เล่าประสบการณ์ท่องเที่ยวในต่างประเทศ
Vigeland Sculpture Park อุทยานประติมากรรมวงล้อชีวิต


















ขึ้นสไลด์เรียกน้ำย่อยก่อนนะคะ วันนี้มีโปรแกรมพาไปเที่ยวอุทยานประติมากรรมที่สวยงามของประเทศนอร์เวย์ค่ะ แต่ก่อนอื่น ไปติดตามอ่านเรื่องราวตอนต่อจากตอน "เที่ยวพระราชวังและพิพิธภัณฑ์ Amalienborg แล้วไปต่อถนนคนเดินที่ยาวสุดในโลก" กันก่อนนะคะ



หลังจากที่เมื่อคืนนี้เข้านอนแต่หัวค่ำ แต่ฉันกลับไม่ได้นอนหลับแบบสบายสักเท่าไหร่นัก เนื่องจากมีเพื่อนร่วมห้องเพิ่งเช็คอินเข้ามาอีกสองคน คนแรกมาตอน 5 ทุ่ม คนที่สองหลังเที่ยงคืน และแม่สาวปาเลสไตน์ที่นอนเตียงติดกันก็กลับจากเที่ยวเอาตอนตีสอง ฉันจึงหลับๆ ตื่นๆ อยู่ตลอด ตอนเช้าก็เลยถูกนาฬิกาปลุกขึ้นมาแบบงัวเงีย รีบอาบน้ำแล้วก็ลงไปจัดการอาหารเช้าและเช็คเอ๊าท์ออกจากแดนโฮสเทล



วันนี้จะขึ้นเครื่องบินออกจากเดนมาร์กไปนอร์เวย์นะคะ ฉันซื้อตั๋วเครื่องบินของสายการบิน SAS ไว้ตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม หลังจากเช็คราคาตั๋วของสายการบินต้นทุนต่ำที่มีจุดหมายปลายทางที่ต้องการ ปรากฏว่าราคาค่าตั๋วถูกกว่านั่งรถไฟชั้นสองหลายเท่าตัว คือ ถ้านั่งรถไฟไปต่อรถบัส ราคาประมาณสามพันบาท ถ้านั่งรถไฟไปต่อรถไฟราคาประมาณห้าพันบาท เลือกไปต่อแบบไหนก็ใช้เวลาในการเดินทางแปดชั่วโมงเศษเหมือนกันค่ะ



ตอนแรกก็ยังไม่แน่ใจนักว่า ราคาตั๋ว Copenhagen-Oslo ที่แสดงไว้ในเว็บไซต์จำนวน 1,850 บาทเนี่ย เป็นราคาสุทธิรึเปล่า ซ่อนโน่นซ่อนนี่เอาไว้มั้ย แต่พออ่านเงื่อนไขต่างๆ อย่างตั้งใจแล้ว เห็นว่าไม่มีบวกค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกแน่นอน จึงรีบซื้อไว้ เลยทำให้วันนี้โชคดีใช้เวลาเดินทางแค่ชั่วโมงเศษแทนการนั่งรถไฟข้ามประเทศ 8 ชั่วโมง



สนามบินโคเปนฮาเกน (Kobenhavns Lufthavn)


ที่สนามบินโคเปนฮาเกนมีนักท่องเที่ยวคลาคล่ำอยู่เป็นจุดๆ โดยเคาน์เตอร์ของสายการบิน SAS มีผู้โดยสารใช้บริการเป็นจำนวนมาก ด้านหน้าของเคาน์เตอร์จึงมีเครื่องสำหรับบริการผู้โดยสารในการเช็คอินด้วยตัวเอง รวมทั้งโหลดกระเป๋าติดแถบบาร์โค้ดเองเสร็จสรรพ ฉันเช็คอินผ่านอินเตอร์เน็ตมาเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว วันนี้จึงเพียงแค่โหลดกระเป๋าขึ้นเครื่องเท่านั้น ยืนงงๆ อยู่สักพัก เจ้าหน้าที่สาวสวยของสายการบินก็เข้ามาให้ความช่วยเหลือทันทีโดยไม่ต้องร้องขอ ...น่ารักดีจัง



SAS เช็คอินได้อย่างสะดวกสบายผ่านมือถือ


เที่ยวบินนี้มีผู้โดยสารเกือบเต็มลำ เครื่องออก 09.20น. เจ้าหน้าที่มาให้คำแนะนำเรื่องความปลอดภัยในกรณีฉุกเฉินเช่นเดียวกับสายการบินโดยทั่วไป ที่แตกต่างเห็นจะเป็นเรื่องของแอร์โฮสเตสค่ะ รูปร่างเธอบึกบึนกว่าผู้ชายยุโรปบางคนเสียอีก หน้าตาก็ธรรมดาพื้นๆ ไม่ได้สวยเด่น อายุก็ค่อนข้างมาก เลยรู้สึกดีกับสายการบิน SAS ที่ไม่ได้เอาวัยและรูปร่างหน้าตาของผู้หญิงมาเป็นอุปสรรคในงานบริการบนเครื่องแต่อย่างใด



ขณะที่บินอยู่บนน่านฟ้าได้สักครึ่งชั่วโมง ก็มีเสียงกัปตันประกาศมาตามสายว่า เที่ยวบินจะถึงออสโลช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย เนื่องจากได้รับแจ้งว่าจะมีการปิดสนามบิน แต่ยังไม่ทราบสาเหตุ ...ตอนนั้น (เช้าวันที่ 15 เม.ย. 53) ผู้โดยสารยังไม่ทราบกันหรอกค่ะว่า นี่คือจุดเริ่มต้นของผลกระทบจากการระเบิดของภูเขาไฟในไอซ์แลนด์ที่ทำให้สนามบินแทบทุกแห่งในยุโรปต้องหยุดให้บริการ ...อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้ว เครื่องบินก็ลงจอดที่สนามบิน Gardermoen, Oslo ได้ตามกำหนดเดิม



ฉันผ่าน ตม.ของออสโลได้แบบสบายๆ ไม่มีการซักถามอะไรมาก นอกจากคำถามพื้นๆ ว่ามาท่องเที่ยวหรือมาทำธุรกิจเท่านั้นเอง จึงใช้เวลาน้อยมาก ....อ้อ! น่าจะตั้งเป็นข้อสังเกตได้นะคะว่า เจ้าหน้าที่ ตม.ผู้ชายไม่เข้มงวดเท่า ตม.ผู้หญิง เพราะเจอผู้หญิงทีไรสังเกตว่าแถวจะยาวกว่าปกติ และจะช่างซักช่างถามกว่าผู้ชายเยอะ



พอฉันรับกระเป๋าเสร็จก็เดินออกมาด้านนอก ซื้อบัตร Oslo Pass ชนิด 24 ชม. ราคา 230NOK แล้วก็มองหาแผนที่ท่องเที่ยวของออสโลหยิบมาตุนไว้ในมือก่อน




ตั๋ว Flytoget : Airport Express Train


จากนั้นก็เข้าไปซื้อตั๋วรถไฟจากสนามบินเข้าตัวเมือง เจ้าหน้าที่ประจำเคาน์เตอร์แนะว่า ถ้าไม่อยากจ่ายเพิ่ม 30 NOK ให้ไปซื้อจากเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติดีกว่า ฉันจึงเดินไปทำธุรกรรมการซื้อตั๋วจากเครื่องที่มีอยู่จำนวนมาก ....ค่าตั๋วรถไฟ Flytoget ซึ่งเป็น Airport Express Train จากสนามบินไปสถานี Oslo S ราคา 170NOK แต่เรื่องความเร็วของเจ้า Express train นี่ ดูจะสู้ Arlanda Express ของสวีเดนไม่ได้เลย



ฉันไม่ลืมที่จะแวะรับตั๋ว Norway in a nutshell ซึ่งจองและชำระเงินผ่านอินเตอร์เน็ตไว้แล้ว ก่อนที่จะนั่งรถไฟใต้ดินไปยังสถานี Stortinget


...อันที่จริงระยะทางไม่ไกลหรอกค่ะก็แค่ 800 เมตร หรือสถานีเดียวเท่านั้นแหละค่ะจากสถานีรถไฟใต้ดิน Jernbanetorget ที่เชื่อมกับสถานีรถไฟ Oslo S แต่ก็ไม่อยากลากกระเป๋าเดินนักเนื่องจากยังเจ็บข้อมืออยู่ ปรากฏว่าจากสถานีกว่าจะเดินไปถึงชานชาลาก็เล่นเอาเหนื่อย เพราะต้องยกกระเป๋าผ่านบันไดอยู่หลายขั้น รู้อย่างนี้เดินลากกระเป๋าต๊อกแต๊กเสียยังดีกว่า แล้วฉันเก๊าะยังเป็นคุณเป๋อนั่งรถไฟผิดฝั่งอีกจนได้ ...ไม่ต้องนับแล้วนะคะว่าผิดเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว



ที่ออสโลนี่ ฉันจองโรงแรม Best Western Karl Johan Hotell ไว้ในราคาคืนละ 795NOK ห้องเดี่ยวไม่เล็กจนอึดอัด แต่ที่ไม่น่าพอใจคือเรื่องของรายการทีวี ถ้าจะดูหนังในแต่ละช่องต้องจ่ายเงินเรื่องละ 110NOK ขนาดหนังเมื่อสองปีที่แล้วยังต้องจ่ายตังค์นี่ฉันว่ามันก็เกินไปหน่อยนะคะ มิหนำซ้ำช่องรายการต่างๆ ที่เป็นภาษาอังกฤษก็แทบหาไม่ได้เลย ยกเว้นช่อง BBC News ซึ่งเสนอข่าวเวียนซ้ำมากจนเกินไป



Best Western Karl Johan Hotell



เช็คอินได้สักพักฝนก็เริ่มลงเม็ดค่ะ จนกระทั่งจะออกเที่ยวก็ยังไม่หยุด การเที่ยวพิพิธภัณฑ์จึงเป็นตัวเลือกที่ดีในยามฝนตก ก็เลยปรับเปลี่ยนแผนนิดหน่อย ดีที่ก่อนเดินทางมาฉันอ่านพบข้อมูลในอินเตอร์เน็ตว่า Munch Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ต้องไปให้ได้ รู้แค่นี้จริงๆ แล้วก็ไม่ได้หาข้อมูลต่อว่ามันเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับอะไร ...นี่ล่ะค่ะ ปีนี้ฉันมาเที่ยวแบบข้อมูลค่อนข้างกลวงจริงๆ เมื่อได้จุดหมายที่จะไปแล้วก็นั่งรถใต้ดินสายสีแดงไปยังสถานี Toyen Munchmuseet



เห็นป้าย Munch Museet แล้ว


เจอหนุ่มนอร์เวย์น่ารักค่ะ เพราะลงจากรถไฟปุ๊บ ฉันก็เดินออกจากสถานี รู้สึกโดยสัญชาติญาณว่ามีคนมอง จึงแอบมองด้วยหางตาก็เห็นหนุ่มที่เดินขนาบข้างมาคอยชำเลืองมองอยู่เรื่อย พอใกล้ถึงทางออก เขาเอ่ยขึ้นว่า "Munch?" ตอนแรกฉันก็งงๆ เพราะได้ยินอะไรประมาณ "ม้งๆ ม้องๆ" ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกับใคร จนเขาเอ่ยซ้ำอีกครั้ง ฉันจึงหันไปมองหน้า เขาฉีกยิ้มและเอ่ยอีกว่า "Munch museum?" คราวนี้ฉันถึงบางอ้อแล้วค่ะ เขาคงเห็นแผนที่ที่ฉันถืออยู่ในมือและรู้ว่าเป็นนักท่องเที่ยวแน่ๆ ฉันตอบรับพร้อมยิ้มให้ เขาจึงชี้ทางไปพิพิธภัณฑ์ว่าต้องเดินไปทางไหน ไม่งั้นก็อาจจะเสียเวลามองหาอีกพักใหญ่เพราะกว่าจะเห็นป้ายพิพิธภัณฑ์ก็เดินไปอีกไกล ก่อนแยกกันฉันบอกลาพร้อมคำขอบคุณส่งท้ายให้อีกครั้ง



Munch Museum ไม่ให้ถ่ายรูปด้านในเลย ต้องฝากกระเป๋าและกล้องไว้ ดูเหมือนเขาจะเข้มงวดในเรื่องของระบบรักษาความปลอดภัยมาก ถ้าเป็นคนธรรมดาอย่างเราๆ ไม่ได้มีความรู้ทางด้านศิลปะใดๆ ก็คงสงสัยเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นคนในวงการ ก็คงจะรู้จักว่าพิพิธภัณฑ์ Munch เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงภาพศิลปะอันล้ำค่าของ Edvard Munch จิตรกรชาวนอร์เวย์ จัดแสดงภาพวาดอันมีชื่อมากที่สุดของเขา "The Scream" ซึ่งภาพนี้มีมูลค่าสูงถึง 3,800 ล้านบาท และเคยถูกโจรกรรมไปในปี พ.ศ.2547



faste_samlingen.jpg
ภาพจาก //www.munch.museum.no/


ถึงจะไม่มีพื้นฐานเรื่องราวอันใดของ Edvard Munch มาก่อน ก็ไม่มีปัญหาค่ะ เพราะเขาจะให้ชมภาพยนตร์สั้นเกี่ยวกับชีวประวัติของ Munch พอดูจบแล้ว เวลาเดินดูภาพวาดที่แสดงไว้ ก็จะเข้าใจในเหตุผลและอารมณ์ในช่วงนั้นๆ ที่ได้ถ่ายทอดออกมา มีบางภาพที่เขาสื่อได้ดีจนฉันเองก็ยังยืนจ้องมองนานเป็นสิบนาที



เสร็จจากชมพิพิธภัณฑ์แล้ว แนะนำให้แวะ Cafe Edvard Munch นั่งชิมกาแฟและเบเกอรี่ของที่นี่ด้วยนะคะ รสชาติดีทีเดียวแหละ โดยเฉพาะเค้กที่อร่อยมาก ...หลังจากนั้นฉันตั้งใจจะไปชม The Royal Palace (Slottet) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่พักนัก แต่ไม่แน่ใจว่าเข้าประตูผิดหรือหาทางเข้าไม่เจอกันแน่ เลยไม่ได้เข้าไปด้านใน (น่าเขกหัวตัวเองอีกสักรอบจริงๆ) คราวนี้จึงต้องเบนเข็มต่อไปยัง Oslo City Hall โดยนั่งรถรางสาย 12 ไปลงใกล้ๆ กัน เดินต่อไปอีกนิดเดียวก็ถึงศาลาว่าการเมืองออสโล




The Royal Palace (Slottet)


ตอนเปิดประตูเข้าไปด้านใน Oslo City Hall ออกจะงงๆ เล็กน้อย เนื่องจากว่าในขณะนั้นบริเวณชั้นล่างใช้เป็นที่จัดแสดงภาพวาด มีเด็กๆ มานั่งวาดภาพและระบายสีกันอยู่ บางภาพที่จัดแสดงก็มีชื่อผู้จองซื้อติดไว้แล้วแทบทุกภาพ คิดว่าคนที่นี่คงนิยมชมชอบศิลปะกันเป็นอย่างมากนะคะ



ด้านหน้า Oslo City Hall


เดินเข้าไปด้านในแบบสุ่มๆ เพราะไม่เห็นโต๊ะหรือเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของศาลาว่าการ พอเดินขึ้นไปข้างบนก็เจอโถงใหญ่มีราวพร้อมไม้แขวนเสื้อเต็มไปหมด ชักจะสงสัยว่าใช่ศาลาว่าการเมืองออสโลรึเปล่าเนี่ย กระทั่งมองเห็นป้าย Central hall ที่ชั้นสอง พร้อมกับลูกศรชี้ซ้ายขวา จึงค่อยโล่งใจว่าไม่ได้มาผิดที่ เพราะรู้สึกว่าตัวเองหลงทางบ่อยจนชักเสียความเชื่อมั่นไปโดยปริยายแล้วค่ะ



ป้าย Central hall ที่โถงใหญ่



ลวดลายของผนังภายใน Oslo City Hall



โถงนี้ที่ใช้ในพิธีมอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ



ภาพฝาผนังในห้องหนึ่งของศาลาว่าการเมืองออสโล



ไม่รู้ว่าสัญลักษณ์นี้สื่อถึงอะไร?



ห้องประชุมของศาลาว่าการเมืองออสโล



ส่วนจัดแสดงของที่ระลึกจากประเทศต่างๆ รวมทั้งเรือสุพรรณหงส์ลำงามของประเทศไทย



บริเวณท่าเรือหน้าศาลาว่าการเมืองออสโล 



รูปปั้นบริเวณด้านหน้าศาลาว่าการเมืองออสโล ส่วนมากเป็นูปปั้นสัมฤทธิ์ (bronze)


สิ่งที่พลาดไม่ได้เลยเมื่อมาเยือนออสโลสำหรับฉันแล้ว เห็นจะเป็นความตั้งใจในการไปเยือน Vigeland Sculpture Park วางโปรแกรมไว้แต่แรกแล้วว่าจะใช้เวลาตอนเย็นที่นั่น ดังนั้น จาก City Hall ฉันก็ขึ้นรถรางสาย 12 ต่อไปยัง Vigeland Sculpture Park ทันที



Vigeland Sculpture Park สวนประติมากรรมหรืออุทยานประติมากรรมนั้น เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานฟร็อกเนอร์ (Frogner Park) บนพื้นที่กว่า 80 เอเคอร์ (320,000 ตารางเมตร) ประติมากรรมในอุทยานเป็นรูปปั้นจำนวนกว่าสองร้อยชิ้น มีทั้งรูปปั้นสัมฤทธิ์และรูปปั้นคอนกรีต โดยจัดแบ่งอุทยานออกเป็น 5 โซนด้วยกัน คือ The Main Gate, The Bridge, The Fountain, The Monolith และ The Wheel of Life



The Main Gate เป็นประตูทางเข้าหลัก ซึ่งลวดลายที่ประตูนั้นทำด้วยเหล็ก สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1926



The Bridge เป็นการจัดวางประติมากรรมรอบๆ สะพานที่กว้าง 15 เมตร และยาว 100 เมตร เชื่อมต่อระหว่างโซน The Main Gate และโซน The Fountain ประกอบด้วยรูปปั้นสัมฤทธิ์ 58 ชิ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายทางกายภาพ ทั้ง เด็ก ผู้หญิง ผู้ชาย ในแต่ละช่วงวัย ประติมากรรมเหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชาย เด็กและผู้ใหญ่ เป็นรูปปั้นเดี่ยวบ้าง กลุ่มบ้าง ซึ่งรูปปั้นที่ใครๆ มักจะนิยมชมชอบมากที่สุดเห็นจะเป็น Angry Boy เจ้าเด็กน้อยจอมโมโหโกรธา



The Fountain เป็นการจำลองกลุ่มต้นไม้ 20 ต้น ที่แสดงถึงวงจรชีวิตที่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีที่สิ้นสุดของเด็ก ผู้ชาย และผู้หญิง



The Monolith หรือแท่งหินก้อนเดียว (Mono=one, litho=stone) มีความสูง 14.12 เมตร เปรียบประหนึ่งเป็นบันไดเวียนที่มนุษย์ต่างปีนป่ายขึ้นเพื่อไปสู่จุดสูงสุด รอบๆ แท่งหินนี้ติดตั้งกลุ่มรูปปั้นที่ทำด้วยหินแกรนิตไว้มากถึง 36 กลุ่ม แสดงให้เห็นถึงสภาวะและความสัมพันธ์ของมนุษย์ในแต่ละช่วงวัย ซึ่งโซนนี้ล่ะค่ะ ที่ฉันรู้สึกชอบและใช้เวลาด้วยนานเป็นพิเศษ



The Wheel of Life หรือวงล้อแห่งชีวิต เป็นสัญลักษณ์ของความไม่มีที่สิ้นสุด การเวียนว่ายตายเกิด



นัยสำคัญที่ Gustav Vigeland พยายามสื่อผ่านรูปปั้นในแต่ละโซน คงเป็นเรื่องการเดินทางของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย ถ้าจะว่าไปแล้วก็เปรียบเสมือนวัฎจักรแห่งธรรมนั่นเองค่ะ





The Main Gate



ภาพจาก //www.vigeland.museum.no




The Bridge



โอบอุ้ม เกาะเกี่ยว เหลียวมอง



กอดตระกอง สองคู่ ดูเศร้า



โมโห โกรธา ไม่เบา



สองเรา ว่ายเวียน เจียนตาย



ใช่ยาก ลำบากเกิน จะเดินอุ้ม



พลังหนุ่ม ทุ่มเท แววเท่ห์ฉาย



จะชาเฉย เผยยิ้มร่า หรือบ้าตาย



ขอใจกาย ตั้งมั่น มิหวั่นเกรง



จะคว้าไขว่ ให้ถึง ซึ่งฝันใฝ่



จะมองไกล ไปให้ถึง ซึ่งที่เห็น




The Fountain



จะคอยเจ้า เฝ้าเยื้องย่าง อย่างที่เป็น



อาจจะเห็น ต่างบ้าง อย่างที่ควร




The Monolith



Monolith



ชีวิตมนุษย์



สุดหรรษา



เริงร่า



หรือว่าทุกข์ใจ



มีสิ่งใด ให้กังวล



วนเวียน วัยเปลี่ยนผัน



ทุกข์ใด ไม่รำพัน



สองเรานั้น ฝ่าฟันไป



โอ้ไย หันหน้าหนี



ชายชาตรี มิหนีหน้า



เจ้าอ่อนล้า หรือทุกข์ใด



มองไกล ไปด้วยกัน



มองมุ่งมั่น



มองฝันไกล



เด็กเอ๋ย เด็กน้อย



แม่จะคอย เฝ้าหวงแหน



หดหู่ หรือดูแคลน



ไร้แบบแผน แดนโลกา




The Wheel of Life




วงล้อแห่งชีวิต





ต้นไม้เริ่มผลิใบและเปลี่ยนสี


ชอบผลงานประติมากรรมรูปปั้นสัมฤทธิ์หรือคอนกรีตชิ้นไหนเป็นพิเศษมั้ยคะ Smiley


ฉันเพลิดเพลินอยู่กับประติมากรรมใน Vigeland Sculpture Park จนเกือบสองทุ่มก็ต้องบอกลา กลับไปโรงแรมเพื่อจัดการอาหารมื้อค่ำ แพ็คกระเป๋าเดินทาง เพราะเช้าวันพรุ่งนี้จะข้ามเมืองไปเที่ยวเมือง Bergen กับทัวร์ Norway in a nutshell แล้วค่อยมาเล่าต่อนะคะ








Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2554 1:01:05 น. 6 comments
Counter : 2597 Pageviews.

 
ตามมาเที่ยวต่อค่ะ สถาปัตยกรรมล้วนๆเลยนะคะวันนี้ อิ อิ
เหมือนได้ไปเห็นด้วยตาเองเลย
ทริปที่แล้วที่ไปเที่ยวก็มีคนใช้ g 10 ค่ะ รูปออกมาสวยมากๆ ส่วนเพื่อนที่ไปด้วยกันถอย g11 มา แกะกล่องกันที่สนามบินเลย งานเข้าเลยค่ะ ใช้ไม่ค่อยเป็น ได้กล้องตัวน้อยของเปิ้ลเองช่วยชีวิตไว้บางขณะ คราวนี้ไปคนเดียวเลยต้องซื้อล่วงหน้ามาศึกษาไว้แต่เนิ่นๆค่ะ กลัวเหมือนทริปที่แล้ว ปรากฏว่าถูกใจมากๆค่ะ รูปออกมาสวย ใช้งานไม่ยาก คราวนี้อยู่ที่ฝีมือล้วนๆเลย


โดย: apple.007 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:23:34:15 น.  

 
ดีจัง เลยค่ะ ชอบมากๆ เลยค่ะ เคยไปเที่ยว มาแล้ว พอมีคนลงรูป คุย เรื่องให้ อ่าน เหมือนได้ กลับไป เที่ยวอีกรอบ และ ได้ รายละเอียดเพิ่มเติม ขอบคุณมากๆค่ะ


โดย: แม่ซานเดอร์ วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:16:11:30 น.  

 
@apple.007 คห.1

ขอบคุณที่ยังตามมาเที่ยวต่อค่ะคุณเปิ้ล

G10 ที่ใช้อยู่เพิ่งถอยมายังไม่ครบสองปีดีเลย
ฝีมือไม่ดี เพราะไม่ค่อยได้ฝึกถ่ายเท่าไหร่
หวังว่าคุณเปิ้ลไปเที่ยวแล้วจะมีรูปฝีมือ G12 มาอวดเยอะๆ นะคะ


โดย: แฮปปี้มีนา วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:23:30:50 น.  

 
@แม่ซานเดอร์ คห.2

โดยส่วนตัวแล้วชอบที่นี่มากนะคะ ดูเพลิน แล้วยังเห็นสัจจธรรมของชีวิตด้วย

ขอบคุณที่แวะมาทักทายกันค่ะ


โดย: แฮปปี้มีนา วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:23:32:21 น.  

 
โห....เป็นกลอนเลย ลึกซึ้ง ลึกซึ้ง

ถ้าพวกที่เคยมาดูรีวิวผม ได้มาอ่านของคุณมีนา คงกลับไปด่าผมแน่ ๆ ว่าไปอธิบายปปั้นเขาซะเละเลย


โดย: tiger's nest IP: 124.120.89.231 วันที่: 2 มีนาคม 2554 เวลา:12:50:02 น.  

 
@tiger's nest

...อยากจะปั่นกลอนให้มากกว่านี้ แต่ความสามารถมีแค่นี้เอง

รูปปั้นในรีวิวของคุณเสือ คนอ่านคงไม่ชอบใจที่มีเซ็นเซอร์เท่านั้นเองค่ะ

ขอบคุณที่แวะมาค่ะ


โดย: แฮปปี้มีนา วันที่: 2 มีนาคม 2554 เวลา:13:01:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แฮปปี้มีนา
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]









ทำงานในองค์กรภาครัฐ ใช้เวลาพักร้อนในแต่ละปีออกไปเปิดรับและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในโลกใบนี้ตามลำพัง ...การออกไปเผชิญโลกภายนอกที่กว้างใหญ่ไม่จำเป็นต้องเก่งภาษามากมายขอแค่มีใจที่พร้อมจะเปิดรับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างเดินทาง ทั้งสุข สนุก ตื่นเต้น การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น จะทำให้เรามีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ที่ไม่มีในหนังสือท่องเที่ยวเล่มไหนสอนไว้


New Comments
Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2554
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728 
 
25 กุมภาพันธ์ 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แฮปปี้มีนา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.