล้ว

ตกเย็น พวกเราตกลงกันว่าจะไปตลาดกัน (แหล่งช้อปปิ้งแห่งนึงในเมืองนั้น) แต่ด้วยความที่ไม่มีใครพูดจีนได้ หนทางไม่มีใครรู้จัก ทำไงดีกลัวโดนต้มเปื่อยที่เมืองจีน หลังทานข้าวเย็นกัน เราก็ละล้าละลังไปดีมั้ยเนี่ย แต่ขณะที่กำลังหารือกันว่าไปดีมั้ย แล้วไปยังไง อาตี๋ก็เดินมาเฉียดกลุ่มเรา อิอิ แล้วก็ถามว่าจะไปไหนกัน ไอ้เราก็รีบบอกจะไปช้อปปิ่้งกัน ไปด้วยกันมั้ยคะ อยากได้ไกด์ (เปิดทางเต็มที่) เค้าก็ยิ้มกว้างบอกว่าได้เลย แต่ขอไปเปลี่ยนชุดก่อน (เดืมมันหล่อเกิน) รอไม่ถึงสิบนาที อาตี๋ก็มาในชุดลำลองใส่ยีนส์ เสื้อยืด โอว เท่มั่กๆ ไอ้เราก็นะได้แต่ชื่นชมในใจ (ขนาเแอบๆนะเนี่ย)

จากนั้นเราก็จัดแจงเรียกแท็กซี่ โดยแบ่งเป็นสองคันเนื่องจากไปกัน 6 คน อัดคันเดียวไม่ไหว แน่นอนว่าเราสองคนได้นั่งคันเดียวกัน โดยเค้านั่งคู่คนขับ เรานั่งหลังเค้า อิอิ โดยที่เค้าเป็นคนชี้ชวนให้คนอื่นๆดูนั่นดูนี่ไปเรื่อย ยังกะไกด์ยังไงยังงั้น ทีเดียวเชียวแหละ พอไปถึงที่ช้อป ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป เราก็ออกมาเดินดูของคนเดียว เพราะไม่อยากเดินกะใครเกรงใจเค้าไอ้เรามันชอบละเลียดไปเรื่อยๆ กระทั่งมาอยากได้นาฬิกาแขวนผนัง เราก็หยิบมาดู แล้วก็วาง ไม่กล้าต่อราคา กลัวโดนเจ๊คนขายด่า เพราะอยากแต่เหลือสัก 150 บาทไทย จากที่กำหนดราคาไว้ซะเกือบ 1000 บาทไทย ขณะกำลังจะตัดใจ อาตี๋ของเราก็เดินมาจากไหนไม่รู้ แต่มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เค้ามายืนใกล้ๆเราแล้วก็ถามเราว่า "อยากได้จริงเปล่าครับ" เรา งงๆ อยู่คอนนั้น เลยได้แต่ตอบไปว่า "ค่ะ" เท่านั้นแหละเค้าก็หันไปโฉ้งเฉ้งๆๆกับแม่ค้า แล้วก็หันมาถามเราว่า "สู้ที่ราคาเท่าไร" เราบอกเบาๆ "ไม่เกินสองร้อยได้มั้ย" เค้าทำหน้าขำเรา บอกว่า "โห เอาจริงเหรอเนี่ย ถูกด่าด้วยกันนะ" แต่สุดท้ายก็ได้มาค่ะในราคาแค่ 100 กว่าบาท ถูกกว่าที่ตั้งราคาไว้ในใจมากมาย เค้าก็ถามเราว่า "ดีใจมั้ยครับได้ของถูกใจ" อยากจะตอบกลับไปว่า "ดีใจที่คุณมาช่วยมากกว่าค้า"

จากนั้นพวกเราก็ย้ายกันไป Hangout กันต่อที่ผับของจีน เกิดมานั่นก็ครั้งแรกค่ะ บรรยากาศสลัวๆ แต่ไม่ได้โนแมนติกเล้ย เพราะบรรดาอาเฮีย อาตี๋ อาหมวยทั้งหลายนั้นเมามันกับการยักย้ายส่ายสะโพกไปกับเพลงพี่เบริ์ดทำและไชน่าดอลล์กันเหลือเกิน แถมยังมีการเคาะโต๊ะเป็นจังหวะซะะด้วย พวกเราก็เอากับเค้ามั่ง สนุกกันแบบจีนๆก็กลับกันแบบมีความสุข อาตี๋เราก็เทคแคร์เราเป็นอย่างดี ถามตลอดว่ารับอะไรมั้ย ดื่มอะไรมั้ย ชวนคุยตลอดเวลา ไอ้เราก็นะถูกชะตาก็คุยกับเค้ามากกว่าใครๆ แบบว่าปลื่มๆๆๆ

วันต่อมา เป็นทริปที่ตื่นแต่เช้าค่ะ เพราะเราอยากไปจตุรัสเทียนอันเหมิน ตามที่คอนเฟริ์มมานั้นไม่มีเค้าอยู่่ด้วย ไปกันไม่กี่คน เราก็คิดทำใจว่าเค้าคงไม่ได้ไปแล้วล่ะ แต่พอทุกคนครบ ก็มีคนในขณะบอกว่า อย่าเพิ่งๆ เหลือคนนึง เราก็ใครหว่า มาช้าเนี่ย สักพักหวานใจเราก็วิ่งกระหืดกระหอบมา โอววว เราเลยถามว่า อ้าวมาด้วยเหรอเนี่ย เค้าบอก ไม่เห็นชวนเลยเนี่ยรู้จากคนอื่นนะเนี่ย เราไม่ได้พูดอะไร แบบว่าคิดไปเองว่าเค้าอยากมาเที่ยวกับเรา ก๊ากกก สุดๆเรืองหลงตัวเองเนี่ย

ระหว่างเดินเล่นที่นั่น เราก็แยกมาเดินคนเดียว ถ่ายรูปก็ลำบากเพราะต้องถ่ายตัวเองหน้างี้บานเต็มจอ กระทั่งสักพักก็มีเสียงที่คุ้นเคยลอยมาว่า ถ่ายรูปให้ได้นะครับ โอววว สวรรค์มาโปรด เราหันขวับไปตามเสียงนั่น แล้วก็เจอชายหนุ่มคนนั้น ยืนยิ้มรออยู่ พลางยื่นมือมาขอกล้องจากเราไปไว้ในมือ ก่อนจะจัดท่าทางให้เราโพสต์ท่าถ่ายรูป แต่ไม่นาน เพื่อนๆร่วมคณะก็เดินมาสมทบ ซะงั้นพร้อมกับมีการส่งเสียงแซวมาเป็นระยะๆ ว่า คู่นี้ชักยังไงๆแล้วนะ ตล้อดๆๆ อะไรทำนองนั้น ไอ้เราบอกตรงๆว่าไม่เขินเท่าไร ออกแนวหน้ามึน ไปแล้ว แต่ผู้ชายนี่สิหน้าแดงเป็นตำลึงสุก อิอิ

ตอนถ่ายรูปหมู่ เค้าก็พยายามจะเข้ามายืนใกล้ๆเรา (จริง จิ๊ง) แบบว่าเราอยู่ไหนเค้าอยู่ด้วยตล้อดๆ กี่รูปก็เหมือนเดิม กระทั่ง มีคนแซวอีกว่า สงสัยจะมีคู่รักใหม่เกิดขึ้นในทริป โอววว แซวแรงได้ใจ (แต่นึกอีกที ไก่ตื่นหมดกันพอดี) กระนั้นเค้าก็ยังทำไม่รู้ไม่ชี้ เราก็เช่นกัน ขนาดเค้าแซวเราว่า ทำไมชอบถ่ายรูปแอคชั่นท่าเดียวตลอด ไม่เปลี่ยนบ้างเหรอ เราก็ท่าเดียวยังไง เค้าก็ทำให้เราดู เราก็ขำกลิ้ง เพราะไม่รู้ว่าเค้าสังเกตุพฤติกรรมเราอยู่ อิิอิ ความหวังเริ่มเรืองรองว่างั้น

แต่ที่สุด งานเลี้ยงก็ย่อมมีวันเลิกรา ฉันใดก็ฉันนั้น หลังจากวันที่ไปจตุรัสฯเราสองคนก็แทบไม่ได้คุยอะไรกันอีก เพราะเพื่อนๆเค้าก็แซวเค้าหนักมาก แบบว่าแซวว่าเค้าจะจีบเรา อะไรทำนองนั้นเลย เค้าก็ไม่ได้พูดอะไรเอาแต่เขิลลลหน้าแดง ส่วนเราก็สนิทกับพี่เค้าอยู่แล้วก็ขำๆกันไปและเราก็ไม่ได้ขอนามบัตรเค้าไว้เลย เค้าก็ไม่ได้ขอเราเช่นกัน หลังจากทริปนั้น ต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปทางใครทางมันค่ะ เราก็คิดซะว่ามันเป็นความประทับใจเล็กๆในความทรงจำของเรา แบบว่าประชุมกระชวยหัวใจเล็กน้อย ไม่น่าเชื่อว่าผ่านไปนานมากแล้วเราก็ยังจำ ความรู้สึกนั้นได้ นึกถึงแล้วก็อมยิ้มไม่หุบ เล่าทีไรแววตาก็ยังแวววาวอยู่ แบบว่ามีความสุขที่ได้นึกถึงประสบการณ์ Fall In Love ฉบับปักกิ่ง (น่าจะใช้ชื่อบล็อกนี้เนอะ)

เวลาผ่านไปสองปีกว่าๆ วันนึงเราก็อ่านข่าวหน้าสังคมของหนังสือพิมพ์หัวสีฉบับนึง ก็สะดุดตากับหน้าเจ้าบ่าว เอ๊ะ คุ้นๆ ไล่มาอ่านชื่อ นามสกุล โอว ของแท้ แน่นอน อาตี๋ของเราไปซะแล้วค่ะ แถมเจ้าสาวที่ยืนยิ้มหวานอยู่ข้างๆก็สมกันยังกะกิ่งทองใบหยก โอววว อกหักดังเป๊าะ 555 แถมอกหักแบบที่ว่าอีกฝ่ายไม่รู้ตัวอีกต่างหาก คิดเองเออเองไปโม้ดดดดดดดดด

นึกแล้วก็ขำตัวเองว่าทำไปได้คนเรา









Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2554 10:07:09 น.
Counter : 433 Pageviews.

5 comments
  
ก่อนอื่นขอร้องเพลงให้คุณอ้อฟังหน่อย อิอิ

And they called it puppy love (ลากเสียงยาวๆ คำว่า love...)
Oh, I guess they'll never know...

แซวๆๆๆ ล้อเล่นนะค้า (มีเขิลล์เล็กน้อย)
อ่านแล้วอยากติดตามตอนต่อไปค่ะ
โดย: diamondsky วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:2:30:15 น.
  
5555 ใช่เลยค่ะ เพลงนี้เลยเหมาะกับชีวืตช่วงนั้น แบบว่าใสๆมากมาย เหมือนเด็กมัธยมแอบรักรุ่นพี่ยังไงยังงั้น เป็นอีกหนึ่งความรู้สึกดีๆระหว่างการทำงานค่ะ :)
โดย: loveTRAVEL1977 วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:7:50:31 น.
  
โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:16:37:15 น.
  
โหยๆๆๆ พี่ไม่ยอมสานต่อ เสียดายจัง
อยากรู้จังว่าอาตี๋คนนั้นชื่ออะไร ขอหลังไมค์ได้ไม๊คะ ฮ่าๆ
โดย: aimeramm วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:20:21:32 น.
  
555 อย่ารู้เลยคุณน้องเพราะพี่กลัวเค้าจะเสียหาย (ไปมากกว่านี้อ่ะ) ขอเป็นชายหนุ่มปริศนาไปอย่างนี้แหละ ประมาณว่าเก็บเธอไว้ในใจก็พอ ป่านนี้พี่ว่าเค้าคงมีลูกมีเต้าไปเรียบร้อยแล้วล่ะ เฮ้ออออ
โดย: loveTRAVEL1977 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:0:31:39 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

loveTRAVEL1977
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



เป็นคนชอบเดินทางและท่องเที่ยว ว่างๆก็อ่านหนังสือ มีความหวัง มีความฝัน และต้องอยู่อย่างมีความหมายบนโลกนี้