Bloggang.com : : เวเว : ห่วงไทยโดนแบล็กลิสต์ฟอกเงิน เอกชนชี้ลงทุนต่างแดนยากขึ้น-จี้รัฐคลอด2พรบ.

ห่วงไทยโดนแบล็กลิสต์ฟอกเงิน เอกชนชี้ลงทุนต่างแดนยากขึ้น-จี้รัฐคลอด2พรบ.

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยถึงกรณีที่ไทยถูกขึ้นบัญชีเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่ต้องเฝ้าระวังอันดับ 1 ในการทำธุรกรรมทางการเงินจากคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน (FATF) ซึ่งเป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นโดยกลุ่ม จี 7 เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการสกัดการฟอกเงินว่า ยอมรับว่ามีความกังวลต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ซึ่งการกำกับดูแลเรื่องดังกล่าว เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ในการตรวจสอบ รวมทั้งอาจต้องมีการปรับปรุงกฎหมาย เพื่อให้การตรวจสอบมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า 5 องค์กรภาคเอกชนจะยังคงเดินหน้าทำงาน เพื่อผลักดันให้รัฐบาลเร่งนำกฎหมาย 2 ฉบับ คือพ.ร.บ.ว่าด้วยการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย และพ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันการฟอกเงินเข้าสู่สภา เพื่อที่ประเทศไทยจะได้มีโอกาสได้รับการปรับอันดับไปสู่ระดับเดิมหรือดีขึ้นกว่าเดิม เพราะหากปล่อยเรื่องนี้ไปเนิ่นนานในระยะกลางหรือยาว จะส่งผลกระทบกับความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจและสถาบันการเงินไทย

"ไม่อยากให้ใช้คำว่าแบล็กลิสต์ ยังไม่รุนแรงถึงขั้นนั้น เพราะประเทศที่ถูกแบล็กลิสต์ห้ามทำธุรกรรมการเงินด้วยอย่างเด็ดขาดในโลกนี้ มี 2 ประเทศคือ เกาหลีเหนือและอิหร่าน แต่สำหรับบัญชีเป็นประเทศที่ต้องเฝ้าระวังอันดับ 1 ยังไม่ได้ถูกห้ามทำธุรกรรมการเงิน เพียงแต่ต้องถูกตรวจสอบรายละเอียดเอกสารทางการเงินมากขึ้น หากต้องทำธุรกิจการเงินระหว่างประเทศ"นายไพบูลย์ กล่าว

นางวรวรรณ ธาราภูมิ รองประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ในระยะสั้นอาจกระทบไม่มากแค่ผลทางจิตวิทยา แต่ในระยะกลางและระยะยาวหากยังไม่มีการแก้ไขจะน่าเป็นห่วง เพราะนักลงทุนต่างชาติ จะใช้เป็นปัจจัยในการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทยโดยอาจต้องคิดหนักขึ้น

ด้านนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาห กรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การที่ไทยถูกขึ้นบัญชีดำในเรื่องฟอกเงินนั้น จะส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน เนื่องจากการทำธุรกิจต้องมีการส่งเงินเข้าออกประเทศ คงต้องดูว่าหลังจากนี้ไปรัฐบาลจะดำเนินการอย่างไร

นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า เรื่องนี้กระทบความเชื่อมั่นของประเทศไทยอย่างร้ายแรง ซึ่งก่อนหน้านี้สภาหอการค้าไทย ร่วมกับอีก 4 สถาบันได้แก่ส.อ.ท. สมาคมธนาคารไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ยื่นหนังสือต่อรัฐบาลให้เร่งดำเนินการแก้ไขเรื่องดังกล่าวนี้อย่างเร่งด่วน แต่ที่ผ่านมารัฐบาลตอบสนองต่อเรื่องนี้ช้าเกินไป

นายธนิต โสรัตน์ รองประธานส.อ.ท. กล่าวว่า ขณะนี้ข่าวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไปทั่วโลกแล้ว ดังนั้นรัฐบาลจะต้องเร่งแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน เพราะเรื่องนี้กระทบกับความเชื่อมั่นของประเทศไทยโดยตรง

Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2555

Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2555 22:06:35 น.

0 comments

Counter : 568 Pageviews.