ยินดีต้อนรับสู่คอนโดเล็กๆ ของเจ้าชายน้อยค้าบ มานั่งเล่นนั่งคุยกันก่อนนะ
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
18 กรกฏาคม 2552
 
All Blogs
 
<::จลาจลรัก::> -- บทนำ

 


สวัสดีค่ะ วันนี้ปริ๊นซ์เอานิยายเรื่องใหม่มาฝากไว้ในอ้อมอก อ้อมใจทุกคนค่ะ Smiley
ยังไงก็ฝากนิยายเรื่อง "จลาจลรัก" ไว้ด้วยนะคะ




มีข้อติชมอะไร บอกปริ๊นซ์ได้นะคะ ทุกความเห็นมีค่าเสมอ ติเพื่อก่อ
ผลงานจะได้ออกมาดีค่ะ




Smiley




ที่สำคัญ ต้องขอบคุณทุกๆ คะแนนโหวตด้วยนะคะที่ทำให้จลาจลรักติดอันดับ 1 ใน 3
ของการประกวด Natty Contest    "โครงการค้นหานักเขียนน่ารัก"




(สำหรับตอนนี้กำลังเริ่มรีไรท์ด้วย ลงเหมือนกันหมดค่ะ)




ขอบคุณนะคะที่เข้ามาอ่านกัน หวังว่าจะชอบน้าาา Smiley


 


----------------------------------------------


บทนำ


 


 


                พื้นทางเดินที่ปูด้วยหินสีดำมันปลาบอันเป็นทรัพยากรราคาสูงลิบของประเทศ ‘อุรัศยา’ ที่ได้รับการยืนยันว่าสามารถทนต่อแรงดันได้มากกว่าหินแกรนิตถึง 20 เท่า อาจกำลังถูกพิสูจน์ด้วยพระบาทหลายสิบคู่จากทั่วทุกสารทิศที่ล้วนมีจุดหมายเดียวกันคือพระราชวังเบื้องหน้า



               
ผู้มาเยือนทุกคนล้วนอยู่ในฉลองพระองค์ที่ละม้ายคล้ายคลึง เพราะประดับด้วยเครื่องอิสริยายศแสดงฐานะอันสูงส่ง หากจะต่างก็คงเป็นเพียงโทนสีซึ่งเป็นธรรมเนียมว่าเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์จำต้องมีสีประจำพระองค์ อันถือเป็นของรับขวัญพระราชทานจากกษัตริย์โดยคำทำนายของโหรหลวง

               
“ดูเหมือนว่าผมจะไม่ใช่คนเดียวที่ถูกเรียกนะเนี่ย” เจ้าชายหนุ่มพระองค์เล็กในฉลองพระองค์สีม่วงดอกไลแลคเอ่ยขึ้นเมื่อเร่งฝีพระบาททันบุรุษทั้งสอง “ไม่รู้ว่าท่านพ่อมีเรื่องอะไร เมื่อกี้เพิ่งสวนกับพี่สอง...หน้ามุ่ยมาเชียว สงสัยเพิ่งตื่น”

               
คู่สนทนาผินพระพักตร์กลับมาเพียงเล็กน้อย แต่ยังไม่ลดความเร็วในการเดิน

               
 “มากไปภีม” ตรีธัยตอบกลั้วหัวเราะ แล้วบุ้ยใบ้ไปทางพระเชษฐาหน้านิ่งข้างๆ “น้องชายเขาอยู่นี่ทั้งคน”

               
“โอ้...” ภีมายุกรแสร้งทำท่าตกใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แล้วโคลงพระเศียรเล็กน้อยให้อีกพระองค์ที่ถูกพาดพิง “ขอประทานอภัยพระเจ้าค่ะ”

               
คนถูกล้อทำเพียงตวัดพระเนตรไม่บอกอารมณ์กลับมาให้คนใจกล้า พระพักตร์เรียวรับกับพระนาสิกได้รูป กอปรกับพระเนตรคมกล้าใต้พระขนงหนาเข้ม อาจทำให้คนถูกมองหวาดผวาแม้เพียงเจ้าชายเก้าปรายพระเนตรเย็นเยียบให้ แต่ไม่ใช่กับภีมายุกร เพราะเขารู้ว่าลองถ้า
‘เศรษฐถิรฐายุ’ ไม่พอใจจริง นอกจากพระเนตรดุแล้ว พระโอษฐ์หยักโค้งที่สตรีทั่วอุรัศยาต่างหลงใหลคงสาดวาจาเสียดหูแสลงใจใส่เขาอย่างไม่รอช้า

               
“แล้วนายล่ะภีม...ทำอะไรอยู่?” ตรีธัยตรัสถามพระอนุชา “ฉันว่านายก็คงเพิ่งตื่นล่ะมั้ง กลิ่นไม่ดีเลยนี่”

               
“เฮ้...” คนถูกเหน็บร้อง “อาบตั้งแต่เช้าแล้วฮะ นี่ผมก็เพิ่งถูกตามออกมาจากห้องแล๊ป ยังกลัวอยู่ว่าจะมีคนไปทูลฟ้องเรื่องงานวิจัยของผมหรือเปล่า” ภีมายุกรหลิ่วพระเนตรให้กับพระเชษฐาทั้งสองที่รู้กันว่า
‘งานวิจัย’ ของเขาเป็นงานประเภทไหน

               
ตรีธัยแย้มพระโอษฐ์ “ฉันก็ว่าจะหาเวลาไปทูลเสียหน่อย นับวันยิ่งพิลึกนะห้องแล๊ปนาย”

               
“พี่ก็พูดซะเสียหาย ผมทำเพื่อประเทศครับ งานวิจัยระดับชาติเชียวนะจะบอกให้” ภีมายุกรแก้ แล้วเบี่ยงประเด็นไปหาพระเชษฐาทั้งสองพระองค์แทน “ว่าแต่ผม พี่สองคนนั่นแหละ ผู้ชายตัวติดกันอย่างนี้ ระวังข่าวลือจะยิ่งสะพัดนะครับ รู้ๆ กันอยู่ว่านางกำนัลในวังหูตาไวจนน่าจับไปอยู่หน่วยข่าวกรองแทนผู้ชายเสียอีก” ภีมายุกรเย้า

               
“มันน่าจับมาตัดลิ้นให้หมด”

               
เป็นประโยคแรกที่ออกจากพระโอษฐ์สีสดของคนพูดน้อยที่ยังคงพระพักตร์เรียบเฉยราวกับว่าการตัดลิ้นง่ายดายเหมือนตัดผม พระอนุชาทั้งสองลอบสบพระเนตรกันอย่างขำๆ

               
“แต่ไม่รู้ท่านพ่อมีเรื่องด่วนอะไรนะครับ อ้าว...นั่นพี่หนึ่งนี่”

               
ตรีธัยมองตามไป เห็นว่าเจ้าชายภรัญติกำลังสาวพระบาทไวๆ มาทางนี้เช่นกัน “คงจะเพิ่งออกจากสภามาเหมือนกันล่ะมั้ง...มาจากทิศนั้นน่ะ”

               
“นี่สรุปว่าโดนเรียกมาหมดมั้งฮะ ขนาดท่านรัฐมนตรียังไม่รอดเลย สงสัยจังว่าเรื่องด่วนที่ว่าคืออะไร”

               
มีเพียงตรีธัยเท่านั้นที่พยักพระพักตร์เห็นด้วย เศรษฐถิรฐายุหันมาทันสบพระเนตรเป็นประกายของพระอนุชาพระองค์เล็ก มุมพระโอษฐ์กระดกขึ้นเล็กน้อย สุรเสียงทุ้มตรัสขึ้น

               
“คงเป็นเรื่องเดียวกับที่นายรู้มานั่นแหละ”

               
พระพักตร์ของตรีธัยฉายแววงุนงง ต่างกับภีมายุกรที่โคลงพระเศียรให้คนรู้ทัน ความจริงเขาก็พอจะ
‘แว่ว’ เรื่องด่วนของท่านพ่อมาบ้างแล้ว แต่ไม่คิดว่าเศรษฐถิรฐายุจะรู้ทัน

               
เฮ้อ...เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือเจ้าชายสิบเจ็ดอย่างเขาก็คงมีเจ้าชายเก้าอย่างเศรษฐนี่แหละ

               
พระโอษฐ์ที่กำลังจะตรัสถามว่าเหตุใดพระเชษฐาถึงทราบข่าวมีอันต้องหุบไป เมื่อทั้งสามพระองค์เคลื่อนพระวรกายมาถึงหน้าพระราขวังแล้ว เหล่าทหาร องครักษ์ และขุนนางชั้นสูงออกมายืนเรียงแถวต้อนรับการมาของเจ้าชายทุกพระองค์อย่างพร้อมเพรียง

               
ภีมายุกรลอบถอนพระปัสสาสะ ซ่อนความเบื่อหน่ายไว้ภายใต้หน้ากากเป็นการเป็นงานที่เขาเลือกสวมในวันนี้ เจ้าชายหนุ่มทอดพระเนตรเห็นพระเชษฐาหลายคนที่ท่าทางเคร่งขรึมเอางาน หาใช่ของเทียมแบบเขาแล้วก็อิจฉา ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงเกลียดเรื่องการดูแลบ้านเมืองเหลือเกิน

               
หรือจะพูดให้ถูก คงต้องบอกว่า...เขาเกลียดอำนาจในมือเสียเหลือเกิน

               
หากมันจะต้องแลกมาด้วยคำว่า
‘อิสรภาพ’


 


 


 


                “มากันครบแล้วหรือ” สุรเสียงแหบดังขึ้น องค์ราชันหยัดพระวรกายขึ้นจากพระแท่น โดยมีหมอหลวงคอยดูแลพระอาการไม่ห่าง

               
เศรษฐถิรฐายุทอดพระเนตรภาพตรงหน้าแล้วช่างสะท้อนใจ เนื่องด้วยพระพลานามัยที่ค่อนไปทางไม่สู้ดีนักขององค์ราชัน ทำให้เจ้าชายหนึ่งหรือเจ้าชายภรัญติต้องรับหน้าที่ในการบริหารบ้านเมืองแทน ซึ่งนั่นถือว่าอำนาจเกือบทั้งหมดกำลังจะถูกถ่ายโอนไป แต่โชคดีที่มันเลือกอยู่ถูกคน

               
“ช่วยหน่อยเศรษฐ” องค์ราชันตรัสเรียกเขา พระวรกายสูงใหญ่ค่อยๆ ช่วยประคองผู้เป็นพ่อคนละข้างกับพระเชษฐา...ภรัญติ

               
แม้ว่าเขาจะถูกเรียกเพราะอยู่ใกล้ที่สุด แต่นั่นคงไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ทุกคนเข้าใจ นอกเหนือไปจากว่าเขาเป็น
‘ลูกรัก’ เศรษฐถิรฐายุเบื่อกับคำเรียกขานนี้ รู้ดีว่าทุกอย่างที่ทำไปไม่ได้หวังลาภยศเงินทองใดๆ สิ่งที่ทำลงไปล้วนเป็นสิ่งที่คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘ลูก’ ควรทำให้บุพการียามแก่เฒ่าทั้งสิ้น

               
พระเนตรคมของเจ้าชายเก้าตวัดไปทางปลายแถวเมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกจับจ้องอยู่ เหตุเพราะวันนี้การเรียกพบเกิดที่ห้องบรรทมขององค์ราชัน ทำให้เจ้าชายทั้งสิบเจ็ดพระองค์ต้องยืนแบ่งครึ่งเป็นสองฝั่ง และมันดูจะเป็นเรื่องงี่เง่ามากที่เจ้าชายแปดอย่างชาร์คีจะแสดงอาการไม่พอใจออกมาอย่างเปิดเผยเมื่อคนที่ยืนหลังสุดเป็นตัวเอง และผู้นำอีกแถวเป็นเจ้าชายเก้าเช่นเขา

               
แต่แน่นอนว่าเศรษฐถิรฐายุคิดว่ามันเป็นเรื่องงี่เง่าที่มีมูลความจริงอย่างหาที่เลี่ยงไม่ได้
!!!

               
ความอิจฉาริษยาใช่ว่าสตรีเพศเท่านั้นที่มีได้ ใช่ว่าเหตุของมันคือความรักเหมือนในนิยายเพียงอย่างเดียว ‘อำนาจ’ ก็เป็นต้นเหตุความพินาจย่อยยับของประเทศได้เช่นกัน

               
เจ้าชายเก้าแย้มพระโอษฐ์น้อยๆ ไม่รู้สึกอะไรที่ถูกมองด้วยสายตาที่กลบความเกลียดชังไว้ไม่มิด เขาชินเสียแล้วกับการเติบโตมาในวังที่มีเจ้าชายอีกตั้งสิบหกพระองค์ และขุนนางน้อยใหญ่ที่ถวิลหาอำนาจมาเสริมบารมีจนท่วมหัว

               
แต่สุดท้ายก็เอาตัวไม่รอดกันแทบทุกคน

               
ชีวิตที่ต้องแก่งแย่งชิงดี เหยียบหัวกันขึ้นไปให้ถึงจุดสูงสุดอันแสนหนาวเย็น เขาเข้าใจมันมาตั้งแต่เกิด
หากเพียงจะทำตัวตามน้ำไปหรือไหลทวนน้ำก็เท่านั้น...



 


 


 


                “ที่วันนี้ต้องเรียกพวกเจ้ามาหาก็เพราะมีเรื่องจะขอร้อง” องค์ราชันตรัสขึ้น พระเนตรสิบเจ็ดคู่เพ่งมาที่บุพการี “...เมื่อบ่ายสายทหารของเราส่งข่าวมาว่า”

               
สุรเสียงแหบถูกกลืนหายไปพร้อมกับสายพระเนตรอันเจ็บปวด เจ้าชายหลายพระองค์สบพระเนตรกัน ด้วยเข้าใจว่าอาจมีข้าศึกจากทางเหนือบุกมารบอีกรอบ เพราะอุรัศยาถือได้ว่าเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยเพชรพลอยและของมีค่ามากมาย

               
“รายงานว่าอย่างไรท่านพ่อ ลูกจะได้เตรียมจัดกำลังพลของเราให้พร้อม ขอทรงอย่าได้วิตก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหม่อมฉัน พี่ๆ และน้องๆ เถิด” เจ้าชายหกตรัสขึ้น ทุกพระองค์ต่างพยักพระพัตร์เห็นด้วย เพราะคนพูดคือเจ้าชายเอกการอารักขา “ขอบใจเจ้ามากอารักษ์ แต่ข่าวที่ได้มาไม่ใช่อย่างที่คิด” องค์ราชันตรัสสุรเสียงหนักพระทัย “มีชาวบ้านพบศพบุหงารตี”

               
หลายพระเนตรสบกัน ทุกพระองค์ต่างทราบดีกว่า 


 


 

 
‘พระนางบุหงารตี’ คือพระมเหสีในองค์ราชันพระองค์ก่อน ซึ่งสิ้นพระชนม์เพราะหนีจากการปฏิวัติขององค์ราชันพระองค์ปัจจุบันซึ่งก็คือพ่อของเขานั่นเอง

               
แต่จะมีใครอีกเล่านอกจากเศรษฐถิรฐายุที่ล่วงรู้ว่าความสำคัญของพระนางบุหงารตีว่ามีมากกว่าพระยศพระเชษฐนี แต่หากยังเป็น
‘นางในพระทัย’ ขององค์ราชันองค์ปัจจุบันตลอดมา!!!

               
ความรักที่ต้องเก็บซ่อน ความรัก...ที่ทำให้องค์ราชันไม่คิดจะรักใครอีก แม้กระทั่งแม่ของเขาที่มีตำแหน่งเป็นถึงพระมเหสีในพระองค์
!

               
“มันเป็นเหมือนบาปที่เกาะกินใจของพ่อมานานเหลือเกินลูกทั้งหลาย”

               
เศรษฐถิรฐายุหลุบพระเนตรทอดมองพื้น แม้ว่าการช่วงชิงบัลลังก์ของกษัตริย์จะถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่เขาก็ไม่อยากให้อนาคตตัวเองต้องเป็นเช่นนั้น เขาไม่อยากจะต้องมาเข่นฆ่ากันเองเพียงเพราะอำนาจบังตา บัลลังก์กษัตริย์อันยิ่งใหญ่ สูงเสียดฟ้า และเป็นที่ปรารถนาของทุกคน แต่ข้างบนนั้นเล่าช่างเหน็บหนาวและโดดเดี่ยว ยิ่งเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิตก็มิอาจหลีกพ้นจำต้องละทิ้งอำนาจสูงส่งนั้น มีเพียงเสียงหัวเราะของผู้กระหายในอำนาจคนต่อไปที่จะคอยวนเวียนอยู่ข้างร่างอันไร้วิญญาณ

               
“จะดีไหมกระหม่อม ถ้าเราจะนำขบวนเกียรติยศไปรับพระศพกลับมาทำตามประเพณีของอุรัศยา” เจ้าชายไวยธนา...เอกพิธีการเสนอ “ไม่เกินสามวัน ขบวนแห่อย่างสมพระเกียรติจะถูกส่งไปรับพระศพกลับมาพระเจ้าค่ะ”

               
“แต่กระหม่อมว่า...” เจ้าชายอัคคราขัดขึ้น สุรเสียงก้องกังวาล “มันจะไม่เป็นการรื้อฟื้นความทรงจำของประชาชนหรือพระเจ้าค่ะ”

               
หลายพระองค์เริ่มโอนเอียงตาม หากสุรเสียงนุ่มของเจ้าชายพระองค์สุดท้ายตรัสขึ้นเสียก่อน

               
“หากจะรื้อฟื้น...ก็คงห้ามไม่ทันแล้วล่ะกระหม่อม ป่านนี้เรื่องการพบพระศพคงขยายวงกว้างแล้ว” ภีมายุแย้มพระโอษฐ์ แล้วตรัสเชิงขบขัน “ปากคนห้ามได้เสียที่ไหน...ยิ่งห้ามก็เหมือนเอาน้ำมันไปราดดับกองไฟนั่นแหละ”

               
“กระหม่อมเห็นด้วยกับน้องสิบเจ็ด” เศรษฐถิรฐายุเอ่ยหลังจากเห็นว่าเจ้าชายอัคครามีทีท่าไม่พอใจภีมายุกร เขาไม่ได้ถือหางใคร เพียงแค่เห็นด้วยกับความคิดเท่านั้น “เพราะฉะนั้นเราก็ควรจะนำพระศพกลับมาประกอบพิธีให้สมพระเกียรติ นอกจากจะเรียกศรัทธาจากประชาชนกลับมาได้แล้ว เหนือไปกว่านั้นสิ่งที่พวกเราควรตระหนักคือความสบายพระทัยของท่านพ่อด้วย”

               
สิ้นสุรเสียงทุ้มนุ่ม หลายเสียงก็เอียงกลับมาเข้าข้างเศรษฐถิรฐายุ ยิ่งเมื่อเห็นเจ้าชายภรัญติ
-พี่ใหญ่พยักหน้าอย่างเห็นด้วยระคนชื่นชมด้วยแล้ว ก็คล้ายเป็นการสรุปการถกเถียงเมื่อครู่ให้จบลงอย่างง่ายดาย

               
“ถ้าเช่นนั้น ขอให้ท่านพ่อวางพระทัย ปล่อยเป็นหน้าที่ของกระหม่อมเถิด”

               
องค์ราชันแย้มพระสรวลเล็กน้อย “ต้องฝากเจ้าแล้วไวยธนา เพียงแต่ว่า...”

               
“แต่อะไรพระเจ้าค่ะ?” ไวยธนาเอ่ยถาม

               
“มีอีกเรื่องที่พ่อยังห่วงและไม่อาจนอนตายตาหลับได้”

               
ความเงียบแผ่ปกคลุมหลังจากคำว่า
‘ตาย’ หลุดออกจากพระโอษฐ์ขององค์ราชัน แม้ลึกๆ จะรู้ว่าอาการประชวรของผู้เป็นพ่อนั้นเรื้อรังและไม่อาจหายขาด ได้แค่รักษาแบบประคับประคองอาการเท่านั้น

               
“ท่านพ่ออย่าทรงตรัสเช่นนั้น” เจ้าชายวิวรรธน์เอ่ย แต่ถูกขัดโดยเจ้าชายภรัญติซึ่งคุกเข่าลงทำให้ทุกพระองค์รีบทรุดพระวรกายลงตาม

               
“หากเป็นพระประสงค์ ขอเพียงให้ท่านพ่อสบายพระทัย ต่อให้ต้องพลีชีพ พวกเราก็น้อมรับคำสั่งและพร้อมปฏิบัติพระเจ้าค่ะ”

               
“พวกเราน้อมรับคำสั่ง” สุรเสียงทั้งหมดประสานเป็นหนึ่งเดียว

               
“เรื่องสุดท้ายที่พ่อจะไหว้วาน ก่อนบุหงารตีจะสิ้น นางมีพระประสูติกาลให้พระธิดาขององค์ราชันพระองค์ก่อน ซึ่งก็คือพระเชษฐาของพ่อ ป่านนี้ไม่รู้ว่าพระธิดาจะตกระกำลำบากอย่างไรบ้าง หากพ่อได้มีโอกาสดูแลหรือช่วยได้คงจะดีไม่น้อย” องค์ราชันโบกพระหัตถ์เป็นสัญญาณว่าให้ลุกขึ้นได้ หากทว่าพระเนตรกวาดไปทั่วห้องบรรทม ทันเห็นท่าทางไม่เห็นด้วยของหลายต่อหลายพระองค์ คำตรัสเชิงไว้วานจึงมลายหายไป เหลือเพียงพระบรมราชโองการที่ว่า...

           
“ใครนำตัวพระธิดาของบุหงารตีกลับมาได้ เราจะยกบัลลังก์ให้ผู้นั้นขึ้นครอง
!!!”






Free TextEditor


Create Date : 18 กรกฎาคม 2552
Last Update : 18 กรกฎาคม 2552 17:59:26 น. 2 comments
Counter : 312 Pageviews.

 
"ตอนต่อไปพบกันวันพรุ่งนี้นะคะ" ^^

แง่มๆ ขอโทษนะคะ
ปริ๊นซ์มีปัญหาเรื่องการจัดหน้ากระดาษทุกทีเลย

แก้มาหลายรอบมากๆ
ไม่แก้อกดีกว่า เพราะว่าเด๋วจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่

มีความสุขกับการอ่านค่ะ


โดย: เจ้าชายน้อย (de prince ) วันที่: 18 กรกฎาคม 2552 เวลา:18:06:14 น.  

 

หวัดดีค่ะปริ้นซ์
ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ
ยังไงก็รักษาสุขภาพด้วยเช่นกันนะคะ

วันนี้มี Tori Shinjo มาฝากค่ะ ^_^
เก็บไว้ทานให้เป็นเวลาก็มะเป็นไรละ ^_^





โดย: praewa cute วันที่: 19 กรกฎาคม 2552 เวลา:0:55:47 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

de prince
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เจ้าชายน้อย...
นศพ. = นักศึกษาโพย
หุหุ


♥ นิยายเรื่องจลาจลรักที่ส่งเข้าประกวด
กับสนพ.แนตตี้ ได้อันดับที่ 3 นะคะ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ♥


ปล.ขอบคุณกระดาษโน้ตน่ารักๆ
จากคุณลูกตาลเบอร์รี่(http://tarnberry.bloggang.com)
ด้วยนะคะ






Google
Friends' blogs
[Add de prince's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.