Norway - Day 1 เดินทาง เดินทาง เดินทาง
เราเริ่มเดินทางวันที่ 8 กุมภาค่ะ (และเริ่มเขียนบันทึกวันที่ 14 แหะๆ ก็เก๊าเพิ่งนึกอยากเขียน )ระยะทางบินเป็นดังนี้ San Fran --> Washington DC --> Copenhagen, Denmark --> Bergen, Norwayและเนื่องจากเดินทางไปยุโรปครั้งแรก เราไม่แน่ใจเลยอ่ะค่ะ ว่าเราจะต้องผ่านตรง passport control ตรงไหน ที่ Denmark เพราะเป็นประเทศแรกใน Schengen ที่ไปถึง หรือที่ Norway ซึ่งเป็น final destination จริงๆ (search ที่ไหนก็ไม่เจอเลยแฮะ)[สิ่งนึงที่แอบสังเกตคือ เราว่าจำนวนคนเอเชียที่เจอ ลดลงไปตามระยะทางอ่ะค่ะ แบบซานฟรานก็รู้กันอยู่แล้วอ่ะนะ ว่าฝรั่งน้อย 5555555 พอมา DC ก็คนเอเชียบ้างประปราย จากนั้นที่เดนมาร์กนั่นแหละ ที่เราเริ่มรู้สึกเหมือนมันแปลกที่จริงๆ มองไปในก็มีแต่ฝรั่งตัวใหญ่ๆ เต็มไปหมด (แหมมมม กรูก็ใช่ว่าตัวเล็กอ่ะนะ :p) และในเครื่องที่นั่งมา Bergen ด้วยแร้น อิชั้นเป็นคนเอเชียหัวดำคนเดียวจริงๆ เลยค่ะ -- แต่ก็นั่นแหละ เครื่องมันเล็กอ่ะนะ 555555]กลับมาเรื่อง passport control หลังจากที่ลงเครื่องที่ Denmark เราก็เดินๆๆๆๆ มุ่งหน้าสู้ gate ที่จะต้องต่อไป Norway ค่ะ ระหว่างทางก็มีซุ้มๆ นึง มีแถว 2-3 แถว เขียนว่า EU passport กะ All passport อิชั้นก็เดินไปต่อแถวทันที ระหว่างนั้นก็สังเกตว่าแถวมันเลื่อนไปเร็วมากกกกกกกกก (ถ้าใครเคยไปอเมริกา จะรู้ว่าแถว all passport ของเค้ามันช้ามากกกกก ถึงมากที่สุด)ด้วยความที่บอกแล้วว่ามีแต่ฝรั่ง เราก็ assume ว่า คนที่ผ่านไปไวๆ นั้น เค้าน่าจะถือ passport อเมริกัน หรืออะไรก็ตามที่มี privilege แหะๆพอมาถึงเรา ยื่น passport ไทยให้ไป เค้าเปิดหาวีซ่า แล้วปั๊มๆ แล้วคืนมาทันที แค่นั้นจริงๆ ค่ะ อิชั้นถึงกะงงไปชั่วขณะเอาจริงๆ ตอนนั้นคิดว่า เดี๋ยวไปถึงนอร์เวย์ อาจจะต้องผ่านตม.อีกที ตรงที่เค้าจะต้องถามว่ามาทำอะไร อยู่กี่วัน blah blah blah ง่ะแต่เปล่าเลย พอถึง Norway หยิบกระเป๋าได้ ก็เดินออกมาเลยค่ะ นี่การเข้ายุโรปมันง่ายขนาดนี้เลยเหรอเนี่ยยยยยยยยยยย (ก็บอกแล้วว่าไม่เคยมา )พอมาถึง คุณมาร์ติน (คนที่เชิญเรามา) ก็มารอรับอยู่แล้วค่ะ ระหว่างทางไปมหาลัย เค้าก็เล่าไปเรื่อยๆๆๆ เริ่มจากบอกว่า ไม่ต้องกังวล คนนอร์เวย์พูดภาษาอังกฤษได้ทุกคน (ตอนนั้นคิดในใจว่า...แล้วกรูล่ะ )คือแบบภาษาอังกฤษของเราก็ประมาณสื่อสารได้อ่ะนะ (ถึงจะเรียนมา 6 ปีก็ตาม แป่ว) แต่นั่นมันคือประเทศเจ้าของภาษาง่ะ ถ้าต้องใช้ภาษาอังกฤษแบบป่วยๆ ของเราในประเทศที่เค้าไม่ได้พูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก มันก็แอบหวั่นๆ ลองนึกภาพถ้าฝรั่งมาพูดไทยกะเรา เราก็รู้เรื่องใช่ป่าวคะ เพราะเราจะเดาได้ว่าเค้าต้องการจะสื่อสารว่าอะไร แต่ถ้าลองให้ฝรั่งจาก 2 ประเทศ มาพูดไทยใส่กัน มันก็คงจะแอบงงงวยเล็กน้อย อะไรประมาณนี้....มาถึงวันแรก เที่ยงวันศุกร์ค่ะ ก็เข้าไปดูอพาร์ทเม้นท์ ต้องแชร์กะคนอื่นอีก 2 คน แต่จริงๆ มีคนอื่นอีกคนเดียวเอ๊งงงงง (ตอนแรกยังไม่เจอ) อีกห้องว่าง หลังจากเค้าให้กุญแจ ชี้ทางไปร้านขายของชำ และ แนะนำอะไรคร่าวๆ แล้ว เค้าก็ปล่อยเราไปตามอัธยาศัยค่ะ จัดเจอกันอีกที วันจันทร์ นั่นก็เท่ากับว่าเรามีเวลาว่างๆ 2 วันครึ่งกันเลยทีเดียว!!!!!........ภารกิจแรกที่ทำคือ...หาซิมโทรศัพท์คือก็ไม่ได้กะว่าจะมีใครโทรมาหาหรอกนะคะ 5555555 แต่คิดว่ามีไว้ก็ดี จะได้อุ่นใจ (และถ้าสามารถอัพ ig ได้ตลอดเวลา นั่นคือโบนัส )และแล้วเราก็จัดการ กางแผนที่ เดินเท้าเข้าไปในเมืองค่ะBergen เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของนอร์เวย์ เพราะฉะนั้นตัวเมืองจริงๆ คือคนค่อนข้างเยอะ นักท่องเที่ยวก็เยอะด้วย แต่ที่ที่เราอยู่ เป็นเขตมหาลัยอ่ะค่ะ คือเหมือนต้องขึ้นเขาขึ้นมานิดนึง (มั๊งนะ) ตอนนั้นจำได้ว่ามีกลุ่มเด็กวัยรุ่นหญิงกลุ่มนึงเดินนำไปข้างหน้า ไอ้เราก็พยายามเดินตามเค้าสุดฤทธิ์ เพราะกะว่าน้องๆ ต้องเข้าเมืองแน่ๆ แฮ่!!!และแล้วก็เป็นตามคาด เดินประมาณ 15 นาทีก็ถึงตัวเมืองค่ะ ผ่านร้านขายของร้านแรก เห็นป้ายบริษัทโทรศัพท์เต็มไปหมด ก็เลยเดินเข้าไปถามเค้าพูดภาษาอังกฤษได้จริงด้วยแฮะ แต่ปรากฏว่าน้องเค้าตอบคำถามเราไม่ได้เลยอ่ะค่ะ เหมือนเค้าไม่ได้ฝึกมาเพื่อการนี้ ก็เลยถามเค้าว่ามี Telenor shop ที่ไหนรึป่าว (เพื่อนบอกยี่ห้อนี้ดังสุดง่ะ) จากนั้นก็เดินต๊อกแต๊กตามคำบอก เข้าไปซื้อที่บูทของ Telenor pre-paid sim card ที่นี่ราคา 199 NOK ค่ะ เป็นค่าเริ่มต้นซะ 149 NOK เป็นเงินเติมในโทรศัพท์เราแค่ 50 NOK เอง แพงเนอะ ค่า Data plan คิด maximum วันละ 10 NOK (อันนี้ราคารับได้นิ) แต่กะจะปิดตลอด ค่อยใช้ยามจำเป็น พ่อหนุ่มที่ขายซิมบอกว่า เราสามารถเติมเงินออนไลน์ได้ แต่พอถามว่าเวปไซท์มีภาษาอังกฤษป่าว เค้าตอบว่าไม่มี โอเคอ่ะ.....จากนั้นก็เดินชมเมืองนิดนึงค่ะ อากาศหนาวกว่าที่คิด เมืองเล็กกว่าที่คิด...แอบคิดว่าเวลาที่นี่มันเดินช้ากว่าปรกติอ่ะ (อันนี้ยังคิดอยู่หลังจากมาอยู่หลายวัน) เดินทั่วเมืองแระ เพิ่งบ่าย 2 เอริ๊กกกกกกกกกกกกพอตัดสินใจเดินกลับบ้านเท่านั้นแหละค่ะ ปัญหาเกิด....เราเป็นคนที่มี sense ด้านเส้นทางเท่ากับศูนย์ค่ะ เผลอๆ ติดลบด้วย คือไม่ใช่แค่โง่อย่างเดียว แต่ยังพยายามอวดฉลาดด้วย คือเรารู้สึกว่าบ้านน่าจะไปทางนั้น เราก็เดินไปเรื่อยๆ (ซึ่งปรกติแล้วควรจะกลับทางที่มาชิมิ) เดินไปซักพัก ก็ควักแผนที่ขึ้นมาดู ยืนงงๆ อยู่ข้างถนน...ทันใดนั้นก็มีผู้หญิงวัยรุ่นคนนึง (น่าจะอายุประมาณ 20 นิ) เดินเข้ามาทัก ว่ามีไรให้ช่วยมั๊ย พอบอกเค้าไปว่าเราจะไปที่นี่ๆ เค้าทำหน้างงอยู่พักนึง แต่สุดท้ายก็พามาส่งที่บ้านได้สำเร็จ เย่ๆระหว่างทางก็คุยกันค่ะ (เป็นคนที่ยืนยันอีกทีว่า คนนอร์เวย์ภาษาอังกฤษดีจริงๆ) เค้าบอกว่าเค้าเป็นนักเรียนที่นี่ (ไม่รู้ที่ไหน) แล้วก็ดำริว่าจะแลกเบอร์กันไว้ค่ะในตอนนี้เอง ที่เรานึกขึ้นได้แว่..... เราไม่รู้เบอร์โทรศัพท์ตัวเอง!!!อิหนุ่มร้านซิมก็นะ ไม่ได้บอกเบอร์โทรศัพท์มา ไอ้เราก็ไม่เคยใช้โทรศัพท์เติมเงิน ไม่ได้ฉุกคิดจะถาม กรำแต๊สรุปคือเราเอาโทรศัพท์เรา โทรเข้าเครื่องน้องเค้า (น้องเค้าชื่อ ลิซ่า ฮ่ะ) แล้วพอมันโชว์เบอร์ ก็แอบจดเอาไว้ ว่านี่เบอร์ตรู 55555555หลังจากแยกทางกะน้องลิซ่า เราก็ลองเข้าไปร้านขายของชำดูค่ะ (ร้านที่คุณมาร์ตินแนะนำนั่นเอง)ในตอนนี้แหละ ที่เราตระหนักถึงปัญหาที่แท้จริงทุกสิ่งทุกอย่างในร้าน เป็นภาษานอร์วีเจี้ยนหมดเลยค่ะ คือมันก็ดูรู้อ่ะนะว่ามันคืออะไร เช่น ไส้กรอก ก็รู้ว่าคือไส้กรอก แต่เนื้ออะไร ไม่รู้แระ อาจจะซื้อเนื้อหมู เนื้อแมว หรือเนื้อกวางเรนเดียร์ ก็ไม่แน่ใจ (แต่ก็ซื้อมาอันนุง)นม...ไอ้ sjokolade นี่คือ ชอตโกแลตชิมิ (น่าจะใช่ เพราะหน้ากล่องมันเป็นวัวสีน้ำตาล) แล้วกล่องที่เป็นวัวสีส้มคือนมอะไร ??##!ภาษานอร์วีเจี้ยน เอาจริงๆ บางคำคล้ายกะภาษาอังกฤษนะคะ แต่ก็นั่นแหละ พอมันมารวมๆ กัน มันงงง่ะ หลังจากยืนงงๆ ตรงแผงแอปเปิ้ลซักพัก ก็มีหนุ่มนอร์เวย์คนนึงมาช่วยกดชั่่งน้ำหนัก และซื้อให้ค่ะ อิอิ(คือไม่ได้พูดไรกันซักคำเลยนะ เค้างงเห็นว่ายืนนานแล้ว ช้าจัด -*-)ปัญหาที่สองที่ร้านขายของชำคือ เราถามเค้าว่าเค้ารับบัตรเครดิตที่ไม่มีชิพป่าว (บัตรเครดิตของยุโรปมันจะมีชิฟ แล้วให้เรากด pin number เอาอ่ะค่ะ ส่วนของอเมริกันจะเป็นเหมือนของไทยคือเป็นระบบแถบแม่เหล็กกะลายเซ็นต์)เค้าบอกไม่รับ!!!!!จบกรันนนนนนน คือเราก็กดเงินสดมาติดตัวไว้อ่ะนะคะ แต่กดเงินสดทีนึงมันก็เสียค่าธรรมเนียมง่ะ เศร้าง่ะ กลับมาบ้าน เจอรูมเมต เป็นชาย หน้าตาน่ากลัว (นิดนุง) แต่เค้ายิ้มแย้ม ทักทายดีนะ แค่ภาษาอังกฤษเค้าฟังยากแค่นั้นเอง... (เอาจริงๆ คือฟังยากมากเลยแหละ แป่ว)กลับมาคืนแรก หลังจากที่ไปผจญความหนาวมาทั้งวัน ปรากฏว่าไข้ขึ้นค่ะ แซ่วก่อนนอน โทรกลับบ้าน แม่ย้ำถึงความโชคดีของเรา ที่ได้มาหาประสบการณ์ที่นี่ มันเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ทุกคนจะมีโอกาส เอริ๊กกกกกกกกกกกกอิชั้นก็สูดน้ำมูก เป็นไข้ ไอค่อกแค่ก พร้อมกับซาบซึ้งกะโอกาสของตัวเองกันไปรTo Be Continued.....