Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2551
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
20 พฤษภาคม 2551
 
All Blogs
 

Introduction

ชอบดูหนังดูละคร ฟังเพลงมาแต่เล็กแต่น้อย
บล็อคนี้คงหนีไม่พันที่จะเขียนถึงละเม็งละครที่ไปได้ดูมา
เริ่มกันที่ ล่าสุดได้ไปเยือน อังกฤษ อีกครั้ง
ท่ามกลางความตาเขียวปัดของเจ้านาย เนื่องจากงานด่วนสุมเต็มโต๊ะ
ยังมีแก่จิตแก่ใจจะไป ลั่นล้า อีก
ทำไงได้ เพราะทุกอย่างถูกจองไว้เรียบร้อยแล้ว ตัวเองก้อไฟเขียวตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ให้เลือกงานกับละครเพลง คงต้องเลือกอย่างหลัง

โดยเฉพาะ ละเม็งละครที่ หมายมั่นว่าจะไปดูให้ได้
งานด่วนเลยถูกสุมไว้ที่เดิม ต่อรองกับเจ้านาย ไอ้ที่คอขาดบาดตาย
ตอนฉันไม่อยู่ ฉันจะทำให้เรียบร้อย หมดจด
(ที่ทำงานมักจะใช้คำว่า"ด่วน"พร่ำเพื่อ มีทั้งด่วนจริง ด่วนปลอม)
งานที่ว่าด่วนไม่มาก ด่วนปลอมรอได้
กรุณาลดสปีดความด่วน เป็นงานไม่ด่วน งานอืด นะจ๊ะ
รอหลังพักร้อนกลับมาก่อนค่อยจัดการ
เป็นการพักร้อนที่ใจไม่ค่อยดีเหมือนกันเพราะเกรงว่ากลับมา
นายอาจเคือง เปลี่ยนลูกน้องคนใหม่ก้อเป็นได้

อย่างที่บอกเลือกงาน กับ ละคร เลือกอย่างหลัง

ทริปที่ไปตะลุยอังกฤษ ได้แรงบันดาลใจมาจาก
การเปิดการแสดงละครเพลงเรื่อง cats ที่รัชดาลัยปีที่แล้ว
ละครที่ร่ำรือว่าอลังการ มาโชว์จริงเข้าไปดูแล้วเจ็บใจ
เจ็บใจที่ไม่มีวงดนตรีเล่นสด
เปิดแบ็คกิ้งแทร็ค แล้วมีผู้คุมวง นักดนตรีเบส กับ กลอง สองชิ้น
เล่นประกอบการแสดง เป็นวงเกือบสด
ราคาบัตรที่นั่งแพงสุดล่อไป สี่พันบาท ราคาแซงโชว์ที่อังกฤษ
ที่นั่น 55-60 ปอนด์ คูณ 65 บาท ราคา3500-3900บาท
อารมณ์เสีย ตอนดู cats โปรดักชั่น ทัวร์poorpoor
ราคาบัตรไม่สมความบันเทิง
เลยตัดสินใจเด็ดเดียวว่า ไปดูของจริงๆเสียเลย ไปครั้งนึง ดูให้มาก ดูให้พอ
อะไรที่จะมาหลอกแดรก อย่าง
ละครออนทัวร์poorpoorแย่ๆ มาหลอกตีหัว ไม่ได้ตังค์กรูอีกแน่นอน
ก่อนหน้านั้น เจอโอเปร่า มาจากประเทศอตีดโซเวียต
มาแสดงโอเปร่าดีๆ อย่าง la boheme ถ้าpuccini คนแต่งมาดูอาจ
เผาเวทีทิ้งเป็นได้ การแสดง ฉาก เสื้อผ้า แย่ แย่ได้อีก อย่างที่ไม่เคยเจอ
แถมขายบัตรแพงมากมาย ทำให้รู้สึกไม่อยากดูการแสดงเลย

คิดคำนวนค่าใช้จ่าย ค่าเดินทาง ค่าละคร กับรายได้เสร็จสรพ
ลางานตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว นายงงๆ เออออให้ลา
จองตั๋วเครื่องบิน จองที่พัก
ติดตามข่าวละครเพลงที่อังกฤษทางเน็ต ดูว่าอะไรแสดงอยู่
อะไรกำลังจะเปิด
ละครเพลงน่าดูหลายเรื่องที่เปิดแสดงอยู่
และหลายเรื่อง เราหมายตาทางอินเตอร์เน็ต ว่าจะไปดูอีก สี่เดือนข้างหน้า
ไม่กี่วันถัดมา อ้าว ปิดขายบัตร ปิดวิก พับเสื่อ ไปแล้ว
เรื่องที่ว่า คือ Little Shop of Horros , RENT remix เอาrent ของเดิมมารีมิกซ์เป็นเวอร์ชั่นใหม่ แล้วก้อ Fiddler on the Roof

เรื่องที่ขายดีมากๆ ต้องรีบจองล่วงหน้า
อย่าง hairspray จองก่อนเพื่อนเลย ตามมาด้วยwicked
ไม่จองหมดสิทธิ์นั่งติดกันเป็นกลุ่ม เนื่องด้วยเราไปกันเป็นหมู่คณะ
ไม่ก้อต้องนั่งกระจัดกระจาย ตามที่นั่งเดี่ยวๆที่เหลือ ในแต่ละวัน
กรณีนี้ต้องเสียเวลาไปเข้าคิวหน้าโรงอีก

เรื่องที่ไม่ดังมาก หรือดังแต่เล่นมานานมาก
อย่าง The Phantom of The Opera / Les Miserable
อันนี้ไปหน้าโรงได้เลย มีที่นั่งแน่นอน

ที่น่าดูอีกสองเรื่องคือ gone with the wind และ
marguerite ละครเพลงเรื่องใหม่ล่าสุด สร้างจากนิยาย
กำลังเปิดแสดงวันแรกๆในช่วงที่อยู่ เลยจองบัตรล่วงหน้าเรียบร้อย

เวลาจะออกเดินทาง ต้องทำงานจนวินาทีสุดท้าย ขึ้นเครื่องได้หลับสลบ ไม่ได้สติ เนื่องจากการทำงานต่อเนื่องข้ามคืนหลายๆวันติดกัน
ต้องทำล่วงหน้าช่วงที่ไม่อยู่
เหมือนปิด สวิทซ์สมอง เปิดมาใหม่ ถึง นครลอนดอนแล้ว

---------------------------------------------------------------------

วันแรกไปถึงดึกพอดู เลยไม่ได้ดูละครเรื่องไหน เดินเล่นในเมือง
ช่วง soho กินข้าว นอน zzzzzzzz

เช้าวันเสาร์ เริ่มลุย เดินเล่นในเมือง จาก picalldally ไป tarfangar ไป ริมน้ำเทมส์ วกกลับมาสะพาน วอเตอร์ลู
เดินหลุดมาที่ หน้าโรงละคร Royal Theatre Dury Lane
ซื้อบัตร Lord of the Ring เป็นบัตร day seat ราคา 20 ปอนด์
ไปถึงก่อนเวลานิดหน่อย ไม่มีคนเข้าคิวอะไรได้ที่นั่ง แถวที่สอง
กลางเป๊ะๆ ที่นั่งดีมากเทียบกับราคา บัตรราคาเต็ม 60 ปอนด์๖ซื้อจากเอเจนท์จะโดนค่าธรรมเนียมจอง ค่าดำเนินการจอง ค่าส่งบัตร ราวๆ 64-66 ปอนด์ จะไปซื้อที่บูทตั๋วครึ่งราคาtstk สามสิบสองปอนด์ กับอีก ห้าสอบเพนนี ซื้อหน้าโรงถูกและดี
ดูรอบค่ำ สวนรอบบ่ายได้บัตร Monty Pyton's Spamelot
ละครตลกของMonty Pyton คนโตรุ่น 70-80 จะทันหนัง A fish call wannda หรือ heavenly creature หนังรุ่นหลังๆของคณะตลกคณะนี้
monty pyton เป็นคณะตลก ทางทีวีที่โด่งดังในอังกฤษในยุคนั้น เทียบกับบ้านเราน่าจะเป็น กลุ่มซูโม่
มีงานตลกทีวี หนัง มากมาย เรื่องนี้เอา เรื่องคิงส์อาร์เทอร์มาจัดแสดงในแบบละครเพลงตลก ตลกมาก ตลกแบบฝรั่ง เพลงเดินเรื่อง ขำไม่เสียการเดินเรื่อง มีเซอร์ไพรซ์ ฉาก เสื้อผ้า แสง สวยงาม อลังการ เพลงเพราะ เพลงขำซ้า กัดคนอังกฤษ ฝรั่งเศส ไม่มีดี
เพลงเด่น Always look on the bright side of your life.ตามด้วยท่อนฮุค
เสียงผิวปาก เพลงนี้ ดังกระหึ่มทั้งโรงละคร
ดูแล้วรู้สึกดี น่ารัก ประทับใจในตัวเรื่อง นักแสดงเล่นขำๆ
ร้องเพลงดี เพลงดีค่อนทำอุบาวท์เพื่อให้ขำ คุ้มค่าตั๋วสามสิบปอนด์

ตกค่ำ ไปดู Lord of the Ring ฉาก เสื้อผ้า อลังการ สมคำล่ำลือ
ฉากสวย มีไฮท์ ทุกๆขณะจิต ฉากม้าไล่ล่าเฟรโด ม้าทำได้สวยมาก
กิ่งไม้ยักษ์ กางออกมา แถมหมุนให้ดู พื้นเวทีทั้งหมุน ทั้งยก
แมงมุมยักษ์ ออกแบบเริ่ดมากๆ ฉากมนุษย์ต้นไม้ อลังการดี
นักแสดงมี่ทั้งเหิน ทั้งไต่ผนัง ทั้งมุดใต้เวที โผล่มาทางคนดู
มีหายตัวให้ดูเห็นๆ ใส่ทุกอย่างที่จะทำได้ ให้เกิดความตื่นตะลึง
นักแสดงร่วมๆ 80-90 คนได้ เป็นละครที่มีนักแสดงบนเวทีมากเรื่องนึง
ผลที่ได้ คือดูสนุก แต่ดูจบ ไม่ได้ประทับใจเนื่อเรื่อง เพลงไม่เพราะ
นักแสดงเล่นไม่ดี ไม่อินไปกับเรื่องเลย
ชอบมากๆคือฉากที่ปีศาจ เอาตัวพ่อมดขาว ลงไปในหุบเหว
เป็นฉากจบในหนังภาค1 เป็ฉากจบองก์1 ของละคร
ทำได้อลังการสุดๆ ละครยาว สามชม. นิดๆ เบื่อตอนท้ายๆ
ออกจะยาว ทำได้ไม่ดี แต่คุ้มค่าตั๋ว ยี่สิบปอนด์

อาทิตย์ เช้าบินไป ไอร์แลนด์เหนือ
เอารถมาขับขึ้นเหนือ ไปได้นิดนึง เจอมอไซด์แข่ง บิดสวนมาเป็นฝูง
ขับเร็วมาก มอไวด์เยอะมาก มีมอไซดืคันนึงสวนมา สอยเอากระจกข้างรถเรา ป๊าบใหญ่ กระจกข้างแตกกระเจิง ขวัญบินเลย
ไปดู Gient's Causeway ชายฝั่งที่มีหินประหลาด ผุดขึ้นมา
อลังการ หนาว สวยดี
ไปนอนที่ Derry หรือ Londonderry เมืองน่ารักมาก
ที่นอนที่นี่เริ่ด เหมือนนอนบ้านเพื่อน ครัวอลังกาi มีเน็ตใช้ฟรีด้วย
ชอบนิสัยคนที่นี่ ประทับใจมากมาก นอนที่ kennyLetter เมืองมีห้าง
มีโรงละคร vอกไปทางทันสมัย
รุ่งขึ้น ขับไป Donegal ไปดู Slieve Leagu หน้าผาชายทะเลที่สูงสุดในยุโรป สูง ลมแรง วิวอลังการ สวยดี
เข้าไปนอนที่เมือง Donegal ไปกิน ปลาทอด เราสั่งปลาไม่เอาชิพ
คนขายแถมชิพ หวังดีกลัวเราไม่อิ่ม เปล่าเรากลัวอ้วนกัน
เธอตักแถมมาให้ นิสัยเหมือนคนไทยใจดี
เมืองไม่ได้สวยกรี๊ด แต่กรี๊ดนิสัยคนที่นี่มากกว่า
เข้ารุ่งขึ้น บึ่งรถกลับ belfast เนื่องจากพบว่าจุดเล้จุดน้อย ที่ไกด์บุ๊คบอก ไม่เริ่ดเท่าไหร่ เช่น หินหลุมศพ เมืองจำลอง Ireland
บึ่งเข้าไป เบลฟาสต์ ตอนแรกไม่แน่ในบรรยากาศ มันดูไม่ปลอดภัย
แต่เวลาผ่านไป เดินเล่นสักพัก ไม่มีอะไร
ตามห้างร้านมียามยืน แต่ก้อไม่มีอะไร
ที่พัก linnin house ที่พักโอเค ใกล้แหล่อโคจรแบบ เดินสามก้าวถึง
เดินห้าทีถึงแหล่งช๊อปปิ้ง
คืนนั้นนอนสลบสไลไม่ได้สติ
เช้ารุ่งขึ้น ไปดูถนนที่เกิดการสู้รบ เมื่อสัก สิบปีก่อน
สงครามระหว่างกลุ่มไอร์แลนด์ และ กลุ่มอังกฤษ
Fall Road และ Shankill Road เป็นสองสายที่มีการสู้รบอย่างหนัก
เพิ่งสงบไม่กี่ปีมานี้
ภาพวาดตามผนังตึกตามถนนสองสาย เกี่ยวกับการสู้รบที่เกิดขึ้น
ป้ายรำลึกผู้เสียชีวิต ภาพวาดบอกได้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น
เดินดู ถ่ายรูป ไม่รู้เรื่องประวัติอะไร รู้สึกจุกถึงคอหอย บางภาพมันแรงในความรู้สึก ตรงกันข้ามกับความสะเทือนใจในภาพวาดที่เห็น
บรรยากาศในถนน ครึกครื้น ร้านขายของ คนเดินไปมาซื้อของ ขายของ
เราถ่ายรูป คนเดิน คนขับรถ จะหยุดให้เรา กลัวขวางการถ่ายภาพของเรา
เราขอบคุณเขา เขายิ้มให้เรา คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นทักทายพวกเรา
คน นิสัยดี กันทั้งถนน หลงหาไม่เจอ ถึงขั้นพาเดินไปส่งเลย
นี่หรือ belfast ที่เรากลัวกันเมื่อคืน เมืองนี้สุภาพ เป็นมิตรกว่าที่เราคิดเสียอีก
ไปมิวเซียม 5w ไม่ค่อย
ไปดู ระบำ ของ Matthew Bourne's The Nutcracker! ที่ เบลฟาสต์ โอเปร่าเฮาส์ ตัวโรงสวยอลังการ
ระบำเปรี้ยว ขำ ตามสไตล์ Matthew Bourne ที่เคยทำ swan lake ฉบับชายล้วน The Nutcrackerฉบับนี้ต่างจาก บัลเลต์ที่คุ้นเคย เพราะมีการปรับเปลี่ยน เรื่อง วิธีการเน นักแสดงแสดงแบบละครมากขึ้น เรื่องสนุก ขำ ร่วมสมัย ใช้ดนตรีเดิมของ Tchaikovsky ดูจบกลับบ้าน สลบ
เช้ารุ่งขึ้น เดินทางไป Edinburgh

เมือง Edinburgh เมืองเก่าอยู่บนหุบเขา ตึกเก่าสวยงามแต่มีทุกอย่างอยู่ในตึกเก่าเหล่านั้น
ห้าง ร้าน โรงแรม โรงละคร คนพลุกพล่าน
วิวสวย เหมือนเมืองในฉากละครฝรั่ง
ได้ขึ้นไปปราสาท Edinburgh ปราสาทแบบยุคกลาง หินๆ
ข้างในสวยเรียบๆ มีมิวเซี่ยมมากมาย ดูจนมึน เนื้อหาเป็นเรื่องการสู้รบมากมาย ของเก่าเก็บ การสร้างบ้านแปลงเมือง ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย

อยู่ที่นี่ไม่ได้ดูละคร เพราะเป็นช่วงที่ไม่มีอะไรแสดง มีละครเด็กสามสีเรื่อง ไม่กล้าไปดูกลัวเด็ก

วันสุดท้ายที่เมือง Falkrik เมืองเล็กๆอยู่ระหว่าง glasgow กับ edinburgh
นั่งรถไฟออกไปหนึ่งชั่วโมง
เมืองเล็กๆน่ารักได้จัดเทศกาลละครประจำปี เสาร์อาทิตย์
มีละครกว่า สี่สิบเรื่อง วนเวียนเล่นทั้งวัน ในสวนของเมือง
มีดนตรีเวทีเล็กเวทีใหญ่
เป็นงานใหญ่ทีเดียว
มีละครเล็กใหญ่เล่นกันทั่วสวน ละครเร่ ระบำ ละครไม่เร่
คณะละครที่ได้ดูมีทั้ง อังกฤษ และ ประเทศอื่น
มีระบำแขกโชว์อลังการ ใช้ฉากหลังเป็นปราสาทของจริง
มีละครเล่นตามถนน ประมาณ มาเฟียอิตาลี่ ตามหาเจ้าบ่าวให้ลูกสาวตัวเอง ลูกสาวใส่ชุดเจ้าสาวแต่ท้อง มีลูกน้องมาเฟีย เดินเป็นฝูงใหญ่ป่วนคนในงาน

มีคนฝูงนึงแบกโลงแห่ศพ จะพาศพแม่ไปฝัง แต่ก้อฝ่าฝูงคนป่วนคนดูขำกลิ้ง

โชว์คนขุดถนน โชว์คนติดเกาะเล่นสองคน ละครนักแสดงสองคนกับประตูบานนึงสร้างเป็นเรื่องบ้าบอได้สนุกสนาน หุ่นยนป่วนคน
มีร๊อด สจ๊วตตัวปลอมโชว์ของดี มีร๊อบยักษ์ จากหนัง rob roy

ละครที่เก๋จะเป็นละครที่เดินผ่านเรา ให้เราเดินตามดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีแต่แนวคิด พล็อตไม่มี ด้นสดๆกับสานการณ์เอา คนดูเล่นด้วยอย่างเมามัน

ประทับใจกิจกรรมของเมืองนี้ เมืองเล็กที่ไมอะไรแต่ก้อสร้างกิจกรรมให้คนแห่ออกมาที่เมืองนี้ได้
ตกดึกออกไปตะลุยราตรี เข้าบาร์ สามบาร์
คนเที่ยวจืดๆๆๆๆ บรรบากาศออกทางเชย ไม่เก๋
เพลงก้อ อืมม เชยจัง กลับบ้านนอนเร็วกว่ากำหนด

รุ่งขึ้นบินเข้าลอนดอน
ถึงบ่าย เรื่มเลย ตะลุยหาตั๋วดูละครเลย
ดังนี้ จันทร์วันนั้น ค่ำดู
Avenue Q
ใครที่เติบโตมาในยุคของ
sesame street คงจำคณะหุ่นที่น่ารักน่าชัง ทั้งกบเคอร์มิต มิสพิคกี้
และสารพัดสัตว์ที่ปลูกฝังเรื่องดีๆให้เด็กๆ ทั้งค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม
เด็กรุ่นนี้แหละเมื่อโตมา เรียนจบ ออกมาเผชิญโลก
มันไม่เหมือนกับในรายการพี่กบ ป้าหมู ที่เราดูๆมาสักนิด
Avenue Q เป็นละครที่เล่าถึง หนุ่มprincestonที่เรียนเพิ่งจบ เช่าบ้าน

ในAvenueQ อยู่ร่วมกับเพื่อนๆรุ่นราวคราวเดียวกัน
มีทั้งสาวสวย เกย์แอบ ที่แอบรักเพื่อนร่วมห้อง monstreติดเน็ตเวปโป๊
อีกหลายๆตัวละครที่มีสีสันแตกต่างกัน ทุกตัวละครเป็นคนที่พบเห็นได้ในสังคมเรา
ละครจึงโดนใจคนดูได้ไม่ยาก
ยิ่งการใช้เทคนิคคนแสดงเป็นหุ่นเชิดแบบ sesame street
ยิ่งทำให้ตัวละครแสดงอารมณ์ได้เป็นความจริงในโลกของหุ่นมาช่วย
การแสดงออกได้ชัดเจน ตรงๆ ทั้งความเลื่อนไหว การใช้เสียงที่ชัดเจน ตรงกว่าการ

แสดงโดยตัวละครที่เป็นคน คนดูจึง
สัมผัสอารมณ์ในเรื่องได้ง่ายๆ แรง ในแง่ของความเป็นส่วนตัวของตัวละครนั้นๆ
คล้ายๆกับการแสดงของการ์ตูนที่คนพากย์พากย์ตามภาพของการ์ตูนที่ชัดไม่ซับซ้อนมาก

แต่เนื้อหาเป็นชีวิต ที่จริงยิ่งกว่าจริง
โชว์เลยกลายเป็นละครหุ่นสีสันสดใสที่พูดถึงโลกความเป็นจริงที่โหดร้าย
และตัวละครแต่ละตัวต้องดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่ เข้าใจโลก และเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
เรียกว่า เป็นละครที่ฮาและน้ำตาซึมในเวลาเดียวกัน

ที่สำคัญเพลงที่ใส่ในละครเนเพลงสไตล์ sesame street ที่ติดหูฟังง่าย
เนื้อเพลงทั้งฮา สนุก อย่าง the internet is for porn
เพลงรักหวานๆ เพลงอึ้งๆ เพราะหมดทุกเพลง

เทคนิคบนเวทีไปหนักอยู่ที่การใช้หุ่นเป็นหลัก ฉากไปได้ดีกับแนวทางละคร
ทำได้สวยพอเหมาะน่ารัก
การแสดงของนักแสดงหลัก หนึ่งคนรับบทตัวละครสองตัว
แสดงได้ดีทุกคน ทั้งเชิดหุ่น ทั้งแสดงทั้งร้อง ทำได้น่าทึ่งมาก
เป็นโชว์ที่เพลงเพราะ เนื้อหาดีมาก
สมควรกับรางวัลที่ได้รับ รางวัลละครเพลงแห่งปี
ไม่น่าเชื่อว่าAvenue Q จะเอาชนะ Wicked ที่เข้าชิงละครยอดเยี่ยมในปี

เดียวกันได้ คงเป็นเพราะเนื้อหาที่หนักแน่นและร่วมสมัยของละครเรื่องนี้
เพลงสุดท้ายของละคร for now เนื้อง่ายๆ แต่ทำให้เราน้ำตาไหลออกมาไม่รู้เนื้อรู้

ตัว ทั้งฮา หวาน ซึ้ง ผสมได้กลมกล่อมลงตัว

The Phantom of the Opera
เป็นการดูครั้งที่สามในชีวิตของข้าพเจ้า
ครั้งนี้ได้ดูนักแสดงลูกครึ่งอิหร่านแสดงเป็น phantom
การมาที่ลอนดอนแล้วเห็นป้ายโฆษณาละครเรื่องนี้ลอยฉวัดเฉวียดผ่านตา
มันอดไม่ได้ที่จะเข้าไปดูอีกครั้ง
ด้วยเพลงที่ติดหู ทุกอย่างผสมผสานกันอย่างลงตัว
ทั้งการออกแบบเวที ฉาก แสง เสื้อผ้า เทคนิคที่ตื่นเต้นไม่ล้าสมัย
ที่สำคัญเป็นละครเรื่องเดียวที่กำกับโดยผู้กำกับชั้นครู Halorld prince
ยังเปิดแสดงต่อเนื่องถ้ากาลเวลา ให้เด็กวานซีนอย่างข้าพเจ้าได้ตะลึงอึ้งกับ
การวางบล๊อคกิ้งตัวละครที่ลื่นไหลไร้ที่ติ
แถมนักแสดงที่มารับบททุกคน ต้องมีทักษะการร้องที่ได้มาตราฐาน
ทำไมผมจะไม่กลับไปดูอีกครั้งละครับ

จากโรงโอเปร่าซอมซ่อ เมื่อโคมระย้าลอยผ่านเราอึดใจต่อมา
โรงโอเปร่าเก่าโทรมกลายเป็นเวทีโอเปร่าที่สดใสมีชีวิตชีวา
ดนตรีที่มีทำนองคุ้นหู เพราะพริ้งสุดใจ
ฉากที่เปลี่ยนเข้าออกอย่างชาญฉลาดและอลังการ
จากโรงโอเปร่า กลายเป็นหลังเวที อึดใจต่อมา กลายเป็นทะเลสาปใต้ดิน
และรังของฟานท่อม อลังการ ตะลึง และ สวยงามทั้งๆที่เคยเห็นมาแล้ว
และรู้หมดแล้วว่าฉากต่อๆอะไรจะเกิดขึ้น
แต่ครั้งที่สามได้ดู ความรู้สึกยังตื่นเต้นเหมือนได้ดูครั้งแรก
นักแสดงทุกคนเล่นกันอย่างมืออาชีพ
ละครเริ่มต้น พักครึ่ง และจบแสดงไปอย่างรวดเร็วเพราะเพลิดเพลินกับมันมากมาย

ที่ประทับใจก้อคงจะเป็นการแสดงของนักแสดงลูกครึ่งอิหร่าน คามิน
ความสูงสง่า หล่อเหลา ทะลุออกมาขนาดใส่หน้ากากปิดไปครึ่งหน้า
ยังเห็นประกายความหล่ออย่างช่วยไม่ได้
แถมการแสดงและเสียงร้องที่ทรงพลังมากมาย
ช่วยไม่ได้ที่จะกลายเป็นนักแสดงที่โดดเด่นที่สุดและทุกครั้งที่เขาออกมา
ผมจะลืมดูทุกคนบนเวที แต่กระนั้น นักแสดงทั้งทีมแสดงได้มีสีสัน
ตัวละครก้อจัดจ้านตามมาตราฐานดั้งเดิม

อีกจุดที่ไม่ควรลืม
รอบที่ได้ดูคราวนี้ ดูปุ๊บ โรงละครปิดในเวลาต่อมาไม่นานเพื่อให้
โรงละครได้ติดตั้งระบบเสียงดิจิตอลล้วนๆ เพื่อให้ดนตรีและเสียงร้องนักแสดงชัดใสขึ้น
หมดยุคของฟานท่อม อะคุสติกแล้ว แอบใจหายอยู่
เนื่องด้วยALW ไปเปิด ฟานท่อมเวอร์ชั่น ลาสเวกัส
เธอเกิดทึ่งกับระบบเสียงโปรดักชั่นนี้ เลยเอามาติดที่ลอนดอนเสียเลย
ไม่รู้คิดอะไร ผมว่าระบบดนตรีสดๆ พึ่งระบบขยายเสียงให้น้อยที่สุด
น่าจะดีที่สุดแล้ว เพราะโงละครที่เล่นไม่ได้ใหญ่โตแต่ประการใดเลย
อย่างว่าคนมีตังค์ แถมเขาเป็นเจ้าของด้วย เขาจะทำอะไรที่คิดว่าดีที่สุด ใครจะว่าได้


ตกค่ำ หลังดูthe phantom จบ ไปดูละครเรื่องล่าสุดของ
Trevor Nunn ผู้กำกับชื่อดังของคนอังกฤษ สร้างกำกับละครดังในยุค 80ถึง
90 อาทิ Cats, Starlight Express, Les Misérables, Chess,
Aspects of Love, Sunset Boulevard
ยังไม่รวมละครเพลงคลาสิคที่เอามาทำให้ อย่าง Oklahoma,My Fair Lady
เมื่อได้ข่าวว่า Trevor Nunn จะนำนิยายของ Margaret Mitchellเรื่อง gone with the wind
มาสร้างเป็นละครเพลง แค่นี้ก้อเกิดความค้นอยากดูทันที
เรื่องราวของ สการ์เลต โอฮารา ที่เราเคยดูในเวอร์ชั่นที่ วิเวียน ลีห์แสดง สี่ชั่วโมง
มาเป็นเวอร์ชั่นละครเพลงอันนี้ สามชั่วโมง รวดรัดกระชับฉับไวกว่าหนัง
แม้ละครจะโดนนักวิจารณ์สับเละ เนื่องด้วยการประกาศตัวเองว่าเป็น the new musical ในโชว์จริงๆ เพลงกลับไม่มีส่วนที่โดดเด่น มีน้อยมาก และที่สำคัญ
เพลงที่มีอยู่น้อย กลับไม่มีเพลงไหนที่น่าจดจำเลยทั้งในส่วนทำนองและเนื้อร้อง
หลักๆที่ทำให้เรื่องเดินคือการเล่าผ่านนักแสดงสมทบ ในรูปแบบของคอรัสละครกรีกมากกว่า ซึ่งการเล่าเรื่องวิธีนี้ ในละครเรื่องนี้ ทำได้ดีมาก การบรรยายบรรยากาศ
ทำได้แบบเห็นภาพภาษาที่ใช้ตามหนังสือเป๊ะๆ อย่างภาพท้องฟ้าก่อนตะวันตกดินฉากหลังของ ทาร่า ตอนที่พ่อสกาเล็ต พูดคุยกับลูกสาว คอรัสบรรยายได้น่าเชื่อเห็นภาพชัดเจน ครบๆทุกอย่าง สามชั่วโมงเดินตามบทประพันธ์ไม่มีขาดตกหล่น
ตัวละครครบกว่าในหนัง การกำกับการแสดงทำได้ยอดเยี่ยมสมฝีมือ ทั้งการตีความ
การแสดง และวางแนวทางการนำเสนอบนเวที ไม่มีการเทคนิคฉากอลังการ มีแต่
ฉากที่สร้างด้วยนักแสดง อุปกรณ์ประกอบที่สำคัญจำเป็น มีฉากเลื่อนเข้าออกบ้าง
ฉากเผาแอตแลนต้า ก้อแค่เผาธงยูเนี่ยนแจ็คแบบเก๋ๆ ควันขโมง
เวทีครึ่งวงกลมของโรงละครNew London Theatre เป็นโรงละครปราบ
เซียน เพราะเวทีครึ่งวงกลม ซ่อนฉาก ออกแบบเทคนิคทำอะไรไม่ได้มากเท่าเวทีละครในโรงที่เล่นปกติทั่วไป คนคงด่าเรื่องเทคนิคฉากไม่อลังการ เพลงไม่เพราะ เพลงน้อย ละครยาวเกิน
แต่สำหรับผม นักแสดงนำ นางเอกJill Paice และ Darius Danesh
สุดหล่อ แสดง ร้องเพลงได้ยอดเยี่ยม รวมทั้งนักแสดงสมทบคนอื่นๆ
บทที่ฉับไว ได้อรรถรสครบถ้วนของนิยายดั้งเดิม
สามารถทดแทนใส่เพลงน้อยไป ดนตรีที่ไม่เพราะ และฉากที่ไม่อลังการ
ชอบใจละครเรื่องนี้ เพราะเป็นแฟนหนังสือเรื่องนี้ ได้เห็นตัวอักษรออกมาโลดแล่นมีชีวิตตรงหน้าสดๆ ประทับใจมากๆครับ


วันต่อมาช่วงบ่าย ไปดู les miserable ครั้งนี้พิเศษตรงที่ ละครย้ายโรงจาก
palace มาแสดงที่ queen theatre ห่างกันไม่กี่ช่วงตึก
นัยว่าละครเปิดมายี่สิบกว่าปี คนดูน้อยลง การหาโรงที่เล็กกว่าเดิมดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่
เพื่อจะเปิดการแสดงต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เวทีเดิมที่ palace เป็นเวทีขนาดกลาง
เล็กกว่าที่เคยดูที่สิงคโปร์ หรือ ที่ซิดนีย์ด้วยซ้ำ ย้ายมาที่โรง queen ทำให้ละครดู เป็นโปรดักชั่นเล็กไปถนัดตา
แต่ว่า เมื่อม่านเปิด ดนตรีเริ่ม ความเข้มข้น อารมณ์เดิมๆของเรื่อง
ลอยออกมาไม่เล็กเหมือนขนาดเวที นักแสดงเต็มร้อย ร้องกันแบบถวายหัวทุกคน ความเป็น les miserable ยังคงอยู่ครบถ้วนเหมือนที่เคยดูครั้งแรกเมื่อสัก

สิบกว่าปีก่อน ต่อมน้ำตาไหลไปตามเรื่องราวชะตากรรมที่เกิดกับตัวละคร
ความฮึกเหิม ความโรแมนติก รักสามเส้า การต่อสู้เพื่อความเท่าเทียม ความรักในมนุษย์
ความดีงามของจิตใจ สามชั่วโมงผ่านไปไวมาก
ด้วยคุณภาพของนักแสดงที่เต็มที ตอนจบ คนดูยืนขึ้นตรบมือกันทั้งโรง
สังเกตุว่านักแสดงมีอายุน้อยลง เรียกว่าเด็กสุด จากการที่เคยดู สี่ครั้งที่ผ่านมาเกิดความกระชุ่มกระชวยขึ้นมาจากการดูครั้งนี้ครับ
อีกเรื่องที่ประทับใจมากๆคือ ตอนซื้อตั๋วดูละครเรื่องนี้มั่นใจมากๆว่า รอบที่ดูตั๋วเหลือแน่นอน เราไปหน้าโรงตอนเที่ยงๆ จะดูบ่ายสอง ไปที่ขายบัตรถามเขาว่าที่ดูถูกสุดเหลือตรงไหนบ้าง restrict view ก้อไม่เป็นไร เราจะเน้นฟัง มากกว่าดู ทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม
คนขายเธอใจดี เธอบอกรอแป๊บ เธอวิ่งไปหลังโรง กลับออกมาหน้ายิ้มแป้นเธอบอกว่า เธอไปขอ ผจกงลฃโรงลคร ขายตั๋วราคา สิบห้าปอนด์ให้ผม
ที่นั่ง แถว D ที่นั่งกลางเด๊ะๆ ตอนแรกก้ออึ้ง จ่ายตังค์รับบัตร เราได้แต่ขอบคุณคนขายบัตรคนนี้ ขอบคุณแล้วขอบคุณอีก เพราะราคาเต็มมันคือ หกสิบห้าปอนด์
ประทับใจมากกก


ตกค่ำวันเดียวกัน ไปดูthe lion king ที่ lycum theatre
เป็นการดูรอบที่สอง ครั่งก่อนตอนปี 2003 คราวนั้นดูจบ ความรู้สึกแบ่งออกเป็นสามส่วน ประทับใจ เฉย และ ผิดหวัง
ส่วนที่ประทับใจคือ ฉากที่สร้างสรรค์ อลังการ ตื่นตาตื่นใจกับเทคนิคบนเวที
ภาพงามๆบนเวที ทั้งหุ่นสัตว์ เสื้อผ้า สวยงามสมคำร่ำลือ
ส่วนที่เฉยๆ คือ บทที่ดำเนินตามกร์ตูน เพลงดั้งเดิม และเพลงที่ใส่เพิ่ม ไพเพราะตามที่คาดหวัง ไม่ผิดหัวง แต่ไม่ปรี๊ดกว่าฉบับการ์ตูนเท่าไหร่
ที่ผิดหวังคือ ส่วนของการแสดง นักแสดงทั้งเวที สอบตกเรื่องการแสดง
เพราะดุแล้วไม่รู้สึกอะไรไปกับนักแสดงเลย
มีแสดงดีอยู่เป็นช่วงๆ ขึ้นๆลงๆ อย่างตัวซิมบ้าเด็ก เล่นแบบ
ดูแล้วรำคาญ แสดงไม่เก่ง พลอยดึงนักแสดงคนอื่นๆ ตกเหวไปหมด
ไม่อินไปกับนักแสดง ทั้งๆที่ร้องเพลงดี เต้นดี
พอมาดูครั้งที่สอง ห่างกัน หกปี ความรู้สึกเดิมกลับมาเลย นักแสดงเล่นแบบ
ผ่านๆ ขอไปที ทั้งเวที จะมีตัวพ่อ ตัวแม่ อาตัวโกง พอจะดีบ้าง แต่นอกนั้นไม่ไหว
แบนแต๊ดแต๋ ไม่เกิดความนาเชื่อแต่น้อย
ไม่ประทับใจครับ เฉยๆมากๆ

รุ่งขึ้นตื่นแต่เช้ามาที่หน้าโรง Shaftesbury Theatre เพื่อจะดู
Hairspray ละครเพลงเวอร์ชั่นเดียวกับที่บอร์ดเวย์ เดินทางมาถึงลอนดอน เปิดแสดงที่ Shaftesbury Theatre ลอนดอน พิเศษและน่าดูขึ้นมาอีกตรงที่ micheal ball แต่งหญิงแสดงเป็นตัวแม่ของ tracy แค่นี้ก้อควักเงินซื้อบัตรทันที จองไว้รอบวัน

เสาร์ จองทางอินเตอร์เน็ตนานมากแล้ว
พอดีพอดี ที่บ่ายวันนี้ว่างไม่มีอะไรดู เห็นว่ามีรอบบ่ายวันนี้ เลยไปหน้าโรงประเดิมก่อน

หนึ่งรอบ ไปหน้าโรงรอบัตรแต่เช้า ยืนคอยสักสองชั่วโมงก่อนห้องตั๋วเปิดขายตอนเช้า
รอไป อ่านหนังสือไปพลางๆ ขาแข็งกับการรอตั๋วพอสมควร คนเข้าคิวเยอะมาก มารอ

แต่เช้ากว่าเราก้อมี เนื่องจากละครเพิ่งเปิดไม่นา แวมีนักแสดงดังอย่างพ่อ ไมเคิล บอลล์
แฟนๆละครตามมาดูมากเป็นะรรมดา
ได้ดูรอบบ่าย คนดูเต็มโรง เพลงแรกเริ่ม
เป็นละครเพลงที่สนุกมาก สดใส มองโลกในแง่ดี เพลงเพราะทุกเพลง บทดี
ตัวละคมีสีสัน เนื้อหาชัดเจน สารจากละครคมแรงชัดเจน เป็นละครเพลงที่ลงตัว
ความที่ได้ดูหนังมาก่อน ละครมีทางที่ต่างจากหนังพอควร แม้ขะพูดถึงเนื้อเรื่องตัวละครเดียวกัน ครึ่งหลังหนังเดินไปทาง หนังเดินไปอีกทาง ไม่เหมือน the lion king ที่ดามการ์ตุนเด๊ะๆเบื่อๆ อันนี้ทั้งหนังและละครทำได้ดีกว่ามาก
micheal ball สุดยอด ไม่ผิดหวังครับ
ประทับใจและรักละครเรื่องนี้มากมาย

รอบค่ำ ได้ดู Marguerite ละครเพลงเรื่องล่าสุดของ Alain Boublil,
Claude-Michel Schönberg คนแต่ง Miss Saigon และ
Les Miz แม้ว่าเรื่องนี้ Boublilและ Schönbergจะดูแลในส่วนของคำร้อง

การได้ Michel Legrand เจ้าของงานดนตรี ในหนังเพลงฝรั่งเศสสุด
เก๋อย่าง Umbrellas of Cherbourg หรือ เพลงในหนังป้าบาร์บาร่า
สไตรย์แซนด์ Yentle เพลงในหนังทั้งหมดแต่งโดยคนนี้ ได้รางวลออสการ์ไปครอง
และยังไม่นับเพลงประกอบภาพยนตร์เป็นร้อยเรื่องทั้งหนังฮอลีว้ด หรื หนังฝรั่งเศสเอง
ละครเพลงเรื่องนี้สร้างจากนิยายเรื่องเดียวกัน แต่งโดย นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส
Alexandre Dumasผู้แต่งนิยายเรื่อง The Lady of the Camellias
(La Dame aux camélias). ภายหลังเอามาสร้างเป็นละครพูดประสบความสำเร็จโด่ดังจนกลายมาเป็น โอเปร่าของ Verdi เรื่อง La Traviataในภายหลัง

เป็นละครเพลงอังกฤษที่มีทีมสร้างบท สร้างเพลง โดยคนฝรั่งเศส
ตอนที่ไปทริปนี้ Marguerite เปิดการแสดงช่วงแรกพอดี
จึงไม่พลาดที่จะลอดูละครเพลงเปิดใหม่ ทั้ง gone with the wind และ
เรื่องนี้ Marguerite

Margueriteเป็นเรื่องราวของนักร้องนักแสดง Marguerite ที่สะสวย โด่งดัง ในช่วงนาซีบุกปารีส Marguerite ยอมเป็นเมียนายพลกองทัพนาซี
เพราะไม่อยากตกอยู่ในอัตรายและไม่อยากลำบากอดอยาก ในช่วงนาซีครองฝรั่งเศส

ปารีสแร้นแค้น อดอยาก การเป็นเมียนายพลนาซีเป็นทางออกสำหรับเธอผู้รักสนุกไม่สนใจเรื่องราวรอบข้าง

Marguerite เป็นคนรักสนุก คล้ายๆนางเองใน La Traviata

แต่เรื่องนี้จะซับซ้อน เพราะ นางเอกเกิดไปตกหลุมรักหนุ่มนักดนตรี ที่มาเล่นเพลงในงานวันเกิดเธอ อุบัติเหตุรักเดิกขึ้นเมือ่เกิดการบอมม์เมืองปารีสทางอากาศ ระหว่างงานเลี้ยง
งานเลี้ยง กระจุย เพราะระเบิด (ฉากนี้ทำดีมาก ฉากคฤหาสถ์ ถูกระเบิดกระจุย มีแรงดันระเบิด ออกมาจากเวทีเข้ามาที่คนดูด้วย ทุกอย่างในงานพินาศเหมือนจริง เริ่ดมาก)
แขกหนีตาย นักดนตรีที่ชื่นชอบนางเอก ช่วยนางเอกใหรอดตาย พระเอกได้โขมยจูบ นางเอกอย่างร้อนแรง
ความสัมพันธ์เป็นชู้เด็กหนุ่มนักดนตรี ที่เป็นขบวนการใต้ดินต่อต้านนาซี
กับนางเอกที่เป็นเมียนายพลนาซี
เกมส์อันตรายเริ่มขึ้น พร้อมด้วยการสำรวจความรู้สึกของตัวละครหลักสามตัว
มีฉากสงคราเป็นฉากหลัง เพลงดนตรี บททำได้ดีมากโดยเฉพาะดนตรีเนื้อร้องอุดมไปด้วย พิษรัก ความลุ่มหลง ควมหึงหวง พาคนดูดำดิ่งลงไปในความรักในแง่มุมต่างๆ
พอๆกับ the aspects of love แต่จริงจังอันตรายกว่า เพราะมีเรื่อง
สงครามมาเกี่ยวข้อง
เรื่องเดินมาจุดแตกหักพร้อมกับสงครามสิ้นสุด นางเอก Marguerite แสดงโดย ruthie hanshall แสดง ร้อง ได้โดดเด่น ทุกฉากที่ออกมา
แต่ฉากสุดท้ายนี่สุดๆเลยเพราะ ตัวละครจะโดนเธอโดนชาวปารีส รุมประชาทัณ เพราะเธอเป็นเมียนาซี ฉากนี้ออกแบบท่าเต้นดีมาก เธอโดนทึ้ง
คนที่ป้อยอเธอ เป็นมิตรเธอ ตอนเป็นเมียนาซี กลับไม่ช่วยเอาตัวรอดโดยการเปลี่ยนสี แปรพรรค เธอโดนรุมแบบว่า ผมโดนกร้อน เสื้อผ้าขาดแหว่งวิ้น ไม่มีอะไรติดตัว รุนแรงแต่สวยงามเพราะเป็นระบำ ท่าเต้น
นักแสดงลงทุน และแสดงดีมากๆ คนดูทั้งโรงไม่หลั่งน้ำตาให้ไม่รู้จะว่าไง
เพลงเพราะ แสดงดี ฉากสวยงาม ฉลาดทำ ดูอลังการ ปารีสมากๆ
เรื่องเศร้า เพลงเพราะ แสดงดี ฉากสวย
ยืนตบมือให้นางเอกกันทั้งโรง


วันศุกร์ได้ดู the wicked
เป็นละครที่รอคอยมานาน ได้ดูแม่มดเขียวกะเขาเสียที หลังจากตามดูใน you tube มานมนาน the wicked สร้างจากนิยายของ Gregery Maguire
นิยายเรื่อง Wicked: The Life and Times of the Wicked Witch of the West
คนที่คุ้นเคยเรื่องของ the wizard of oz คงปะติดปะต่อเรื่องราวได้
เพราะthe wicked เป็นเรื่องที่เกิดก่อน เรื่อง the wizard of oz
มาทับกันก้อตอนท้ายเรื่อง ตอนที่ แม่มดเขียวจับโดราทีไว้ เพื่อจะเอารองเท้ามรกตของน้องสาวคืนจากโดราที
เรื่องราวของ the wicked แต่งออกมาได้ฉลาดคิดฉลาดทำ
โดยอาศัยช่องว่าจากบทประพันธ์เดิม แต่งเรื่องราวเกี่ยวกับแม่มดเขียว
ตัวละครที่ร้ายกาจใน the wizard of oz ให้กลายเป็นคนที่มีเลือดเนื้อ มี

ความรัก มีความปราถนาเหมือนคนทั่วไป ชะตากรรมพาให้ตัวละครแม่มดเขียวกลายเป็นแม่มดที่ชั่วร้ายในสายตาคนทั่วไป รวมทั้งคนที่รู้เรื่องเฉพาะในส่วนของ the wizard of oz
ในขณะ คนที่ดูจะเป็นฝ่ายดี ในเรื่อง the wicked นี้กลายเป็นฝ่ายเผด็จการไป

แทน แบบว่ามีที่มาที่ไปเสียด้วย ละครเพลงก้อถ่ายทอดเนื้อหาเล่านี้ครบถ้วน ได้ใจความ ไม่ตกหล่น
ที่สำคัญ เพลงในเรืองแต่งทำนองคำร้องโดยStephen Schwartz ทำดนตรี

ได้เพราะติดหูแนวป๊อบทุกเพลง เนื้อร้องดีมาก เดินเรื่อง บอกความรู้สึกตัวละคร นำออกมาเป็นเพลงโดดๆ ก้อเป็นเพลงที่เพราะมากเพลงนึง
เพลงที่เด็ดที่สุดก้อ Defying Gravity ก่อนจบองก์สอง
เพลงนี้สุดอลังการทั้งเนื้อร้อง ทำนองที่บรรเลง
คนร้องเสียงสุดยอด ภาพที่ออกมาบนเวที ทั้งสวย น่าเกรงขาม อลังการ
มีพลังทะลุโรงละคร แบบว่า พีคสุดๆ อ่มตั้งแต่จบองก์แรก องก์สองกลายเป็นของแถมไปในพริบตา
แม้ว่าจะไม่ได้ดู นักแสดงชุดแรกจากบอร์ดเวย์ Idina Menzel

และKristin Chenoweth แต่นักแสดงชุดที่ลอนดอนชุดแรก
Kerry Ellis, Dianne Pilkington รับบทแม่มดเขียว แอลฟี่
กะ แม่มดขาว กลินดา ตามลำดับ
สองคนนี้แสดงดีไม่แพ้ต้นฉบับ
แม้ว่าละครจะมี บทดีมาก เพลงเริ่ด นักแสดงแสดง ร้องสุดยอด
แอบผิดหวังเรื่องฉากไปนิดนึง เพราะคาดหวังจะเห็นฉาก เทคนิคเวทีที่น่าจะอลังการกว่านี้ ฉากที่บ้านลอยมากับพายุที่โดราทีอยู่ในนั้น ไม่มี แอบเซ้ง
แต่รวมๆ แสง สี เสื้อผ้า ฉากส่วนอื่นๆ ทำได้ลงตัว
ไม่ผิดหวัง แม้จะดูในยูทูปไปหลายๆหน มาดูในโรงจริง บอกได้เลยว่าเด็ด และเต็มอิ่ม

เสาร์ บ่าย hairspray อีกครั้ง
ครั้งนี้นั่งถอยออกมาหน่อยทำให้เห็นการเต้นแบบหมู่มวล เต้นได้สวยงามพร้อมเพียง
การแสดงสนุกสนาน เต็มที ไม่แพ้รอบแรกที่ดู
เป็นการปิดท้ายทริปดูละคร อิ่มล้นปรี่มากๆ




 

Create Date : 20 พฤษภาคม 2551
3 comments
Last Update : 15 สิงหาคม 2553 20:08:44 น.
Counter : 955 Pageviews.

 

มาติดตามรออ่านต่อนะครับ

ยังไงเรียนเชิญไปเยี่ยมที่ blog ผมได้นะครับ มีเพลงจากละครเพลงเรื่องต่างๆ ให้ฟังเยอะแยะเลยครับ

 

โดย: ruiN 12 มิถุนายน 2551 12:29:31 น.  

 

พี่คิงเลียร์ ได้ฤกษ์ประเดิมบล็อคจนได้นะ

กิ๊วๆ

 

โดย: doo_wop_boy 12 มิถุนายน 2551 17:06:24 น.  

 

เรียนคุณ kinglear เรื่องเกี่ยวกับคอนเสิร์ตเยาวชนครับ
เห็นบอกว่าคราวที่แล้วไสมารถมาได้ ยังไงวันเสาร์นี้ถ้าว่างเรียนเชิญนะครับ เป้นวงดุริยางค์เยาวชนอีกหนึ่งวงจาก 9 ประเทศ ครับ เป็นวงเครื่องเป่า //www.music.mahidol.ac.th ถ้าว่างเรียนเชิญนะครับ

 

โดย: mspr IP: 202.28.180.202 13 ตุลาคม 2551 13:32:47 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


kinglear
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add kinglear's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.