เคยสงสัยไหมว่าทำไมเวลาไปซื้อเครื่องสำอางคนขายมักแนะนำโทนเนอร์ให้มาใช้คู่กันด้วย?? แล้วโทนเนอร์จำเป็นขนาดนั้นเหรอ

ทำไมมมมมมมมม? ก็แค่น้ำใสๆไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นจะมีประสิทธิภาพอะไร แถมแพงอีกต่างหาก

ขอตอบเลยว่า จำเป็นมากกกกกก ยิ่งถ้าคุณมาอยู่ญี่ปุ่นผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้นกับผิวหนังมีเยอะมากกกก มีทุกแบรนด์ คนญี่ปุ่นค่อนข้างให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ชนิดนี้

แต่ก่อนอื่นเลยเราขออธิบายก่อนว่าในโทนเนอร์มีอะไรบ้าง

ส่วนผสมหลักในโทนเนอร์ ได้แก่

น้ำ+แอลกอฮอล์+สารที่รักษาหรือกักเก็บความชุ่มชื้น

สารที่รักษาหรือกักเก็บความชุ่มชื้น ที่ได้ยินกันบ่อยสุดเลย ได้แก่ คอลลาเจน

***เราไม่รู้ว่าหลายคนเข้าใจผิดหรือเปล่านะ แต่เราคนหนึ่งที่เคยเข้าใจผิด เราคิดว่า คอลลาเจนที่ใส่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่างๆ จะเข้าไปแทนที่ส่วนของคอลลาเจนที่ถูกทำลายภายใต้ผิวหนังดังรูปข้างล่าง (ชั้นตาข่าย) แล้วทำให้ผิวเราฟื้นฟูกลับมา เด้งดึง อ่อนเยาว์ตามเดิม

แต่จริงๆแล้ว เราคิดว่าไม่ใช่ ตามที่เรียนมา ผิวหนังมีหลายชั้นมาก และคอลลาเจนก็มีขนาดใหญ่จะผ่านลงไปภายใต้ผิวหนังไม่ใช่เรื่อง่าย อีกทั้งผิวหนังชั้นบนสุดก็เปรียบได้กับแผ่นพลาสติก มีหน้าที่ปกป้องผิวชั้นล่างๆ จากอันตรายก็จริง แต่มันก็เป็นอุปสรรคในการผ่านของสารในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่างๆด้วย

สำหรับเราจึงคิดว่า คอลลาเจนในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่างๆ มีทำหน้าที่เพียงช่่วยดูดน้ำจากอากาศเข้าผิว อยู่ในผิวดานบนๆ ไม่สามารถผ่านลงมาชัภายใต้ผิวหนังได้ แต่เพียงแค่เมื่อผิวด้านบนได้รับน้ำ เพื่อกลายเป็นเกาะป้องกันที่แข็งแรง ทำให้สิ่งกระตุ้นต่างๆ จากภายนอกเช่น แสงแดด แ่บคทีเรีย ต่างๆ ผ่านเข้ามาได้ยากขึ้น ปัญหาผิว เช่น สิว ฝ้า กระก็เกิดได้ยากขึ้น***

คอลลาเจนสำหรับในความคิดเราจึงเรียกได้ว่า เป็นแค่สารที่รักษาและกักเก็บความชุ่มชื้น ไม่ใช่สารที่จะมาทำให้ผิวดูเต่งตึง เปล่งปลั่ง เยาว์วััยอะไร หรือแทนที่คอลลาเจนส่วนที่เสียหายภายใต้ผิวหนังได้

นอกจากคอลลาเจนแล้ว สารที่รักษาและกักเก็บความชุ่มชื้นอื่นๆ มีอะไรอีกไหม?

คำตอบคือ อีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็น กลีเซอรีน น้ำตาล เป็นต้น

น้ำตาล??? ลองจินตนาการตามนะว่า น้ำตาล เวลาเราตั้งทิ้งไว้ นอกภาชนะ สักพักมันจะเหนี่ยวเยิ้ม ก็เพราะว่าจริงๆแล้วมันดูดน้ำจากอากาศเข้าหาตัวมัน พวกคอลลาเจน กลีเซอรีน ก็ใช้หลักการเช่นเดียวกัน