|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
นรกเพราะไม่รู้ปฏิจจสมุปบาทร้อนยิ่งกว่านรกไหนหมด
นรกเพราะไม่รู้ปฏิจจสมุปบาทร้อนยิ่งกว่านรกไหนหมด
..........ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ! นรกชื่อว่ามหาปริฬาหะ มีอยู่. ในนรกนั้น, บุคคลยังเห็นรูปอย่างใดอย่างหนึ่งได้ด้วยจักษุ แต่ได้เห็นรูปที่ไม่น่าปรารถนาอย่างเดียว ไม่เห็นรูปที่น่าปราถนาเลย; เห็นรูปที่ไม่น่าใคร่อย่างเดียว ไม่เห็นรูปที่น่าใคร่เลย; เห็นรูปที่ไม่น่าพอใจอย่างเดียว ไม่เห็นรูปที่น่าพอใจเลย. ในนรกนั้น,
บุคคลยังฟังเสียงอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยโสตะ แต่ได้ฟังเสียงที่ไม่น่าปรารถนาอย่างเดียว ไม่ได้ฟังเสียงที่น่าปรารถนาเลย; ฟังเสียงที่ไม่น่าใคร่อย่างเดียว ไม่ได้ฟังเสียงที่น่าใคร่เลย; ฟังเสียงที่ไม่น่าพอใจอย่างเดียว ไม่ได้ฟังเสียงที่น่าพอใจเลย. ในนรกนั้น,
บุคคลยังรู้สึกกลิ่น อย่างใดอย่างหนึ่งได้ด้วยฆานะ แต่ได้รู้สึกกลิ่นที่ไม่น่าปรารถนาอย่างเดียว ไม่ได้รู้สึกกลิ่น ที่น่าปรารถนาเลย; ได้รู้สึกกลิ่นที่ไม่น่าใคร่อย่างเดียว ไม่ได้รู้สึกกลิ่นที่น่าใคร่เลย; ได้รู้สึกกลิ่นที่ไม่น่าพอใจอย่างเดียว ไม่ได้รู้สึกกลิ่นที่น่าพอใจเลย. ในนรกนั้น,
บุคคล ยังลิ้มรสอย่างใดอย่างหนึ่งได้ด้วยชิวหา แต่ได้ลิ้มรสที่ไม่ปรารถนาอย่างเดียว ไม่ได้ ลิ้มรสที่น่าปราถนาเลย; ได้ลิ้มรสที่ไม่น่าใคร่อย่างเดียว ไม่ได้ลิ้มรสที่น่าใคร่เลย; ได้ลิ้มรสที่ไม่น่าพอใจอย่างเดียว ไม่ได้ลิ้มรสที่น่าพอใจเลย. ในนรกนั้น,
บุคคลยังถูกต้องโผฏฐัพพะอย่างใดอย่างหนึ่งได้ด้วยกาย แต่ได้ถูกต้องโผฏฐัพพะที่ไม่น่าปรารถนา อย่างเดียว ไม่ได้ถูกต้องโผฏฐัพพะที่น่าปรารถนาเลย; ได้ถูกต้องโผฏฐัพพะที่ไม่น่าใคร่อย่างเดียว ไม่ได้ถูกต้องโผฏฐัพพะที่น่าใคร่เลย; ได้ถูกต้องโผฏฐัพพะที่ไม่น่าพอใจ อย่างเดียว ไม่ได้ถูกต้องโผฏฐัพพะที่น่าพอใจเลย, ในรกนั้น,
บุคคลยังรู้สึกธัมมารมณ์ อย่างใดอย่างหนึ่งได้ด้วยมโน แต่ได้รู้สึกธัมมารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนาอย่างเดียว ไม่ได้รู้ สึกธัมมารมณ์ที่น่าปรารถนาเลย; ได้รู้สึกธัมมารมณ์ที่ไม่น่าใคร่อย่างเดียว ไม่ได้รู้สึก ธัมมารมณ์ที่น่าใคร่เลย; ได้รู้สึกธัมมารมณ์ที่ไม่น่าพอใจอย่างเดียว ไม่ได้รู้สึกธัมมารมณ์ที่น่าพอใจเลย
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้ทูลถาม พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "
..........ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ความเร่าร้อนนั้น ใหญ่หลวงหนอ ..........ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ความเร่าร้อนนั้น ใหญ่หลวงนักหนอ.
..........ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! มีไหม พระเจ้าข้า: ความร้อนอื่นที่ใหญ่หลวงกว่า น่ากลัวกว่า กว่าความร้อนนี้?"
..........ดูก่อนภิกษุ! มีอยู่: ความเร่าร้อนอื่น ที่ใหญ่หลวงกว่า น่ากลัวกว่ากว่าความร้อนนี้.
.........."ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ก็ความร้อนอื่นที่ใหญ่หลวงกว่า น่ากลัวกว่ากว่าความร้อนนี้ เป็นอย่างไรเล่า?"
..........ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า "ทุกข์ เป็นอย่างนี้ ๆ "; ว่า "เหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้ ๆ "; ว่า "ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้ ๆ"; ว่า "ข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้ ๆ";
สมณพราหมณ์เหล่านั้นย่อมยินดียิ่งในสังขารทั้งหลาย อันเป็นไปพร้อมเพื่อชาติชรามรณะ โสกะปริเทวะ-ทุกขะโทมนัสอุปายาส; สมณพราหมณ์เหล่านั้น ครั้นยินดียิ่งในสังขารทั้งหลาย เช่นนั้นแล้ว, ย่อมปรุงแต่งซึ่งสังขารทั้งหลายอันเป็นไปพร้อมเพื่อชาติชรามรณะ โสกะปริเทวะ-ทุกขะโทมนัสอุปายาส;
สมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น ครั้นปรุงแต่งซึ่งสังขารทั้งหลาย เช่นนั้นแล้ว, ย่อมเร่าร้อนเพราะความเร่าร้อนแห่งชาติ (ความเกิด) บ้าง; ย่อมเร่าร้อนเพราะความเร่าร้อนแห่งชราบ้าง, ย่อมเร่าร้อนเพราะความเร่าร้อนแห่งมรณะบ้าง, ย่อมเร่าร้อนเพราะความเร่าร้อนแห่งโสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสบ้าง:
เรากล่าวว่า "สมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมไม่พ้นจากชาติชรามรณะ โสกะปริ-เทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย คือไม่พ้นจากทุกข์" ดังนี้.
..........ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ส่วนสมณหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า "ทุกข์ เป็นอย่างนี้ ๆ"; ว่า "เหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้ ๆ"; ว่า "ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้ ๆ"; ว่า " ข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้ ๆ";
สมณพราหมณ์ เหล่านั้น ย่อมไม่ยินดียิ่งในสังขารทั้งหลาย อันเป็นไปพร้อมเพื่อชาติชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส;
สมณพราหมณ์เหล่านั้น ครั้นไม่ยินดียิ่งในสังขารทั้งหลาย เช่นนั้นแล้ว, ย่อมไม่ปรุงแต่งซึ่งสังขารทั้งหลาย อันเป็นไปพร้อมเพื่อชาติชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาส; สมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น ครั้นไม่ปรุงแต่งซึ่งสังขารทั้งหลาย เช่นนั้นแล้ว, ย่อมไม่เร่าร้อนเพราะความเร่าร้อนแห่งชาติ (ความเกิด) บ้าง ย่อมไม่เร่าร้อนเพราะความเร่าร้อนแห่งชรา บ้าง ย่อมไม่เร่าร้อนเพราะความเร่าร้อนแห่งมรณะบ้าง ย่อมไม่เร้าร้อนเพราะความเร่าร้อนแห่งโลกะ ปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสบ้าง:
เรากล่าวว่า "สมณพราหมณ์เหล่านั้นย่อมหลุดพ้นจากชาติชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย คือหลุดพ้นจากทุกข์" ดังนี้.
..........ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอทั้งหลาย พึงทำความเพียร เพื่อให้รู้ตามที่เป็นจริงว่า "ทุกข์เป็นอย่างนี้ ๆ "; ว่า "
เหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้ ๆ "; ว่า "ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้ ๆ";ว่า "ข้อปฏิบัติเครื่องทำ สัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้ ๆ";ดังนี้เถิด.
Create Date : 03 พฤศจิกายน 2553 |
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2553 15:53:07 น. |
|
26 comments
|
Counter : 557 Pageviews. |
|
|
|
โดย: อะไรกัน IP: 118.174.190.195 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2553 เวลา:22:23:22 น. |
|
|
|
โดย: อะไรกัน IP: 118.174.190.195 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2553 เวลา:22:24:35 น. |
|
|
|
โดย: พรหมญาณี วันที่: 4 พฤศจิกายน 2553 เวลา:11:42:47 น. |
|
|
|
โดย: อะไรกัน !!! IP: 192.168.1.58, 61.7.133.18 วันที่: 5 พฤศจิกายน 2553 เวลา:14:16:53 น. |
|
|
|
โดย: พรหมญาณี วันที่: 5 พฤศจิกายน 2553 เวลา:14:28:16 น. |
|
|
|
โดย: พธู วันที่: 7 พฤศจิกายน 2553 เวลา:10:54:58 น. |
|
|
|
โดย: อย่านะ วันที่: 7 พฤศจิกายน 2553 เวลา:14:26:59 น. |
|
|
|
โดย: พรหมญาณี วันที่: 9 พฤศจิกายน 2553 เวลา:11:55:03 น. |
|
|
|
โดย: พรหมญาณี วันที่: 11 พฤศจิกายน 2553 เวลา:10:49:57 น. |
|
|
|
โดย: อะไรกัน IP: 118.174.190.193 วันที่: 12 พฤศจิกายน 2553 เวลา:0:40:02 น. |
|
|
|
โดย: อะไรกัน !!! IP: 192.168.1.192, 61.7.133.218 วันที่: 14 พฤศจิกายน 2553 เวลา:21:33:39 น. |
|
|
|
โดย: พรหมญาณี วันที่: 15 พฤศจิกายน 2553 เวลา:10:58:09 น. |
|
|
|
โดย: พรหมญาณี วันที่: 16 พฤศจิกายน 2553 เวลา:10:47:34 น. |
|
|
|
โดย: อะไรกัน !!! IP: 192.168.1.58, 61.7.133.204 วันที่: 16 พฤศจิกายน 2553 เวลา:16:21:22 น. |
|
|
|
โดย: อย่านะ วันที่: 17 พฤศจิกายน 2553 เวลา:15:58:23 น. |
|
|
|
โดย: พรหมญาณี วันที่: 20 พฤศจิกายน 2553 เวลา:20:02:56 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ตอบ ถูกต้องครับ ดูลมหายหายใจธรรมดา เมื่อจิตเป็นสมาธิกายสังขารก็จะสงบรำงับไปเอง
2. ทำความรู้สึกในใจ ให้กำหนดรู้อยู่กับ ลมหายใจเข้าและออก เพ่งจิตให้เน้นอยู่กับลมหายใจ เป็นอารมณ์เดียว ไม่คิดอะไรทั้งนั้น นอกจากลม ดูลมเข้าลมออก ก็คือดูจิต ที่กำลังมีลมหายใจเป็นอารมณ์เดียว ให้นานต่อเนื่องไปๆ...แต่ต้องเน้นจริงๆ แบบทุกๆรายละเอียดและทุกๆอณู ของลมเลย...โดยไม่คิดอะไรนอกจากลมเท่านั้นจริงๆ...
ตอบ ถูกต้องครับ
3. พอจิตเริ่มสงบตั้งมั่น อยู่กับอารมณ์เดียวนานมากขึ้น ๆ ก็จะเริ่ม รู้สึก กายโยกโคลงเล็กน้อย คล้ายๆ นั่งอยู่ในเรือลำเล็ก ที่ลอยกระทบคลื่นเบาๆ อยู่ในน้ำ และรู้สึก โหวงเหวงๆ เหมือนเราอยู่ในสภาวะที่ ละเอียดมากกว่าปกติ อย่างเห็นได้ชัด...และ (กำหนดในใจเพ่งจิตให้เน้นอยู่กับลมหายใจเข้าและออกๆแบบเน้นๆ ทุกๆรายละเอียด และ ทุกๆ อณูของลม ควบคู่ ต่อไปๆ เรื่อยๆ )...
ตอบ ที่จริง กายโยกโคลง นั่น แสดงว่า ยังไม่สงบรำงับ จิตมีการปรุงแต่ง กายจึงโยกโคลง
4. จากนั้น พอจิตสงบละเอียดมากขึ้นๆ ก็จะมี (สภาวะของจิตที่ถูกดึงวูบลึกลงไป) อย่างรวดเร็ว เป็น ระยะ ๆ แต่ เกิดขึ้นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ หรือไม่กี่ วินาที แล้วก็จะหายไป พอจิตสงบถึงขั้นนึง (จิตก็จะ ดึงวูบบบบ) ลึกลงไป อีก และก็หายไป สลับกันไปแบบนี้ เป็นช่วงๆ แต่ จะไม่สามารถทรง สภาวะนั้น ให้คงอยู่ได้...และเราก็ (กำหนดในใจเพ่งจิตให้เน้น อยู่กับลมหายใจเข้าและออกๆควบคู่ ต่อไปๆ แบบทุกๆอณู และ ทุกๆรายละเอียด ของลมหายใจ เลยทีเดียว )...
ตอบ อืม ครับ ให้พลิกมาเป็นมุมปัญญา หรือ วิปัสนา ว่า มันไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลง เกิดดับ แล้ว แต่มันจะเกิดอะไรขึ้น ก็ ไม่ต้องไปสนใจ ให้ดึงจิตกลับมารู้ลมอย่างเดิม
5. พยายาม (กำหนดในใจเพ่งจิตให้เน้นอยู่กับลมหายใจเข้าและออกๆ แบบเน้นๆ แบบทุกๆอณู และ ทุกๆรายละเอียด ควบคู่ ต่อไปๆ) เพื่อ ให้จิต สงบไปถึง ระดับ ที่บอกว่า (สภาวะของจิตที่ถูกดึงวูบบบ ลึกเข้าไป) และพยายาม เพ่งจิตให้สงบมากขึ้น เพื่อให้ (สภาวะของจิตที่ถูกดึงวูบบบ ลึกลงไป) นั้น เกิดบ่อยๆ หลายครั้ง จะเป็นตัวสะสม ใว้เรื่อยๆ มันจะสะสมโดยที่เราไม่รู้ตัว...ตรงนี้เป็นตัวสำคัญ...ที่เราจะรู้สึกว่า ไม่เคยทรงใว้ได้สักที ก็จะเกิด ท้อถอย เลิกทำไปเลย เพราะรู้สึกว่าไม่ก้าวหน้า แต่ทุกครั้ง ล้วนสำคัญยิ่ง เหมือน น้ำ 1 หยด ก็สำคัญ ที่ทำไห้น้ำเต็มแก้ว...
ตอบ ถูกต้องครับ มันเป็นการสั่งสมบารมี การรู้ลมหายใจ แม้นชั่วเพียงลัดนิ้วมือเดียวก็ เป็นผู้ไม่เหินห่างจากฌาน ทำไปเถอะครับ สั่งสมไปเรื่อยๆเดี๋ยวบารมีเราเต็มเอง
6. และพอสะสม (สภาวะของจิตที่ถูกดึงวูบบบ ลึกลงไป) ซึ่งแต่ละครั้ง จะเกิดเพียงสั้นๆ วูบเดียว หรือ2-3 วินาที และ พอสะสมได้ หลายๆครั้ง ไปเรื่อยๆ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า มันทรงใว้ไม่ได้ แต่จริงๆแล้ว แต่ละครั้งมันจะสะสมใว้ โดยที่เราไม่รู้ตัว พอไปถึงจุดที่มัน อิ่มตัว หรือ แก่รอบ หรือเต็มแล้ว มันก็จะทรงและรักษา สภาวะนี้ใว้ได้ ก็จะเป็น สภาวะที่ ทรงพลังจิตนั้นใว้ได้ หรือเรียกว่า ได้ฌาณขั้นที่ 2 (ทุติยฌาน) นั่นเอง...
ตอบ เครื่องวัด ของทุติยฌาน คือ วิตกวิจาร ดับ คำพูดในใจดับ ไม่คิดพิจารณาธรรมต่างๆแล้ว ปิติ สุข อุเบกขา ยังคงเหลืออยู่
7. สภาวะ ของการ ทรงพลังจิต นี้ใว้ได้นี้ เป็นสภาวะ ที่แตกต่างกันกับการที่ไม่ได้ ทรงพลังจิต อย่างเห็นได้ชัด มันเป็น สภาวะหรือพลังบางอย่าง เกิดขึ้นมามีผลต่อจิตใจเรา คือ เป็น ( สภาวะหรือพลังบางอย่าง ที่มาหน่วงเหนี่ยวจิตใจเรา ให้ตรึงอยู่กับมันตลอด ) เป็น สภาวะ ที่เราแยกออกได้ชัดเจนว่า มันเป็นพลังที่ มามีผล ทำให้จิตเรา แข็งแรง มีกำลัง...
ตอบ เมื่อจิตเป็นสมาธิ ย่อมมีกำลัง
8. ขณะที่ เรา ปราถนา และ ยินดีพอใจ ที่จะทรง พลังของสภาวะนั้น และ พยายาม ทรงมันใว้ไปเรื่อยๆ ขณะนั้น จะไม่มีความรู้สึกที่ อยากจะ ไป ดูรูปสวยๆ ฟังเสียงเพราะๆ กินอาหารอร่อยๆ หรือสำผัสอะไรทั้งนั้น...เพราะ เรามีพลังหรือสภาวะนั้น ที่มาช่วยทำไห้จิตใจเรา แข็งแรง ซึ่งจิตใจเรา กับสภาวะนั้น เราแยกออกได้อย่างชัดเจนว่า มันไม่ใช่เรา แต่มันเป้นสภาวะที่ เกิดขึ้นมาช่วยให้จิตเราแข็งแรง...
ตอบ เพราะ ในระดับ ฌานที่หนึ่ง อกุศลดับ ความคิดที่อยากจะไปดูรูปสวยๆเสียงเพราะฯลฯ จึงไม่มี
9. สภาวะนั้น เปรียบเทียบ เป็นเหมือน แม่เหล็ก ที่มีแรงดึงดูด คือ ดึงดูดจิตใจเราใว้ไห้ทรงอยู่กับมันต่อไปเรื่อยๆ แต่ ถ้าเรา เห็นรูปสวย เสียงไพเราะ กลิ่นหอม ลิ้มรสของอร่อย สำผัสที่สบาย หรืออาจจะเป็น มุมตรงกันข้าม ที่เป็น (พยาบาทนิวรณ์) และ (อุธจะกุกกุจจะ) ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ นั้น จิตใจเราก็สามารถที่จะ ออกไปหานิวรณ์ธรรมได้ตลอดเวลา...แต่ (วิจิกิจฉา) ความลังเลสงสัยนั้น ตัดออกไปได้เลย เพราะเรากำลังเสวยผลอยู่ก็ จะไม่มีความสงสัยว่า ได้ผลจริงไหม และ (ถีนมิธทะ) ก็ตัดออกได้เช่นกัน เพราะ กำลังเสวยผลอยู่ ก็ยิ่งมีความเพียรทำต่อ จะไม่หดหู่ท้อถอย...
ตอบ ถูกต้องครับ
10. แต่ขณะที่ จิตใจเรา เห็นรูปสวย เสียงไพเราะ กลิ่นหอม ลิ้มรสของอร่อย สำผัสที่สบาย หรือนิวรณ์5 ทั้งหมดนั้น มาเกิดในจิต เรา เราก็อาจจะออกไป คิด หรือ เพลินในนิวรณ์ธรรมได้อีก ตลอดเวลา...แต่ จะมี สภาวะหรือพลัง นั้น มาหน่วงเหนี่ยวจิตเราไห้ตรึงอยู่กับมัน ตลอด คือ นิวรณ์ธรรม เหล่านั้น จะถูกอำนาจของ สภาวะหรือพลังที่เรากำลังทรงมันใว้ได้นั้น ดึงจิตเราไห้กลับไป ตรึงอยู่กับมัน เพราะ มันเป้นเหมือนแม่เหล็กที่มีกำลังมากกว่ากำลัง ของ นิวรณ์ นั่นเอง...หรือเปรียบเหมือน เล่น ชักเย่อ คือ 2 ฝ่ายดึงเชือกกัน ฝ่ายใดมีกำลังอ่อนกว่าก็แพ้คือถูกดึงไป ถ้าฝ่ายใดมีกำลังมากกว่า ก็สามารถ มีกำลังในการ ควบคุม สิ่งนั้นใว้ได้ และไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของมัน นั่นเอง...
ตอบ ถูกต้องครับ
11. ขณะที่ทรง (สภาวะหรือพลัง) อยู่นั้น ถ้าจิตเราเผลอไปคิดเรื่องอื่น หรือเพลินไปกับ นิวรณ์ นานๆ โดยลืมนึกถึงสภาวะนั้นใว้ ไป ช่วงนึง สภาวะนั้น มันก็จะหลุด และคลาย หายไป แต่ถ้านึกถึงและควบคุมมันใว้ ตลอด มันก็จะอยู่ได้ตลอด โดยที่ ก็จะสามารถทำงาน และทำอะไรในชีวิตประจำวัน ได้ตามปกติ ถ้าไม่ลืมนึกถึงมันและพยายามทรงมันใว้ตลอด...
ตอบ ถูกต้องครับ แต่เมื่อจิตเราเผลอไป เมื่อมีสติระลึกรู้ ก็ ให้ดึงจิตกลับมาที่กาย หรือ ลมหายใจ ให้ไวที่สุดและพยายามทรง อารมณ์นั้นไว้ อย่าให้จิตหลุดไปอีก
12. ขณะที่ทรง (สภาวะหรือพลัง) อยู่นั้น เราจะรู้ได้อย่างชัดเจนว่า มัน แนบแน่น หรือเบาบาง ขนาดไหน เช่น มัน หนาแน่นกี่ เปอร์เซ็นต์ ถ้ามาก ก็ 100 % หรือน้อย เบาบางลงก็ 80% 50% 30% 10% หรือเกือบ หลุดออกแล้ว หรือ หลุดออกแล้ว เราก็จะรู้ได้ชัดเจน ว่าเรากำลังมี(สภาวะหรือพลัง) นั้น มาหน่วงจิตใจเราใว้ มากน้อยแต่ไหน...
ตอบ ก็ ดูมันว่า มันจางคลาย แล้วก็ดับ ให้เห็นโทษว่ามันดับไปได้
13. ขณะที่ทรง (สภาวะหรือพลัง) อยู่นั้น ถ้า มันเบาบางมากๆ จนรู้ได้ว่า เกือบหลุดแล้ว พลังจิตนั้น มันกำลังจะหายไปจากจิตเราแล้ว ก็แค่ กำหนดในใจให้รู้ลมเข้าลมออก แบบเน้นๆ คือ ต้องเน้นจริงๆ แบบไม่รู้อะไรเลยจริงๆ รู้แค่ลมเท่านั้น แบบทุกรายละเอียด และ ทุกอณู เลย เพียงแค่ ครั้งเดียว มันก็จะดึงให้ (สภาวะหรือพลัง) นั้น หนาแน่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด...แต่ถ้าให้ มั่นคง ก็จะ ต้อง กำหนดในใจให้รู้ลมเข้าลมออกแบบเน้นๆ ประมาณ 3-5 ครั้ง แค่นั้น ก็จะแนบแน่นขึ้นมาอีก ได้ถึง 80% เลย...
ตอบ ก็ ใช้ได้เหมือนกัน ไม่ได้ผิดอะไรครับ พยายามให้จิตอยู่กับลมหายใจเข้าไว้
14. หลังจากที่ออกจาก (สภาวะหรือพลัง) นั้นแล้ว และ ต้องการทำใหม่ในครั้งต่อไปจะง่ายขึ้น เช่น ครั้งแรก อาจจะใช้เวลา 30 นาที ครั้งต่อมาก็จะ ใช้เวลาน้อยลงมาเรื่อยๆ จนถึงแค่ 3 นาที เช่น (ทำความรู้สึกในใจให้รู้ลมเข้าลมออก แบบเน้นๆ คือ ต้องเน้นจริงๆ แบบไม่รู้อะไรเลยจริงๆ รู้แค่ลมเท่านั้น แบบทุกรายละเอียด และ ทุกอณู เลย) ทำแบบนี้ต่อเนื่องไป แค่ 3 นาที ก็สามารถทรงพลังนั้นใว้ได้แล้ว หรือถ้า รู้ลมแบบ ไม่ค่อยต่อเนื่อง อย่างมากก็ไม่เกิน 5 นาที ก็จะ ทรงใว้ได้...
ตอบ เมื่อ เราทำความรู้จัก กับมันแล้ว ต่อไป ก็ จะทำได้ง่าย เนื่องจาก มันเป็นสัญญา ที่เราจำได้
15. หลังจาก ใช้เวลา ประมาณ 5 นาที ในการเจริญสมาธิ เพื่อที่จะให้ได้ (สภาวะหรือพลัง) นั้น พอได้แล้ว ก็ไม่จำเป้นต้อง กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกอีก ก็ให้นึกถึง หรือ เพ่งอยู่กับสภาวะที่เรียกว่า (ปีติ) นั้น และควบคุมมันใว้ ไปเรื่อยๆ และ ฌาณขั้นที่ 2 นี้ จะมีผลจิตใจ เราอย่างเห็นได้ชัด เหมือนกับมี (สภาวะหรือพลัง) อะไรบางอย่างที่บอกไม่ถูก นั้น มา แผ่ ซาบซ่าน หน่วงเหนี่ยวจิตใจเราให้ตรึงอยู่กับมัน นั่นเอง..
ตอบ แสดงว่านี่เข้าสู่ ฌานที่สองแล้วครับ วิตก วิจาร ดับไปแล้ว ส่วนอาการที่ว่ามานั้น คืออาการของปิติ ครับ.
16. และ ต่อไป พอจะขึ้น ฌาณที่ 3 ก็ให้ (ทำความรู้สึกในใจให้รู้ลมเข้าลมออกๆ ควบคู่ไปกับการทรงสภาวะหรือ(ปีติ) นั้นไปเรื่อยๆ...พอ จิตเริ่มรู้สึก หวิวๆ คล้ายๆ อาการ เปรียบเหมือนจะเผลอ คล้อยหลับ หรือเบลอๆไป แต่มีสติสัมปชัญญะตลอดเวลา และ ร่างกาย เหมือน ถูกดูด หรือ เหมือน ตกจากที่สูง จากนั้น จิตจะ แนบแน่น ตั้งมั่น เป็นอย่างมาก ถึงฌาณที่ 3 (ตติยฌาน) ก็จะมี (สภาวะหรือพลัง) เหมือนกับที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนั้น แต่ว่า จะ แนบแน่นมากกว่า ฌาณที่ 2 ประมาณ 5 เท่าตัว และข้อแตกต่างที่เห็นชัดเจนก็คือ ระดับนี้ จะมีผลต่อร่างกายมากขึ้นมา อย่างเห็นได้ชัด คือมี (สภาวะหรือพลัง) นั้น มา แผ่ซาบซ่านอยู่ที่ร่างกายเราอย่างรู้สึกได้ชัดเจน คล้ายๆอาการชาไปทั้งตัว ละลมหายใจจะแผ่วลงมาก...
ตอบ ดูเหมือน ปิติ ยังไม่ดับ แต่ลมละเอียดมากขึ้น ถ้า ปิติยังไม่ดับ ก็น่าจะอยู่ที่ ทุติยฌานอยู่ น๊ะครับ
17. ข้อแตกต่างต่อไปคือ จะทำให้รู้สึกว่า ตัวเบา สบาย แต่เป็นการเบา ที่เป็นเหมือนมีพลัง คล้ายกับ เวลาที่เราดู (หนังจีนกำลังภายใน เวลาฝึกพลัง จะมี พลังแผ่ซ่านอยู่รอบตัว) อะไรประมาณนั้น คือ จะมีความรู้สึกว่า พลังนี้ มันมาฉาบทา หรือครอบคลุมร่างกายเราใว้ คล้ายกับว่า เราดำอยู่ในน้ำ หรือถูกฝังอยู่ในดิน อะไรประมาณนั้น มันจะมี (สภาวะหรือพลัง) นั้น มา แผ่ซาบซ่าน อยู่ในร่างกายและผิวกาย และทำให้เรามีความสุข อยู่กับสภาวะนี้ ตลอดเวลา.....
ตอบ น่าจะยังเป็นอาการของปิติอยู่ ครับ
18. ในขณะที่อยู่ใน สภาวะที่รู้สึกว่า เป็น ( สภาวะของพลังบางอย่าง ที่มาหน่วงเหนี่ยวจิตใจเรา ให้ตรึงอยู่กับมันตลอด ) นั้น เราจะมีสติสัมปชัญญะ อยู่ตลอด และทำความรู้สึกว่า นี่คือ ประโยชน์ ในการที่ จิตเรา อยู่ในสภาวะที่ สงบตั้งมั่น และปลอดภัยจาก (หมู่มาร นิวรณ์ธรรม) แต่ก็ยังมี ความ เพลิน ยินดี พอใจ และ ปราถนา ที่จะอยู่ในสภาวะ นี่ ต่อไป ซึ่งเราก็จะมีสติรู้ได้อยู่ตลอดว่า เป็นการเพลิน อยู่ในส่วนของ ธรรมารมณ์.....นั่นเอง...
ตอบ พยายายาม ละ ความเพลิน ครับ อย่าไปยินดียินร้าย กับสภาวะต่างๆที่กำลังปรากฎ เพราะ เดี๋ยวมันก็ดับไป ให้จิตอยู่กับ อุเบกขา หรือ รู้ลมหายใจเข้าไว้
(((...และเราก็จะรู้อยู่ตลอดเวลาว่า เหตุผลในการเจริญสมถะ นี้ เบื้องต้น ก็เพื่อ เหตุผล 2 ประการ คือ...)))
1. เพื่อให้จิตตั้งมั่นมีกำลัง นำไปใช้ในการเจริญวิปัสนาได้อย่าง มีประสิทธิภาพ มากกว่า
ตอบ ถูกครับ
2. เพื่อ เป็นวิหารธรรม เครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ให้เราได้ลิ้มรสความสุข ที่ดีกว่าความสุขแบบ กามคุณอารมณ์ เพื่อ นำไปสู่การ เบื่อหน่าย และคลายความกำหนัดใน กามคุณอารมณ์ ออกเสียได้ เหมือนกับไห้เราได้ พบ สิ่งที่ปราณีตกว่า และ เริ่มเบื่อหน่ายต่อ สิ่งที่หยาบกว่า และไม่อยากกลับไปหามัน ต่อไป นั่นเอง...
ตอบ ถูกต้องครับ อนุโมทนา สาธุ ครับ