Group Blog
 
 
เมษายน 2549
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
10 เมษายน 2549
 
All Blogs
 

บทที่3-เปลวไฟที่ลุกโชน




นักรบของโจฬะหรือเผ่าทมิฬกว่า 400 คนต่างหยุดยืนรออยู่บริเวณทุ่งราบหน้าทางเข้าป่าซึ่งเป็นกันชนเดียวที่ใช้ป้องกันเผ่าโอสะจากการรุกราน
มหาบรรณภพจ้าวแห่งโจฬะเป็นผู้นำทัพมาด้วยตนเอง เขาเป็นชายร่างสูงใหญ่หนวดเครารุงรัง ใบหน้าแสดงความเหี้ยมเกรียมแต่ก็แฝงไว้ด้วยความสุขุมเยือกเย็นสมกับเป็นนักรบที่ผ่านประสบการณ์สู้ศึกมานับไม่ถ้วน
เขาขี่ม้าสีดำร่างใหญ่และสวมชุดหนังเสือโคร่งซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเกรงขามแก่ผู้พบเห็น ชื่อเสียงของเขานั้นโด่งดังไปทั่วดินแดนแบนี้ แต่ส่วนหนึ่งก็มาจากความเกรงกลัวที่ผู้คนมีต่อเขาทำให้ความร้ายกาจของเขาถูกแต่งแต้มเกินจริงไปอีก
เนื่องจากไม่ได้รับข่าวจากหน่วยของปาตูที่ถูกส่งออกไปเป็นแนวหน้าในการเข้าจัดการกับทั้ง 3 เผ่าที่อยู่ในดินแดนแถบนี้ ตัวมหาบรรณภพผู้เป็นพ่อจึงนำกองทัพมาด้วยตนเอง
แต่ยามนี้ มหาบรรณภพทำได้เพียงแค่ควบม้าเดินไปมาอยู่ที่ด้านหน้าสุดของกองทัพพลางครุ่นคิดอย่างหนัก เพราะแม้จะผ่านศึกมาหลายสิบปี แต่นี่อาจจะเป็นศึกที่ทำให้เขาต้องครุ่นคิดหนักที่สุดเลยก็ได้ ทั้งที่คู่ต่อสู้เป็นเพียง...นายกองหนุ่มแห่งอาณาจักรศรีโพธิ์ที่มีอายุน้อยกว่าเขาหลายรอบและเพิ่งจะเคยเป็นแม่ทัพนำทหารสู้ศึกเป็นครั้งแรก
ห่างออกไปหลายสิบวาบริเวณหน้าทางเดินเข้าป่าดงที่จะนำไปสู่เผ่าโอสะนั้น เมฆากำลังนั่งอยู่บนหลังอาชาสีขาวเพียงลำพังและจ้องมองไปมายังจ้าวทมิฬและกองทัพของเขาโดยไม่แสดงท่าทีตื่นตระหนกเลยสักนิด
มหาบรรณภพรู้สึกแปลกใจกับภาพเบื้องหน้า เขายกทัพนำพาเหล่านักรบที่เก่งกาจและเหี้ยมเกรียมของชนชาวทมิฬออกศึกมาแล้วนับไม่ถ้วนจนผู้คนที่ได้ยินชื่อของนักรบทมิฬแล้วต่างก็กลัวจนตัวสั่น แต่เจ้าหนุ่มคนนี้กลับไม่ตื่นกลัวเลยทั้งที่อยู่ต่อหน้านักรบทมิฬหลายร้อยคน
อันที่จริงอาจจะเป็นเพียงการทำใจดีสู้เสือ เมื่อคิดเช่นนี้เขาเองก็ตั้งใจจะสั่งให้ทหารลุยเข้าไปเช่นกัน แต่ก็ต้องหยุดไว้เพราะสังเกตเห็นฝุ่นตลบจำนวนมากอยู่ทางด้านหลังของป่าดงที่เมฆารั้งม้าเอาไว้
“รึว่า...จะมีกองทัพแอบซุ่มอยู่” มหาบรรณภพรำพึงกับตัวเอง เพราะฝุ่นตลบเหล่านั้นดูแล้วราวกับเกิดจากฝูงม้ากำลังวิ่งอยู่ ครั้นจะยิงธนูใส่เมฆาก็ทำได้ยากเพราะที่ราบซึ่งกองทัพของเขาหยุดอยู่นั้นอยู่ในที่ต่ำกว่า
“เลือกชัยภูมิได้ดี อายุแค่นี้กลับปั่นหัวข้าได้ เจ้าหนุ่มนี่ไม่เลวเลย” ว่าแล้วเขาก็สั่งให้ลูกน้องคนหนึ่งที่มีประสาทในการฟังสูงก้มลงแนบพื้นเพื่อฟังเสียงจากพื้นดิน
การฟังเสียงจากพื้นดินจะทำให้สามารถได้ยินเสียงฝีเท้าของสัตว์ที่อยู่ในที่ห่างไกลได้ มันเป็นเทคนิคที่นักรบและเหล่าพรานในยุคนั้นจำเป็นต้องมีติดตัวไว้ ซึ่งไม่ใช่จะต้องฟังได้อย่างเดียวเท่านั้น แต่จะต้องแยกแยะได้ด้วยว่าเสียงฝีเท้านั้นเป็นของสัตว์ประเภทไหนและมีจำนวนมากน้อยเพียงใด
นักรบทมิฬคนนั้นฟังอยู่ชั่วครู่ก็ลุกขึ้นยืนรายงานต่อเจ้านาย “เป็นเสียงฝีเท้าม้าจริง แต่คาดว่ามีอยู่เพียงไม่กี่สิบตัวเท่านั้น”
“ไม่กี่สิบตัวเองรึ...ถ้าอย่างนั้นแล้วไอ้ที่ทำให้เกิดฝุ่นตลบนั่น...อ้อ ฮ่าๆๆๆ” มหาบรรณภพหัวเราะร่วน “ข้าพอจะเข้าใจแล้ว จริงคือเท็จรึ แผนดี แต่กลหลอกเด็กแบบนี้ใช้กับข้าไม่ได้หรอก”
ว่าแล้วเขาก็ชักดาบออกมาจากฝักแล้วชูขึ้นสั่งการ “นักรบของข้าทั้งหมด จงบุกตะลุยไปข้างหน้า และฆ่าล้างศัตรูของเราให้สิ้น เด็กและผู้หญิงให้จับเป็นเชลย ส่วนเสบียงอาหารทรัพย์สมบัติของมีค่าทั้งหลายเราจะเอามาเป็นของเราทั้งหมด!!!”
เหล่านักรบคนเถื่อนพากันส่งเสียงโห่ร้องตอบรับดังกึกก้องและเมื่อมหาบรรภพแกว่งดาบลงชี้ไปทางเมฆา เหล่านักรบกว่าหลายร้อยคนก็พากันวิ่งกรูเข้าไปด้วยสีหน้าท่าทางราวกับอสูรร้าย
เมฆายังคงตีหน้านิ่งเฉยแล้วควบม้ากลับเข้าไปในป่าพร้อมทั้งโบกไม้โบกมือเป็นสัญญาณให้กับพรรคพวกตนที่อยู่ด้านหลัง
“ทุกอย่างเป็นไปตามแผน...” เมฆายิ้มออกมาพลางควบม้าหนีการตามล่าของเหล่านักรบเถื่อนเข้าไปตามทางในป่าอย่างรวดเร็ว
อารยันซึ่งนั่งอยู่บนต้นไม้บริเวณป่าดงนี้เพื่อสังเกตการณ์ได้แต่นิ่งอึ้งเมื่อเห็นเหล่านักรบทมิฬวิ่งไล่เมฆาที่กำลังควบม้าหนี เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันช่างเป็นไปอย่างที่เมฆาพูดไว้ในตอนแรกไม่มีผิด
“ความน่ากลัวของนักรบโจฬะหรือนักรบทมิฬนั้นอยู่ที่การบุกจู่โจมอย่างรวดเร็วและดุดันโดยที่ไม่ให้คู่ต่อสู้รู้ตัว จะว่าเป็นการจู่โจมแบบกองโจรก็ว่าได้ ที่สำคัญคือพวกมันเป็นกลุ่มนักรบที่ไม่กลัวตาย ด้วยเหตุนี้แม้ว่าหลายครั้งที่บุกโจมตีเผ่าอื่นๆ ฝ่ายมันจะมีกำลังน้อยกว่าถึงเท่าตัว มันก็ยังสามารถบุกโจมตีจนเผ่านั้นๆราบคาบลงไปได้”
“พวกมันถนัดการลอบโจมตีอย่างฉับพลันโดยมักจะแอบซ่อนอยู่ในป่าแล้วอาศัยความมืดมิดเพื่อความกลมกลืนในการพรางตัว จากนั้นจึงเข้าจู่โจมพร้อมๆกันจากทุกทิศทาง ซึ่งวิธีนี้จะว่าไปก็เหมือนกับวิธีที่สัตว์ป่าใช้ในการล่าเหยื่อ”
“ดังนั้นในเมื่อไม่อาจเลี่ยงจากการโจมตีของพวกมันได้ แทนที่เราจะให้มันลอบเข้ามาโจมตีเราในช่วงเวลาที่เราไม่รู้ตัว เราก็ล่อให้มันเข้าโจมตีเราแบบซึ่งๆหน้าซะเลย”
“ภายในป่าแห่งนี้เท่าที่ข้าสำรวจมาเองและสอบถามจากท่านหัวหน้าเผ่าซากันแล้ว มีเส้นทางสำหรับใช้ให้ม้าหรือคนจำนวนวิ่งผ่านเพียงแค่ทางเดียว ซึ่งหากดูจากรูปแบบการโจมตีของเผ่าทมิฬแล้วพวกมันคงจะใช้การแอบซุ่มอยู่ในป่าดงแทนที่จะเดินทัพเข้ามาในเส้นทางนี้ตรงๆ ก็เท่ากับพวกเราอยู่ในที่แจ้งแต่มันอยู่ในที่ลับ ซึ่งหากเป็นแบบนั้นจะไม่เป็นการดีต่อฝ่ายเรา”
“ดังนั้นอันดับแรกเราต้องหาทางล่อให้พวกมันทั้งหมดบุกเข้ามาโจมตีพวกเราด้วยเส้นทางนี้อย่างเดียวให้ได้ ซึ่งข้าก็ได้คิดวิธีไว้แล้ว”
“จากการที่รบชนะเผ่าต่างๆมามากมายย่อมทำให้เหล่านักรบทมิฬนั้นมีความเชื่อมั่นในตัวองสูง ดังนั้นเราจะใช้จุดนี้ให้เป็นประโยชน์ และนั่นก็คือการใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่าจริงคือเท็จ”
“เอากิ่งไม้มาผูกติดกับขาของม้าหลายสิบตัวแล้วให้มันควบไปมาอยู่ภายในป่า เพื่อทำให้เกิดฝุ่นตลบขึ้นมาเหมือนกับการเดินทัพของผู้คนหลายร้อย ซึ่งหากมองจากภายนอกป่าแล้วก็คงจะเข้าใจผิดไปว่าภายในป่านั้นได้ซุ่มซ่อนกำลังทหารเอาไว้มากมาย”
“ในฐานะที่มหาบรรณภพเป็นแม่ทัพที่นำพาเหล่านักรบออกสู้ศึกมามากก็ย่อมจะเกิดความระแวง และนั่นแหละที่เราจะนำมาใช้ประโยชน์ เพราะการที่เราระแวงมากแค่ใดแล้วเมื่อความระแวงถูกทำให้คลายลง คนเราก็จะยิ่งประมาทและผลีลามมากขึ้นเท่านั้น”
“ดังนั้นข้าต้องทำให้มันระแวงมากยิ่งขึ้น วิธีก็คือตัวข้าต้องออกไปอยู่ที่หน้าป่าดงเพียงลำพัง ครานี้เมื่อมันเห็นข้าอยู่แต่เพียงผู้เดียวก็จะเกิดความสงสัยว่าวางกับดักอะไรไว้ในป่ารึไม่ จนไม่กล้าที่จะผลีผลามนำกองทัพบุกเข้ามาในทันที หรือบุกโจมตีแบบกองโจรอย่างที่มันถนัด เพราะกลัวว่าเราจะวางกับดักซ่อนเอาไว้ภายในป่า”
“แต่วิธีนี้สามารถหลอกมันได้แค่ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ไม่ช้ามันต้องมองออกแน่ว่าภายในป่าไม่ได้มีการซุ่มซ่อนกำลังทหารเอาไว้ แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ข้าคาดเอาไว้แล้ว เพราะทันทีที่มันรู้ว่าพวกเราไม่ได้มีกำลับทหารมากอย่างที่มันเข้าใจ มันก็จะสั่งกองทัพของมันให้บุกโจมตีเข้ามาทันที และเมื่อมันเห็นข้าควบม้าหนีเข้ามาในป่าแล้ว พวกมันที่อยู่ในอารมณ์กระหายเลือดสุดขีดก็ย่อมที่จะไล่ตามข้าเข้ามาในเส้นทางเดินม้านี้แน่ และนั่นก็จะเข้าสู่แผนการที่สองที่เรียกว่า ปิดประตูตีแมว”
“เมื่อเหล่านักรบทมิฬผู้บ้าคลั่งนับร้อยคนบุกตะลุยไล่ตามตัวข้าที่ควบม้าหนีเข้ามาในทางเดินม้าเพียงเส้นทางเดียว โดยที่สองข้างทางนั้นมีแต่เพียงป่าดงล้อมรอบก็คือการบรรลุถึงแผนการนี้ไปกว่าครึ่งทาง”
“ภายในป่าดงทั้งสองข้างทางนั้นเราจะทำการแอบซุ่มคนของเราเอาไว้ รอจังหวะเมื่อพวกทมิฬบุกเข้ามาได้มากกว่าครึ่งแล้ว ก็จะทำการระดมยิงธนูไฟเข้าใส่พวกมันในทันที จากนั้นจึงทำการจุดไฟเผาป่าโดยรอบ”
“ความร้อนจากเปลวเพลิงที่ลุกโชนดั่งไฟลามทุ่งนั้นและควันไฟที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นสิ่งที่จะจัดการพวกมันและทำให้เกิดความสับสน ในสภาพแบบนั้นเมื่อเราเข้าโจมตีซ้ำกระหนาบจากทางด้านหน้าและหลังก็จะสามารถตีพวกมันจนแตกพ่ายได้ แม้ว่าฝ่ายเราจะจำนวนน้อยกว่าหลายเท่าตัวก็ตามที เหตุที่ผมมั่นใจก็เพราะว่าความกว้างของทางเดินม้านี่แหละ ทางเดินนี้มีความกว้างอยู่ประมาณ 4-5 ช่วงตัวของคนทั่วไปเมื่อเดินเข้ามาในรูปแบบแถวหน้ากระดาน ดังนั้นต่อให้ยกทัพมาเป็นร้อย แต่เวลาที่สู้กัน จะสามารถเข้ามาได้เต็มที่เพียงครั้งละ 4-5 คนเท่านั้น และด้วยอานุภาพของเปลวไฟที่ล้อมรอบสองข้างทางก็ทำให้พวกมันก็ไม่อาจจะหลบหรือซุ่มซ่อนเข้าไปในป่าดงได้”
“สรุปแล้ว ภายในที่แคบๆซึ่งไม่อาจจะหนีไปไหนได้ รวมกับความร้อนระอุของเปลวไฟ และควันไฟอันแสนน่ารำคาญที่รบกวนประสาทสัมผัสต่างๆและยังทำให้สำลักจนถึงขั้นหมดสติได้นั้น แม้พวกมันจะมีจำนวนมากกว่าหรือเป็นนักรบที่เหี้ยมหาญมาจากไหน ฝ่ายเราก็สามารถอาศัยความชุลมุนวุ่นวายนั้นเป็นฝ่ายเอาชัยและขับไล่พวกมันออกไปได้”
ขณะนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในสายตาของอารยันนั้นได้เป็นไปอย่างที่เมฆาพูดเอาไว้ไม่มีผิด เมื่อเมฆาควบม้าหนีเข้ามาได้ระยะหนึ่ง ก็ส่งสัญญาณให้กาละและพรรคพวกที่ดักซุ่มอยู่ในป่าสองข้างทางทำการระดมยิงธนูไฟใส่พวกนักรบของทมิฬนับร้อยที่วิ่งไล่ตามเข้ามาจนอลหม่านไปหมด
จากนั้นคนของเมฆาก็ทำการจุดไฟที่ป่าสองข้างทางซึ่งเพียงไม่กี่อึดใจมันก็ลุกลามไปทั่ว จนสองข้างทางนั้นเปรียบดั่งกำแพงเปลวไฟอันร้อนระอุที่ขังพวกทมิฬเอาไว้ไม่ให้หนีออกไปได้
ทันใดนั้นเมฆาชักม้ากลับและตะโกนสั่งให้ทุกคนที่ซุ่มซ่อนอยู่กระโจนออกมาเข้าตะลุมบอนกับเหล่านักรบของทมิฬทันที
“จัดการมัน!!!” เสียงตะโกนโห่ร้องของเมฆาเมื่อรวมกับเหล่าลูกน้องของเขาแล้ว หากเป็นยามปกติจำนวนเพียงแค่นี้ย่อมไม่อาจทำให้เหล่านักรบทมิฬรู้สึกเกรงกลัวได้ แต่ยามนี้เมื่อเจอเข้ากับเปลวไฟอันร้อนแรงและควันไฟที่บดบังประสาทการมองเห็นไปครึ่งหนึ่งแล้ว เสียงโห่ร้องนี้ถือว่าบั่นทอนกำลังใจในการต่อสู้ของพวกมันไปมาก
ควันไฟยังมีประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือทำให้พวกทมิฬไม่อาจมองเห็นหรือคาดคำนวณจำนวนศัตรูได้ สิ่งที่ได้ยินมีเพียงเสียงเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีพวกทมิฬหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าศัตรูมีกำลังหลายร้อย จึงเกิดความแตกตื่นขึ้นทั้งกองทัพ
อารยันนิ่งอึ้งกับความสำเร็จของแผนการ ขณะนี้เหล่านักรบทมิฬที่ดุร้ายและเก่งกาจนั้นกำลังสับสนลนลานอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงที่ลุกโหมกระหน่ำและเมื่อถูกโจมตีซ้ำจากเหล่านักรบของศรีโพธิ์ด้วยแล้ว พวกมันก็เอาแต่หาทางหนีออกจากป่ากันเป็นแถว
“เหตุที่เละเทะได้ขนาดนี้ก็เพราะขาดผู้นำทัพ” อารยันพึมพำกับตัวเอง ถ้าหากมหาบรรณภพเป็นหัวหอกนำทัพไล่ติดตามมาเองหรือส่งแม่ทัพที่เชี่ยวชาญการศึกเป็นผู้นำหน้า มิใช่ให้แต่นักรบที่รู้จักแต่ใช้กำลังและมีแต่ความกระหายเลือดบุกตะลุยกันมาเอง
อารยันจ้องลงมองเมฆาที่กำลังบุกตะลุยนักรบทมิฬจนเริ่มแตกพ่ายอยู่ด้านล่างแล้วคิดในใจ “ไม่อยากเชื่อเลยว่าสิ่งที่เจ้าหมอนั่นคาดการณ์ไว้ จะเป็นจริงหมดทุกอย่าง...”
ดูๆไปแล้วเมฆาน่าจะมีอายุเพียง 18-19 ปี เท่ากับอายุมากกว่าเขาแค่ 2 ปีเท่านั้น แต่กลับสามารถบัญชาการศึกได้ถึงขนาดนี้ พอมาเทียบกันแล้วตัวเขามันช่างกระจ้อยร่อยเสียเหลือเกิน
อารยันกำหมัดแน่น พลางหยิบคันศรที่เอามาด้วยแล้วเอาลูกศรขึ้นพาดสายจากนั้นง้างเต็มแรง ทันทีที่ปล่อยมือลูกศรของเขาก็พุ่งเข้าเสียบที่กลางศีรษะของนักรบทมิฬคนหนึ่งที่กำลังหนีตายอยู่ด้านล่างอย่างแม่นยำ
เมฆาที่กำลังแทงดาบเข้าที่กลางท้องของนักรบทมิฬอีกคน ถึงกับหันขวับมาดูผลงานของอารยันด้วยความทึ่ง พลางเงยหน้ามองเขาที่กำลังนั่งโหนอยู่บนต้นไม้
อารยันจ้องหน้าเมฆากลับแล้วจึงสะบัดหน้าหนีจากนั้นจึงโดดข้ามต้นไม้ไปต้นอื่น และโดดไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงทางออกจากป่า
มหาบรรณภพที่เฝ้ารอดูสถานการณ์อยู่ภายนอกป่าดงมองเห็นเห็นควันไฟที่ลอยออกมา จากในกลางป่า ก็รู้ตัวว่าหลงกลของข้าศึกเข้าแล้ว ครั้นจะส่งนักรบที่เหลืออีกร้อยกว่าคนเข้าไป ก็เกรงว่าจะทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมากกว่าเดิม เพราะเขารู้ดีว่าสถานการณ์เช่นนี้สิ่งที่สำคัญไม่ได้อยู่ที่จำนวนคนอีกต่อไปแล้ว แต่อยู่ที่ความชัดเจนของสภาพวิสัยในการรับรู้ฝ่ายศัตรู รวมไปถึงสภาพกำลังใจของฝ่ายตน
“หึ...ล่อลวงให้ข้าส่งทหารเข้าไปโดยปราศจากความระแวง ด้วยการทำให้ระแวงก่อน จากนั้นถึงอาศัยชัยภูมิที่คาดไม่ถึงเข้าจัดการงั้นรึ...หึๆๆๆ ฮ่าๆๆๆๆๆ!!!” มหาบรรณภพหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “หากเจ้าหนุ่มคนนั้นมันเป็นคิดแผนการนี้ล่ะก็ น่ากลัวว่าในอนาคต พวกเราจะต้องเจอกับความยากลำบากในการขยายอำนาจซะแล้ว” พูดจบเขาก็ชักม้ากลับ แล้วสั่งการต่อทหารที่เหลือ “พวกเราทุกคน ถอนกำลังกลับเดี๋ยวนี้”
เหล่านักรบทมิฬต่างงุนงงกับคำสั่งให้ยกทัพกลับ พวกเขาพากันถามว่าแล้วคนอื่นๆที่ตอนนี้กำลังติดอยู่ในป่าดงเล่า จะทำเช่นไร
“ถ้าดื้อดึงจะสู้ต่อไปพวกเราก็มีแต่จะแพ้ นอกจากนี้เราเองก็ไม่รู้ว่าถ้าสู้ต่อไปนานเข้ามันจะมีทัพหนุนมาช่วยรึไม่ ดังนั้นเพื่อรักษาส่วนใหญ่เอาไว้เราจึงจำเป็นต้องถอย ส่วนพวกที่ติดอยู่ในป่านั้น เทพเจ้าจะเป็นผู้ตัดสินชะตาของพวกเขาเอง...พวกเรากลับไปได้แล้ว!!!”
เฟี้ยว...ฉึก!!!
ลูกศรดอกหนึ่งพุ่งเสียบเข้าที่ขาม้าดำของมหาบรรณภพอย่างแม่นยำ จนมันล้มลงและพลอยทำให้มหาบรรณภพต้องตกม้าไปด้วยแต่เขาก็ยังไวพอที่จะลงมาตั้งหลักยืน ในขณะที่ม้าของมหาบรรณภพต้องลงไปนอนกองกับพื้น
มหาบรรณภพและเหล่านักรบทมิฬที่อยู่รายล้อมต่างพากันตกตะลึงว่าลูกธนูที่ยิงมานั้นถูกยิงมาจากที่ใด
เฟี้ยว....
ชั่วเสี้ยววินาทีที่ลูกศรดอกต่อมากำลังพุ่งตรงมาจนเกิดเสียงแหวกอากาศ มหาบรรณภพสามารถจับเสียงนั้นได้ว่ามากทิศทางใดและชักดาบขึ้นมาอย่างรวดเร็วปัดลูกศรที่พุ่งมาด้วยความเร็วสูงจนสายตาแทบมองไม่ทันให้ตกลงพื้น
ยังไม่หมดแค่นั้น ยังมีลูกศรอีกสามดอกพุ่งตรงมาที่เดิมอีกครั้ง แต่มหาบรรณภพก็สามารถใช้ดาบปัดมันทิ้งลงไปได้หมด และรีบจ้องมองกลับไปยังทิศทางที่ลูกศรพุ่งมา
“ระยะไกลขนาดนี้ แต่กลับยิงได้อย่างแม่นยำมาก และที่สำคัญยังสามารถยิงได้หลายดอกพร้อมกันอีกด้วย นี่มันวิชายิงธนูอะไรของมันกัน” มหาบรรณภพพูดกับตัวเองเบาๆ เมื่อมองเห็นอารยันซึ่งกำลังนั่งอยู่บนต้นไม้ในท่าถือคันศรในระยะที่ห่างออกไปเป็นร้อยวา
“นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้มาพบกับคนที่เก่งกาจมากมายในที่แบบนี้...น่าสนุกจริง” มหาบรรณภพหัวเราะเบาๆ “หากเจ้าลูกชายบ้าของข้าจะถูกฆ่าตายเพราะคนพวกนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
เขาแน่ใจแล้วว่าปาตูซึ่งขาดการติดต่อไปนั้นคงจะถูกฆ่าตายไปแล้ว แต่แทนที่จะรู้สึกเคียดแค้นที่ลูกชายของตนถูกฆ่า เขากลับรู้สึกยินดีที่ได้พบศัตรูที่ร้ายกาจมากกว่า
“วันนี้ข้าจะยอมรับความพ่ายแพ้และยอมถอยกลับไปก็ได้...แต่สักวันหนึ่งเถอะ...” พูดจบก็สั่งให้ลูกน้องทั้งหมดของตนถอยกลับ
เมื่อเห็นว่ามหาบรรณภพกำลังเริ่มถอนทัพกลับไปแล้ว อารยันก็สบถกับตัวเอง ที่ดันยิงศรลูกแรกพลาดไปถูกขาม้าเข้า ไม่เช่นนั้นเขาต้องเอาชีวิตของมหาบรรณภพได้แน่นอน นั่นเท่ากับว่าเขาพลาดโอกาสที่จะสร้างผลงานยิ่งใหญ่เหมือเมฆาไป
คิดแบบนี้แล้วก็ยิ่งเจ็บใจหนักขึ้นกว่าเดิม

.............................................

ณ ลานกลางหมู่บ้านของเผ่าโอสะ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่นานได้ถูกเผ่าทมิฬรุกรานจนย่อยยับ บัดนี้ได้ถูกแปรสภาพให้เป็นสถานที่เลี้ยงฉลองให้แก่เหล่าวีรบุรุษของพวกเขา เหล่านักรบแห่งศรีโพธิ์ที่ช่วยพวกเขาปกป้องหมู่บ้านเอาไว้ได้
พวกเขาทำการก่อกองไม้มหึมาขึ้นที่กลางหมู่บ้าน จากนั้นนำเอาศพของผู้ที่ถูกฆ่าตายมาวางรายล้อมบนกองไม้ โดยมีคนถือคบไฟเพื่อเตรียมเผาศพเหล่านั้นยืนอยู่ข้างๆ 4-5 คน
ซากันยืนอยู่เบื้องหน้าของกองศพเหล่านั้น โดยมีไลยาผู้เป็นลูกสาวยืนอยู่เคียงข้างพร้อมด้วยเหล่าผู้อาวุโสของเผ่า จากนั้นจึงเป็นชาวบ้านคนอื่นๆที่ยืนล้อมรอบกันเป็นวงโดยมีอารยันยืนปะปนอยู่ในกลุ่มนั้น
เมฆาและเหล่าลูกน้องของเขายืนดูอยู่วงนอกด้วยความสนใจในพิธีกรรมที่เรียกว่าการส่งวิญญาณไปสู่สุขคติของชาวเผ่าโอสะ
ซากันกำหมัดขึ้นจรดหน้าผาก แล้วเปล่งเสียงดังกังวาน “ในนามแห่งผู้บวงสรวง เซ่นไหว้วิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ ข้าผู้เป็นตัวแทนของคนทั้งหมด ขอวิงวอนให้เทพยดาแห่งป่าเขาช่วยนำพาดวงวิญญาณของคนที่ถูกฆ่าตายไปสู้สรวงสวรรค์ด้วย” จากนั้นสมาชิกทั้งเผ่าที่นั่งรายล้อมอยู่ต่างก็ลุกขึ้นและทำตามกันทั้งหมด
พวกเขาหลับตาและยืนสงบนิ่งอยู่เช่นนั้นเป็นเวลาหลายนาที ระหว่างนั้นเมฆาที่ยืนดูอยู่วงนอกได้จ้องมองมายังไลยาตลอดเวลา
ใบหน้าด้านข้างยามที่มีหยาดน้ำตาคลอเบ้าออกมาเล็กๆที่แสดงออกถึงความเศร้าสร้อยจากการตายของผู้คนในเผ่านั้น ยิ่งทำให้เมฆาไม่อาจละสายตาไปได้ ความงดงามของใบหน้าที่ผสมผสานเข้ากับอารมณ์อันเศร้าโศกนั้นแทบหลอมละลายใจของเขาให้สลายไปด้วย
จากนั้นทุกคนในเผ่าก็ลืมตาขึ้น แล้วไม่ช้า ซากันก็สั่งให้บรรดาผู้ถือคบเพลิงที่ยืนรายล้อมทำการจุดไฟเผาศพเหล่านั้นทันที
เปลวไฟค่อยๆลุกโชติช่วงและกระพือแรงขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางเสียงสะอื้นไห้ของผู้คนในเผ่า ไลยาเองก็ไม่อาจข่มใจไว้ได้จนซากันต้องโอบไหล่เบาๆเป็นการปลอบ ในขณะที่อารยันดูจะมีสีหน้าท่าทางสงบนิ่งกว่าใครเพื่อน
สายตาของอารยันจับจ้องไปที่กระแสเปลวไฟนั้นอย่างเยือกเย็น แต่ในความเยือกเย็นนั้นมันแฝงไว้ด้วยความร้อนรุ่มที่เริ่มแผดเผาจิตใจของเขาเองอย่างช้าๆ คำถามมากมายได้ผุดขึ้นมาในหัวสมอง
เหตุใดจึงเกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น...พวกเขาทำอะไรผิดรึ ชาวเผ่าโอสะมีชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย ไม่เคยไปรุกรานใคร แล้วทำไมจึงต้องประสบชะตากรรมเช่นนี้
เขาเหลือบมองดูเหล่าพี่น้องชาวเผ่าของเขาที่ต้องสูญเสียญาติพี่น้อง เพื่อน ครอบครัว แล้วก็กำหมัดแน่น เรื่องพวกนี้จะปล่อยให้มันผ่านมาแล้วผ่านไปเฉยๆไม่ได้ จะต้องมีคนรับผิดชอบ ไม่ก็จะต้องหาทางทำอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้นมาอีก
นึกถึงเรื่องนี้ เขาก็นึกถึงจากัวขึ้นมา จากัวเคยพูดถึงสิ่งที่เรียกว่าอำนาจ อันเป็นพลังที่ผู้คนในโลกต่างหลงใหลและอยากได้มาครอบครอง
เขาคิดจะไปหาและคุยกบจากัว แม้ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไงดีก็ตาม แต่ก็ไม่อาจจะผละไปได้ เพราะตอนนี้มีเรื่องสำคัญอยู่อีกเรื่องหนึ่ง หลังจากได้เห็นเห็นแววตาของเมฆาที่มองไปยังไลยา
หลังจากความเศร้าโศกผ่านพ้นไป ซากันก็สั่งให้คนนำเหล้าและอาหารมาเลี้ยงรับรองเมฆาและพรรคพวกเพื่อเป็นการขอบคุณที่พวกเขาได้ช่วยปกป้องหมู่บ้านเอาไว้
“ขอขอบคุณและอวยพรให้แก่เหล่านักรบผู้กล้าหาญที่ช่วยเหลือพวกเราไว้” ซากันยกเอาไหเหล้าที่ทำการหมักไว้กินเองในเผ่าขึ้นมาเป็นเครื่องดื่มสำหรับต้อนรับแขกยื่นให้แก่เมฆา
เมฆาเห็นขนาดของไหเหล้าที่ใหญ่โตรวมกับกลิ่นเหล้าที่เหม็นจนเตะจมูกแล้วก็รู้สึกขยาด แม้เขาจะเป็นนักดื่มคนหนึ่งแต่เหล้าหมักที่ทำกินกันในเผ่าโอสะนั้นมีกลิ่นรุนแรงมากจนแม้แต่เขายังแทบจะถอยกรูด แต่เพื่อรักษาน้ำใจของหัวหน้าเผ่าแล้ว เขาจึงจำใจยอมรับ
“ตกลง...” พูดจบเขาก็รับเอาไหเหล้ามาแล้วซดเข้าไปเต็มที่
กินเสร็จเมฆาก็หน้าแดงเล็กน้อย แต่ก็ยังคุมสติไว้ได้ จากนั้นซากันก็ยกขึ้นดื่มตามบ้าง
หลังจากการแลกดื่มเหล้าผ่านพ้นไป คนในเผ่าก็พากันต้อนรับพรรคพวกของเมฆาอย่างดิบดี ในขณะที่ตัวของเมฆานั้นขอตัวไปนั่งพักอยู่คนเดียวเงียบๆ
“ทำไมแยกมานั่งคนเดียวล่ะ” ไลยาร้องถามพลางเดินเข้ามาหาเมฆาที่กำลังนั่งพิงกับต้นไม้ด้วยความมึนเมา
“รู้สึกมึนๆน่ะ” เมฆาตอบกลับ “เหล้าของที่นี่แรงกว่าที่ข้าเคยกินจากในเมืองมาก”
“งั้นรึ” ไลยาพูดพลางหยุดยืนที่ข้างๆเขา แล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืนด้วยสายตาที่แสดงความเศร้าสร้อย
เมฆาที่นั่งอยู่แหงนหน้าขึ้นมองไลยาเล็กน้อย ยิ่งได้มาจ้องมองเธอใกล้ๆเช่นนี้ มันยิ่งทำให้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำ ความคิดปรารถนาที่จะได้เธอมากอดในอ้อมแขนยิ่งรุนแรงมากขึ้น จนเขาต้องพยายามข่มใจเอาไว้
“ข้า...เคยเห็นรูปของเจ้า...”
“หือ” ไลยาหันขวับ
“ข้าเห็นรูปวาดตัวเจ้าที่อยู่บนโขดหินริมน้ำ” เมฆาพูดเบาๆ “ตั้งแต่นั้นมาข้าก็ปรารถนาที่จะได้พบเจ้ามาโดยตลอด”
ไลยาอึ้งไปเล็กน้อย เธอรู้สึกหน้าแดงก่ำ แล้วรีบวิ่งออกไปโดยที่เมฆาไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ
อารยันที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ได้แต่กำหมัดตัวเองจนเลือดไหลซิบๆ เขารีบวิ่งตามไลยาออกไป
เมฆานั่งถอนใจเบาๆ แล้วทันใดนั้นเองก็เกิดความคิดอย่างหนึ่งแวบขึ้นมาในหัว เขาสะบัดหน้าเพื่อสลัดความคิดนี้ออกไป แต่กลับทำไม่ได้
ในที่สุดหลังจากลังเลอยู่นาน เขาก็ตัดสินใจแน่วแน่และลุกขึ้นเดินไปหาซากันที่นั่งอยู่กับเหล่าผู้อาวุโสของเผ่าที่หน้ากองไฟ
“ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านหัวหน้าเผ่า” เมฆาพูด
ซากันพยักหน้ารับ “มีเรื่องอะไรรึท่าน ว่ามาไม่ต้องเกรงใจ ท่านเป็นผู้มีพระคุณของเรา อยากจะให้เราช่วยหรือต้องการอะไรก็ว่ามาได้เลย”
อีกฝ่ายออกปากมาเองเช่นนี้เมฆาจึงรวบรวมกำลังพูดออกไป
“ข้ามีข้อเสนอ...ให้เผ่าของท่านพิจารณา...”
“ข้อเสนอรึ...” ซากันขมวดคิ้ว
“ใช่...ข้าอยากจะขอผูกเป็นพันธมิตรกับเผ่าโอสะ”
บรรดาผู้อาวุโสของเผ่าที่นั่งอยู่ต่างพากันส่งเสียง ซากันเองก็ตกตะลึงเล็กน้อย เพราะอาณาจักรศรีโพธิ์นั้นเป็นอาณาจักรใหญ่ที่ปกครองดินแดนนี้มากว่าร้อยปี หากเผ่าเล็กๆอย่างโอสะที่ไม่มีผลประโยชน์ไรกับศรีโพธิ์สามารถผูกเป็นพันธมิตรได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีของเผ่าที่จะช่วยประกันความปลอดภัยจากการรุกรานของพวกทมิฬได้
“ท่านอยากผูกมิตรกับเราจริงรึ แต่เผ่าเราไม่ได้มีทรัพยากรหรือสิ่งมีค่ามากพอที่จะให้เป็นค่าตอบแทนนะ” ซากันพูดตรงๆตามประสาคนใจซื่อ
เมฆายิ้มเล็กน้อย “ของแลกเปลี่ยนที่มีค่านั้น ท่านมีอยู่แล้ว...เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการผูกมิตรระหว่างพวกเราและเป็นการแสดงความจริงใจ ข้า...เมฆา หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนพิเศษแห่งอาณาจักรศรีโพธิ์ อยากจะขอ...ลูกสาวของท่าน ไลยา...มาเป็นเมียของข้า”






 

Create Date : 10 เมษายน 2549
0 comments
Last Update : 10 เมษายน 2549 16:40:34 น.
Counter : 990 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


อินทรีสามก๊ก
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




นักท่องกาลเวลา....
Friends' blogs
[Add อินทรีสามก๊ก's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.