ตุลาคม 2553

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
31
 
 
จุดเริ่มต้นของนกน้อยในไร่ส้ม
ไม่ค่อยได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการงานของตัวเองสักเท่าไร เพราะไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรเกี่ยวกับมันดี เพราะทำมันทุกวัน จนกลายเป็นความเคยชิน ไม่คิดว่าเป็นงานตื่นเต้นหวือหวา ท้าทายแต่อย่างใด กระทั่งมีพี่คนนึงแต่ก่อนก็เคยเป็น "ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์" เหมือนเราแต่อยู่อีกสำนัก รู้จักและสนิทกับเราแต่งงานไปอยู่สหรัฐฯ และตอนนี้เป็นลูกจ้างขายกาแฟ เบอเกอรี่อยู่ที่นู่น จะบินมาเมืองไทยเดือนหน้าและอยากนัดเจอเพื่อนฝูงเก่าๆ ในแวดวงสื่อสารมวลชน เช่นเรา เวลาคุยกับพี่เค้าทีไรก็จะชอบเล่าเรื่องความหลังอันสนุกสนานในช่วงที่พวกเราได้ทำข่าวด้วยกันทั้งที่หน่วยงานที่เราถูกส่งไปประจำและเวลาลงภาคสนาม บุกป่าฝ่าดงไปมาหมด กินอยู่แบบยาจกถึงขั้นวีไอพีผ่านมาหมดแล้ว เรียกว่า สูงสุดสู่สามัญจริงๆ

จากการพูดคุยกันทำให้เราได้คิดว่า ช่วงเวลาที่เรายังทำงานตรงนี้เราควรได้เขียนบันทึกการทำงานของเราในแต่ละวัน อย่างน้อยก็เพื่อนเป็นความทรงจำดีๆเล็กๆแต่ยิ่งใหญ่ไว้ให้ลูกหลานเราได้อ่าน ไม่รู้สิเราคงเสียดายมากหากเราไม่เหลือความทรงจำดีๆ (และไม่ดี) ในช่วงเวลาทีมีค่าในการเป็นนักข่าว อาชีพที่ตอนแรกคนในครอบครัวไม่มีใครเห็นด้วยเพราะนึกไม่ออกว่าเราจะทำได้อย่่างไร คนในครอบครัวและวงศ์ตระกูลแทบไม่มีใครทำงานบริษัทเอกชน ตามประสาครอบครัวของคนต่างจังหวัดสมัยก่อนกี่คนๆก็จะให้สอบเป็นครู พยาบาล และคนในตระกูลเราก็มาสายนี้กันเกือบหมด

ด้วยความที่เราแหกคอก ไม่ชอบอะไรที่มันเป็นวิชาการหรืออยู่ในกฎเกณฑ์เห็นพ่อกับแม่เป็นครูที่จริงจังกับหน้าที่การงาน ตื่นเช้าไปสอนเด็ก ส่วนพ่อก็เป็นครูใหญ่ที่ซื่อสัตย์กับหน้าที่ ไม่มีคดงอ ฉ้อโกง แแต่ต้องเหนือยกับระบบต่างๆ รวมถึงต้องเผชิญกับภาวะไม้ซีกงัดไม้ซุง ทำให้เราคิดว่างานราชการไม่เหมาะกับเรา แต่กระนั้นตอนเรียนจบใหม่ก็อยากกตามใจพ่อแม่เราก็ไปสอบข้าราชการได้เฉยเลย แต่พอไปสัมภาษณ์ก็ไม่ได้ว่ากันว่ามีเด็กเส้นรอไว้แล้ว สมัครเป็นร้อยเป็นพันรับแค่ 1 คน 10 คน แถมไม่เรียกสักทีเลยไม่ไหวแล้ว ทำเพื่อพ่อแม่แล้วก็ขอทำเพื่อตัวเองบ้าง

ว่าแล้วเราก็เริ่มต้นสมัครงานในสายที่ตัวเองชอบ นั่นคือสายงานสื่อมวลชน ที่เราใฝ่ฝัน โดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัวเท่าไรว่าเราอยากทำงานสายนี้ รู้แต่ว่าเราชอบอ่านหนังสือ ชอบเขียน ชอบสังเกต ตั้งคำถาม ชอบเดินทาง ไม่ชอบทำงานนั่งโต๊ะ เข้าออฟฟิศเป็นเวลา ดังนั้นเราเลยต้องเรียนอะไรที่มันเอื้อให้เราทำงานสายนี้ ที่สุดเราก็ได้เรียนและจบมาทำงานในสายงานนี้สมใจ

การเป็นนักข่าวของเราไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบว่าใครฝากให้ หรอกนะเพราะเราเป็นแค่เด็กบ้านนอกคนนึงจบจากราชภัฎ ไม่ได้เด่นดัง แต่มาพร้อมกับความมั่นใจที่เต็มเปี่ยม ไม่ได้คิดแข่งกับใครเพราะแค่แข่งกับตัวเองก็แย่แล้ว เริ่มจากตอนฝึกงานได้ฝึกหนังสิมพิมพ์หัวเขียว แต่ดั๊นไม่มีเส้นสายแทนที่จะได้ฝึกฝ่ายขาว กลับไปฝึกฝ่ายโฆษณา ด้วยความที่คิดว่าอยากฝึกวิทยายุทธก่อนท่องโลกกว้างอีกนิด ฝึกงานที่นี่เสร็จก็ลองไปสมัครงานนิตยสารเล่มนึงปรากฎว่าเค้าไม่รับเป็นพนักงานเพราะเรียนยังไม่จบและเค้ามีเด็กฝากอยู่แล้ว เราก็นะทำใจ แต่ด้วยเพราะหัวหน้ากองให้เราเขียนงานให้ดูปรากฎว่าเข้าตากรรมการเลยเสนอให้ทำงานรายวัน เราดีใจเหมือนได้แก้ว เอาวะยอมทำ 3 เดือน เพื่อประสบการณ์ โชคดีบ้านน้าอยู่ไม่ไกลจากออฟฟิศที่ทำนักเลยอยู่ได้ในเมืองกรุง

หลังจากฝึกงานที่นี่เสร็จเราก็ถึงเวลาท่องโลกกว้าง แนบใบผ่านงาน ผลงานการเขียนคอลัมน์เป็นปึกไปสมัครงาน โชคดีมากผ่านหมด ทีนี้ก็เลือกทำนได้ กระทั่งหนังสือพิมพ์ที่ทำส่อเค้าจะเจ๊งเลยชิ่งออกมาสมัครงานที่ๆทำปัจจุบัน นี่แหละค่ะ จากวันนั้นถึงวันนี้ก็ 6-7 ปีที่อยู่ในแวดวงนี้ บล็อกหน้าก็จะมาเล่าให้ฟังว่าชีวิตการเป็นนักข่าว (ใส้แห้ง) ของเราเป็นยังไง ติดตามอ่านต่อไปนะคะ



Create Date : 29 ตุลาคม 2553
Last Update : 29 ตุลาคม 2553 23:17:31 น.
Counter : 461 Pageviews.

3 comments
  
ว้าว เพิ่งทราบว่าเป็นนักข่าวนะคะ
สนับสนุนนักข่าวทุกคนที่เสนอข่าวครบ 360
อย่าให้เหมือน cnn ตอนนี้ไม่ดูซีเอ็นเอ็นแล้วค่ะ เถื่อน
เอิงให้ความสำคัญมาก นักข่าวถือเป็นงานมีเกียรติ
หน้าที่รับผิดชอบเยอะ จรรยาบรรณอาจขัดผลประโยชน์บางคน
แต่ก็ยังทำข่าวกันตรงๆ คนแบบนี้นับถือค่ะ
ของเป็นกำลังใจให้นะคะ

โดย: diamondsky วันที่: 29 ตุลาคม 2553 เวลา:23:11:09 น.
  
ขอบคุณค่ะ การทำงานสายนี้สิ่งสำคัญคือการวางตัวของเราเองค่ะ เพราะมีคนเสนอผลประโยชน์ให้เยอะมาก หากหวั่นไหวไปกับสิ่งเหล่านั้น สุดท้ายความเคารพนับถือของเราต่อแหล่งข่าวและคนรอบข้างก็จะหมดไป ข่าวที่ออกมาก็จะไม่เป็นที่เชื่อถือ ยอมรับว่าอ้อไม่ได้เป็นนักข่าวที่เก่งกล้าสามารถแต่อะไรที่นำเสนอไปไม่เคยเปลี่ยนขาวเป็นดำ ดำเป็นขาว หรืดทำร้ายใครด้วยปลายปากกาเพราะอคติส่วนตัว นี่คือสิ่งที่อ้อภูมิใจและอยู่กับมันมาได้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

แต่นั่นแหละคะทุกอย่างคือหัวโขน ผู้หลักผู้ใหญ่เข้าหาทักทายปราศรัยแทบจะอุ้มไปนั่งร่วมโต๊ะ เพราะแค่เรามีหัวโขน ถอดหัวโขนออกก็แค่เด็กบ้านนอกคนนึง ที่ได้รับประสบการณ์ในชีวิตจากการเป็นนักข่าว

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
โดย: loveTRAVEL1977 วันที่: 29 ตุลาคม 2553 เวลา:23:26:35 น.
  
สวัสดีค่ะ พี่นักข่าว วันนี้มีอะไรจะสัมภาษณ์น้ำหวานหรอคะ อิอิอิ อืนกับละครไปนิดส์คร่า

โหววว อยากบอกว่าเป็นงานที่ปอนด์เคยคิดอยากทำเลยค่ะ ม่ะก่อนฮิตมาก เอ๊ะ แต่เด๋วนี้ก็ฮิตอยู่
เป็นงานหนักจริงๆค่ะ อ่านแล้วก็รู้ว่าไม่ง่ายเลย ต้องใช้ความอดทน เหนื่อยทั้งกานทั้งใจ

กว่าที่จะหาข่าวมาศักข่าวนี่ไม่ง่ายเลยนะคะ แต่ข่าวดาราที่ดูเหมือนง่าย ที่เค้าว่านั่งเทียนเขียนก็น่าจะเน๊อะ

จขบ.คงจะถึงหน้าที่การงานตัวเองน่าดู เข้าใจความรู้สึกเลยค่ะ แต่ถึงจะเป็นแค่หัวโขน
แต่บางทีก็มีความสุขนะคะที่ได้นึกถึง ได้เจอผู้คนมากมาย ได้อยู่ในสังคมที่ดี มีแต่คนมีชื่อเสียง
ปอนด์ว่าถ้าเรารู้จักปลงมันก็ทำให้เรามีความสุขล่ะค่ะ และจขบ.เองก็ดูมีความสุขจริงๆ

สมัยปอนด์อายุ 26 ก็มองกลับไปในช่วง20-23 มีเรื่องเล่าไม่รู้ตบเลยค่ะ พูดไปยิ้มไป
มานึกดูอีกทีถึงคิดได้ว่าเราจมอยู่กับอดีต แปลว่าช่วงขณะนั้นเราคงไม่มีความสุขนั่นเอง
พอหลังแต่งงานจำไม่ได้แล้วค่ะว่าอดีตน่ะจะเล่าออกมายังไง มีเพียงภาพปัจจุบันที่รู้สึกว่ามันสวยงาม ฮิ๊วววว

ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ เรียกปอนดืได้เลยจ้า มมปห. ไม่มีปัญหา
โดย: Pound_sterling วันที่: 30 ตุลาคม 2553 เวลา:0:26:31 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

loveTRAVEL1977
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



เป็นคนชอบเดินทางและท่องเที่ยว ว่างๆก็อ่านหนังสือ มีความหวัง มีความฝัน และต้องอยู่อย่างมีความหมายบนโลกนี้