เมื่อขึ้นไปชั้นของ Ripley's แล้ว อย่างที่บอกมันมีที่ให้เที่ยวเล่นเข้าชม 4 อย่าง คือ (ทวนนิดเผื่อขี้เกียจจิ้มไปดูบล็อคเก่า) Ripley's Believe It or Not Museum(พิพิธภัณฑ์เชื่อหรือไม่ของ Ripley), Haunted Adventure(โกดังผีสิง), Infinity Maze(มหัศจรรย์เขาวงกต) และ Moving Theater(โรงหนัง 4 มิติ)
หลังจากที่สำรวจ ด้อมๆ มองๆ ทั้ง 4 แห่งแล้ว ที่ประชุมได้ลงมติแล้วว่า เพื่อความชัวร์ที่สุด ไม่หักโหมสติและหัวใจเกินไป เลยตกลงจะเข้าชมเจ้าพิพิธภัณฑ์ก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็เป็น โรงหนัง 4 มิติ, เขาวงกต และโกดังผีสิงย่อมเป็นอันดับสุดท้าย
โดยสมาชิกบางคนมีวาระซ้อนเร้น บอกว่า เผื่อฟลุ๊ค เที่ยวชม 3 อันดับแรกเสร็จ แล้วหมดเวลาก่อน จะได้ไม่ต้องเข้าโกดังผีสิง (หุ หุ ไม่รอดหรอกน้องเอ๊ย)
ขึ้นบันได้เลื่อนมาเจอ ป้ายหน้าบ้าน Ripley's Believe It or Not Entertainment
พี่เอลวิส แกนั่งเล่นอยู่แถวนั้นเอง ปากแดงๆ ไม่รู้โดยต่อย รึโดนจูบมา
เมื่อสรุปการประชุมเรียบร้อย พวกเราก็เคลื่อนพลเข้าสู่ Ripley's Believe It or Not Museum(พิพิธภัณฑ์เชื่อหรือไม่ของ Ripley) ทันที
ก่อนเข้าไปในตัวพิพิธภัณฑ์เลย ทางก่อนเข้าก็จะมีของโชว์เล็กน้อย (คือคนเดินผ่านไม่ต้องซื้อตั๋วก็เห็นได้) ก็พวกกระดูกไดโนเสาร์ ก๊อกน้ำลอยได้ นี่แหล่ะ แต่ที่สะดุดตาเลยคือหัวเครื่องบิน Ripley's ลำเดียวกับที่เห็นจากนอกตึกนั้นเอง ตกเสียบมาโผล่ที่พิพิธภัณฑ์นี่เอง มีซากกระดูกนักบินตายคาเครื่องอยู่ด้วย เก๋ไก๋ ทุ่มทุนสร้างน่าดู
หัวเครื่องบินที่ชนตึก มาโผล่ที่พิพิธภัณฑ์นี่เอง ไอเดียไม่เลวนะ
ก๊อกน้ำลอยได้อันเลื่องชื่อ
เค้าบอกว่าเป็นหุ่นคนที่ทำมาจากวัสดุเหลือใช้ หรือแปลง่ายๆ ว่ามนุษย์ขยะนั่นเอง
แต่เมื่อเข้าไปในตัวพิพิธภัณฑ์จริงๆ แล้ว อย่างแรกที่เจอก็จะเป็นภาพ 3 มิติ ของนาย Ripley นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน กล่าวแนะนำ และเชิญชวนชม พิพิธภัณฑ์..ทำเจ๋งดีเหมือนกัน
โดยโซนแรกของพิพิธภัณฑ์เลยก็จะเป็นพวกงานฝีมือแปลกๆ ของแปลกๆ จากชาติต่างๆ เช่น ไตรปิฎกเล็กที่สุด วาดรูปบนเมล็ดข้าว เก้าอี้ยักษ์ ฯลฯ เยอะพอสมควร เรียกว่าเยอะจนขี้เกียจอ่านคำบรรยายเลยละกัน แต่ที่ผมชอบคือมีงานฝีมือของฝรั่งทำพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงเราด้วย ก็สวยแปลกๆ ดีครับ...
พระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวง ที่ทำจากสำลีล้วนๆ ครับ
หน้ากากของฟาโรห์ตุตันคาเมน คงจะเป็นของปลอมเพราะใหม่กิ๊งเชียว
ถัดมาก็จะเป็นห้อง เอ...เรียกอะไรดีละ เรียกห้องทดลองละกัน มันก็จะเป็นประมาณพวกภาพปริศนาแบบภาพนึงมองได้หลายแบบ (บางชิ้นก็เคยเห็นแล้วล่ะ) ภาพลายๆ ที่ให้เราเพ่งดีๆ จะกลายเป็น 3 มิติ ที่เคยฮิตเมื่อสิบปีก่อนก็ยังมี และก็มีของให้เราทดลองวิทยาศาสตร์เล็กๆ น้อยๆ แบบว่าเยอะพอสมควรอ่ะ...สนุกดีเหมือนกัน
นี่แหล่ะครับห้องที่ว่า..เรียกว่าห้องอะไรดีล่ะ
จากนั้นขึ้นมาชั้น 2 ก็จะเป็นประมาณพวกคนประหลาด สัตว์ประหลาด (แต่ผมว่าประมาณพิกลพิการมากกว่า ประมาณคนสูงผิดปกติ อ้วนผิดปกติ ม้าสามขา หมาสองหัว วัวฝาแฝด อะไรพวกนี้) ก็เป็นหุ่นปลอมๆ ให้ดูประกอบรูปจริง และคำบรรยาย...
ถัดมาก็จะเป็นพวกของแปลกๆ จากทุกมุมโลกอีก พวกอาวุธแปลกๆ หัวคนย่อส่วน ฯลฯ แถวๆ นี้จะมีเรื่องของคนที่สามารถพับลิ้นห่อลิ้นได้ พร้อมกับมีกระจกให้เราทดลองห่อลิ้นของเราด้วย ถ้าไปอย่าลืมลองทำนะครับ...
ถัดมาอีกก็จะเป็นห้องแสดงการทรมานคน พร้อมเครื่องมือทรมานต่างๆ ก็เป็นหุ่นอีกเช่นเคย หุ่นไม่น่ากลัวหรอก แต่ก็เดินผ่านตรงนี้ต้องกรี๊ดทุกคน เพราะอะไรต้องไปดูเองครับ..ผมเองยังเกือบแต๋วแตกเลย อิอิ (ล้อเล่นน่ะ)
ห้องต่อมาก็จะเป็นประมาณแสดงภาพเหตุการณ์แปลกๆ ที่เกิดขึ้นรอบโลก เช่นไททานิคล่ม แผ่นดินไหว เรือเหาะไฮเดนเบิร์กตก เค้าทำเจ๋งไอเดียดีเลย คือมันจะมีแผนที่โลกใหญ่ๆ อยู่ตรงกลาง พอเราอ่านเรื่องไหน สมมุติไททานิคล่ม อ่านจบมันจะมีปุ่มให้กด ไฟมันจะสว่างที่แผนที่โลกแสดงให้เห็นว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ไหน เรือล่มแถวไหน...เรียกว่าวิธีทำง่ายๆ แต่ได้ผลเยอะอ่ะ (ผมเพิ่งรู้ว่าสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ที่เค้าว่ากันว่าเป็นบริเวณที่จะส่งคลื่นแม่เหล็กออกมาทำให้เรือล่ม เครื่องบินตก อยู่แถวๆ ทะเลระหว่าง ญี่ปุ่น กับ ฟิลิปปินส์นี่เอง)
ปลาเทราต์มีขน
เรือไททานิคที่สร้างขึ้นด้วยไม้ขีด หรือไม้จิ้มฟันอะไรซักอย่างนี่แหล่ะ (ลืม) ต่อโดยนักโทษในคุกแห่งหนึ่งครับ (คุกที่ไหนก็ลืมอีกเช่นกัน แหะ แหะ)
ห้องต่อมาถ้าจำไม่ผิดจะเป็นห้องฉายหนังขาว-ดำบันทึกภาพคนแปลกๆ ที่นาย Ripley ได้ถ่ายไว้ สั้นๆ ประมาณ 10 นาที ก็นั่งดูสนุกดี มีคนนึงปีนป่ายเก่งมากๆ ปีนต้นไม้ ปีนตึก ด้วยมือเปล่าๆ ปรู๊ดเดียวถึงยอด ยังกะสไปเดอร์แมน
จากนั้นก็จะเป็นส่วนที่แสดงของแปลกๆ สัพเพเหระ แล้วถัดมาถ้าผมจำไม่ผิด (อีกแล้ว) ก็จะเป็นห้องหลักๆ ห้องสุดท้ายคือห้องฉลาม รวมทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับฉลามเลย คล้ายๆ เค้าบอกไว้ว่า นาย Ripley นี่แกชอบฉลามมากๆ มีเรื่องราวแปลกๆ ของฉลาม รูปฉลามพันธ์แปลกๆ มีขี้ฉลามให้จับด้วย
จากห้องฉลามนั้นน่าจะเป็นพวกของโชว์อีกเล็กน้อย แล้วก็จะมาโผล่ที่ห้องขายของที่ระลึกตามฟอร์ม...
ลุงกับป้าที่กำลังถ่ายรูปนี้แสบมาก..ต้องไปถึงจะรู้ว่าแสบยังไง
วันอรุณฯ ของเราก็ถือเป็นวัดแปลกเหมือนกันครับ เค้าบอกว่าเป็นวัดที่สร้างจะเศษจานเศษกระเบืองที่เก็บขึ้นมาจากใต้แม่น้ำเจ้าพระยาหน้าวัดนั่นเอง (ผมเพิ่งรู้นะเนี่ย)
ก็เล่าแบบย่อๆ (ปนมั่วๆ) ก็ละกันนะครับ บอกหมดเดี๋ยวจะหาว่าสปอยล์ อิอิ
สรุป...พิพิธภัณฑ์เชื่อหรือไม่ของ Ripley คุ้มครับคุ้ม โดยเฉพาะพวกชอบของแปลกๆ (อย่างผม..เด็กๆ อ่านต่วยตูนพิเศษประจำ) ได้มาเห็นของพวกนี้กับตาจริงมั่งปลอมมั่งก็สนุกดี
แต่ที่ผมชอบคือเค้ามีลูกเล่นในการนำเสนอของดีจัง ให้เรามีส่วนร่วมได้สัมผัสได้ลองทำ ไม่ใช่แค่เดินๆ ดูแล้วไปเฉยๆ บางอย่างก็กวนทีนดี..แนะนำนะครับ ใครยังไปเคยไป ก็ลองดูซักครั้ง บางอย่างก็ได้ความรู้ดีครับ
นี่แหล่ะครับ โฉมหน้านาย Robert Ripley หน้าแปลกๆ อย่างนี้นี่เองเลยชอบของแปลกๆ
เสร็จจากพิพิธภัณฑ์ พวกเราก็เตรียมลุย Moving Theater(โรงหนัง 4 มิติ) กันต่อ แต่พอดีไม่ตรงรอบ เลยต้องนั่งรอประมาณ 15 นาที พวกเราก็เลยต้องมานั่งรอ ชมฝรั่งมังค่าเดินผ่านไปผ่านมา (ฝรั่งสาวๆ สวยๆ เยอะดีแฮะ ฮี่ ฮี่) แป๊บนึงพนักงานเค้าก็มาเรียกเข้าโรง
หนังก็ยาวประมาณ 7 นาที (ไม่ได้จับเวลาหรอกครับ เค้าบอกมาอ่ะ) จะบอกยังไงดี ก็ถ้าใครเคยไปดูโรงหนังทะลุมิติที่เมเจอร์รัชโยธินแล้วละกัน มันก็อย่างเดียวกันละครับ เป็นหนังสามมิติ เก้าอี้โยกทำมุมตามเนื้อเรื่องได้ มีเอฟเฟคพ่นลมพ่นน้ำ
ทุกอย่างก็ดูจะโอเคหมด เสียอย่างเดียวรอบผมบังเอิญดันไปเจอหนังเรื่องที่ไม่สนุกเข้า มันเป็นเรื่องของยานอวกาศบินไปบินมา เหมือนเราขับยานนั้นอยู่น่ะครับ แต่ที่นี้มันดันทำด้วยคอมพิวเตอร์ที่กระจอกมากประมาณเกมคอมพิวเตอร์ได้ มันเลยไม่ลุ้น ไม่มีอารมณ์ร่วมเท่าไหร่ ผมเคยดูที่เมเจอร์ เป็นเรื่องรถไฟเหาะมั่ง รถเลื่อนมั่ง ซึ่งเป็นภาพจริง มันเลยลุ้นกว่า เสียวกว่า แถมเอาตั๋วหนังมาแลกซื้อ แค่ 50-60 บาทเอ๊ง สรุป..เจ้าหนัง 4 มิติ เลยไม่คุ้มเท่าไหร่
ดูหนังเสร็จเราก็ต่อด้วย Infinity Maze(มหัศจรรย์เขาวงกต) ทันที (ลืมบอกพวกนี้ไม่มีรูปอ่ะครับ ไม่รู้จะถ่ายอะไร) เข้าไปก็ไม่เชิงเขาวงกตอะไร มันไม่ได้วกไปวนมาให้หาทางออกหรอก มันก็เป็นทางให้เปิดประตูไปทีละห้องนั่นแหล่ะ (อาจต้องคลำหาประตูหน่อยเพราะมันมืด)
แต่ก็สวยดีครับ ไอเดียดีจัง ผมชอบนะ เทคนิคง่ายๆ แต่ได้ผล เล่นเอฟเฟคห้องมืดกับสีสะท้อนแสง เป็นภาพลวงตาได้ตื่นตาตื่นใจดี (บางห้องเปิดเข้าไป ผมถึงกับร้อง 'ว้าวว' อ่ะ) สรุป..ก็ค่อนข้างคุ้มราคาค่าตั๋วครับ
แต่แล้วหลังจากที่ทุกคนฮาเฮออกมาจากเขาวงกตได้ไม่นาน สาวๆ ก็เริ่มเงียบลง เพราะนึกได้ว่าถึงคราวของรายการสำคัญที่สุดแล้ว คือเจ้า Haunted Adventure(โกดังผีสิง) นั่นเอง...หึ หึ หึ
ไม่รู้จะถ่ายอะไร เลยถ่ายป้ายมันมาซะงั้น
อันที่จริงทำเป็นปากดีไปงั้นแหล่ะครับ..แต่ขอสารภาพว่านี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมจะเข้าบ้านผีสิงเหมือนกัน แหะ แหะ
พวกเราก็เลยตกลงยืนดูลาดเลากันซักพักก่อน (น้องขายตั๋วขนาดแต่งเป็นผียังน่ารัก...ขอบอก อิอิ) ไอ้เจ้าโกดังผีสิงนี้เค้าทำเป็นสองชั้นครับ ชั้นสองจะมีระเบียง คนที่เข้าไปจากประตูด้านล่างพักใหญ่ๆ ก็จะมีเสียงกรี๊ดแล้วคนกลุ่มนั้นก็จะวิ่งหนีผีเลื่อยไฟฟ้า (ทำเสียงเลื่อยไฟฟ้าน่ากลัวดีเหมือนกัน) ผ่านออกมาทางระเบียงนี้จากทางซ้ายไปขวา เรียกเสียงฮาได้ดีเหมือนกัน (แต่เข้าไปเองก็ไม่รู้จะฮารึเปล่า)
ยืนดูซักพักใหญ่ๆ สาวๆ คงทำใจได้ เลยตกลงเข้าก็ได้วะเจ้าโกดังผีสิง (แว่วๆ ว่าออกแนวเสียดายตั๋ว+คงไม่ถึงตาย) พวกเราเลยไปยืนรอในคอก ซึ่งก็ไม่มีใครเลยนอกจากพวกผมที่รอเล่น น้องผีน่ารักก็บอกให้รอประมาณ 15 นาที ให้คนรอบที่แล้วออกมาก่อน
ยืนรอแล้วรอเล่า จนคนเล่นรอบก่อนหน้าก็เล่นเสร็จออกมาเรียบร้อย (สาวฝรั่งน่ารักอีกแล้ว) ก็ยังไม่มีใครมาต่อแถวเพิ่ม ผมก็เริ่มเหงื่อตก เพราะเป็นผู้ชายคนเดียว ต้องโดนบังคับให้เดินนำหน้าแหงๆ แต่ซักพักสวรรค์ยังเป็นใจ ส่งสาวญี่ปุ่น (ไม่สวย) กับไกด์ผู้ชายไทยมาต่อแถวเพิ่มให้พออุ่นใจ แต่ดูไปดูมาไอ้ไกด์มันก็ไม่ค่อยจะผู้ชายเท่าไหร่นี่หว่า แต่โชคยังดีอีกแป๊บนึงก็มีพ่อลูกคู่นึง ลูกชายประมาณ 10 ขวบ มาต่อแถวเข้าด้วย..ก็ค่อยยังชั่วหน่อย...เอ้า...ลุย
คนที่มาเปิดประตูให้เข้าก็เป็นพ่อบ้านผีของโกดังผีสิงนี่เองเข้าไปห้องแรก ก็จะเป็นห้องโลงศพ รอบๆ ห้องจะมีโลงศพเต็มไปหมด มีเสียงเคาะโลง กระแทกโลงเป็นระยะๆ พ่อบ้านก็จะบรรบายประวัติโกดังนี้ และบอกกฏต่างๆ สิ่งที่ห้ามทำขณะเล่น ที่สำคัญคือห้ามถ่ายรูป (คงเน้นจริงๆ เพราะรู้สึกว่าสาวฝรั่งคนที่เล่นรอบก่อนหน้าผมจะแอบถ่ายรูป เห็นเจ้าหน้าที่ขอตรวจกล้องใหญ่เลย)
บรรยายอะไรเสร็จเรียบร้อยพ่อบ้านก็เอาเชือกเส้นใหญ่มาให้พวกเราถือ แล้วบอกให้เดินเป็นขบวนโดยจับเชือกไว้อย่าปล่อย โชคดีพ่อลูกนั้นดันมายืนอยูขวาสุด คนพ่อเลยต้องนำขบวนไปโดยปริยาย (รอดตัวไปเรา อิอิ)
ไม่ขอเล่าละนะว่าเจออะไรบ้างเค้าหลอกยังไง (เดี๋ยวจะเป็นการสปอยล์ซะเปล่าๆ) ก็มีหมดแหล่ะครับ ทั้งหุ่น ทั้งเสียงทั้งคนจริงๆ มาหลอก แต่ขอบอกว่าสนุกมากๆ กลัวก็กลัว แต่สนุกดี ไอเดียในการหลอกบางอย่างเจ๋งดีอ่ะ เวลาเดาว่าผีจะโผล่ตรงไหน มันมักจะโผล่อีกที่ คู่พ่อลูกน่ะร้องตลอดเลย (โชคดีจริงที่ผมไม่ใช่คนแรก ฮี่ ฮี่) ขนาดไอ้ตรงที่พอจะถึงระเบียงที่ผีเลื่อยจะออกมา ผมกะตั้งแต่แรกว่าจะไม่วิ่งแล้วนะ พอมันออกมาก็ต้องวิ่งจนได้ บรรยากาศมันพาไปจริงๆ สรุป..โกดังผีสิง ต้องบอกว่าคุ้มครับคุ้ม สนุกมากๆ ชอบๆ ให้เข้าอีกรอบก็เอานะเนี่ย...
ออกจากโกดังผีสิงก็ล่อเข้าไปสี่ทุ่มกว่าๆ แต่สงสัยวิ่งหนีผีจนเหนื่อย ก็เลยลงมติไปนั่งพักให้หายเหนื่อย พร้อมกินไอติม 59 Mango ที่สเวนเซ่นส์ที่อยู่ตึกใกล้ๆ กัน แหม่...หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เพราะน้องๆ พนักงานสเวนเซ่นส์น่ารักดี โดยเฉพาะน้องที่ยืนต้อนรับอยู่ที่หน้าประตู ฮี่ ฮี่
จบจากของว่าง ก็ต้องหาของหนักใส่ท้อง แน่นอนก็ต้องเป็นซีฟู้ดอยู่แล้ว (อยากกินไข่ปลาเรียวเซียว)แต่คราวนี้ก็ไม่รู้จะไปร้านไหนดีเพราะดึกแล้วห้าทุ่มกว่า เลยถามน้องที่คิดเงินซะเลย น้องเค้าก็แนะนำร้าน สุดทางรัก แถวหาดจอมเทียน เพราะปิดดึก (ที่จริงน้องเค้าบอกว่าอีกร้านนึงดังกว่า ชื่อร้านลุงหวัง รึอะไรนี่แหล่ะ แต่คงปิดแล้ว) พวกเราก็เลยขับรถดุ่มๆ มั่วๆ ไปตามเคยในที่สุดก็เจอร้านจนได้
โดยรวมๆ แล้ว อาหาร บรรยากาศ ก็ใช้ได้ครับ ดนตรีก็เล่นดีรับ แต่เสียอย่างเดียวไม่รู้ใครมาฉลองวันเกิด พี่แกเล่นส่งลูกขึ้นไปร้องเพลง แต่สงสัยมีใครเผลอไปชมเด็ก น้องแกเลยไม่ยอมลงจากเวลาซะที ร้องซะหลายเพลงเลย ที่จริงไอ้ผมก็รักเด็กอยู่หรอกนะ แต่พอแบบแหม...หลายเพลงเป็นชุดๆ แถมเพี้ยนทุกเพลง มันก็เกิดอาการอยากเขกกะโหลกเด็กขึ้นมาตะหงิดๆ แต่ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยผมก็ได้กินแกงส้มไข่ปลาเรียวเซียวสมใจล่ะวะ อิอิ
อิ่มท้องกันถ่วนหน้าก็ได้เวลากลับบ้านเอาเมื่อตอนเกือบๆ ตีหนึ่ง ขึ้นรถปุ๊บ สาวๆ ก็หลับปั๊บ ปล่อยให้ผมนั่งขับเล็งทางไปคนเดียว ขับๆ งงๆ ง่วงๆ (เกือบจะวูบๆ อยู่หลายทีตอนถนนมืดๆ) ดีนะที่รถไม่เยอะ ขับมาเรื่อยเอื่อยๆ ถึงกรุงเทพฯ โดยไม่บุบสลาย เอาก็ตีสามกว่าๆ ...
เฮ้อ..จบซะที..สรุปสุดท้ายครับ หลังจากที่เที่ยว Ripley's Believe It or Not เล่นและเข้าดูครบทั้ง 4 อย่างแล้ว ขอบอกว่า ถ้าใครจะไปนะครับ ถ้ามันยังมีโปรโมชั่นอยู่ ก็เล่นมันทั้ง 4 อย่างเลย แต่ถ้าต้องเลือกเล่นบางอย่าง ขอแนะนำว่า พิพิธภัณฑ์ และโกดังผีสิง เนี่ย ห้ามพลาดครับ คุ้มครับคุ้ม ฟันธง...