~~~ KoYaPiN-Ping-Ping'Blog ~~~
!!~~ welcome to KoYaPiN - Ping - Ping'Blog ~~!!
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2553
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
26 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 
= เมื่อเรียนภาษาญี่ปุ่น เหมือนปีนภูเขาไปฟูจิ.....แล้วคุณจะยังอยากไปจริงๆเหรอ? =

** คำเตือน : บล๊อกนี้ยาวมากกกกกกค่ะ 55+ **


= เมื่อเรียนภาษาญี่ปุ่น เหมือนปีนภูเขาไปฟูจิ.....แล้วคุณจะยังอยากไปจริงๆเหรอ? =

Story by ปิ่น



เมื่อช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจช่วงเอนทรานส์ผ่านพ้นไป

เราก็กำลังจะได้เริ่มชีวิตการเป็นนักศึกษาแล้วค่ะ

พวกเราได้เริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นขั้นพื้นฐาน

ช่วงแรกนั้นอะไรๆก็ดีไปหมด ถึงจะยังปรับตัวอะไรไม่ค่อยได้

แต่ทุกวันก็เรียนอย่างสนุกสนานดีค่ะ

ตอนนั้นเราคิดแบบนี้ได้เพราะเราพอมีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นมาบ้างแล้ว

อย่างน้อยก็อ่านเขียนตัวอักษรได้ทั้งหมดและรู้ไวยกรณ์เบื้องต้นเล็กๆน้อยๆ

เพราะเราซื้อหนังสือมาหัดคัดเองตั้งแต่ช่วงม.ปลาย และก็เรียนพิเศษมาบ้าง

แต่สำหรับเพื่อนเรา ดูเหมือนความลำบากมันจะเริ่มต้น

เพราะต่ายและนางสาวMไม่เคยมีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นมาก่อนเลย

ทุกคนเริ่มต้นใหม่เหมือนกันหมด

แต่ตอนนั้นทุกอย่างมันยังไม่ยากค่ะ

ต้องเรียนกว่าเราเรียนภาษาญี่ปุ่นกันอย่างสนุกสนานประมาณนึงเลยล่ะค่ะ

แต่ในเทอมนี้เองก็มีเรื่องน่าตกใจเกิดขึ้นกับต่าย

ด้วยความที่ต่ายเป็นคนไม่ชอบท่องจำอย่างแรง

ทำให้ต่ายติด F วิชาภาษาญี่ปุ่นตัวแรกนี้

และทำให้ไม่สามารถเรียนตัวต่อไปกับเพื่อนๆได้

แต่เนื่องจากมีคนตกด้วยกันมากพอสมควร จึงไม่น่าห่วงนัก

แม้ว่าตอนนั้นเรา ต่าย และเพื่อนๆจะแน่ใจว่าต่ายต้องเรียน 5 ปีแน่ๆ

แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องทำใจยอมรับมันไป

ส่วนเราในตอนนั้นไม่ได้ตก เกรดก็ธรรมดาๆ

เราจึงคิดว่าดีจริงๆที่เลือกเรียนภาษาญี่ปุ่น

เพราะเราคิดว่าตัวเองดูมีหัวทางนี้ค่ะ สอบออกมาก็คะแนนดี

ตอนนั้นเราก็เลยไม่ค่อยได้ขยันเท่าไหร่ค่ะ

เพราะถึงไม่ขยันก็ยังทำคะแนนออกมาได้กลางๆพอกับเพื่อนๆ

เป็นความคิดที่ไม่ดีจริงๆนะคะ 555+

แต่พอเริ่มเปิดปี 1เทอม 2 คราวนี้แหล่ะค่ะที่เราต้องเจอกับความจริง

วิชาภาษาญี่ปุ่นในเทอมนี้เป็นไวยกรณ์ที่เราไม่เคยเรียนมาเลยค่ะ

ระดับความยากก็เพิ่มจากเทอมที่แล้วมาก

ทั้งๆที่เป็นวิชาเบสิก2 แต่ตัวนี้น่าจะถือเป็นตัวยากสุดในหลักสูตรแล้วค่ะ

เรียนยากขึ้น ก็ต้องขยันมากขึ้น ถูกมั้ยคะ

แต่เราทำผิดค่ะ เพราะเรายังนิ่งนอนใจเรียนสบายๆเหมือนเทอมที่แล้ว

อ่านบ้างขี้เกียจบ้าง เพราะคิดว่าเดี๋ยวสอบออกมาก็น่าจะเหมือนปกติ

ถึงจะบอกใครว่าโอ๊ยยย กลัวตกตัวนี้จังเลย

แต่ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นจริงๆจังๆเลยค่ะ

แล้วเราเป็นพวกตื่นเต้นในห้องสอบด้วย โดยเฉพาะเวลาสอบวิชาสำคัญๆ

ตอนเริ่มทำเราจะมือสั่นค่ะ แถวยังตื่นเต้นมากซะจนสติกระจุยกระจาย

จากความขี้เกียจ + โรคตื่นเต้นเกินเหตุของเรา

ทำให้เมื่อผลสอบออกมา เราต้องพบกับความจริงที่แย่มากๆ

เพราะเราตกค่ะ ได้ F ตัวใหญ่เลย

ยอมรับว่าตอนแรกงงมาก ออกแนวช๊อกค่ะ เราไม่เคยคิดว่าเราจะตกจริงๆ

ตอนนั้นมีเพื่อนๆหลายคนตกเหมือนกันค่ะ รวมทั้งนางสาวMเพื่อนเราด้วย

พวกเราไม่สบายใจกันสุดๆเพราะไม่แน่ใจว่าถ้าตกตัวนี้จะสามารถเรียนตัวต่อไปได้รึป่าว

ซึ่งถ้าไม่ได้มันก็แปลว่าพวกเราจะเรียนไม่จบภายใน 4 ปีค่ะ

มาพูดตอนนี้ดูเป็นเรื่องเล็ก แต่ตอนนั้นมันยิ่งใหญ่มากค่ะ

เรารู้สึกผิดต่อพ่อแม่ของเรา เรารู้สึกผิดต่อคุณครูสอนพิเศษ และที่สำคัญ

...เรารู้สึกผิดต่อตัวเอง...

มันเป็นความรู้สึกที่แย่มาก เมื่ออะไรๆมันไม่เป็นไปตามแผน

ไม่รู้จะทำยังไง เรารู้สึกเหมือนเป็นคนล้มเหลวในชีวิตไปเลยค่ะ

และในเหตุการณ์ครั้งนี้เองที่ทำให้เราเกิดความสงสัยเล็กๆขึ้นในใจ

ว่าจริงๆแล้ว.....เราเหมาะกับสิ่งนี้จริงๆรึเปล่า?

แต่ทำไงได้ ต้องยอมรับความจริง เพราะเราผิดเองที่นิ่งนอนใจ

หลังจากอาจารย์ประกาศข่าวดีว่าพวกเราสามารถเรียนภาษาญี่ปุ่น 2 ตัว

ทั้งตัวที่ตกและตัวใหม่ควบกันไปได้

ซึ่งถ้าสอบผ่านไปได้พร้อมๆกัน พวกเราก็จะยังคงเรียนจบภายใน 4 ปีเหมือนเดิม

จากตรงนี้ต่างหากที่นรกมันเริ่มขึ้น 555+

ด้วยความที่เคยตกมาแล้ว ทำให้เข้าใจความรู้สึกช๊อกในตอนนั้นเป็นอย่างดี

ใครๆก็ย่อมไม่อยากตกรอบ 2 อยู่แล้ว แถมยังมีชนักติดหลังเรื่องจบภายใน 4 ปีอีก

ตอนนั้น ทั้งเรา ต่ายและนางสาวM ทุกคนรู้สึกกดดันกันมาก

เพราะการเรียนควบ 2 ตัวมันไม่ง่ายอย่างที่คิดเลยจริงๆนะ ก็แหมลองคิดดูสิ

ขนาดเรียนตัวเดียวยังตกเลย แล้ว 2 ตัว อย่าให้พูดเลยค่ะว่าลำบากขนาดไหน

แล้วไหนจะยังมีวิชาอื่นๆอีกล่ะ

เรียกว่าพวกเราอ่านหนังสือสอบทุกครั้งกันแบบคนจนตรอกมากๆ

แบบว่าไม่สู้ก็ตายไรประมาณนั้นเลย อ่านๆๆๆๆ อ่านไปอ่านมา

ท่องคำศัพท์ ทั้งคำศัพท์ธรรมดา

ทั้งคันจิ( คำที่เป็นอักษรจีนในภาษาญี่ปุ่น )กันแบบเอาเป็นเอาตาย

ท่องศัพท์ไปร้องไห้ไปเราก็เคยมาแล้ว

แบบมือคัดศัพท์ ปากออกเสียง ตาบวมเพราะร้องไห้ = =

สอบทุกครั้งมันเครียดมากๆ เพราะมันเหมือนกับว่ามันจะพลาดไม่ได้เลย

มันไม่มีโอกาสกลับไปแก้ตัวแล้ว มีแต่ต้องพยายามๆๆๆๆๆๆ

พยายามมากขึ้นอีก มากขึ้นอีก และมากขึ้นอีก

ยิ่งตอนนั้นเราเป็นพวกกดดันตัวเองด้วย จำได้ว่าช่วงสอบร้องไห้ทุกวันเลย

เพราะบางทีผลของการพยายาม มันก็ไม่ได้ออกมาเป็นคะแนนให้เรายิ้มเสมอไป

และแม้ว่าสุดท้ายพวกเราจะสามารถผ่านมันมาได้

แต่การเรียนต่อไปจากนั้นก็ไม่ได้สบายกว่ากันเลย กลับยิ่งลำบากขึ้นๆมากกว่า

เพราะสำหรับการเรียนภาษา โดยเฉพาะภาษาญี่ปุ่น

แค่ชอบกับเข้าใจ มันไม่พอ

เราต้องเข้าใจหลักแกรมม่า เราต้องท่องจำศัพท์ ท่องๆๆๆๆ จำๆๆๆๆ

จริงๆแล้วการท่องจำนี่แหล่ะเป็นแก่นแท้ของมันเลยจริงๆนะ

นอกจากนี้เรายังต้องทำความเข้าใจกับวิธีการคิด รวมถึงบุคลิคของคนญี่ปุ่นด้วย

เนื่องจากภาษามันเป็นเรื่องของทั้งเหตุผลและอารมณ์มารวมกัน

ดังนั้นถ้าเราแค่เข้าใจกับจำศัพท์ได้อย่างเดียว

แต่ขาดเซนท์ในการใช้ตามอารมณ์ของสถานการณ์ มันก็เท่านั้นล่ะค่ะ

และที่สำคัญที่สุด ก็คือเราต้องมีความฝันกับแรงบันดาลใจอยู่ตลอดเวลา

เพราะความฝันทำให้เรามีจุดมุ่งหมาย และแรงบันดาลใจเป็นตัวผลักให้เราพยายาม

แต่เราบอกตรงๆว่าตอนนั้นน่ะ ทั้งความฝันทั้งแรงบันดาลใจเรามันหมดไปแล้วค่ะ

ความฝันกับแรงบันดาลใจเมื่อแรกเริ่มที่ทำให้เรามาเรียนภาษาญี่ปุ่นเนี่ยมันไม่พอจริงๆค่ะ

จิตใจเลยแบบว่าห่อเหี่ยวมาก แล้วก็ยิ่งเกิดคำถามในใจ

ว่านี่เรากำลังทำอะไรอยู่เนี่ย!! เราอยากจะอยู่กับสิ่งนี้ไปตลอดชีวิตจริงๆหรอ?

จริงๆแล้วเรารู้อยู่ตลอดเวลาค่ะ ว่าจะอยากหรือไม่อยาก เหมาะหรือไม่เหมาะ

เราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ เพราะเราตัดสินใจเลือกมันไปแล้ว

ในเมื่อเลือกไปแล้วก็ต้องรับผิดชอบ ทำให้มันดีที่สุดถูกไหมคะ

ดังนั้นจะทำไงได้ให้เราสามารถเดินร่วมทางไปกับมันได้ตลอดรอดฝั่ง

คำตอบคือ เราต้องหาแรงบันดาลใจใหม่ค่ะ อันที่จะทำให้พอมีแรงพยายามต่อไปได้

เพราะงั้น ตอนจบปี2 เราเลยตัดสินใจไปเรียนระยะสั้นที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลา 2 เดือนค่ะ

อาจจะดูเป็นการตามหาแรงบันดาลใจที่แพง

แต่เราเดิมพันกับการเดินทางในครั้งนี้เลยนะคะ เราอยากจะรู้ว่าถ้าไปที่ญี่ปุ่น

ที่ๆจะบังคับให้เราต้องอยู่กับมันตลอดเวลา เราจะอยู่ได้ไหม

จริงๆแล้วเราเคยบอกพ่อกับแม่ไว้ตั้งแต่เข้าปี1แล้วค่ะ

ว่าพอจบแล้วเราอยากไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่นต่อนะ บอกเค้าไว้เนิ่นๆจะได้เก็บเงินทัน

แต่ที่ต้องไปนอกแผนแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเราไม่เกรงใจนะ แต่เรามีเหตุผล

ถ้าเราอยู่กับมันไม่ได้จริงๆ หลังเรียนจบเราก็คงไม่ไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นแล้ว

พ่อกับแม่เค้าก็ฟังแล้วยอมให้เราไปค่ะ ต้องขอบคุณพวกท่านมากๆเลยที่ยอมเข้าใจเรา

อีกอย่างตอนนั้นที่เรารู้สึกว่าต้องไปให้ได้ เพราะมันมีเซนท์บอกค่ะ

ว่าถ้าไม่ไปตอนนี้ ชาตินี้ก็จะไม่ได้ไปอีกแล้ว

คงหมดแรงกับมันแล้วจริงๆ ดังนั้น ต้องตอนนี้เท่านั้น อะไรแบบนั้นน่ะค่ะ

เราชวนต่ายกับนางสาวMด้วย สรุปแล้วตอนนั้นเราไปกัน 3 คน

จากประสบการณ์การไปเรียนที่ญี่ปุ่นในครั้งนั้น

เราขอบอกว่ามันเปลี่ยนชีวิตเราไปเลยค่ะ

เรากลับมาเป็นคนที่มีไฟมากขึ้น มีแรงบันดาลใจมากขึ้น

ได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง ที่สำคัญเรารู้แล้วว่าเราชอบญี่ปุ่นจริงๆไม่ใช่แค่ภาษา

และเราก็อยากจะอยู่กับมันค่ะ เราคิดว่าต่อจากนี้เรายังคงพยายามได้

แค่นั้นก็ดีมากๆแล้วล่ะค่ะ

ดังนั้นสำหรับคนที่คิดจะเรียนภาษาญี่ปุ่น หรือที่คิดจะไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่น

ทั้งคนที่มีพื้นฐานมาแล้วหรือยังไม่มีก็ตาม

เราขอบอกเลยค่ะว่า คุณจงคิดดีๆ ทบทวนให้แน่ใจ

ว่ามันใช่จริงมั้ย ที่คุณอยากจะอยู่ร่วมไปด้วยตลอดชีวิต

เพราะการไปเรียนมันใช้เงินมาก ใช้เวลาก็มาก

ถ้าพลาดไปแล้วมารู้ว่า ไม่ใช่อ่ะ ไม่อยากทำแล้ว

นั่นอาจหมายความว่าคุณได้พลาดโอกาสดีๆเรื่องอื่นในชีวิตไปด้วยก็ได้

เพราะฉะนั้น คิดดีๆนะคะ สำรวจหัวใจตัวเองให้แน่ก่อนจะตัดสินใจ

บล๊อกนี้อาจจะยาวเฟื้อย ดราม่าน่าเบื่อไปสักหน่อย

แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณมากนะคะ สำหรับคนที่ทนอ่านจนจบ

ขอคารวะ 3 ครั้งเลย!!! 55+ วันนี้ไปก่อนดีกว่า

ไม่ใช่อะไรแต่เพราะหิวแล้วล่ะ - -

เพราะงั้นก็ บ๊ายบายยยยยนะคะ!!! ^___^



PS. ลืมบอกไปว่าสรุปต่ายได้เรียนจบใน 4 ปีครึงค่ะ

เลยจะได้ไปเรียนที่ญี่ปุ่นด้วยกันในเดือนตุลานี้แหล่ะ เย่!!





Create Date : 26 พฤษภาคม 2553
Last Update : 26 พฤษภาคม 2553 15:45:39 น. 7 comments
Counter : 406 Pageviews.

 
ต่ายเองจ้า
อยากจะบอกว่าเป็นการเรียนทั้งน้ำตาจริงๆถ้าครั้งนั้นไม่ได้ไปญี่ปุ่นด้วยกันละก้อ อาจจะเลิกเรียนภาษาญี่ปุ่นไปแล้วจริงๆก็ได้ แต่พอกลับมาก็ตัดสินใจได้เลยว่าชั้นชอบจริงๆละ แล้วก็เลยทำทุกทางเพื่อที่จะได้จบให้เร็วที่สุด เลยพบว่าถ้าพยายามนะทุกอย่างมันก็เป็นไปได้


โดย: UsaGi IP: 58.64.81.201 วันที่: 26 พฤษภาคม 2553 เวลา:16:07:14 น.  

 


โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว วันที่: 26 พฤษภาคม 2553 เวลา:16:35:36 น.  

 
ดีจังเลยนะครับที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ ผมก็ชอบญี่ปุ่นมากนะครับ ตอนนี้ก็กำลังเดิมพันกับการสอบชิงทุนรัฐบาลญี่ปุ่นในอีก 1 ปีข้างหน้า อยากไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น แต่เส้นทางมันไม่ได้โรยด้วยกลีบดอกซากุระเลย อิอิ



โดย: ซาท้าพัดโถะ วันที่: 26 พฤษภาคม 2553 เวลา:18:07:51 น.  

 
อ่านไปอ่านมารู้สึกว่าเหมือนเห็นตัวเองในอดีตเลยจ้ะ ถ้าใครไม่ได้อยู่ตรงนั้นคงไม่รู้หรอกนะคะว่ามันกดดันมากแค่ไหน ต้องผ่านทุกวิชาไม่ผ่านก็ต้องเรียนซ้ำ ตอนแรกยังคิดอยู่เลยค่ะว่าคิดถูกหรือคิดผิดเนี่ยที่เข้ามาเรียนภาษาญี่ปุ่น แต่น้องก็โชคดีนะคะที่ค้นพบตัวเอง แล้วก็มีโอกาสได้ไปญี่ปุ่น สู้ๆค่ะ


โดย: daisy (daisylovely ) วันที่: 26 พฤษภาคม 2553 เวลา:21:02:26 น.  

 
พอดีแว้บมาเห็นบล๊อกนี้พอดีค่ะ
ตอนนี้กำลังเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่ แหะๆ เพิ่งเริ่มเรียนได้อาทิตย์นึงเองค่ะ วันแรกก็รุ้สึกสนุกปนๆกับท้อด้วยเพราะเห็นเพื่อนเรียนในห้องเขามีพื้นฐานมาบ้างแล้ว แต่เราก็มีพื้นฐานนิดหน่อยค่ะ เห็นด้วยค่ะว่าแค่ชอบกับเข้าใจไม่พอจริงๆ
แต่เราจะพยายามมากขึ้นๆค่ะ
แล้วก็ยินดีด้วยนะคะที่เรียนจบแล้ว


โดย: tingja (~TaShiMaRo~ ) วันที่: 27 พฤษภาคม 2553 เวลา:22:47:41 น.  

 
สึกกลับมาแล้วครับ เอาบุญมาฝากครับ


โดย: Don't try this at home. วันที่: 28 พฤษภาคม 2553 เวลา:22:53:42 น.  

 
ขอบคุณที่แบ่งปัน ติวเลขออนไลน์


โดย: swkt (tewtor ) วันที่: 11 เมษายน 2554 เวลา:23:26:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

KOYAPIN
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add KOYAPIN's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.