|
|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
 |
|
|
หากจะย้อนเวลากลับไปราวแปดปีก่อน ยุรกรณ์ได้ไปหาคนผู้หนึ่ง “ไปหามะพร้าวเต่ากันเถอะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งวางท่าทำเป็นเท่ห์พูดชี้ชวน ใบหน้าหวานหยดย้อยค้านกับจิตใจส่วนลึก สายตานั้นมอง ยุรกรณ์ผู้มาเยือน “เราจะไปกันยังไง” ยุรกรณ์ถาม ใบหน้าเรียว ตาชั้นเดียวมองนิ่ง “พาหมาขึ้นไปด้วย” หนุ่มหน้าหวานกล่าว พลางถือกระบองไม้ไผ่กระชับมือ ‘หมั่นโถว’ สุนัขพันธุ์ไทยสีขาวเดินตามไปอย่างไม่รู้ประสา แต่ทว่าขีดความสามารถก็ยังเหนือกว่าสองหนุ่มอยู่ดี มันเป็นหลังบ้านของชายหนุ่มที่ชื่อ ‘กุนเชียงชาญ บริบาลรักษ์’ เป็นเนินเตี้ยๆ ที่ค่อยๆ ลาดขึ้นไปยังภูเขาสูง พวกเขา 2 คน กับอีก 1 ผู้ระแวดระวังทาง ลุยป่าโปร่งเข้าไปในยามบ่ายของวันหยุดหลังจากหมดภาระจากการบ้านที่โรงเรียนแล้ว แสงแดดยามบ่ายไม่ได้อ่อนลง เพียงแต่ร่มเงาของไม้ใหญ่ทำให้รู้สึกเย็นสบายขึ้น...ก็เท่านั้น ทั้งสองเดินไปตามทางที่มีคนเคยผ่านมาแล้ว ต้นมะพร้าวเต่าขึ้นตามจุดต่างๆ ประปราย เดินกันต่อ...ไปจวนจะสุดปลายยอดเขา ก็ยังไม่เหน็ดเหนื่อย แดดบ่ายค่อยๆ โรยตัวเย็นลงตามลำดับ ชายหนุ่มผู้ไปเยื่อนถิ่นเพื่อน มองความงดงามของสายัณห์กาลและประทับมันไว้ในดวงใจของตน พวกเขาหิ้วมะพร้าวเต่ากันคนละต้นลงเขาไป มีหมั่นโถววิ่งระวังภัย และคอยเป็นเพื่อนให้อุ่นใจตลอดระยะการเดินทาง ในเวลาต่อมาไม่นาน... “หมั่นโถวตายแล้ว” “อ้าว มันเป็นไร” สาเหตุตามธรรมชาติถูกเอื้อนเอ่ย และแผ่วพลิ้วไปตามสายลมของฤดูร้อนที่พัดผ่านหน้า มันจะมีอยู่วันหนึ่ง...ที่ยุรกรณ์ปั่นจักรยานโบราณคันแกร่งและสภาพดีไปเที่ยวหากุนเชียงชาญ เขาแลกจักรยานกับกุนเชียงชาญในการขับขี่ รถจักรยานของกุนเชียงชาญโหลยโท่ยสิ้นดี ล้อคด มือจับไม่เสถียร “เพื่อเพื่อน คนเรายอมกินเหล้าก็เพื่อเพื่อน แม้จะกินแล้วผื่นขึ้นก็ตาม” กุนเชียงชาญเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือเท่ห์ แต่มันไม่เท่ห์เอาเสียเลยในความรู้สึกของยุรกรณ์ “หากกินแล้วผื่นขึ้น แล้วยังกล้าบีบบังคับให้ดื่ม ก็อย่ามาเป็นเพื่อนกันเลย” ยุรกรณ์เปรยกลับ วันนั้น...จักรยานของสองหนุ่มโลดแล่นไปตามทางสายเปลี่ยว หมาประจำถิ่นเรียงรายล้อมพวกเขาเต็มถนนหนทาง เพียงขับหนี...จักรยานของยุรกรณ์พากุนเชียงชาญรอด หมอนั่นหันมามองยุรกรณ์กับรถโหลยโท่ย หมู่หมาเข้าล้อมรอบตัวยุรกรณ์ กุนเชียงชาญเพียงหัวเราะหึๆ “เอ็งไปคิดเอาเองเถอะพ่อหนุ่ม” หมาอาวุโสพูด (โดยพยายามสื่อในแบบที่ใครก็มิอาจรู้...?) จ่าฝูงตัดสินใจถอนกำลัง ยุรกรณ์รอด ... การเดินเขาแบบเด็กๆ ของกุนเชียงชาญกับยุรกรณ์เป็นเพียงความทรงจำรางๆ เมื่อพวกเขาพากันขึ้นไปยังเขาอีกเทือก ซึ่งทุกอย่างกลับไม่ได้เป็นดังที่วาดไว้ ไม่มีหมั่นโถวคอยระวังภัย มีแต่เนินสูงที่ให้ความรู้สึกน่ากลัวกว่า ‘เทือกตะวันส่อง’ ที่เคยผ่านมา ในทางกลับกัน มันก็มีความงามที่แทบจะทำให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ หนทางที่เต็มไปด้วยพงหญ้าในฤดูร้อนยังพอโล่งเตียนให้เดินได้สะดวก พอขึ้นไปยังเนินเตี้ยๆ ก็สามารถมองผ่านป่าไม้โปร่งตาที่มองเห็นเมืองทั้งเมืองได้ บนสุดของยอดเขา...มีสถานีปฏิบัติการอะไรสักอย่างอยู่บนนั้น มีการตัดทางขึ้นไปได้อย่างสะดวกสบายในยุคต่อมา ในป่าที่กำลังจะเดินกันขึ้นไป ระหว่างทางย่อมมีเรื่องราวบางช่วงที่พวกเขาทั้งคู่ก็ไม่อาจเข้าใจ มันเป็นสิ่งลี้ลับที่แตะผัสสะและกระทบใจพวกเขาเป็นระลอกๆ ช่วงเวลาที่ตื่นเต้นและสนุกสนาน จากที่เคยขึ้นไปแค่จุดที่มีสุสานตั้งอยู่ ยุรกรณ์ก็ได้เดินล้ำขึ้นไปอีกตอนของช่วงเขา ความรู้สึกอยากรู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มุมสูงที่มองเห็นทิวทัศน์ที่แสนงดงามก็ดูสูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานนักเขาทั้งสองก็ขึ้นไปถึงส่วนของต้นไม้ที่ถูกตัดจนโล่งเตียน มองจากมุมด้านล่างตรงจุดที่กล่าวถึงนี้คือจุดที่สายไฟทอดยาวจากเสาสูงพาดผ่าน ผู้เกี่ยวข้องในงานจึงมักทำให้โล่งเตียนโดยไม่ให้เกะกะสายไฟอยู่เสมอ ที่ตรงนั้น...ยุรกรณ์กับกุนเชียงชาญไปพบก้อนหินก้อนหนึ่ง มองขึ้นไปด้านบน ถ้าเดินไปอีกอึดใจเดียวก็จะถึงยอดเขาที่มีสถานีปฏิบัติการและเสาเรดาร์ยักษ์ตั้งอยู่ ส่วนช่วงเขาในตอนนี้ แสงแดดทอจ้า เป็นส่วนที่สว่างที่สุดเท่าที่ผ่านมา มองลงไปยังทิวทัศน์เบื้องล่าง เห็นสุดขอบฟ้าเป็นขอบเขตที่ราวกับไร้ขอบเขตเส้นหนึ่ง ฟ้าใส ความรู้สึกห่างไกลกับผู้คน ขณะเดียวกันก็รับรู้ได้ถึงความเปล่าเปลี่ยวที่เกาะกินใจถึงขีดสุด เป็นความงามที่เลือนราง ล้ำค่า และหาโอกาสไปดูได้ยากมากในชั่วเวลาหนึ่งของชีวิต เวลากระดิกเร็วกว่าที่พวกเขาคิด จำใจต้องลงเขาโดยเดินตามร่องน้ำแห้งกันลงไป พอเข้าเขตบังของหมู่ไม้ แสงแดดพลันหาย ราวกับว่าเวลาของยามบ่ายได้สูญไปเสียสิ้น ราวกับว่าสายัณห์กาลเร่งหลบเร้นลงรวดเร็วก็มิปาน กุนเชียงชาญไม่ฟังเสียง เขาเดินแกมวิ่งทิ้งยุรกรณ์ไว้ข้างหลัง ใจเกิดเสียขึ้นมาเพราะอาณาของพงไพรที่หาสาเหตุแห่งใจนั้นมิได้ รู้เพียงแต่ให้ตนออกจากป่าโปร่งนี้โดยเร็วที่สุด ยุรกรณ์เช่นกัน เขารู้สึกว่าทางกลับน่าจะเร็วกว่าตอนขึ้นเขา แต่ทำไมเวลาช่างดูวกวนและยาวนาน เหมือนเดินไปในสายัณห์กาลที่โรยตัวลงจนเกือบจะมืดมิดแล้ว พวกเขาผ่านออกไปสู่แสงสว่างอีกครั้ง เห็นรถราวิ่งผ่านแถบถนนตรงตีนเขา แดดบ่ายยังคงสว่างจ้า ราวกับเวลาหมุนกลับ แล้วปรากฏการณ์ที่เกือบมืดมิดจนทำให้กลัว เงื้อมเงาของต้นไม้ที่แกว่งไกวยามที่ลมยังไม่ทันพัด ห้วงอารมณ์ที่ใกล้เคียงกับห้วงฝันร้ายกลายๆ มันคืออะไรกันแน่ กุนเชียงชาญเป็นเพื่อนสนิทของยุรกรณ์ แต่ก็ไม่ได้ยืนยงถึงขนาดที่ว่าจะเป็นเพื่อนตายได้ บนโลกนี้...มิตรภาพที่ดีนั้นมีแน่ แต่ใช่ว่าจะหาได้ง่าย ถ้าใครสักคนหนึ่งเจอง่ายๆ นั่นคือพวกเขามีวาสนาและบุญเก่าที่ดี
ในรูปแบบ E-Book ที่ MEB https://shorturl.at/0JlKy Pinto https://pintobook.com/sl/thbdzeqirs
Create Date : 04 มีนาคม 2568 |
Last Update : 9 มีนาคม 2568 10:38:19 น. |
|
0 comments
|
Counter : 102 Pageviews. |
 |
|
|
|
|
 |
|
|
|
 |
ฝากข้อความหลังไมค์ |
 |
Rss Feed |
 | Smember |  | ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

|
เป็นความฝัน ดวงตะวัน กลางคืนเที่ยง ที่ร้อยเรียง ความทรงจำ อันล้ำค่า เล่าให้ฟัง ใต้ต้นไม้ แต่นานมา จึงเล่าผ่าน อักษรา เป็นความเรียง
|
|
 |
|