ไม่ว่าฤดูร้อนปีไหนๆ กลางวันและกลางคืนที่ผ่านไป คงเป็นเวลาที่เท่ากันเสมอ
space
space
space
<<
มีนาคม 2568
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
space
space
4 มีนาคม 2568
space
space
space

เรื่องราวหนหลัง
หากจะย้อนเวลากลับไปราวแปดปีก่อน ยุรกรณ์ได้ไปหาคนผู้หนึ่ง
         “ไปหามะพร้าวเต่ากันเถอะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งวางท่าทำเป็นเท่ห์พูดชี้ชวน ใบหน้าหวานหยดย้อยค้านกับจิตใจส่วนลึก สายตานั้นมอง  ยุรกรณ์ผู้มาเยือน
         “เราจะไปกันยังไง” ยุรกรณ์ถาม ใบหน้าเรียว ตาชั้นเดียวมองนิ่ง
         “พาหมาขึ้นไปด้วย” หนุ่มหน้าหวานกล่าว พลางถือกระบองไม้ไผ่กระชับมือ
         ‘หมั่นโถว’ สุนัขพันธุ์ไทยสีขาวเดินตามไปอย่างไม่รู้ประสา แต่ทว่าขีดความสามารถก็ยังเหนือกว่าสองหนุ่มอยู่ดี
         มันเป็นหลังบ้านของชายหนุ่มที่ชื่อ ‘กุนเชียงชาญ บริบาลรักษ์’
         เป็นเนินเตี้ยๆ ที่ค่อยๆ ลาดขึ้นไปยังภูเขาสูง พวกเขา 2 คน กับอีก 1 ผู้ระแวดระวังทาง ลุยป่าโปร่งเข้าไปในยามบ่ายของวันหยุดหลังจากหมดภาระจากการบ้านที่โรงเรียนแล้ว แสงแดดยามบ่ายไม่ได้อ่อนลง เพียงแต่ร่มเงาของไม้ใหญ่ทำให้รู้สึกเย็นสบายขึ้น...ก็เท่านั้น
         ทั้งสองเดินไปตามทางที่มีคนเคยผ่านมาแล้ว ต้นมะพร้าวเต่าขึ้นตามจุดต่างๆ ประปราย
         เดินกันต่อ...ไปจวนจะสุดปลายยอดเขา ก็ยังไม่เหน็ดเหนื่อย แดดบ่ายค่อยๆ โรยตัวเย็นลงตามลำดับ ชายหนุ่มผู้ไปเยื่อนถิ่นเพื่อน มองความงดงามของสายัณห์กาลและประทับมันไว้ในดวงใจของตน
         พวกเขาหิ้วมะพร้าวเต่ากันคนละต้นลงเขาไป มีหมั่นโถววิ่งระวังภัย และคอยเป็นเพื่อนให้อุ่นใจตลอดระยะการเดินทาง
 
         ในเวลาต่อมาไม่นาน...
         “หมั่นโถวตายแล้ว”
         “อ้าว มันเป็นไร”
         สาเหตุตามธรรมชาติถูกเอื้อนเอ่ย และแผ่วพลิ้วไปตามสายลมของฤดูร้อนที่พัดผ่านหน้า
         มันจะมีอยู่วันหนึ่ง...ที่ยุรกรณ์ปั่นจักรยานโบราณคันแกร่งและสภาพดีไปเที่ยวหากุนเชียงชาญ เขาแลกจักรยานกับกุนเชียงชาญในการขับขี่ รถจักรยานของกุนเชียงชาญโหลยโท่ยสิ้นดี ล้อคด มือจับไม่เสถียร
         “เพื่อเพื่อน คนเรายอมกินเหล้าก็เพื่อเพื่อน แม้จะกินแล้วผื่นขึ้นก็ตาม” กุนเชียงชาญเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือเท่ห์ แต่มันไม่เท่ห์เอาเสียเลยในความรู้สึกของยุรกรณ์
         “หากกินแล้วผื่นขึ้น แล้วยังกล้าบีบบังคับให้ดื่ม ก็อย่ามาเป็นเพื่อนกันเลย”
         ยุรกรณ์เปรยกลับ
         วันนั้น...จักรยานของสองหนุ่มโลดแล่นไปตามทางสายเปลี่ยว หมาประจำถิ่นเรียงรายล้อมพวกเขาเต็มถนนหนทาง
         เพียงขับหนี...จักรยานของยุรกรณ์พากุนเชียงชาญรอด หมอนั่นหันมามองยุรกรณ์กับรถโหลยโท่ย หมู่หมาเข้าล้อมรอบตัวยุรกรณ์
         กุนเชียงชาญเพียงหัวเราะหึๆ
         “เอ็งไปคิดเอาเองเถอะพ่อหนุ่ม” หมาอาวุโสพูด (โดยพยายามสื่อในแบบที่ใครก็มิอาจรู้...?) จ่าฝูงตัดสินใจถอนกำลัง ยุรกรณ์รอด
         ...
         การเดินเขาแบบเด็กๆ ของกุนเชียงชาญกับยุรกรณ์เป็นเพียงความทรงจำรางๆ เมื่อพวกเขาพากันขึ้นไปยังเขาอีกเทือก ซึ่งทุกอย่างกลับไม่ได้เป็นดังที่วาดไว้
         ไม่มีหมั่นโถวคอยระวังภัย
         มีแต่เนินสูงที่ให้ความรู้สึกน่ากลัวกว่า ‘เทือกตะวันส่อง’ ที่เคยผ่านมา
         ในทางกลับกัน มันก็มีความงามที่แทบจะทำให้หยุดนิ่งอยู่กับที่
         หนทางที่เต็มไปด้วยพงหญ้าในฤดูร้อนยังพอโล่งเตียนให้เดินได้สะดวก พอขึ้นไปยังเนินเตี้ยๆ ก็สามารถมองผ่านป่าไม้โปร่งตาที่มองเห็นเมืองทั้งเมืองได้
         บนสุดของยอดเขา...มีสถานีปฏิบัติการอะไรสักอย่างอยู่บนนั้น มีการตัดทางขึ้นไปได้อย่างสะดวกสบายในยุคต่อมา ในป่าที่กำลังจะเดินกันขึ้นไป ระหว่างทางย่อมมีเรื่องราวบางช่วงที่พวกเขาทั้งคู่ก็ไม่อาจเข้าใจ มันเป็นสิ่งลี้ลับที่แตะผัสสะและกระทบใจพวกเขาเป็นระลอกๆ
         ช่วงเวลาที่ตื่นเต้นและสนุกสนาน จากที่เคยขึ้นไปแค่จุดที่มีสุสานตั้งอยู่
         ยุรกรณ์ก็ได้เดินล้ำขึ้นไปอีกตอนของช่วงเขา ความรู้สึกอยากรู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มุมสูงที่มองเห็นทิวทัศน์ที่แสนงดงามก็ดูสูงขึ้นเรื่อยๆ
         ไม่นานนักเขาทั้งสองก็ขึ้นไปถึงส่วนของต้นไม้ที่ถูกตัดจนโล่งเตียน มองจากมุมด้านล่างตรงจุดที่กล่าวถึงนี้คือจุดที่สายไฟทอดยาวจากเสาสูงพาดผ่าน ผู้เกี่ยวข้องในงานจึงมักทำให้โล่งเตียนโดยไม่ให้เกะกะสายไฟอยู่เสมอ
         ที่ตรงนั้น...ยุรกรณ์กับกุนเชียงชาญไปพบก้อนหินก้อนหนึ่ง มองขึ้นไปด้านบน ถ้าเดินไปอีกอึดใจเดียวก็จะถึงยอดเขาที่มีสถานีปฏิบัติการและเสาเรดาร์ยักษ์ตั้งอยู่ ส่วนช่วงเขาในตอนนี้ แสงแดดทอจ้า เป็นส่วนที่สว่างที่สุดเท่าที่ผ่านมา มองลงไปยังทิวทัศน์เบื้องล่าง เห็นสุดขอบฟ้าเป็นขอบเขตที่ราวกับไร้ขอบเขตเส้นหนึ่ง
         ฟ้าใส ความรู้สึกห่างไกลกับผู้คน ขณะเดียวกันก็รับรู้ได้ถึงความเปล่าเปลี่ยวที่เกาะกินใจถึงขีดสุด
         เป็นความงามที่เลือนราง ล้ำค่า และหาโอกาสไปดูได้ยากมากในชั่วเวลาหนึ่งของชีวิต
         เวลากระดิกเร็วกว่าที่พวกเขาคิด จำใจต้องลงเขาโดยเดินตามร่องน้ำแห้งกันลงไป พอเข้าเขตบังของหมู่ไม้ แสงแดดพลันหาย ราวกับว่าเวลาของยามบ่ายได้สูญไปเสียสิ้น ราวกับว่าสายัณห์กาลเร่งหลบเร้นลงรวดเร็วก็มิปาน
         กุนเชียงชาญไม่ฟังเสียง เขาเดินแกมวิ่งทิ้งยุรกรณ์ไว้ข้างหลัง ใจเกิดเสียขึ้นมาเพราะอาณาของพงไพรที่หาสาเหตุแห่งใจนั้นมิได้ รู้เพียงแต่ให้ตนออกจากป่าโปร่งนี้โดยเร็วที่สุด ยุรกรณ์เช่นกัน เขารู้สึกว่าทางกลับน่าจะเร็วกว่าตอนขึ้นเขา แต่ทำไมเวลาช่างดูวกวนและยาวนาน เหมือนเดินไปในสายัณห์กาลที่โรยตัวลงจนเกือบจะมืดมิดแล้ว
         พวกเขาผ่านออกไปสู่แสงสว่างอีกครั้ง เห็นรถราวิ่งผ่านแถบถนนตรงตีนเขา แดดบ่ายยังคงสว่างจ้า ราวกับเวลาหมุนกลับ แล้วปรากฏการณ์ที่เกือบมืดมิดจนทำให้กลัว เงื้อมเงาของต้นไม้ที่แกว่งไกวยามที่ลมยังไม่ทันพัด ห้วงอารมณ์ที่ใกล้เคียงกับห้วงฝันร้ายกลายๆ มันคืออะไรกันแน่
         กุนเชียงชาญเป็นเพื่อนสนิทของยุรกรณ์ แต่ก็ไม่ได้ยืนยงถึงขนาดที่ว่าจะเป็นเพื่อนตายได้
         บนโลกนี้...มิตรภาพที่ดีนั้นมีแน่ แต่ใช่ว่าจะหาได้ง่าย
         ถ้าใครสักคนหนึ่งเจอง่ายๆ นั่นคือพวกเขามีวาสนาและบุญเก่าที่ดี

ในรูปแบบ E-Book ที่
MEB https://shorturl.at/0JlKy
Pinto https://pintobook.com/sl/thbdzeqirs



Create Date : 04 มีนาคม 2568
Last Update : 9 มีนาคม 2568 10:38:19 น. 0 comments
Counter : 102 Pageviews.
(โหวต blog นี้) 

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
space

คิมหันต์วิษุวัต
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นความฝัน ดวงตะวัน กลางคืนเที่ยง
ที่ร้อยเรียง ความทรงจำ อันล้ำค่า
เล่าให้ฟัง ใต้ต้นไม้ แต่นานมา
จึงเล่าผ่าน อักษรา เป็นความเรียง

space
space
[Add คิมหันต์วิษุวัต's blog to your web]
space
space
space
space
space