ยินดีต้อนรับสู่คอนโดเล็กๆ ของเจ้าชายน้อยค้าบ มานั่งเล่นนั่งคุยกันก่อนนะ
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2552
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
30 สิงหาคม 2552
 
All Blogs
 
<::จลาจลรัก::> ตอนที่ 4

อิอิ มาต่ออย่างรวดเร็ว


อ่านกันต่อเล้ย!!!!



-----------------------------------------------



ตอนที่ 4

นาฬิกาปลุกในตัวคิริมาดังลั่น หญิงสาวตื่นรับเช้าวันใหม่ ไม่ต้องดูนาฬิกาตัวจริงก็รู้ว่าตอนนี้เจ็ดโมงเช้าแน่ๆ เธอติดตื่นเช้ามาตั้งแต่เล็ก จนกลายเป็นว่ารู้สึกตัวทีไรไม่เคยพ้นช่วงเจ็ดโมงเสียที แม้ว่าจะนอนดึกแค่ไหนก็ตาม

คิริมาเปิดผ้าม่านให้แสงยามเช้าส่องเข้ามาแทนไฟห้อง ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าเตรียมอาบน้ำ

ป่านนี้คนข้างนอกคงหลับอุตุอยู่เลยมั้ง

ร่างโปร่งเดินเข้าห้องน้ำไป หลังพาดผ้าแล้วจึงจัดการพอกหน้าทิ้งไว้ ก่อนกลับมาจัดการชำระล้างร่างกายไปพลาง แต่ก็เหมือนทุกครั้งยามอยู่คนเดียว ความทรงจำที่ไม่ปรารถนาลุกโชนขึ้นในจิตใจเผาไหม้จนหัวใจหม่นหมอง

...นังลูกไม่รักดี...

‘แม่ๆ’ ร่างเล็กป้อมของเด็กหญิงวิ่งโร่ลงจากรถนักเรียน มือเล็กประคับประคองของชิ้นเล็กในมือไว้อย่างทะนุถนอม

‘แม่จ๋าแม่’ คิริมาเคาะประตูห้องปึงๆ รออยู่นานกว่าประตูบานใหญ่จะเปิดออกเล็กน้อย

มารดายืนข้างในห้อง ใช้ตัวดันประตูไว้ส่วนมือจับสาบชุดคลุมไว้หยาบๆ ไม่ยอมเปิดประตูไปมากกว่านี้ แม้ว่าเด็กหญิงจะพยายามแทรกตัวเข้าไปก็ตาม

‘แกมีอะไร’ แม่ถามเสียงห้วนจัด

‘หนูมีอะไรจะให้ แม่ให้หนูเข้าไปหน่อยสิ’

‘เอ๊ะ!’

ไม่ทันที่เด็กหญิงจะโดนว่า เสียงผู้ชายในห้องก็ดังขึ้น ‘มีอะไรน่ะจิต’

‘เปล่าค่ะ’ แม่หันไปตอบเสียงหวาน ในขณะที่เด็กหญิงคิริมาในวัยเจ็ดขวบมองหน้ามารดาอย่างไม่เข้าใจ

ผู้ชายคนนั้นสวมกอดแม่เธอจากข้างหลัง สายตามองเธออย่างสงสัย ‘ยัยครีมมีธุระอะไรหรือ?’

‘ไม่มีค่ะคุณพี่’ มารดาตอบ ส่งสายตาดุๆ มาให้ก่อนจะปิดประตูใส่หน้า ทิ้งให้เด็กหญิงหน้าห้องยืนนิ่ง ร่างเล็กค่อยๆ ทรุดลงกับพื้น น้ำตาไหลริน เสียงสะอื้นไม่เบานักเรียกเด็กรับใช้ให้ได้ยิน

ร่างเล็กของคิริมาถูกคุณนมอุ้มขึ้นเขย่าเบาๆ ให้เด็กน้อยเงียบเสียงซะ

‘คุณครีม อย่าร้องไห้เลยค่ะ เดี๋ยวคุณแม่ดุนะคะ’

‘นม...นมจ๋า ทำไมแม่กับคุณลุง แม่ไม่รักพ่อแล้วหรอจ๊ะ’

‘โถ...คุณหนูของนม’ นางน้ำตาซึม สงสารคุณหนูจับใจ พ่อก็เพิ่งเสียไปได้ไม่นาน แม่ก็กลายมาเป็นเมียลุงเสียนี่

‘แม่ไม่รักพ่อแล้ว แม่ไม่รักพ่อแล้ว’

คุณนมกอดเด็กหญิงไว้แนบอก แล้วตัดสินใจอุ้มคุณหนูของนางลงไปข้างล่าง ร่างเล็กสะอึกสะอื้นไม่หยุด ดวงตากลมโตที่อิ่มไปด้วยน้ำตามองประตูห้องเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมของที่อุตส่าห์ออมค่าขนมเพื่อซื้อและถนอมมาตลอดวัน

วันพิเศษ กลายเป็นวันแห่งความจริงที่โศกเศร้า

ดอกมะลิร่วงลงสู่พื้นพร้อมหัวใจดวงน้อยที่แตกสลาย





เสียงมือถือดัง เรียกสติที่หลุดลอยไปของหญิงสาวในห้องน้ำกลับมา ร่างบางสวมเสื้อคลุมก่อนจะวิ่งออกไปรับมือถือ

“ครีมพูดค่ะ”

“นี่พี่เดียร์เองครับ โทรมากวนน้องครีมหรือเปล่า”

“ไม่หรอกค่ะ ครีมตื่นสักพักแล้ว พี่เดียร์โทรมามีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”

หญิงสาวใส่สมอลทอล์ค มือบางสาละวนกับการทาครีมประทินผิวต่างๆ “เพิ่งราวน์วอร์ดเสร็จหรอคะ?”

“น้องครีมว่างหรือเปล่าครับวันนี้ คือพี่ว่าจะชวนไปซื้อของขวัญวัน...”

หญิงสาวดูหน้าจอมือถือ พบว่าสายของกฤตินขาดไปเสียแล้ว คิริมามองปฏิทินตั้งโต๊ะ วันนี้เป็นวันที่ 11 สิงหาคม เดาได้ว่ารุ่นพี่หนุ่มคงอยากให้เธอไปช่วยเลือกของให้มารดาที่เธอเคยเจอท่านมาแล้วครั้งหนึ่งตอนไปเที่ยวเชียงใหม่กับเพื่อนๆ

ก่อนจะได้คิดเรื่องในอดีตอีกครั้ง เสียงเรียกเข้าดังขึ้นใหม่ “เมื่อกี้แบตหมดหรอคะ”

ปลายสายเงียบไป เธอมองเบอร์ใหม่ที่ไม่คุ้นเคย “พี่เดียร์?”

“ผมเอง”

หญิงสาวขมวดคิ้ว นึกอยู่ว่าเสียงคุ้นๆ นั่นเป็นของใคร...นายภีม!

อยู่ข้างนอกแล้วทำไมไม่เคาะประตูเรียก...เธอคิด

“นี่ยังไม่รู้ว่าผมออกมาแล้วสิท่า” อีกฝ่ายถามยียวน “คุณนี่น้า...ตื่นสาย”

“มีอะไร” คิริมาเปลี่ยนเรื่อง “ถ้าแค่จะโทรมาด่าก็แค่นี้นะ”

“เฮ้ยๆๆ เดี๋ยวคุณ โถ...ทำเป็นคนวัยทองไปได้ อารมณ์แปรปรวนจริงนะ นี่...ผมแค่จะถามว่าวันนี้คุณว่างมั้ย”

“ทำไม?”

“ถามก็ตอบเหอะ ตกลงว่างป่ะคุณ”

คิริมาเม้มปากกับน้ำเสียงกวนโมโห สัญญาณสายเข้าดังขึ้น “แค่นี้ก่อนนะ มีสายซ้อน”






“สายซ้อนๆๆ” ภีมบ่นงึมงำ...เกิดมาเพิ่งเข้าใจคนสายซ้อนวันนี้เอง

“บ่นอะไรคนเดียวนายภีม”

ภีมหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะยกมือไหว้เจ้าของบ้านทั้งสองคน “สบายดีนะครับพี่ภูมิพี่ปรี แล้วนี่น้องปริมไปไหนซะล่ะครับ”

“อาบน้ำอยู่จ๊ะ พี่ให้เด็กไปบอกแล้วว่าภีมมา” ปรีชฎาตอบ

“อาสุดที่รักมาทั้งทีนี่นะ” ภาคภูมิบอกยิ้มๆ “แล้วมาเมืองไทยคราวนี้อยู่นานมั้ย?”

“คิดว่าคงสักสองสามเดือน ไม่นานเท่าไหร่ครับงานเสร็จคงรีบกลับ”

“อาภีมมมม” ร่างป้อมๆของเด็กหญิงปริมมาวิ่งตึกๆ จากบันได ถลาเข้าอ้อมกอดของ ‘อาภีม’

“สวัสดีอาภีมรึยังลูก” มารดาเตือน เด็กหญิงยิ้มแหะๆ ก่อนจะพนมมือไหว้อาภีมของเธอ

“สวัสดีค่ะอาภีม”

ภีมรับไว้เด็กหญิงตัวน้อย ก่อนอุ้มคนตัวเล็กนั่งตัก “ว่ายังไงคนเก่ง เห็นคุณพ่อบอกอาว่าหนูมีอะไรจะอวดคะ”

“นี่ค่ะๆ สมุดพกน้องปริม น้องปริมเรียนได้เกรดสี่ด้วยนะคะอาภีม...เก่งมั้ย?” สมุดพกปีการศึกษาที่แล้วถูกส่งมาตรงหน้า

“เก่งสิคะ เก่งที่สุดเลย” เขาชม “แล้วน้องปริมอยากได้อะไรเป็นของขวัญดีเอ่ย”

“น้องปริมอยากไปเที่ยวสวนสัตว์”

เด็กหญิงยิ้มหวาน แต่ถูกมารดาค้านเบาๆ “อย่ากวนอาภีมสิคะน้องปริม อาเขามาทำงานนะ ไม่ว่างหรอกลูก”

“จริงหรอคะอาภีม” เด็กน้อยหุบยิ้ม จนเขาต้องโยกคนตัวเล็กไปมา

“เอาอย่างนี้ดีมั้ยคะน้องปริม อาภีมสัญญาว่าจะหาเวลาว่างพาน้องปริมไปสวนสัตว์ให้ได้เลย แต่ตอนนี้ขอมัดจำเป็นไปเดินห้างก่อนได้มั้ยคะ?”

“เย้ๆๆ” เด็กน้อยวัยเจ็ดขวบลุกจากตักคุณอาแล้วกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ มือเล็กตบเปาะแปะดีใจ ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสามพลอยยิ้มไปด้วย

“กวนคุณภีมแย่เลยค่ะ” ปรีชฎาบอก “เห็นคุณภูมิว่าตอนนี้เรียนหนักนี่คะ ไหนจะทำวิจัยไปด้วยอีก”

“โอ๊ย...ไม่ต้องห่วงเจ้าภีมหรอก หมอนี่มันอัจฉริยะจะตาย”

ภีมโคลงศีรษะให้พี่ชายที่รู้จักกันที่อุรัศยาเมืองเกิดของเขา ภาคภูมิเดินทางไปเก็บข้อมูลเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวและคุยเรื่องการเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยว

ตอนนั้นเสด็จพ่อทรงประทานอนุญาต เพราะเขาเพิ่งกราบทูลเรื่องการท่องเที่ยวในประเทศที่จะทำให้อุรัศยาเป็นที่รู้จักมากขึ้น อันจะทำให้เศรษฐกิจที่เป็นแบบพอเพียงทำเองใช้เองนั้นขยับเป็นการทำเพื่อส่งออก ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดีวิธีหนึ่งในสภาพบ้านเมืองฝืดเคืองแบบนี้

“แล้วกินอะไรมารึยัง...อย่าบอกนะว่ากะมาหวังน้ำบ่อหน้าที่บ้านฉัน” เจ้าของบ้านถามอย่างเป็นกันเอง ก็จะไม่ให้ ‘กันเอง’ ได้ยังไง ในเมื่อ ‘ทรงสั่ง’

ภาคภูมิถามยิ้มๆ นึกถึงตอนเจอกันครั้งแรก เขาไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นถึงเจ้าชาย เพราะภีมหรือ ‘ภีมายุกร’ แต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตกางเกงสแล๊คธรรมดาเหมือนพนักงานหนุ่ม ยิ่งนิสัยสบายๆ บวกอัธยาศัยดีของเจ้าตัวทำให้เขาเออออยอมนับถือเป็นพี่น้องกับเจ้าชายโดยไม่รู้ตัว

แล้ว ‘เจ้าน้องชาย’ ก็กลายมาเป็น ‘เจ้าชาย’ ตอนที่เขาเปิดโทรทัศน์ไปเห็นพิธีรับมอบอะไรสักอย่างของเชื้อพระวงศ์ที่อุรัศยานั่นแหละ

“คุณภีมยังไม่ทานอะไรมาหรอคะ เดี๋ยวพี่ให้เด็กตักข้าวต้มกุ้งมาให้ดีกว่า ทานสักหน่อยนะมื้อเช้า”

“แหม...ได้ก็ดีเลยครับพี่ปรี” ภีมบอกพลางลูบท้อง “ความจริงกะมาฝากท้องกับพี่ปรีเลยนะเนี่ย”

“น้อยๆ หน่อย เมียฉันไม่ใช่หมอนะเว้ย จะมาฝากท้งฝากท้องอาไร้”

“โหยพี่...มุขหรอ ไม่ขำนะนั่น” เขาแซว

“เออ เล่นไปงั้นแหละ” ภาคภูมิพูดเองก็ขำเอง “เอ้อ แล้วมาคราวนี้วิจัยอะไรล่ะ”

“เกี่ยวกับด้านการแพทย์น่ะครับ พอดีผมรับปากเพื่อนไว้ เขาอยากรู้เรื่องการจัดการเรียนการสอนของคณะแพทย์ที่นี่น่ะพี่ ไม่เชิงงานวิจัยหรอก แต่ผมไม่ค่อยได้คลุกคลีงานด้านนี้มากนัก พอได้ลองทำๆ ดูมันก็อยากรู้อยากเห็นขึ้นมา”

“นิสัยนักวิทยาศาสตร์”

“ไม่ขนาดนั้นพี่” เขาถ่อมตัว “ว่าแต่ช่วงนี้ธุรกิจเป็นไงบ้างครับ เห็นว่าตั้งแต่เกิดพวกม๊อบประท้วงกัน เศรษฐกิจก็ตกฮวบเอา ฮวบเอา”

“ประมาณนั้นแหละ ตอนนี้ใครคิดจะทวนกระแสคงยากหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับแย่มากนะ รัฐบาลเขาก็จัดการดี”

การสนทนาถูกขัดเมื่อปรีชฎาเดินเข้ามาเรียกสองหนุ่มไปทานข้าวต้มกันได้แล้ว

“เอ้อ พี่ภูมิพี่ปรีครับ วันนี้ผมขอพาน้องปริมออกไปซื้อของได้มั้ยครับ?”

“เอาสิ” ภาคภูมิตอบแทนแล้วหันไปทางลูกสาว “อยากไปมั้ยลูก น้องปริม”

“อยากค่ะคุณพ่อ! คุณแม่ขา...ให้น้องปริมไปกับอาภีมนะคะ น้าๆๆ”

คนเป็นแม่อมยิ้มกับท่าทางตื่นเต้นของลูก ทั้งที่ตัวเองก็เดินห้างออกจะบ่อย “แต่ต้องทานข้าวให้หมดก่อนนะคะ”

“ค่าาา”

ภีมอมยิ้มกับครอบครัวสุขสันต์พร้อมตักกุ้งตัวโตเข้าปาก คิริมา...ถึงคุณไม่ไป ผมก็มีเพื่อนไปแหละน่า

เฮอะ...สายซ้อน!!!







นี่มันกี่โมงแล้ว...เศรษฐคิดในใจขณะเดินผ่านซุ้มประตูห้องทานอาหาร เสียงก๊อกแก๊กดังมาจากในครัว ทั้งที่ปกติเขาไม่ใช่คนตื่นสายแท้ๆ แต่วันนี้เขากลับสายกว่าใครบางคน

‘ใครบางคน’ ที่กำลังหยิบนู่นจับนี่อย่างคล่องแคล่ว แสดงให้เห็นว่าคงสำรวจครัวโล่งๆ ของเขาอย่างถี่ถ้วนดีแล้ว ร่างเล็กสาละวนกับการล้างเครื่องมือที่นำมาใช้ ก่อนจะหยิบนมสดในตู้เย็นออกมาเทใส่แก้วใสทรงสูงสองใบ

เธอทำเผื่อเขาใช่หรือเปล่า?

คำถามที่เกิดขึ้นพร้อมความรู้สึกประหลาด ทำให้เศรษฐต้องกระแอมเรียกสติตัวเองกลับมาเบาๆ เป็นผลให้บุษราคัมหันขวับอย่างคนหูดี

“คุณ...”

“...” ชายหนุ่มมองใบหน้าตกใจก่อนจะบึ้งไปของคนตรงหน้า “ทำเผื่อฉันด้วยหรอ?”

บุษราคัมหลบสายตาเขา มือเล็กหยิบถาดใบใหญ่แล้ววางจานกระเบื้องที่เต็มไปด้วยขนมปังลงไป ตามด้วยนมสดสองแก้ว

ถาดแก้วถูกฉวยไปจากมือ โดยเจ้าของห้อง เศรษฐวางมันบนโต๊ะ รอให้เธอนั่งเรียบร้อย ตัวเองถึงยกแก้วนมขึ้นดื่มรวดเดียวเกือบหมดแก้ว

ไม่สงสัยเลยว่าทำไมผู้ชายตรงหน้าถึงตังสูงใหญ่ขนาดนี้

กินนมแทนน้ำอย่างนี้นี่เอง

“ทำไมไม่กิน” เขาถามหลังจากจัดการนมหมดแก้วหนึ่งแล้ว เศรษฐลุกขึ้นจะเอาแก้วไปล้าง

“คุณเศรษฐ”

“...” อีกฝ่ายหันมามอง “ถ้าจะถามว่ากลับได้เมื่อไหร่ ฉันยืนยันคำตอบเดิม...วันจันทร์”

เสียงถอนหายใจบอกชายหนุ่มว่าคำตอบของเขาตรงคำถาม แต่...

“ช่วยหน่อยเถอะค่ะ” จานแซนวิชทูน่ายื่นมาตรงหน้า “...ฉันทำมาเผื่อ”

เศรษฐมองเจ้าขนมปังโฮลวีทหั่นชิ้นพอดีคำ ทาด้วยสลัดทูน่า แต่งหน้าด้วยชีสแว่นเล็กๆ กับมะเขือเทศลูกเต๋า

บุษราคัมเหลือบมองคนที่ยังนิ่งอยู่ ก่อนจะพูดต่อ “เผื่อฉันอยากหนีขึ้นมา คุณจะได้มีแรงลากกลับมาไง”

มุมปากของเขาบังเกิดรอยยิ้ม สายตาจับจ้องที่คนกล้าพูด เสียงนุ่มเอ่ยขึ้น อย่างที่เรียกประกายวิบวับจากคนตัวเล็กกว่าได้ทันที

“หวังว่าคงไม่ใช่แผนลวงทำให้ฉันท้องเสียแทนนะบุษราคัม”







“ฮัลโหล” ภีมกรอกเสียงลงไป หลังจากใช้บลูทูธเลยไม่ทันเห็นชื่อว่าใครโทรมา “ภีมครับ”

“ขอโทษทีเมื่อกี้สายซ้อน”

เฮ้! สายซ้อนๆๆ ไม่ต้องย้ำนักได้ไหมคำนี้

เห็นอีกฝ่ายเงียบไป คิริมาเลยออกปากก่อน “สรุปว่าเมื่อกี้นายว่าไงนะ”

“เมื่อกี้ไหน” ภีมยวนอย่างนึกสนุก “ชั่วโมงที่แล้วน่ะหรอ...ช้าไปป่ะคุณ เอ๋ หรือว่าคุยนานเป็นชั่วโมง เอออันนี้ผมก็ลืมคิดไป แล้วนี่...”

ติ๊ดๆๆ




“เฮ้ย!” เขาร้องไม่เบานักเพราะสายของคิริมาขาดไป

หวังว่าคงไม่ใช่ ‘สายซ้อน’ อีกนะ

“น้องปริมคะ...” ภีมหันไปทางคนที่นั่งเบาะข้างคนขับ “ถ้าอาภีมจะขอพาเพื่อนไปด้วย น้องปริมจะว่าอะไรมั้ยเอ่ย?”

“ถ้าเพื่อนอาภีมใจดี น้องปริมก็ไม่ว่าค่ะ”

ชายหนุ่มยิ้มขำ ก่อนจะลูบศีรษะเด็กหญิงเบาๆ อย่างเอ็นดู เอาเป็นว่าคนที่ถูกเอ่ยถึงนั้นถือว่า ‘ใจร้ายอย่างเฉพาะเจาะจง’ ก็แล้วกัน!!






คิริมากดฉับตัดสายด้วยโมโหกับคนกวนประสาท แล้ววางมือถือทิ้งไว้บนโต๊ะ ตั้งใจว่าจะอ่านหนังสือต่อเพราะถ้ารอใกล้สอบอาจไม่ทัน

แต่วันนี้สมาธิเธอแย่กว่าที่เคย อ่านไปไม่ถึงไหนเสียงของรุ่นพี่หนุ่มแวบเข้ามาในความคิด

‘ตอนแรกพี่ว่าจะชวนน้องครีมไปซื้อของให้คุณแม่ แต่พอดีอาจารย์นัดเลคเชอร์เพิ่ม ขอโทษนะครับน้องครีม’

‘พี่เดียร์มาขอโทษครีมทำไมล่ะคะ ไม่เป็นไรหรอก’

‘งั้นพี่ไม่กวนน้องครีมแล้วครับ แค่นี้ก่อนนะแล้ววันหลังค่อยขอไถ่โทษแล้วกัน’

‘ค่ะ ได้ค่ะ บาย’

หญิงสาวถอนหายใจ รุ่นพี่หนุ่มดีกับเธอมากจนไม่รู้จะปฏิเสธเขาอย่างไร คิริมาไม่คิดว่าคนฉลาดอย่างกฤตินจะไม่รู้ว่าเหตุใดช่วงหนึ่งเธอถึงได้ไปไหนมาไหนกับเขาบ่อยๆ ยอมให้ไปรับไปส่ง แล้วอยู่ดีๆ ก็หายจากชีวิตเขาไป

หายไปในช่วงที่การเรียนเขากำลังวุ่นวาย และไม่มีเวลาให้เธอเท่าเก่า

เปล่าเลย...เธอไม่ได้ต้องการเวลาของเขา แต่ต้องการแค่ ‘เวลา’ ที่จะห่างเขาออกมาเท่านั้น

กฤตินดีเกินไป เกินที่เธอจะยึดเขาไว้ด้วยสิ่งที่เรียกว่า...ความอ่อนแอ

ชายหนุ่มเข้ามาในช่วงที่เธอทินกรเริ่มคบกับแฟนที่เป็นดาวคณะ จากที่เคยเจอแค่เวลาซ้อมลีดก็เจอกันบ่อยขึ้น ไม่ยากที่คิริมาจะรู้ว่ากฤตินคิดอะไรกับเธอ ความเอาใจใส่ ห่วงใย และความเป็นคนดีของเขาทำให้เธอตัดสินใจลองให้โอกาสเขาและตัวเองอีกครั้ง

...พร้อมกับความหวังว่าหัวใจเธอจะลืมทินกรไปได้

แต่หัวใจเจ้ากรรมไม่เคยฟัง เสียงพูดของกฤตินไม่เคยดังไปกว่าเสียงซุบซิบเรื่องทินกรกับแฟนสาว ความรู้สึกผิดคอยเกาะกินใจทรยศช้าๆ จนคิริมาต้องหาทางออกโดยการออกจากชีวิตของผู้ชายแสนดีอย่างกฤติน

ทว่ากฤตินนั้นก็ดีแสนดี รู้ทั้งรู้ว่าเธอกำลังจะทำร้ายเขา แต่เขาก็ยังกลับมา ด้วยเหตุผลที่ทำให้น้ำตาพาลจะไหล

‘ในเมื่อน้องครีมยังไม่มีใครและพี่เองก็ไม่มีใคร...ขอโอกาสนั้นให้พี่ได้ไหมครับ ให้พี่ได้ดูแลน้องครีม จนกว่าน้องครีมจะมีคนมาดูแล ถึงตอนนั้นพี่จะไม่รั้งน้องครีมไว้ พี่สัญญา’

คำสัญญาที่คิริมารับรู้จากสายตาของเขา กฤตินหมายความตามนั้นจริงๆ เขาไม่เคยทำให้เธอเสียใจ เมื่อใดที่เธอสับสนกังวลใจ จะมีเขาคอยปลอบและให้คำปรึกษาเสมอ จนบางทีเธอก็ไม่อยากทำร้ายเขาอีกต่อไป แต่...

‘พี่ยังยืนยันคำพูดเดิมเสมอ’







อ๊อดดดดด!!!

เสียงออดหน้าห้องดังจนคิริมาสะดุ้ง ร่างสูงโปร่งรีบเดินแกมวิ่งไปที่ประตู นึกสงสัยเมื่อส่องตาแมวแล้วเห็นว่าแขกคือใคร

“บ้านมีม๊อบหรือไง” เธอถามขณะเปิดประตู แต่ชายหนุ่มไม่ขยับ

ภีมยิ้มกว้างตอบขำๆ “แล้วจะให้ค้างอีกคืนป่ะล่ะ”

“ลามปาม!”

คนมาใหม่หัวเราะจนท้องแข็ง แต่ต้องรีบเอามือยันประตูที่กำลังจะปิดใส่หน้าไว้ “เดี๋ยวดิคุณ ใจร้อนแบบนี้ ไปหาแอร์ดับร้อนกันดีกว่า จะได้อารมณ์ดีขึ้น”

“ห้องฉันมีแอร์...ออกไป”

คิริมาออกปากไล่ไม่ไว้หน้า จะร้ายลึก ร้ายเงียบ ร้ายไม่ซื่อแบบไหนเธอรับได้หมด แต่อย่ามากวนประสาทกันแบบนี้ ปรอทความอดทนของเธอกับคนประเภทนี้มีจุดเดือดต่ำเสียเหลือเกิน

“อย่าใจร้ายกับอาภีมสิคะ” เสียงเล็กๆ ดังขึ้น คิริมาหันขวับ เด็กผู้หญิงโผล่ก้าวออกมาจากข้างหลังร่างใหญ่ “อาภีมอุตส่าห์มาชวน คุณอาคนสวยไปด้วยกันนะคะ”

‘คุณอาคนสวย’ หันไปถลึงตาใส่คุณอาอีกคนที่ยืนยักคิ้วกวนอารมณ์ ก่อนจะยิ้มแห้งๆ ให้เด็กหญิงเพราะไม่รู้จะพูดอะไร

“น้องปริมสวัสดีคุณอาคนสวยหรือยังครับ” ภีมกระเซ้า เรียกสายตาดุๆ ของเธอ ก่อนจะแปรเป็นความอ่อนโยนเมื่อรับไหว้น้องปริม

ร่างสูงย่อตัวลงระดับเดียวกับเด็กหญิง “ชื่อน้องปริมหรอคะ? ...เพราะจังเลย”

เจ้าของชื่อยิ้มรับหน้าบาน ค่อยโล่งอกที่คุณอาคนสวยไม่ได้ดุเธอเหมือนที่ดุอาภีม

“เรียกพี่ครีมแทนได้มั้ยคะ เรียกอาฟังดูแก๊แก่” คิริมาแอบแขวะ

“ไม่ได้ค่ะ” เด็กตอบเสียงฉะฉาน “ก็คุณอาคนสวยเป็นเพื่อนอาภีมนี่คะ ต้องเรียกเหมือนกันสิ”

ป่วยการจะเถียงกับเด็ก คิริมาจิ้มแก้มยุ้ยๆ ของหนูน้อยทีหนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “แล้วน้องปริมจะพาอาครีมไปไหนล่ะคะ”

แม้คำถามจะเจาะจงชื่อเด็กหญิง หากแต่นัยตาคู่สวยตวัดขึ้นสบดวงตาเรียวที่มีประกายระริก คนชอบกวนประสาทยังนิ่งเล่นสงครามสายตากับเธออยู่อย่างนั้น

น้องปริมมองคุณอาคนสวยที อาภีมที ยกมือเล็กกำหัวแกรกๆ แล้วก็ต้องรีบกุมท้องแทบไม่ทันเมื่อมันส่งเสียงดังมาประท้วง

คิริมาละสายตาจากคนตัวใหญ่มาที่ร่างเล็กที่ดูจะอายเหลือเกินกับเสียงแห่งความจริงนั่น

“เข้ามาก่อนดีกว่าค่ะน้องปริม เดี๋ยวพี่ เอ้อ...อาครีมเอาขนมให้ทาน” หญิงสาวจูงเด็กหญิงเข้ามา ปากยังไม่วายแขวะคนที่เดินตามเข้ามาด้วย “อาภีมนี่ไม่ไหวเลย ให้น้องปริมทนหิวได้ยังไงก็ไม่รู้...ใจร้ายเนอะ”

“เปล่าหรอกค่ะอาครีม ความจริงน้องปริมทานข้าวต้มกุ้งของคุณแม่มาแล้ว แต่ว่า...”

“ยังไม่อิ่ม” ภีมต่อให้ ประสานสายตากับเจ้าของห้องที่บัดนี้ดูจะเคืองเขาขึ้นอีกโข โทษฐานที่น้องปริมดูจะเข้าข้างเขามากกว่า

เด็กหนอเด็ก

“งั้นเดี๋ยวอาครีมไปเอาขนมมาให้นะ น้องปริมนั่งรอตรงนี้นะคะ”

ปลายประโยคสั่งคนตัวโตไว้ด้วย ร่างโปร่งเดินเข้าไปในครัวสักพักส่งเสียงกุกกัก เจ้าตัวก็ออกมาพร้อมจานในเล็กลายน่ารักพร้อมกับแก้วนมร้อนๆ

“ขอบคุณค่ะ” หนูน้อยไหว้ก่อนจะรับมา

“ระวังร้อนนะคะ!” คิริมาเตือนแต่ไม่ทัน น้องปริมซดโอวัลตินร้อนเข้าเต็มๆ เด็กหญิงอ้าปากเอามือพัดๆ ตัวเริ่มอยู่ไม่สุขเพราะความร้อน หญิงสาวเห็นแบบนั้นเลยยื่นหน้าเข้าไปใกล้ หญิงสาวห่อเรียวปากก่อนจะเป่าเบาๆ สามสี่ทีใส่ปากที่อ้าอยู่ของเด็กหญิง “หายร้อนแล้วล่ะคะ”

น้องปริมกลืนโอวัลตินเข้าลำคอไป ร่างเล็กกอดอาสาวคนใหม่ใหญ่ “อาครีมเก่งจังเลย เสกให้นมหายร้อนได้ด้วย!”

คิริมาหัวเราะกับจินตนาการของเด็กน้อย ก่อนจะขยับจานลายดอกไม้ไปตรงหน้า “น้องปริมลองทานนี่สิคะ อร่อยนะ”

“แต่คุณแม่บอกว่าขนมทานมากแล้วฟันผุ ไม่เห็นดีเลย”

“งั้นน้องปริมก็ลองทานดูก่อนสักชิ้นดีมั้ย?” คิริมาหว่านล้อม มองคนตัวเล็กที่มองอาหนุ่มทีนึงด้วยสายตาเว้าวอน

“อาภีมอย่าบอกคุณแม่นะคะว่าน้องปริมทานขนมหวาน”

ว่าเสร็จไม่รอคำตอบ แม่หนูน้อยจิ้มทองหยอดลูกกลมเข้าปากเคี้ยวหมับๆ สีหน้าพริ้มเพราด้วยความหวานของมัน

แต่เอ๊ะ...

“อร่อยมั้ยคะ?”

“อร่อยค่ะ หวานด้วย” ตอบพร้อมจิ้มอีกลูกเข้าปาก “แต่ทำไมมันไม่หวานเหมือนขนมเลยล่ะคะ”

“เพราะว่าเป็นน้ำตาลจากผลไม้น่ะสิคะ” หญิงสาวเฉลยไม่กระจ่าง ทำให้ภีมทำหน้างง ก้มลงพินิจเจ้าทองหยอดที่เหลืย่างใช้ความคิด “น้องปริมลองทานดูอีกทีสิคะว่ามันใช่ทองหยอดจริงๆ หรือเปล่า”

เด็กหญิงทำตามอย่างว่าง่าย เคี้ยวตุ่ยๆ สักครู่เลยส่ายหน้าหวืด “ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่ทองหยอด”

“แล้วอะไรล่ะคะ” คราวนี้ภีมถามเสียเองด้วยความสงสัย

“อืม...อะไรน้าน้องปริมคุ้นๆ”

“คิดดีๆ สิคะ น้องปริมต้องเคยทานแน่ๆ” เธอบอก

“อืม...รู้แล้ว!” เด็กหญิงทำท่าดีใจ กระโดดโลดเต้น “แคนตาลูปใช่มั้ยคะอาครีม ใช่มั้ยคะน้องปริมทายถูกมั้ย!”

“ถูกค่ะถูก” เธอตอบยิ้มๆ พร้อมกับทองหยอดปลอมลูกสุดท้ายที่ถูกจิ้มเข้าปากภีมไป “หวานแบบนี้คุณแม่ไม่ว่าแน่ๆ จริงมั้ย?”

“จริงค่ะ คุณแม่บอกว่าทานผลไม้มีประโยชน์ ผิวพรรณจะสวย” เด็กน้อยร่ายยาว “จริงๆ ด้วย สวยเหมือนอาครีมเลย น้องปริมอยากทานอีก น้องปริมอยากสวยเหมือนอาครีม”

หญิงสาวอมยิ้มให้ทั้งคนตัวเล็กและคนตัวโตที่พยักหน้าหงึกหงัก บอกว่าอยากกินอีก เธอเลยเดินไปเปิดตู้เย็นอีกที คว้าขวดโหลที่บรรจุแคนตาลูปลูกกลมไว้ในมือ ถือออกไปข้างนอก

“น้องปริมคะ มันเหลือไม่กี่ลูกเอง ทานให้หมดก่อน แล้ววันหลังอาครีมจะทำให้ใหม่นะคะ”

“สัญญานะคะ”

หญิงสาวยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวไว้กับนิ้วที่ยื่นมาอยู่แล้ว สองนิ้วกลายมาเป็นสามนิ้วเมื่อคุณอาที่กำลังจะถูกลืมยื่นนิ้วก้อยที่ใหญ่กว่ามาเกี่ยวนิ้วทั้งสองไว้

คิริมาถลึงตาใส่อีกคน แต่ภีมกลับยิ้มเผล่ ราวกับจะเยาะเย้ยว่า ‘อย่าเพิ่งดีใจไปคราวนี้เธอก็ไม่ชนะหรอก’

“น้องปริมจะแบ่งอาภีมทานด้วยใช่มั้ยเอ่ย” เขาถาม

“ค่ะ น้องปริมจะแบ่งอาภีม” เด็กน้อยตอบไม่รู้เดียงสา ทำให้ผู้ใหญ่คนหนึ่งหน้างอ ส่วนอีกคนแววตาเป็นประกายขึ้นมาทันที “อาครีมแบ่งอาภีมด้วยนะคะ นะๆๆ”

“ค่ะๆ” สุดท้ายเป็นเธอเองที่ตกปากรับคำหนูน้อยตรงหน้าอย่างเสียไม่ได้







ท่ามกลางอากาศร้อนระอุของประเทศไทย สถานที่ที่ดูจะเดินแล้วสบายใจสบายอารมณ์คงหนีไม่พ้น...ห้างสรรพสินค้า

ร่างเล็กของเด็กหญิงปริมมาเดินพลางกระโดดเหย็งๆ บ้างก็วิ่งไปดูนู่นดูนี่ตามประสาเด็ก มือเล็กหยิบหมวกปีกกว้างสีครีมประดับดอกไม้ดอกโตของผู้ใหญ่ขึ้นมาใส่อย่าแก่แดด

“น้องปริมสวยมั้ยคะอาครีม?”

“สวยที่สุดเลยค่ะ”

ภีมมองอาหลานคู่ใหม่ขำๆ สองสาวต่างวัยดูจะเข้ากันได้ดีเกินคาด ธรรมดาของคนที่อยู่ใกล้เด็กอารมณ์ดีอย่างน้องปริมจะพลอยมีความสุขไปด้วย แม้ว่าคนๆ นั้นจะเป็นคิริมา หญิงสาวที่ไม่เคยยิ้มหรือพูดดีๆ กับเขาอย่างนั้นสักครั้ง

“สวยมั้ยอาภีม”

“สวยสิคะ คนสวยใส่อะไรก็สวย” เขาชม

“งั้นให้อาครีมใส่นะคะ ต้องสวยเหมือนน้องปริมแน่เลย เพราะอาครีมส๊วยสวย” เด็กหญิงพูดเสียงดัง “อาภีมใส่ให้อาครีมหน่อยสิคะ น้องปริมใส่ไม่ถึง”

ยังไม่ทันปฏิเสธหมวกจากศีรษะน้องปริมก็ถูกสวมลงบนศีรษะเธอเสียแล้ว คิริมาพึมพำว่า ‘ยุ่ง’ เบาๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปจัดหมวกบนศีรษะตัวเองให้เข้าที่ ร่างสูงย่อลงระดับเดียวกับเด็กหญิงปริมมา

“อาครีมสวยจริงๆ ด้วยค่ะ” คนถูกชมยิ้มกว้างก่อนจะหุบฉับ “...เนอะๆๆ อาภีม”

คิริมาไม่รอคำตอบ หญิงสาวถอดหมวกปีกกว้างออกแล้ววางไว้ที่เดิม มือเรียวเอื้อมมาจูงเด็กหญิงไว้

“รีบไปดูของให้คุณแม่ดีกว่าค่ะ เสร็จแล้วจะได้หาอะไรทานกัน”

ห้างสรรพสินค้ายิ่งคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนเพราะเป็นตอนเย็นและใกล้วันเทศกาลสำคัญ คนออกมาจับจ่ายซื้อของ บ้างมาคนเดียว บ้างมากับเพื่อน บ้างมากันเป็นครอบครัว

แล้วอย่างเธอนี่เรียกว่ามาแบบไหนดี?

ภาพผู้ใหญ่สองคนถูกจับจูงมือคนละข้างโดยเด็กหญิงตัวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มที่ยืนตรงกลาง ทำให้หลายคนเข้าใจผิด

คิริมาสับถุงในมือไปไว้อีกฝั่ง อาการทะนุถนอมของนั้นเรียกความสนใจของร่างสูงได้ไม่ยากนัก

ภีมเหลือบตามองถุงกระดาษในมือคิริมาเพียงแวบเดียว...ไหนว่าซื้อของใช้ส่วนตัว? นั่นมันถุงกระดาษแบบที่ใช้ในตัวห้าง ไม่ใช่ในซุปเปอร์เสียหน่อย

มีเหตุผลอะไรที่จะต้องโกหก?

เขาส่ายหัวกับความสงสัยของตัวเอง ที่เกือบจะล่วงล้ำอาณาเขตความเป็นส่วนตัวที่คิริมาล้อมกรอบไว้เสียแล้ว ดีที่อีกฝ่ายมัวแต่สาละวนกับถุงของจนไม่ทันสังเกตคิ้วหนาที่เริ่มขมวดเป็นปมก่อนจะคลายออก เมื่อพบความจริงที่ว่า...

ไม่จำเป็นต้องถาม เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่คิริมาจะต้องบอกเขา!

“ลายนี้สวยไหมคะอาภีม?”

น้องปริมหยิบกระดาษลายนางฟ้าสีชมพูหวานแหววขึ้นมา แล้วอธิบายให้ภีมฟังว่าจะซื้อไปทำการ์ดวันแม่ให้มารดาวันพรุ่งนี้ บังเอิญที่พนักงานเดินเข้ามาใกล้ พอได้ยินก็เสนอตัวช่วยหาของประดับตกแต่งเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตากระดาษรูปเด็กตัวเล็กๆ สติกเกอร์ฟองน้ำนูนทรงหัวใจสีชมพู และกากเพชรตกแต่งตามจินตนาการที่ถูกถ่ายทอดของลูกค้าตัวจิ๋ว

คิริมาหยิบกระดาษโน้ตที่ตัวเองเลือกไว้ใส่ในตะกร้า แล้วหันไปหยิบของจากมือหนูน้อยใส่ไว้ด้วยกัน

“จ่ายรวมกันค่ะ” เธอยื่นตะกร้าให้พนักงานสาวที่มองคิริมาซึ่งกำลังหยิบกระเป๋าสตางค์อย่างงงๆ แต่เริ่มเข้าใจเมื่อแบงค์สีม่วงยื่นมาตัดหน้า

“นี่ครับ”

“นี่ค่ะ” บัตรเครดิตของคิริมายื่นแซงมา

พนักงานมองหน้าลูกค้าทั้งสองคนไปมา สถานการณ์แบบนี้มีมาให้เจอบ่อยๆ แต่สุดท้ายฝ่ายหญิงมักจะยอมให้ฝ่ายชายจ่าย แต่กรณีตรงหน้าเห็นจะไม่ปกติเสียแล้ว

ก่อนที่ลูกค้าจะประหัตประหารกันด้วยสายตาสำเร็จ พนักงานสาวเลยพูดออกมาก่อน “ให้คุณผู้ชายจ่ายให้ดีกว่าค่ะ น้องจะทำการ์ดให้คุณแม่นี่คะ เกิดจ่ายให้ก็เหมือนอัฐิยายซื้อขนมยายสิคะ”

‘คุณแม่’ ยืนอึ้งมองพนักงานที่รับเงินชายหนุ่มไป คำพูดเมื่อครู่ทำให้เธอต้องนิ่งประมวลผลอีกที แล้วก็เกือบจะวีนใส่ทั้งพนักงานและคนข้างๆ ที่ยิ้มยียวนให้ แล้วย่อตัวกระซิบอะไรสักอย่างกับเด็กหญิง

น้องปริมเดินมาเกาะแขนเธอ กระโดดเหย็งๆ “อาครีมขา น้องปริมอยากทานไอศกรีม อาครีมพาน้องปริมไปก่อนได้มั้ยคะ เดี๋ยวค่อยให้อาภีมตามไปก็ได้นะๆๆ”

แล้วเธอก็แพ้ลูกอ้อนของเด็กตัวนิดเดียวอีกตามเคย...







เสียงโทรทัศน์ดังตลอดช่วงเช้าจวบจนช่วงเย็นแบบนี้ บุษราคัมเหลือบมองคนที่อยู่หน้าจอแก้วตลอดเวลาอย่างนับถือ นับถือทั้งความอึดของสายตาเขาที่จ้องโทรทัศน์นานขนาดนั้นได้ และนับถือตัวเองที่อดทนไม่หาทางหนีออกไปจากที่นี่เสียที

ไม่ใช่ว่าเธอนิ่งนอนใจ เธอตื่นขึ้นมาสำรวจรอบบ้านแล้วตั้งแต่เช้าตรู่ แล้วก็พบว่าประตูใหญ่ไม่มีแม้ลูกบิด ทุกอย่างเหมือนจะใช้เครื่องยนต์กลไก แต่ไหนล่ะสิ่งที่ใช้ปลดเงื่อนไขกลไกที่ว่า

เมื่อคืนเธอนอนคิดเสียนาน ทำไมเศรษฐจะต้องกุเรื่องขึ้นมาหลอกเธอด้วย เขาได้ประโยชน์อะไรหรือจากเด็กบ้านสวนอย่างบุษราคัม

“ทำไมเงียบไป” เศรษฐถามทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากภาพการชุมนุมโดยคนเสื้อแดงในโทรทัศน์

“ฉันแค่สงสัยว่าคุณหลอกฉันทำไมก็แค่นั้นคุณเศรษฐ”

คิ้วหนาขมวด ก่อนจะเอ่ยถาม “เรื่องอะไร”

“ก็เรื่อง...เจ้าหญิง”

“ฉันไม่ได้หลอก แล้วก็จำไม่ได้ว่าโกหกเธอตอนไหนด้วย!”

“แล้วคุณจะให้ฉันเชื่อหรือไง”

“นั่นก็แล้วแต่เธอ”

“แต่การกระทำของคุณไม่ได้หมายความตามที่พูดเลยนะคะ” เธอเถียง “ทั้งที่ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่เชื่อ คุณก็ยังจะกักตัวฉันไว้อีก”

“การกระทำของฉันสอดคล้องกับเหตุผลเสมอ” เศรษฐเอ่ยเสียงเรียบ

“เหตุผลของคุณ ข้ออ้างก็ของคุณ ทั้งที่มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลย”

“มันเป็นความคิดของเธอ”

“ที่ถูกตีกรอบโดยคุณ” เธอสวน

“นั่นก็เพราะความปลอดภัยของเธอ!”

หญิงสาวนั่งนิ่ง มองเขาอย่างไม่เข้าใจ เศรษฐถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะกดรีโมตปิดโทรทัศน์ ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

“เห็นทีฉันคงต้องอธิบาย แม้ว่า...”

ติ๊ดๆๆๆๆ

ชายหนุ่มหันขวับไปที่เครื่องส่งสัญญาณเสียงที่ร้องดังลั่นไปทั่วห้อง บุษราคัมเห็นเขากดปุ่มอะไรบางอย่างแล้วผนังห้องก็พลิกกลับด้าน เผยให้เห็นปุ่มควบคุมละลานตา หากแต่ภาพที่กำลังฉายในจอใหญ่ทำให้ลมหายใจหญิงสาวสะดุดกึก

ชายชุดดำสี่คนกำลังต่อสู้กับยามเฝ้าใต้ตึกแค่สองคน ฝีมือของสองฝ่ายถือว่าสูสี ทั้งที่ฝ่ายชุดดำดูจะมีชั้นเชิงการต่อสู้ที่แพรวพราวกว่า สังเกตจากการปัดป้องและโจมตีที่ทำได้แข็งแกร่งกว่า แต่ยามรักษาความปลอดภัยที่ดูธรรมดาของบริษัทนี้ก็ดูจะไม่ธรรมดาอย่างที่คิด

ขณะที่เธอละสายตาจากซีรี่การต่อสู้เบื้องหน้าที่แสนจะเข้มข้น เมื่อมียามหนึ่งในสองร่วงลงกับพื้นทั้งที่เธอไม่เห็นอาวุธของฝ่ายผู้บุกรุกเลยแม้แต่น้อย

แววตาที่ชายหนุ่มมองมา พร้อมกับนิ้วที่กดเครื่องอินเตร์คอม เศรษฐสั่งการเสียงเฉียบ

“หมดเวลาเล่นแล้ว...พันกร”

แล้วภาพทั้งหมดก็กลับตาลปัตรเมื่อยามสองคนที่ล้มลงไปตั้งแต่แรกลุกขึ้นยืนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เสียงหัวเราะของผู้ชายดังก้องไปทั่วชั้นใต้ดิน ก่อนที่ผู้บุกรุกจะผงะหันมามองหน้ากันแล้ววิ่งหน้าตาตื่นออกไป

เธอเชื่อว่าตัวเองไม่ได้กระพริบตา ภาพยามสองคนตรงหน้าหายไปจากจอแล้ว

เศรษฐกดอินเตอร์คอมอีกครั้ง “จัดการเรียบร้อยแล้วขึ้นมาหาฉันด้วย”

คราวนี้เขาหันมาหาร่างเล็กที่มองเขาอย่างไม่ละสายตา บุษราคัมตั้งสติสักครู่จึงจะเอ่ยออกมาได้ “ตกลงคุณเป็นมาเฟียหรอคะ”

“อย่าลดยศฉันให้ต่ำขนาดนั้น”

“ก็ถ้าคุณไม่ไปขัดขาใครเข้า ทำไมคนพวกนั้นถึงต้องบุกเข้ามาถึงในนี้”

“ฉันไม่เถียงว่าตัวเองไปขัดขาใครแต่เป้าหมายของการมานี่ไม่ใช่ฉัน สาวน้อย” เขาขยับรอยยิ้มที่มุมปาก “...แต่คือเธอ”

“ฉันไม่เข้าใจ” จะให้เข้าใจว่าเธอไปขัดขาใครเขาเข้าหรือเข้าใจว่าตัวเธอมีราคาค่างวดขนาดจะต้องแย่งกันแบบนี้

“เพราะเธอไม่ฟังฉันอธิบาย มิหนำซ้ำยังรั้นตลอดเวลา”

“ฉันไม่...”

เขาไม่ทันให้คนรั้นปฏิเสธ เพราะเสียงฝีเท้าแม้เงียบกริบแต่เงาสูงไม่อาจลอดพ้นสายตาของเขาได้ “เข้ามา”

บุษราคัมหันไปตามสายตาของเขา บุรุษรูปร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาในห้องก่อนจะโค้งให้เศรษฐและเธอ

“เจ้านาย เจ้าหญิง”

สองเจ้ามองคนมาใหม่ด้วยอารมณ์ที่แตกต่าง ‘เจ้านาย’ ส่ายศีรษะช้าๆ ในขณะที่ ‘เจ้าหญิง’ ส่ายศีรษะเร็วแรง

“พวกมันเป็นใคร”

“คราวนี้ว่าแปลก เป็นคนของเจ้าชายลูกกระจ๊อกแต่คิดจะตีตึกเรา”

“ทำไมคิดอย่างนั้น” เศรษฐถามเหมือนไม่ยอมรับความคิดของคนสนิท “หวังว่าจะมีคำอธิบายดีๆ นะ”

“ตามปกติพวกที่ถูกส่งมาลองดีที่ตึกเราไม่เคยมีพวกกระจอกแบบนี้ ทั้งด้านฝีมือ...แล้วก็สมอง อย่างน้อยเจ้านายมันก็ต้องบอกบ้างแหละว่าตึกเราน่ะไม่ธรรมดา แต่นี่อะไรก็ไม่รู้ เข้ามาได้แค่ลานจอดรถ มิหนำซ้ำยังไม่รู้จักเกมใหม่ล่าสุดของหม่อมฉันอีก” ปลายประโยคหันมาหลิ่วตาให้เจ้าหญิงที่นั่งงงอย่างไม่ปิดบังสีหน้า “เกมส์ใหม่น่ะกระหม่อม...ใช้เทคโนโลยีเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์นิดหน่อย คอมพิวเตอร์กราฟฟิกดีๆ สักนิดก็เรียบร้อย หากเจ้าหญิงทรงสนพระทัย...”

“สนสิ” เสียงใสตอบรับ เศรษฐมองแววตาระริกของเจ้าหญิงยามได้ยินเรื่อง ‘ของเล่น’ ของพันกร “เราเล่นได้ด้วยหรอคุณพันกร”

“ได้สิกระหม่อม แต่ว่า...”

เสียงกระแอมเบาๆ ของท่านเจ้าของห้อง ทำให้เจ้าของเกมส์แอบลอบยิ้ม รู้ทันทีว่าเศรษฐคงไม่อยากให้เจ้าหญิงได้ทดลองเล่นเป็นแน่ แต่ด้วยเหตุผลใดเขาก็สุดที่จะรู้

“แต่ว่าอะไรล่ะคุณพันกร”

“หม่อมฉันอาจจะต้องปรับปรุงเรื่องเครื่องแต่งการอีกสักนิดล่ะสิ แหม...เจ้าหญิงก็ทรงเห็นคนขอฝ่ายเราใส่ชุดยามแบบนั้น ไม่เข้ากับฝีมือเลยใช่มั้ยกระหม่อม”

“อืมใช่ เราเห็นด้วย” คนที่ปฏิเสธยศเจ้าหญิงตลอดเวลารับคำง่ายดาย

“กระหม่อมต้องออกแบบเสื้อผ้าหน้าผมใหม่เสียหน่อย ของเก่าชักล้าสมัยแล้ว”

“คุณพันกรทำเองหมดเลยหรือ?” หญิงสาวคนเดียวในห้องถาม น้ำเสียงบ่งบอกความชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง “เก่งจัง เรายังทำไม่ได้เลย”

“ไม่ขนาดนั้นหรอกกระหม่อม” คนที่เคยแต่ถูกเพื่อนกันซึ่งเป็นผู้ชายทั้งนั้นชม พอเปลี่ยนมาเป็นผู้หญิงนี่มันก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก “เออ แต่ว่าอย่าเรียกหม่อมฉันว่าคุณเลยกระหม่อม รู้สึกแปลกๆ ชอบกล”

“งั้นก็อย่าเรียกเราว่าเจ้าหญิงสิ”

“ก็เจ้าหญิงทรงเป็นเจ้าหญิงจริงๆ นี่หน่า” เจ้าคนพูดราชาศัพท์คำ ธรรมดาคำชักขำ แต่ก่อนที่บุษราคัมจะพูดอะไรได้มากกว่านี้ คนที่นั่งเงียบมานานก็ลุกขึ้น เป็นเชิงเรียกให้พันกรลุกตาม แล้วเดินเข้าห้องทำงานไป แต่ก่อนจะเข้าห้อง ‘เจ้าของเกมส์’ ยังมีอารมณ์ขันหันมาทำหน้าขึง เลียนแบบคนเดินนำให้เธอดูอีกด้วย

บุษราคัมทรุดตัวลงนั่งกับโซฟายาว สามคนแล้วสินะที่บอกเรื่องนิทานเจ้าหญิงให้เธอฟัง แล้วตกลงมันจะเป็นความจริงไหมหนอ?








“ตลกนักหรือไง” เศรษฐถามคนที่เดินตามเข้ามาอย่างนึกฉุน

คนถูกพาลไหวไหล่ ร่างสูงแต่บางกว่าเจ้าของห้องยืนพิงชั้นหนังสือด้วยท่วงท่าสบายอารมณ์ไม่เหลือเค้าความเป็นเจ้านายลูกน้องอย่างที่แสดงเมื่อครู่ เสียงนุ่มตอบอย่างคนไม่คิดมาก “แหงล่ะสิ นานๆ จะมีสาวสนใจฉันมากกว่าแกสักที เล่าให้ฟังใครเขาจะเชื่อ จริงมั้ย...เจ้าชาย”

‘เจ้าชาย’ ส่ายหัว ชินเสียแล้วกับนิสัยขี้เล่นของเพื่อนสนิท

“วันนี้เลยโชว์ฝีมือเต็มที่เลยงั้นสิ”

“อ่ะแน่นอน มีสาวมาดูทั้งทีฉันก็ต้องเล่นบทฮีโร่หน่อย ใครจะเหมือนนายเล่นตีหน้ายักษ์ทั้งวัน ไม่เหนื่อยหรอวะถามจริง”

“เรื่องของฉัน”

“ทำอย่างกับเคยมีเรื่องของแกที่ไม่ใช่เรื่องของฉันอย่างงั้นแหละ ไอ้เพื่อนบ้า” พันกรแยกเขี้ยวใส่ ‘ไอ้เพื่อนบ้า’ ที่มีตำแหน่ง ‘เจ้านาย’ พ่วงเข้ามาอีกหนึ่ง “หงุดหงิดก็อย่ามาพาลกันใส่สิวะ”

เศรษฐมองหน้าเพื่อนสนิท นัยตาสีนิลแทนคำ ‘ขอโทษ’ อย่างที่คนเป็นเพื่อนกันมานานแปลความหมายได้ไม่ยากนัก พันกรโบกมือเป็นเชิงว่าเขาไม่ได้ใส่ใจ

“แกว่าฝีมือใคร ใช้ไอ้กระจอกอย่างที่ฉันบอกหรือเปล่า”

“ฉันว่าคงใช่ แต่นึกไม่ออกจริงๆ ว่าใครส่งมา”

“นั่นน่ะ ถึงไม่รู้ก็ไม่ใช่ปัญหา ฉันเชื่อว่ามันคงไม่กล้าส่งใครมาป่วนอีก อย่างน้อยก็ในเร็ววัน”

“ทำไม”

“ฉันคิดว่ามันคงแค่ต้องการหยั่งเชิงว่าแกได้ตัวเจ้าหญิงมาหรือยัง แต่เป็นไปได้ยากว่ามันจะรู้ว่าแกได้ตัวแล้ว” เขาอธิบาย “ฉันส่งลูกน้องให้ทำลายภาพทุกภาพ สื่อทุกสื่อที่มีรูปเจ้าหญิงแล้ว อาจจะเหลือก็แค่ทางรัฐนิดหน่อย ถ้ามีใครใจกล้าพอจะแย่งของทางการ ป่านนั้นเราก็คงบินกลับอุรัศยาไปแล้ว”

เศรษฐเริ่มเห็นด้วยกับที่เพื่อนพูด ถ้าเรื่องยุทธวิธีการรบเขาคงไม่ด้อยกว่าใคร แต่หากเป็นเรื่องเทคโนโลยีหรืออะไรใหม่ๆ เขาไว้ใจพันกรได้เสมอ

“แต่ฉันพอจะนึกออกแล้วล่ะพันกร ว่าคนที่ส่งพวกลูกกระจ๊อกนั่นมา มันเป็นใคร!”

หนุ่มร่างเพรียวมองหน้าคมเข้มของเพื่อนอย่างไม่ค่อยไว้ใจ ยิ่งนัยตาพราวระยับของเพื่อนสนิทในตอนนี้ ทำให้เขานึกหวั่นแทนคนไม่เจียมตัวเสียจริง

“แล้วมันจะได้รู้ว่าโทษของการลองดีเป็นยังไง!!”







Free TextEditor


Create Date : 30 สิงหาคม 2552
Last Update : 30 สิงหาคม 2552 14:47:11 น. 0 comments
Counter : 701 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

de prince
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เจ้าชายน้อย...
นศพ. = นักศึกษาโพย
หุหุ


♥ นิยายเรื่องจลาจลรักที่ส่งเข้าประกวด
กับสนพ.แนตตี้ ได้อันดับที่ 3 นะคะ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ♥


ปล.ขอบคุณกระดาษโน้ตน่ารักๆ
จากคุณลูกตาลเบอร์รี่(http://tarnberry.bloggang.com)
ด้วยนะคะ






Google
Friends' blogs
[Add de prince's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.