ความดับลงแห่งกองทุกข์ มีได้เพราะการดับไปแห่งความเพลิน
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
23 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 
ปฎิจจสมุปบาท เป็นเรื่องลึกซึ้ง เท่ากับเรื่องนิพพาน





ปฎิจจสมุปบาท เป็นเรื่องลึกซึ้ง เท่ากับเรื่องนิพพาน


..........ดูก่อนราชกุมาร! ความคิดข้อนี้ได้เกิดแก่เราว่า "ธรรมที่เราบรรลุแล้วนี้เป็นธรรมอันลึก สัตว์อื่นเห็นได้ยาก ยากที่สัตว์อื่นจะรู้ตาม เป็นธรรมระงับและประณีตไม่เป็นวิสัยที่จะหยั่งลงง่าย ๆ แห่งความตรึก เป็นของละเอียด เป็นวิสัยรู้ได้เฉพาะบัณฑิต.ก็สัตว์เหล่านี้ มีอาลัยเป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในอาลัย เพลิดเพลินแล้วในอาลัย;สำหรับสัตว์ผู้มีอาลัยเป็นที่มายินดี ยินดีเพลิดเพลินในอาลัยนั้น ยากนักที่จะเห็นสิ่งนี้ คือ ปฏิจจสมุปบาท กล่าวคือความที่สิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัยแก่สิ่งนี้ ๆ (อิทปฺปจฺจยตาปฎิจฺจสมุปฺปาโท); และยากนักที่จะเห็นแม้สิ่งนี้ คือนิพพาน อันเป็นธรรมเป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นธรรมอันสลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความจางคลาย เป็นความดับไม่เหลือแห่งทุกข์. หากเราพึงแสดงธรรมแล้วสัตว์อื่น ไม่พึงรู้ทั่วถึง ข้อนั้นจักเป็นความเหนื่อยเปล่าแก่เรา, เป็นความลำบากแก่เรา".

.......... โอ,ราชกุมาร! คาถาอันน่าเศร้า (อนจฺฉริยา) เหล่านี้ ที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก่อน ได้ปรากฏแจ่มแจ้งแก่เราว่า:-

"กาลนี้ ไม่ควรประกาศธรรมที่เราบรรลุได้แล้วโดยยาก.
ธรรมนี้ สัตว์ที่ถูกราคะโทสะปิดกั้นแล้ว ไม่รู้ได้โดย
ง่ายเลย. สัตว์ผู้กำหนัดแล้วด้วยราคะอันความมืด
ห่อหุ้มแล้ว จักไม่เห็นธรรมอันไปทวนกระแส อันเป็น
ธรรมละเอียด ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก เป็นอณู" ดังนี้.


ยังมีอีกสูตรหนึ่ง๑ ซึ่งมีเนื้อความเหมือนกันกับข้อความข้างบนนี้ แต่เป็นคำกล่าวของพระพุทธเจ้าวิปัสสี นำมาตรัสเล่าโดยพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ ดังต่อไปนี้


..........ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ได้ทรงพระดำริว่า "ถ้าอย่างไร เราพึงแสดงธรรมเถิด" ดังนี้.

..........ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ได้ทรงพระดำริอีกว่า "ธรรมที่เราบรรลุแล้วนี้ เป็นธรรมอันลึก สัตว์อื่นเห็นได้ยาก ยากที่สัตว์อื่นจะรู้ตาม เป็นธรรมระงับและปราณีต ไม่เป็นวิสัยที่จะหยั่งลงง่ายๆแห่งความตรึก เป็นของละเอียด เป็นวิสัยรู้ได้เฉพาะบัณฑิต. ก็สัตว์เหล่านี้ มีอาลัยเป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในอาลัย เพลิดเพลินแล้วในอาลัย; สำหรับสัตว์ผู้มีอาลัยเป็นที่มายินดี ยินดีเพลิดเพลินในอาลัยนั้น ยากนักที่จะเห็นสิ่งนี้ คือ อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท (ปฏิจจสมุปบาทกล่าวคือความที่สิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัยแก่สิ่งนี้ ๆ); และยากนักที่จะเห็นแม้สิ่งนี้ คือนิพพาน อันเป็นธรรมเป็นที่สงบระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นธรรมอันสลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความจางคลาย เป็นความดับไม่เหลือแห่งทุกข์. หากเราพึงแสดงธรรมแล้ว สัตว์อื่นไม่พึงรู้ทั่วถึง ข้อนั้นจักเป็นความเหนื่อยเปล่าแก่เรา, เป็นความลำบากแก่เรา" ดังนี้

..........ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ได้ยินว่า คาถาอันน่าเศร้า (อนจฺฉริยา) เหล่านี้ซึ่งพระองค์ไม่เคยสดับมาแต่ก่อน ได้แจ่มแจ้งกะพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ดังนี้ว่า

"กาลนี้ ไม่ควรประกาศธรรมที่เราบรรลุได้แล้วโดยยาก.
ธรรมนี้ สัตว์ที่ถูกราคะโทสะปิดกั้นแล้ว ไม่รู้ได้โดย
ง่ายเลย. สัตว์ผู้กำหนัดแล้วด้วยราคะ อันความมืด
ห่อหุ้มแล้ว จักไม่เห็นธรรมอันไปทวนกระแส อันเป็น
ธรรมละเอียด ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก เป็นอณู" ดังนี้.






Create Date : 23 สิงหาคม 2553
Last Update : 23 สิงหาคม 2553 17:59:51 น. 11 comments
Counter : 634 Pageviews.

 
สวยคะเข้าบรรยากาศได้ดีทีเดียว


โดย: pim blog ***** IP: 125.26.92.156 วันที่: 23 สิงหาคม 2553 เวลา:20:37:24 น.  

 
ธรรมะเข้าถึงยากจริงๆแต่ก็เป็นก้าวแรกของการก้าวไปสู่นิพพาน เริ่มต้นด้วยศีลและสมาธิโดยใช้ความเพียรพยายามแล้วปัญญาจะมาเอง ปัญญามาเมื่อไหร่ขึ้นอยู่กับบุญที่ทำไว้แต่อดีตด้วย อย่างไรก็ตามการได้เริ่มต้นปฏิบัติก็ถือว่ามีบุญสะสมมาแล้ว


โดย: Chulapinan วันที่: 24 สิงหาคม 2553 เวลา:12:27:26 น.  

 
ขอบคุณมากๆครับ


โดย: Zen Entania วันที่: 25 สิงหาคม 2553 เวลา:10:53:18 น.  

 
tummajuk


ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาติ
ความสิ้นตัณหา ย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง

มีความสุขพร้อมรู้เท่าทันตัณหาทุกขณะจิต ตลอดไป...นะคะ


โดย: พรหมญาณี วันที่: 25 สิงหาคม 2553 เวลา:11:16:58 น.  

 
โอ้โห...คุณ กัลยานนท์ ผมซาบชึ้งใจมากเลยครับ มีสิ่งที่วิเศษสุด ได้ทำการ เดินทาง มายังบ้านผมแล้วอย่างเป็นทางการ โดยรวดเร็วเกินความคาดหมาย ขอ รับ ครับ ท่าน พุทธโฆษนนท์ .......หนังสือมาแล้ว เต็มเลย 55 ปลาบปลื้มใจอย่างเหลือล้น...แล้วทำไม เขียนว่า จาก คุณ นนท์ ส่งมา ล่ะครับ ทำไมไม่ เขียน ว่า จาก ขอทานใหญ่ ล่ะครับ 55.....

...ขออนุโมทนาในกุศลจิต ที่มีเจตนาให้ผู้อื่นได้รู้ธรรม เป็นกุศลกรรม และขอให้เป็นบารมี ในการเป็นปัจจัยทำให้ คุณ ธรรมโฆษนนท์ ถึงฝั่ง พระนิพพาน ใน ทิฐิธรรม ด้วยนะครับ......

...ผมเพิ่งรู้ว่าอย่าสำคัญตนว่าไม่ดี ใช่ไหมครับ เพราะ เราอาจจะบรรลุธรรมก็ได้ ใน ปัจจุบันทันที และ ขณะต่อมา และขณะต่อมาอีก................งั้นขออนุโมทนาครับ......แค่นี้ ก่อนครับ มาบอกว่า เพชรเม็ดงาม ส่งมาถึงแล้วครับหลายเม็ดเลย........

...ผมมีบุญจริงๆที่ได้มาเจอคุณ กัลยานนท์ ไม่งั้นก็ยังคงไป หลงศึกษาสิ่งที่ เพิ่มเติม พะรุงพะรัง เข้ามา ซึ่งไม่ใช่ พุทธวจณ เลยทำให้เสียเวลา และไม่เข้าใจ ตรงและถูกจุดอย่างแท้จริงครับ................


โดย: อะไรกัน 0-> IP: 192.168.1.57, 61.7.186.200 วันที่: 25 สิงหาคม 2553 เวลา:14:41:39 น.  

 
สวัสดี ครับ คุณอะไรกัน

การสำคัญตนว่าไม่ดี ก็เป็น มานะ กิเลสชนิดหนึ่ง ที่ชื่อว่า อตินิปาตะ ก็ อย่าไปคิดว่า เราเลว เราไม่ดี หรือ เราทำดีไม่ได้ เราทำสมาธิไม่ได้ อะไรพวกนี้อะนะครับ เราสามารถ บรรลุธรรมได้ตลอดเวลาหากจิต ไม่มีอกุศล ครับ พอจิตไม่มีอกุศล ก็ ฌานที่ 1 แล้ว ตั้งแต่ฌานที่1ขึ้นไป ก็ สามารถบรรลุธรรมได้ตลอด หาก เห็น อนิจจัง เห็นเกิดดับ ก็ สามารถ เข้าสู่วิมุติได้

ผมยินดีมากน๊ะครับ ที่คุณ อะไรกัน เริ่มจะเห็นความสำคัญของพุทธวัจน มากขึ้น นับว่า สิ่งที่ผมพยามพูด พยามอธิบายไป ไม่เสียแรงเปล่า ผมดีใจมากครับ

ก็ ขออนุโมทนาสาธุ ด้วยครับ ขอให้ได้ดวงตาเห็นธรรม สำเร็จมรรคผลนิพพานในอนาคตกาลอันใกล้นี้เช่นกันน๊ะครับ

สวัสดีครับปอป้า สบายดีน๊ะครับ ขอให้ปอป้า ได้มรรคผลนิพพานในอนาคตอันใกล้นี้ด้วยน๊ะครับ


โดย: จูปีเตอร์เทพแห่งดาวพฤหัส วันที่: 25 สิงหาคม 2553 เวลา:17:27:48 น.  

 
สหาโย อตฺถชาตสฺส โหติ มิตฺตํ ปุนปฺปุนํ
สยํ กตานิ ปุญฺญานิ ตํ มิตฺตํ สมฺปรายิกํ

สหายเป็นมิตรของคนผู้มีความต้องการเกิดขึ้นบ่อยๆ
บุญทั้งหลายที่ตนทำเองนั้น จะเป็นมิตรในสัมปรายภพ

สุข สมหวัง ในทุกสิ่งที่ปรารถนา ตลอดไป...นะคะ




โดย: พรหมญาณี วันที่: 26 สิงหาคม 2553 เวลา:12:41:23 น.  

 
ขอโทษด้วยครับ ผมจะลบ คอมเม้นท์ ผมที่ผมมาตอบซ้ำกัน แต่ดันไปลบ คำถาม ของคุณอะไรกันเข้า แต่ผมตอบให้แล้วน๊ะครับ


โดย: จูปีเตอร์เทพแห่งดาวพฤหัส วันที่: 27 สิงหาคม 2553 เวลา:11:27:50 น.  

 
สวัสดี ครับ คุณอะไรกัน

1. ตามเนื้อความที่ ทรงตรัส ว่า..."ธรรมนี้ สัตว์ที่ถูกราคะโทสะปิดกั้นแล้ว ไม่รู้ได้โดยง่ายเลย. สัตว์ผู้กำหนัดแล้วด้วยราคะ อันความมืดห่อหุ้มแล้ว จักไม่เห็นธรรมอันไปทวนกระแส อันเป็นธรรมละเอียด ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก ถามว่าทำไมเน้นไปที่ราคะ กับ โทสะ ไม่เห็นมี คำว่า โมหะเลย

เราต้องเข้าใจความหมาย ของ คำว่า ราคะ โทสะ โมหะ ก่อน แล้วเราจะเข้าใจคำตอบนี้ ราคะ ก็ คือ ความยินดีพอใจใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมมารมณ์ ส่วน โทสะ ก็ ตรงข้าม กับ ราคะ เลย คือ ไม่พอใจ ใน รูป รส กลิ่น เสียง ฯ

ส่วน โมหะ นี่ คือ ความ หลง หรือ ความไม่รู้ หรือ มันคือ อวิชชา นั่นเอง ทีนี้ ถามว่าทำไม พระพุทธเจ้าเน้นไปที่ ราคะ กับ โทสะ เพราะ มัน เป็นกิเลส ที่ มนุษย์ เห็นง่าย เห็นชัด ส่วน โมหะ นี่ ยากที่คนธรรมดาจะเห็น หรือเข้าถึงมัน มันเป็นตัวสาเหตุของกิเลส ทุกตัวเลยหละ พระพุทธเจ้า จึงยกตัวอย่าง ที่คนพอจะเข้าใจง่ายๆๆพอเลยเน้นไปที่ราคะและโทสะ จะเห็นภาพได้ชัดเจนกว่านั่นเอง

2.คำว่า เมื่อไม่ยึดมั่นอยู่ เธอย่อมไม่สะดุ้งหวาดเสียว ก็ หมายถึง เมื่อผู้ใดไม่มีความยึดมั่นถือมั่นแล้ว ตัวตนผู้นั้นก็จะไม่มี เมื่อตัวตนไม่มี ก็ ไม่มีความกลัวตาย อะไร เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมาก็ไม่ ตกใจ ไม่หวาดสะดุ้ง ไม่กลัว เพราะตัวตน ไม่มีแล้ว นั่นเอง

3. ภิกษุนั้น เมื่อเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า "เราเสวย เวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ" ดังนี้. เมื่อเธอนั้น เสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ ย่อมรู้ประจักษ์ว่า "เราเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ" ดังนี้

คำว่า ที่สุดรอบ หมายถึง จนกระทั่งตาย พระพุทธเจ้าจะสื่อถึงว่า ถ้าเรารู้ ประจักษ์ว่า "เวทนาทั้งหลายทั้งปวง อันเราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแล้ว จักเป็นของ เย็น ในอัตตภาพ ก็หมายถึง เวทนาทั้งหลาย อันได้แก่ สุข ทุกข์ อุเบกขา ถ้าเรารู้ชัดไม่ไปเพลินกับมัน ก็จักเป็นของเย็นในอัตตภาพ คำว่า จักเป็นของเย็นในอัตตภาพ หมายถึง มันก็จะไม่ทำให้เราเกิดความทุกข์หรือ เวทนามันดับเย็น หรือ นิพพานนั่นเอง คำว่า สรีระทั้งหลายจักเหลืออยู่; จนกระทั่งถึงที่สุดรอบแห่งชีวิต เพราะการแตกทำลายแห่งกาย ก็ คือ เราก็ นิพพานในขณะที่เรายังมี สรีระร่างกายอยู่ จนกระทั่งตายไป

นี่ผมแปล ช็อตต่อช็อต ให้ฟังน๊ะครับ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเหมือนบุรุษยกหม้อที่ยังร้อนออกจากเตาเผาหม้อ วางไว้ที่พื้นดินอันเรียบ ไออุ่นที่หม้อนั้นพึงระงับหายไป ในที่นั้นเอง กระเบื้องทั้งหลาย ก็เหลืออยู่

หม้อ ก็ เปรียบเหมือน ร่างกาย ความร้อน เปรียบดังเวทนา พอความร้อนหายไป คือ เวทนาหมดไป หม้อกระเบื้อง หรือ กายนี้ก็ยังเหลืออยู่ ก็คือ หมายถึง จะนิพพาน ในขณะที่ยังมีชิวิตอยู่ นั่นเอง

สรุป ในข้อ 3 ก็คือ ถ้าเรารู้ชัดซึ่ง เวทนา แล้ว ไม่ไปเพลินกับ สุข ทุกข์ อุเบกขา เราก็จะ นิพพาน ใน ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยรวมก็มีความหมายประมาณนี้ครับ

ไม่ทราบว่า ผมแปลให้ฟังยัง งงอยู่ใหมครับ ถ้ายัง งง อยู่ก็ มาถามใหม่แล้วกันน๊ะครับ


โดย: จูปีเตอร์เทพแห่งดาวพฤหัส วันที่: 27 สิงหาคม 2553 เวลา:16:30:10 น.  

 
hello !!! จำเราได้ป่าว


โดย: Thank a lot วันที่: 27 สิงหาคม 2553 เวลา:21:29:16 น.  

 
...โอ้โห เข้าใจแล้วครับ คุณ นน ตอบกระชับ แต่ตรงประเด็นและเข้าใจง่าย อย่างแจ่มแจ้งดีเลยครับ แล้วครับ...

...ราคะ ก็ คือ ความยินดีพอใจใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมมารมณ์ ส่วน โทสะ ก็ คือ ไม่พอใจ ใน รูป รส กลิ่น เสียง ฯ ...เพราะให้เข้าใจง่ายๆๆก่อน เลยเน้นไปที่ราคะและโทสะ...ก่อน

...ส่วนคำว่า ไม่สะดุ้งหวาดเสียว ก็ หมายถึง เมื่อผู้ใดไม่มีความยึดมั่นถือมั่นแล้ว ตัวตนผู้นั้นก็จะไม่มี เมื่อตัวตนไม่มี ก็ ไม่มีความกลัวตาย อะไร เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมาก็ไม่ ตกใจ ไม่หวาดสะดุ้ง ไม่กลัว เพราะตัวตน ไม่มีแล้ว นั่นเอง...

...งั้นขออนุโมทนาครับ ที่ ไม่เป็นบุรุษคนสุดท้าย ตาม พระพุทธพจน์ที่ว่า...

(คุณนนท์ ! ...อุ๊ย โทษทีผมพิมพ์ผิดครับ ต้องเป็น ...อานนท์! ความขาดสูญแห่งกัลยาณวัตรนี้ มีในยุคแห่งบุรุษใด บุรุษนั้นชื่อว่า เป็นบุรุษ คนสุดท้ายแห่งบุรุษทั้งหลาย... เราขอกล่าวย้ำกะเธอว่า... เธอทั้งหลายอย่าเป็นบุรุษพวกสุดท้ายของเราเลย)


โดย: อะไรกัน o-> IP: 118.174.191.249 วันที่: 28 สิงหาคม 2553 เวลา:1:10:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

จูปีเตอร์เทพแห่งดาวพฤหัส
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ดูกรภิกษุทั้งหลาย : บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด ฯ
Friends' blogs
[Add จูปีเตอร์เทพแห่งดาวพฤหัส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.