คนไม่สำคัญที่อยู่นอกสายตาเสมอ
Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
19 พฤศจิกายน 2551
 
All Blogs
 
ความทรงจำแห่งตากใบ (ตอนจบ)

ตอน ปลัดตำบลหนุ่มแห่งตากใบ

เสียงรถจักรยานยนต์แล่นช้ามาจอดหน้าบ้านฉัน หนุ่มน้อยรับ
หน้าที่ส่งข่าวสารทางจดหมายหย่อนจดหมายลงกล่องรับสีแดงสด แล้วขับรถหายไป ตามถนนสายรอง มุ่งหน้าสู่บ้านหลังต่อไป ฉันรีบออกมาหยิบจดหมายซองสีครีม จ่าหน้าซองถึงฉัน แต่...ลายมือช่างคุ้นตา ความรู้สึกตื่นเต้นท่วมท้น แทบอดใจไม่ไหว รีบแกะจดหมายออกจากซองไม่รอช้า

“ซะห์ ผู้เป็นที่รัก

หลังเข้ารายงานตัวต่อ กอ.รมน. ก็ต้องเข้าฝึกอบรมโครงการฝึกอบรมอาชีพ และต้องเก็บตัวไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ ลำบากเหลือเกิน แต่ก็อดทนเพราะหวังว่าสักวันจะได้พบเธอ แล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง เราจะไปหาเธอ

คิดถึง

อาหามะ”

แม้จบข้อความแล้ว แต่ฉันยังคงอ่านข้อความในจดหมายซ้ำแล้วซ้ำอีก
ไม่รู้เบื่อ นี่...ฉันฝันไปหรือเปล่า เขากำลังจะกลับมาหาฉัน ความตื้นตันเอ่อล้นทะลักออกทางตาทั้งสองข้าง น้ำตาไหลลงอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว ฉันเก็บ
จดหมายใสซองตามเดิม พลางเหม่อมองออกไปตามถนนสายรอง คิดว่า อีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงฉันจะได้เจอเขาแล้ว และเราจะไม่มีวันพรากจากกันอีก

ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้า กระชับปืนพร้อมใช้ ออกตรวจตราบริเวณรอบหมู่บ้าน
ก่อนเดินเลยไปยังสถานีอนามัยตรวจความเรียบร้อย แม้ในยามกลางวันก็ไม่อาจวางใจ ท่ามกลางความโกลาหล ที่บรรดาหมอและพยาบาล ต่างตรวจคนไข้ไม่เว้นว่าง

"ซะห์ ออกตรวจกลางวันหรือจ๊ะ" เสียงหวานใสของหมออนามัยผู้เสียสละร้องทัก

"คุณหมอพัชชา วันนี้ คนไข้เยอะเลยนะคะ" ฉันส่งยิ้มทักทายแล้วเดินออก
จากอนามัย เดินตรวจตราต่อไป พลางนึกถึงใบหน้าชายผู้เป็นที่รัก ซึ่งเขากำลังจะมาหาฉันในอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้ ขณะกำลังนึกถึงภาพแห่งความสุขสันต์ โดยไม่ได้สังเกตว่ามีเสียงฝีเท้าเดินตามมาตลอดทาง

กร๊อบ... เสียงเหยียบกิ่งไม้หัก ทำให้ฉันตื่นจากภวังค์ ขยับปืนหันหลังเตรียมเหนี่ยวไก แต่แล้ว...ช้าเกินไป เสียงวัตถุของแข็งกระทบต้นคอ สติสัมปชัญญะฉันดับวูบลง

...ฉันค่อยๆ ลืมตา มองบรรยากาศรอบข้างที่ไม่คุ้นตา ฉันถูกมัดมือและ
เท้าทั้งสองข้าง นั่งอยู่บนแคร่ไม้เก่าๆ ขยับตัวแต่ละทีเสียงดังกร๊อบแกร๊บคล้ายจะหักร่อมร่อ นี่ฉันอยู่กระท่อมที่ไหน รอบข้างและหลังคามุงด้วยใบจากแบบลวกๆ ที่ช่องว่างระหว่างแผ่นจากเผยให้แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาภายใน ฉันค่อยๆ ขยับตัวลงจากแคร่ไม้ผุๆ คลานไปใกล้ช่องว่างที่แสงส่องผ่าน พยายามลอบมองออกไปภายนอก

"ทำอะไร อย่าพยายามเลย ไม่ได้ผลหรอก" เสียงแข็งกร้าวเย็นชาดังขึ้น
พร้อมกับมีมืออันใหญ่และหยาบกร้านจากการทำงานหนัก คว้าแขนฉันดึง
ตัวให้ลุกขึ้นอย่างยากลำบาก และลากฉันกลับไปนั่งบนแคร่เก่าๆ

"อย่าคิดหนีเด็ดขาด ไม่งั้น เราจะไม่ปรานีอีก" เสียงชายหนุ่มยังคงแข็งกร้าวเด็ดขาด

"จับตัวฉันมาทำไม ต้องการอะไร"

"ไอ้อาหามะ มันจะกลับมาแล้วใช่ไหม นี่ล่ะจุดประสงค์เรา คนทรยศต้องถูกลงโทษ"

"คนไทยด้วยกันจะเข่นฆ่ากันเองเพื่ออะไร"

ชายผิวเข้มหนวดเครารกรุงรัง ไม่ตอบคำถาม แต่กลับเดินออกไป พร้อม
ล็อกประตูแน่นหนา ฉันพยายามอีกครั้ง ขยับตัวลงจากแคร่ไม้ ค่อยๆ คลานไปยังประตู ฉันรวบรวมกำลังใช้หัวไหล่กระแทกประตู แต่ช่างไร้ผล ฉันพยายามกระแทกตัวอีกครั้ง จนรู้สึกปวดแปลบที่หัวไหล่

...น้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลเอ่อล้นอาบสองแก้ม พลางคิดถึงเขา วิงวอน
ต่อองค์อัลลอฮฺ ขออย่าให้เขามาช่วยฉัน และต้องตกอยู่ในอันตราย

ชายร่างสูงผิวเข้ม นัยน์ตาคมโต เดินมาหยุดยืนตรงหน้าบ้านที่แสนคุ้นเคย
พลางกดกริ่งหน้าประตู แต่ไร้เสียงตอบรับจากคนในบ้าน สร้างความประหลาดใจแก่ชายตาคม ปัง! เสียงก้อนหินกระทบสังกะสีที่กองอยู่ข้างบ้าน เขาเดินไปตามเสียง ปรากฏก้อนหินห่อด้วยกระดาษ จึงรีบแกะออกอ่าน

"อาหามะ คนรักแกอยู่กับข้า แกอยากได้คืนให้ตามมาเอาตัวไป แกต้อง
มาคนเดียว ไม่งั้น แกจะได้แต่ร่างไร้วิญญาณของอรบ.คนเก่ง กลับไป" สิ้นตัวอักษร อาหามะ กำมือแน่นด้วยความโกรธ แล้วขยำกระดาษทิ้ง วิ่งออกไปมุ่งหน้าสู่กระท่อมบัญชาการของเปอร์มูดอร์ทันที

"แกมาแล้วเหรอ ไอ้คนทรยศ" เสียงกร้าวตะโกนมาจากหน้ากระท่อม

"ไอ้เลว แกจับคนที่ไม่เกี่ยวข้องมาทำไม" อาหามะ แผดเสียงกร้าวด้วย
ความโกรธ พลางก้มลงมองฉันที่อยู่ในสภาพถูกมัดมือมัดเท้า นั่งอยู่กับพื้นดินชิ้นแฉะ เขาส่งสายตาให้กำลังใจฉันให้อดทน

"คนทรยศ แกก็รู้ว่าต้องโดนอะไร" ชายหนวดรุงรัง เหนี่ยวไกปืน ยิงใส่
อาหามะ แต่อาหามะกระโดดหลบได้ทัน ยิงตอบโต้กระสุนปืนเฉียดศีรษะฉันไปมา ฉันพยายามขยับตัวหลบอย่างยากลำบาก

"โอ๊ย" เสียงร้องดังขึ้นก่อนร่างชายหนวดรุงรังล้มลงนอนบนพื้น

"ไปเถอะ ซะห์ เดี๋ยวพวกมันต้องแห่กันมาแน่ๆ" อาหามะ รีบแก้มัดฉัน
ฉุดให้ลุกขึ้น แล้วดึงมือให้ฉันวิ่งตามออกไปจากที่ตรงนั้น แต่ด้วยร่างกายที่อ่อนแรงทำให้ฉันวิ่งได้ไม่เร็วดั่งใจคิด

"ไหวไหม อดทนหน่อยนะ อีกนิดเดียว ก็ถึงบ้านผู้ใหญ่แล้ว" อาหามะ
จับมือฉันแน่น พลางบีบมือเบาๆ ให้ความมั่นใจว่าต้องรอดปลอดภัย เสียงฝีเท้าวิ่งตามมาอย่างกระชั้นชิด พร้อมกับเสียงปืนกราดยิงไม่ยั้ง อาหามะยังคงพาฉันวิ่งต่อไปไม่ลดละ อีกเพียงไม่ถึง 500 เมตร ก็ถึงหน้าบ้านผู้ใหญ่บ้านนานาค อาหามะ ส่งปืนให้ฉันถือไว้ป้องกันตัว พลางผลักฉันให้รีบวิ่งไป แต่ขณะที่เขาหันหลังมาส่งปืนให้ฉัน กระสุนจากหนึ่งในเปอร์มูดอร์ พุ่งเข้าสู่หลังด้านซ้ายทะลุด้านหน้า ร่างอาหามะล้มลง

"อาหามะ ไม่นะ เธอต้องไม่เป็นไร" ฉันยิงตอบโต้

เหล่า อรบ.ได้ยินเสียงปืนยิงตอบโต้กันใกล้ๆ จึงรีบรวมตัวกันมา
ช่วยเหลือ ฉันเข้าประคองร่างอาหามะ ที่ท่วมเลือด ด้วยมืออันสั่นเทา "อัลลอฮุอักบัร โปรดช่วยอาหามะด้วย อย่าให้เขาจากฉันไปอีกนะ" ฉันได้ร้องวิงวอนต่อพระเจ้าไม่หยุดปาก เสียงยิงตอบโต้ค่อยๆ เบาลง กลุ่มเปอร์มูดอร์ได้ล่าถอยไป บรรดา อรบ.จึงรีบช่วยกันพาอาหามะส่งโรงพยาบาลตากใบ

ฉันนั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินด้วยใจจดจ่อ หลังจากเพื่อน อรบ.ช่วยพาเขามา
ส่งโรงพยาบาล ด้วยสภาพเลือดอาบกายจากกระสุนพุ่งผ่านหลังทะลุหน้าอกซ้าย เวลาผ่านมานานกว่า 3 ชั่วโมงแล้วยังไร้วี่แววของแพทย์ที่จะแย้มออกมาบอกอาการให้ได้เบาใจ ฉันขอดุอาร์ต่อองค์อัลเลาะห์ ช่วยคุ้มครองชายผู้เป็นที่รักให้รอดพ้นจากภยันตรายนี้ไปได้ ขณะกำลังนั่งขอพรจากพระเจ้า นางพยาบาลได้เดินออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

"คุณพยาบาลคะ หะมะเป็นไงค่ะ"ฉันรีบปลี่เข้าถามโดยไม่รั้งรอ

"คุณเป็นญาติของคนไข้ใช่ไหมคะ ยังไงคงต้องทำใจค่ะ คนไข้ยังไม่พ้น
ขีดอันตราย ต้องรอดูอาการอย่างใกล้ชิด"สิ้นคำตอบของนางพยาบาล ฉันถึงกับทรุดตัวลงนั่งด้วยความอ่อนแรง หูอื้อ ไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง ตัวชาหนักอึ้ง เขาต้องไม่เป็นไรซิ เรากำลังจะได้อยู่ด้วยกันตามที่รอคอยมานาน อย่า...อัลลอฮฺ อย่าลงโทษเราแบบนี้ แล้วน้ำตาแห่งความเจ็บปวดก็เริ่มไหลอาบแก้ม ฉันอดทนรอด้วยความหวังเป็นที่สุดว่าเราจะไม่มีวันพรากจากกันอีก ไม่มีวัน...

ฉันสุดทนที่จะนั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินเพื่อเฝ้ารอรับร่างที่ไร้วิญญาณของ
ชายคนรัก ฉันคงไม่อาจทำใจยอมรับได้ ฉันลุกขึ้นเดินเอื่อยๆ ไร้ชีวิตชีวา ออกจากบริเวณหน้าห้องฉุกเฉิน เดินไปอย่างไร้จุดหมาย คล้ายร่างกายกำลังล่องลอยอยู่กลางอากาศ พลางคิดถึงเขา และทุกอิริยาบถของเขา โดยไม่ทันมองว่าเบื้องหน้ามีใครเดินอยู่ แต่ฉันรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกที่ไหล่ จนฉันล้มลง ก่อนสิ้นสติสัมปชัญญะ ฉันมองเห็นชายผิวขาวตรงหน้าเลือนลาง รับร่างฉันไว้ในอ้อมแขน


ฉันค่อยๆ ลืมตามองเพดานสีขาว ซึ่งพออนุมานได้ว่า ฉันกำลังนอนอยู่
ในโรงพยาบาล ฉันจึงค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้น พอดีกับเสียงลูกบิดประตูเปิดออก ผู้ใหญ่บ้านนานาค เดินเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้ม

"รีบลุกขึ้นทำไมล่ะ ซะห์ พักผ่อนซะบ้าง"เสียงผู้ใหญ่บ้านแสดงความห่วงใย

"หะมะ เป็นไงบ้างคะ"ฉันถามด้วยน้ำเสียงละล้าละลัก

"ยังอยู่ในไอซียู" ผู้ใหญ่บ้านตอบเพียงสั้นๆ

ฉันเริ่มน้ำตาซึม จึงต้องเบือนหน้าหนี เพราะไม่อยากให้ใครได้เห็นน้ำตา
แห่งความอ่อนแอ ในยามนี้ ฉันไม่ควรอ่อนแอ ฉันต้องเข้มแข็งเพื่อเขา แต่แล้ว เสียงลุกบิดประตูดังขึ้น ประตูเปิดอีกครั้ง ภาพตรงหน้า คือชายผิวขาว ร่างสูงโปร่ง ใบหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นคนเชื้อสายไทยจีน เดินมาเข้าส่งยิ้มทักทาย

"ไงครับ อรบ.คนเก่ง" เสียงทุ้มๆ กล่าวถามแสดงไมตรี

ฉันมองเขาแสดงสีหน้าสงสัย เพราะฉันไม่เคยรู้จักผู้ชายคนนี้มาก่อน
แต่คลับคล้ายว่าจะเคยเห็นหน้าเขาเลือนลาง ผู้ใหญ่บ้านคงสังเกตเห็นหน้าฉงนสนเท่ห์ของฉัน จึงได้รีบเอ่ยแนะนำ

"อาอิซะห์ นี่ คุณปลัดนที ปลัดตำบลนานาคคนใหม่ เขามาช่วยรับเธอ
พอดีตอนเธอเป็นลมอยู่หน้าโรงพยาบาล"

ฉันรีบยกมือสวัสดี พลางส่งยิ้มเขินๆ ด้วยความไม่รู้ว่าเขาเป็นถึงปลัดตำบล
กลับแสดงกิริยาไม่มีมารยาท แต่ปลัดนที ไม่ได้แสดงอาการถือสาความไม่เข้าท่าของฉัน กลับยิ้มอย่างคุ้นเคย "ยินดีที่ได้รู้จัก อรบ.คนเก่งและน่ารัก ผมคงต้องขอคำแนะนำอีกมากเลยครับ" พร้อมก้มหัวทักทายอีกครั้ง สร้างรอยยิ้มให้เกิดบนใบหน้าของทุกคนที่อยู่ในห้อง

...............................

ฉันออกจากโรงพยาบาล มานอนพักผ่อนที่บ้าน แต่ยังคงไปสอบถาม
อาการของอาหามะทุกวัน แต่กลับไม่ได้รับคำชี้แจงจากแพทย์เพิ่มแติม เขายังคงอาการสาหัส ยังไม่พ้นขีดอันตราย ทำให้ฉันต้องเดินกลับบ้านมาพร้อมน้ำตาซึม เฝ้าถามตัวเองว่า ฉันต้องทนทรมานอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน หรือฉันอาภัพในเรื่องความรัก....

"ซะห์" เสียงตะโกนเรียกดังขึ้นหน้าบ้าน

"ใครคะ อ้อ คุณปลัดน่ะเอง เชิญค่ะ"

"ผมแวะมาทักทาย และอยากขอคำแนะนำบางเรื่อง" ปลัดนที ส่งยิ้มทักทาย

ฉันเดินหายไปชงกาแฟมาส่งให้ปลัดนที ก่อนนั่งลงคุยกันอย่างคุ้นเคย
ขณะนั่งคุยกันอย่างสนุกสนาน ตูม ! เสียงคล้ายระเบิดดังขึ้น ประตูรั้ว กระจัดกระจายแตกหัก.....

ฉันเงยหน้าขึ้นมองปลัดนที ที่ใช้ร่างบังฉันไว้ไม่ให้โดนแรงระเบิด แต่ตัว
เขากลับถูกเศษไม้ปักคาอยู่ที่หัวไหล่ขวา ฉันรีบแจ้งข่าวผ่านวิทยุสื่อสาร เพียงไม่ถึง 10 นาที เหล่า อรบ.ทหารและตำรวจ ต่างเข้าตรวจพื้นที่โดยละเอียด ฉันรีบพาปลัดนทีไปหาหมอพัชชาทันทีเกรงเขาจะเกิดอันตราย

“หมอคงต้องเอาเศษไม้ออก ทนเจ็บนิดนะคะ” หมอค่อยๆ ทาแอลกอฮอล์ลงบนรอบบาดแผล ใช้มีดกรีดลงบนเนื้อค่อยๆ คีบเศษไม้ออก แล้วพันผ้าพันแผลอย่างกระฉับกระเฉง

“ไม่เป็นไรแล้ว เดี๋ยวหมอจะให้ยาแก้ปวด แก้อักเสบไปทานนะคะ อย่าพยายามใช้แขนขวามากนักนะคะ” หมอพัชชายิ้มก่อนเดินไปรักษาคนไข้รายอื่น

ฉันไปส่งปลัดถึงบ้านพัก พลางส่งยิ้มให้กำลังใจ “อย่าเพิ่งท้อนะคะ แค่
เริ่มต้นเท่านั้น” ฉันเดินออกจากบ้านปลัดหนุ่ม เดินเรื่อยไปจนถึงโรงพยาบาล นั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินอยู่นาน คุณหมอเจ้าของไข้อาหามะ ก็ออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“คุณพร้อมเมื่อไหร่ บอกหมอนะ จะได้ปล่อยเขาไปสบายเสียที” สิ้นคำตอบ
ของหมอ ฉันไม่อาจทนฝืนเก็บความรู้สึกอัดอั้นภายในใจไว้ได้อีก ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาย หะมะ กำลังจะจากฉันไป ฉันจะไม่มีเขาอีกแล้วงั้นหรือ ฉันจะอยู่อย่างไร ฉันเฝ้ารอวันที่เราได้พบกัน แต่แล้วยังไม่ทันที่เราจะได้อยู่ร่วมกัน เขากลับจะจากไปอีก ฉันไม่ยอมปล่อยเขาไปแน่ๆ น้ำตาแห่งความขมขื่นไหลอาบสองแก้ม เสียงสะอื้นดังโหยไห้ยาวนาน


“ซะห์ ปล่อยเขาไปเถอะ เขาทรมานมามากแล้ว” เสียงผู้ใหญ่บ้านเอ่ยแนะนำด้วยความห่วงใย กลับยิ่งทำให้ฉันสะอื้นหนัก นี่ฉันต้องสูญเสียเขาไปจริงๆ หรือ

ฉันนึกทบทวนความทรงจำอันแสนสุขที่ฉันยังมีเขาอยู่เคียงข้าง เพราะ
อะไรกัน ฉันทำบาปอะไร ทำไมเหตุร้ายๆ ต้องเกิดกับฉัน

“ซะห์ หากหะมะ เห็นเธอในสภาพนี้ เขาคงผิดหวัง เขาไม่อยากเห็น
เธอกลายเป็นคนอ่อนแอแบบนี้แน่”ผู้ใหญ่บ้านเตือน ฉันนึกย้อนถึงคำพูดของ
ชายคนรัก ที่เขาบอกให้ฉันเข้มแข็ง เพราะความเข้มแข็ง จะชนะทุกอย่าง และฉันก็เชื่อเขามาเสมอ

จริงซิ หาก อรบ.อย่างฉันอ่อนแอ แล้วชาวบ้านธรรมดา จะอยู่อย่างไร
ฉันมีหน้าที่ปกป้องชาวบ้านนานาค ฉันต้องไม่อ่อนแอ ฉันค่อยเช็ดคราบน้ำตา
อย่างสงบ หมอเดินหายเข้าห้องไปก่อนออกมากล่าวด้วยเสียงเศร้าสร้อย
“หมอทำเต็มที่แล้ว เขาไปอย่างสบายแล้วล่ะ”

ฉันเดินกลับบ้านด้วยใจล่องลอย มาถึงบ้านโดยไม่รู้ตัว แล้วทิ้งตัวลงนั่ง
บนโซฟาอย่างหมดแรง เอื้อมหยิบรูปถ่ายคู่ฉันและเขา มานั่งดู พลางก้มลงจูบรูปอย่างบรรจง ต่อไปฉันต้องอยู่เพียงลำพัง แต่ฉันไม่อาจลบเลือนช่วงความทรงจำอันแสนสุขไปได้ แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ ก็ตาม

...........................................

เช้าวันใหม่ ไม่สดใส ฝนเริ่มโปรยปรายก่อนกระหน่ำซัดหนักไม่ลืมหูลืมตา
ฉันนั่งมองสายฝนผ่านกระจกเลือนรางด้วยน้ำที่ไหลลงมากระทบกระจก
พลางนึกถึงเขาอีกครั้ง แล้วเสียงกริ่งประตูดังขึ้น ฉันชะโงกหน้ามองหน้าประตูบ้าน ปลัดนทียืนกางร่มรออยู่ ฉันจึงรีบลงไปรับเข้าบ้าน “คุณปลัดมาทำไมคะ ฝนตกหนักแบบนี้ อันตรายนะคะ” ฉันรีบต่อว่าด้วยความเป็นห่วง

“ผมเพียงจะมาขอคำปรึกษาว่าพรุ่งนี้จะลงพื้นที่พบชาวบ้านนานาค อยากขอแรง ซะห์ ไปช่วย ไม่คิดว่าจะมีอันตราย”

“ที่นี่ นราธิวาสนะคะ ไม่ใช่กทม.คุณปลัดต้องระวังตัวทุกก้าวย่าง โดยเฉพาะคุณปลัดเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ”

“ขอโทษครับ ผมไม่ทันคิด” ปลัดนทีกล่าวขอโทษ ด้วยสีหน้าแสดงความเสียใจ ฉันยิ้มน้อยๆ นึกขำท่าทีเอาจริงเอาจังของปลัดหนุ่มไฟแรง ฉันพยักหน้าเป็นเชิงสัญญาว่าจะช่วยพาเขาออกพบปะชาวบ้านนานาคเพื่อแนะนำตัวให้เกิดความคุ้นเคย

...............................................

ปลัดนทีตื่นแต่เช้า เดินทางมารับฉันถึงบ้าน ก่อนเดินออกเยี่ยมเยียน
ชาวบ้านแต่ละหลังเพื่อหวังเก็บข้อมูลก่อนทำงานต่อไป “ปลัดเหรอ แล้วจะช่วยอะไรได้ สามีฉันตายตั้งนานแล้ว ไม่เคยมีใครเหลียวแล อย่ามายุ่งกับเราอีก ไปให้พ้น” สะกรียา หญิงหม้ายเจ้าของบ้าน ซึ่งสามีเสียชีวิตในเหตุการณ์การชุมนุมที่หน้า สภ.อ.ตากใบ ไล่เสียงดัง

“ผมเพียงต้องการมาแนะนำตัว แล้วต้องเสียใจเรื่องสามีคุณด้วย” ปลัดหนุ่มค้อมหัวแสดงความเสียใจ

“ไป อย่ามายุ่ง เราลำบากมาพอแล้ว”สะกรียายังไม่ลดละ กลับเสียงดังขึ้น
และเดินหนีไป

ฉันพยักหน้าเรียกปลัดนทีให้ออกจากบ้านสะกรียา ซึ่งปลัดหนุ่มเดินตาม
ออกมาอย่างว่าง่าย “อย่าเพิ่งท้อนะคะ นี่แค่เริ่มต้นเอง”

“ไม่หรอกครับ ผมเข้าใจ ปัญหามันเรื้อรังมานานแล้ว แก้วันเดียว
คงไม่ได้”ปลัดหนุ่มยอมรับง่ายๆ

“ค่ะ เข้าใจก็ดีนะคะ เพราะทุกวันนี้ รัฐบาลไม่เคยมาดูแล ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนในพื้นที่จัดการกันเอง แล้วอ้างว่า ถ้าคนในพื้นที่ช่วยกันจะดีกว่า พวกเขาไม่เคยเข้าถึง ก็เลยไม่เข้าใจ”ฉันกล่าวทิ้งท้ายก่อนส่งยิ้มให้กำลังใจ
ปลัดหนุ่มพยักหน้า แล้วเดินกลับบ้านอย่างอ่อนแรง

อาทิตย์ส่องแสงระเรื่อจับขอบฟ้า เริ่มต้นวันใหม่ด้วยอากาศแจ่มใส ฉัน
ออกมานั่งเก้าอี้โยกหน้าบ้าน เหม่อมองทอดอารมณ์คิดถึงชายผู้เป็นที่รัก พลางน้ำตาซึมออกมาโดยไม่รู้ตัว แม้เขาจะกลับคืนสู่พระเจ้าโดยสงบ แต่ฉันก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้อยู่ดี เขาควรจะอยู่กับฉันไม่ใช่เหรอ โลกนี้ไม่เคยมีความยุติธรรมสำหรับคนด้อยโอกาส ขณะความคิดของฉันกำลังล่องลอยไร้จุดหมาย เสียงตะโกนเรียกดังมาจากหน้าประตูที่เพิ่งซ่อมแซมเสร็จหลังถูกระเบิดแหลกกระจุย

"คุณปลัด มาแต่เช้า มีอะไรให้รับใช้คะ"

“ขอโทษครับที่ต้องมารบกวนเวลาพักผ่อนแต่เช้าแบบนี้ แต่ว่า
ผมใจร้อนอยากลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับพี่น้องนานาคทุกครัวเรือน”

“ปลัดค่ะ คงทำไม่ได้แค่วันเดียวหรอกค่ะ ปัญหามันสะสมมานาน
มากแล้ว คงต้องใช้เวลา รัฐปัตตานี ฝังหัวพวกเรามาแต่เด็ก”

“ครับ ผมเข้าใจว่า ซะห์ หมายถึงอะไร แต่ผมต้องการเริ่มต้นให้
เร็วที่สุด และผมเชื่อว่า ซะห์จะช่วยผมได้”

ฉันยิ้มไปกับความคิดแน่วแน่ในอุดมการณ์ของปลัดหนุ่มไฟแรง พลางพยักหน้ารับ ก่อนเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาพร้อมปืนกระชับมือ ปลัดมองตามพลางขมวดคิ้วสงสัย ฉันหัวเราะออกมาเสียงดัง รู้สึกขันกับท่าทาง
เก้ๆ กังๆ ของปลัดหนุ่ม กลับยิ่งทำให้ปลัดนทีขมวดคิ้วสงสัยหนักขึ้น

“อะไรคะ คุณปลัด สงสัยอะไรหรือเปล่า ถึงได้ทำหน้าตาประหลาดแบบนั้น”

“ไปพบชาวบ้าน ทำไมต้องพกอาวุธครับ” ปลัดหนุ่มเอ่ยถามด้วยความ
ไม่เข้าใจ พลางชี้มือไปที่ปืนในมือฉัน

“คุณปลัด ฉันเคยบอกแล้ว ว่าที่นี่ นราธิวาส ไม่ใช่กทม. เราต้อง
ระมัดระวังอยู่เสมอค่ะ” ฉันยิ้มอีกครั้ง

ฉันเดินนำหน้าปลัดหนุ่มไปยังบ้านของ กีซอแระ ชายชราผู้สูญเสียบุตรชายจากเหตุการณ์การชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ อีกคน ขณะก้าวเท้าเข้าภายในบริเวณบ้าน เสียงตะโกนด่าทอดังขึ้นทันที

“พวกเห็นแก่ตัว ออกไป อย่ามายุ่งกับเรา เราไม่มีอะไรต้องสูญเสียอีกแล้ว ไป” สิ้นเสียงด่าทอ กลายเป็นเสียงไอโขลกเป็นจังหวะ

ปลัดหนุ่มยังดึงดันจะเข้าไปทำความเข้าใจ กีซอแระ ลุกขึ้นเอื้อมมือหยิบ
ไม้ตะพดใกล้มือขว้างใส่โดนศีรษะปลัดนทีอย่างแรง “โอ๊ย!” ปลัดร้อง
เสียงหลง ฉันรีบดึงตัวปลัดออกจากบ้าน กีซอแระ ก่อนจะเกิดการฆาตกรรม
ขึ้นต่อหน้าต่อตา

ฉันพาปลัดนทีไปทำแผลที่สถานีอนามัย ซึ่งคุณหมอพัชชา ลงมือ
ทำแผลให้ด้วยตนเอง ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หลังจากฟังเรื่องเล่าจากฉัน

“อดทนหน่อยนะคะ ชาวบ้านเขาสูญเสียมามาก ย่อมยอมรับไม่ได้ง่ายๆ”
หมอพัชชากล่าวให้กำลังใจ ปลัดนที พยักหน้า ยิ้มรับ พลางเป่าลมออกทางปากเพื่อผ่อนคลายความเจ็บที่ศีรษะ

ฉันไปส่งปลัดหนุ่มไฟแรงถึงบ้านพัก ก่อนเดินไปเรื่อยๆ ตามถนน
เส้นหลัก ปล่อยใจล่องลอยไปตามสายลม โดยไม่ได้สังเกตว่ามีรถกระบะสีขาว ไม่มีแผ่นป่ายทะเบียน แล่นตามมาข้างหลัง แต่แล้ว...คล้ายมีใครมากระซิบข้างหู ให้ระวังตัว ฉันรีบหันหลังกลับไปพอดีกับจังหวะที่ 1 ในคนร้าย ในรถกระบะ กำลังเหนี่ยวไกปืน ฉันกระโดดหลบลงข้างทาง พลางยิงสวน คนขับจึงรีบขับรถออกไปทันที แล้วสติฉันก็ดับวูบลง...

..................................


ฉันลืมตาขึ้นอีกครั้ง มองเห็น อรบ.หลายคนมายืนอยู่ข้างๆ

“ซะห์ ฟื้นแล้ว” เสียงอามีนะ ดังเรียกให้ทุกคนมายืนห้อมล้อมฉัน
มากขึ้น “ทำไมเดินคนเดียว รู้อยู่ว่าอันตราย” เสียงผู้ใหญ่บ้าน แข็งขึง

“ขอโทษค่ะ ซะห์ ไม่ทันระวังตัว”

“จำหน้าพวกนั้นได้ไหม ซะห์” อามีนะ ถามบ้าง

ฉันส่ายหน้า พลางนอนหลับตา แสดงอาการว่าอยากพักผ่อนมากกว่า
จะตอบคำถามใคร ฉันสับสนเหลือเกิน ทำไมพวกเปอมูดอร์ ยังจ้องทำร้ายฉันอีก หะมะ จากไปแล้ว ไม่มีใครปกป้องฉันได้อีก ต่อไปนี้ฉันต้องปกป้องตัวเอง ฉันต้องเข้มแข็ง ฉันต้องทำให้ หะมะ เห็นว่า ฉันยืนอยู่ได้บนโลกโหดร้ายใบนี้


“คิดถึงเขาอยู่หรือครับ” เสียงทุ้มๆ คุ้นหูดังขึ้น ฉันรีบลืมตาขึ้นมอง
พบปลัดยืนยิ้มฟันขาวอยู่ข้างๆ

“คุณปลัดมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ไม่ได้ยินเสียงเลย” ฉันค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง
อย่างยากลำบาก


“เพิ่งมาครับ แต่หาก ซะห์ ต้องการพักผ่อน เดี๋ยวผมก็จะกลับล่ะครับ”
ปลัดหนุ่ม ตอบด้วยเสียงเศร้าสร้อย

ยังไม่ทันที่จะคุยกันต่อไป เสียงระเบิดดังขึ้น แรงสะเทือนทำให้เตียงเคลื่อนที่ ฉันรีบลุกขึ้นอย่างลืมตัว แต่ไม่สามารถขยับเดินไปไกลได้ เพราะติดสายน้ำเกลือระโยงระยาง


“ซะห์ อยู่นี่ล่ะ เดี๋ยวผมไปดูเอง” ปลัดเดินหายไปนานกว่า 2 ชั่วโมง
กลับมาด้วยสีหน้าแสดงความกังวล

“ว่าไงคะ ปลัด เกิดอะไรขึ้นที่ไหน” ฉันถามอย่างเร่งร้อน

“เกิดเหตุลอบวางระเบิดที่หน้าห้างทองฯใกล้ๆ โรงพยาบาลนี่ล่ะ”
ปลัดตอบหางเสียงหายไปในลำคอ

“แล้วมีคนตายไหมคะ คุณปลัดตอบมาเร็วๆ”

“เออ...ครับ เสียชีวิต 3 คน เป็นชาวบ้านที่จะเดินเข้าห้างทองฯ และ
ผู้ใหญ่บ้านนานาค ที่กำลังเดินตระเวนตรวจอยู่ใกล้ๆ” ปลัดพูดเบาลงจนแทบ
เป็นเสียงกระซิบ สิ้นคำตอบของปลัดหนุ่ม ฉันออกแรงดึงสายน้ำเกลือออกจากข้อมือ แล้ววิ่งออกไปโดยไม่มีทันที่ปลัดจะรั้งไว้ทัน….

ฉันรีบวิ่งออกจากโรงพยาบาลโดยไม่รอฟังคำทักท้วงจากใคร ปลัดหนุ่ม
รีบวิ่งตามออกไปเช่นกัน ผู้คนรายล้อมยืนมองสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารพยายามกันผู้คนให้ออกพ้นพื้นที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน พร้อมหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุหน้าห้างทอง ขณะที่หน่วยพยาบาลเคลื่อนที่กำลังลำเลียงผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตออกจากพื้นที่อย่างเร่งด่วน ฉันวิ่งแหวกวงล้อมผู้คนมุ่งหน้าไปยังรถพยาบาล

“ผู้ใหญ่บ้านอยู่ไหนคะ” ฉันร้องตะโกนอย่างคนบ้าคลั่ง พยาบาล
ชี้มือไปที่เปลข้างรถพยาบาลเตรียมนำขึ้นรถไปชันสูตรพลิกศพ ฉันค่อยๆ เปิดผ้าคลุมหน้าออกช้าๆ เผยใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดหลับตาสงบนิ่ง ยิ่งทำให้ฉันไม่อาจทนมองภาพตรงหน้าได้ ถึงกับต้องทรุดตัวลงซบหน้าลงบนร่างไร้ลมหายใจของผู้เปรียบเสมือนแม่ พลางปล่อยร้องโฮอย่างไม่อาย สะอื้นไห้ไม่หยุด

“ซะห์ ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณ แต่ตอนนี้ คงต้องปล่อยให้เจ้าหน้าที่
เขาทำงานเถอะครับ” ปลัดนที ค่อยๆ ประคองฉันลุกขึ้นถอยห่างออกมา
ฉันได้แต่ยืนมองรถพยาบาลแล่นจากไปจนลับตา แล้วค่อยๆ ใช้หลังมือเช็ดน้ำตา พร้อมเรียกสติกลับคืนมา

“เกิดอะไรขึ้นคะ ผู้พัน” ฉันเอ่ยถามนายทหารผู้บังคับบัญชาด้วยน้ำเสียง
ที่ยั่งสั่นเครือ

“จากการสอบถามพยานแถบนี้ น่าจะมีผู้ต้องสงสัยประมาณ 2-3 คน
ผมได้สั่งให้เก็บพยานหลักฐานทุกชิ้นไปตรวจแล้ว เสียใจด้วยกับการสูญเสีย
ผู้ใหญ่มือดี” พ.ท.ฐิติกร กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“หน้าห้างฯมีกล้องวงจรปิดไหมคะ หรือพอจะมีใครมองเห็นหน้าคนร้าย
บ้างไหม” ฉันซักถามต่อทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าคำตอบที่ได้คือ ไม่มี พ.อ.ฐิติกร
ส่ายหน้าปฏิเสธพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่

ฉันรู้สึกเหนื่อยแทบหมดแรง จึงเดินเลี่ยงออกจากสภาพเลวร้ายหน้า
ห้างทองที่เต็มไปด้วยซากปูนกระจาย และรอยคราบเลือด ฉันเดินเรื่อยไปตามถนนดังคนไร้วิญญาณ พลางคิดว่า เมื่อไหร่ความสันติสุขจะกลับคืนภาคใต้ การแก้ปัญหาเพียงลำพังของผู้นำชุมชนและผู้นำศาสนา จะทำได้อย่างไร ชีวิตผู้ใหญ่ที่ทุ่มเททำงานเพื่อชาวบ้านไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากของตัวเอง กลับต้องมาจบลงด้วยน้ำมือของผู้ที่อ้างศาสนาเพื่อความชอบธรรมในการเข่นฆ่าคนไทยด้วยกัน

ฉันยังคงปล่อยความคิดล่องลอยไปไม่ทันระวังตัวว่าได้เดินเข้ามาในบริเวณ
บ้านของชายคนรัก ซึ่งวันนี้ไม่มีวันได้พบหน้ากันอีกแล้ว ฉันทรุดตัวลงกับพื้นดิน น้ำตาค่อยๆ ไหลอาบสองแก้ม แต่ขณะกำลังอยู่ในภวังค์แห่งความคิดถึง...

“ปัง!” เสียงปืนดังมาจากด้านหลัง ฉันตื่นจากภวังค์ลุกขึ้นหันมองตามเสียง
ปรากฏร่างชายฉกรรจ์ 3 คน ถือปืนจ้องมองดุดันมายังฉัน ฉันนิ่งใช้สติ ไม่อาจขยับเขยื้อนตัวหนีไปได้ ไม่มีปืน ไม่มีวิทยุสื่อสาร หากวิ่งหนีคงไม่พ้นความเร็วของกระสุนปืนอาก้าในมือเปอร์มูดอร์พวกนั้นที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี

“อย่าคิดหนีหรือคิดสู้ วันนี้เราแค่มาเตือนเธอ และปลัดตัวยุ่ง อย่าคิดมาเปลี่ยนความคิดมวลชน มวลชนเป็นของเรา ไม่อย่างนั้น เราจะส่งเธอและ
มันกลับคืนพระเจ้า” สิ้นคำเตือน ชายหนุ่มหน้าตารุงรังไปด้วยหนวดเครา
ยิงปืนขึ้นฟ้า ก่อนขึ้นรถหนีหายไป ฉันยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ กระทั่งปลัดนที
เข้ามาจับต้นแขนฉัน

“ซะห์ เป็นอะไรหรือเปล่า ผมได้ยินเสียงปืน รีบมาตามเสียงก็เห็น
ซะห์ยืนตัวแข็งอยู่ที่นี่"

“ไม่ค่ะ ไม่เป็นไร แต่พวกนั้น บอกไม่ให้เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชาวบ้าน
อีก ไม่อย่างนั้น...”เสียงหายเข้าไปในลำคอ เบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ

“กลับไปพักที่โรงพยาบาลเถอะครับ ร่างกายซะห์อ่อนแอมาก”

“กลัวไหมคะ”

“ไม่เลยครับ เมื่อผมมารับตำแหน่งปลัดตำบลนานาค ผมก็ไม่คิดถึง
ชีวิตตนเองแล้ว”

“ค่ะ ฉันก็เหมือนกัน รับอาสามาเป็น อรบ.ก็รู้แล้วว่า จะต้องเจอกับอะไรบ้าง"

ปลัดหนุ่มยิ้มรับพลางพยุงฉันขึ้นรถไปส่งโรงพยาบาล ฉันพักรักษาตัว
อยู่โรงพยาบาลนานเกือบสองสัปดาห์ จนร่างกายเริ่มแข็งแรงขึ้น จึงได้รับ
อนุญาตให้กลับไปพักผ่อนที่บ้านได้ คุณปลัดหนุ่มไฟแรงมารับฉันกลับไปส่งบ้าน ก่อนนัดแนะว่าจะมารับฉันไปพบชาวบ้านในตอนเช้า

ท้องฟ้าเช้าวันนี้ปลอดโปร่ง แจ่มใส เป็นสัญญาณดีแห้งการเริ่มต้นประสาน
ทำความเข้าใจ ปลัดนทีมายืนรออยู่ที่หน้าบ้านฉันแต่เช้าตรู่ เราออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังบ้านของมูซาร์ ชายขาพิการ ที่สูญเสียบุตรชายจากเหตุการณ์การชุมนุมหน้า สภ.อ.ตากใบ เช่นกัน

กระท่อมน้อยมุงจากมีรอยรั่วทั่วบ้าน มูซาร์ กำลังก้มหน้าก้มตานั่งกินข้าวอย่างตั้งใจ

“สวัสดีครับ ผมเพิ่งมารับตำแหน่งปลัดที่นี่ อยากมาทำความรู้จักกับทุกคน
พร้อมช่วยเหลือทุกคนเต็มที่เลยครับ” มูซาร์ยังคงตักข้าวเข้าปากโดยไม่เงยหน้ามามองปลัดหนุ่ม

“กีซาร์จ๊ะ คุณปลัดเขามาช่วยเหลือพวกเรา กีอย่าทำแบบนี้ซิจ๊ะ” ฉันพยายาม
ช่วยพูดอีกแรง มูซาร์ ค่อยๆ เงยหน้าจ้องมองปลัด พลางส่งยิ้ม ก่อนเอ่ยปากพูดด้วยความยากเย็น

“พ่อหนุ่ม...อย่ามาลำบากเลย ไม่มีประโยชน์หรอก ไม้ซีกงัดไม้ซุงก็มีแต่
หักเท่านั้น” มูซาร์ค่อยๆ พยุงร่างพิการออกจากบ้านไป ปล่อยทิ้งให้ฉันและปลัดนทีงุนงงกับคำพูดทิ้งท้ายของชายขาพิการ

ฉันและปลัดนทีเดินออกจากบ้านมูซาร์ด้วยความฉงนสงสัยกับคำพูดมี
นัยยะของผู้เป็นเจ้าของบ้าน แต่ก็ยังไม่ลดละ เดินหน้าต่อไปยังบ้านถัดไป
แต่แล้ว...เสียงปืนดังรัวขึ้น ฉันกระชับปืนพร้อม ขณะที่ปลัดนทีเตรียมเหนี่ยวไกปืนยิงตอบ

“พวกแกไม่ฟังคำเตือน อย่าหวังจะรอดกลับไป” เสียงตะโกนดุดันไล่
ตามมาพร้อมกับเสียงปืน

“ระวังตัวด้วยนะครับ ซะห์” ปลัดแสดงความห่วงใย ฉันพยักหน้ารับ
ก่อนวิ่งหลบกระสุนของเปอร์มูดอร์ และรีบวิทยุขอความช่วยเหลือเร่งด่วน
ยิงตอบโต้กันอยู่นาน จนกระทั่ง “แย่แล้วคุณปลัด กระสุนหมดค่ะ”

ปลัดพยักหน้าส่งสัญญาณว่ากระสุนหมดเช่นกัน ชายร่างใหญ่หนึ่งใน
กลุ่มเปอร์มูดอร์ เดินเข้ามาใกล้และเข้าใช้ปืนจ่อที่ศีรษะปลัด อีกสองคนตรงเข้ามาจับฉันไว้

“เก่งนักเหรอ ปลัด ไหนลองแสดงความเก่งเอาตัวให้รอดก่อนซิ” เสียง
หัวเราะเย้ยหยันดังกึกก้อง พลางใช้ด้ามปืนตบเข้าที่ขมับขวาของปลัดจนล้มลง เลือดไหลอาบใบหน้า

“ทำไมต้องเข่นฆ่าคนไทยด้วยกัน” ฉันทนเห็นภาพการทารุณต่อไปไม่ได้

“อาอิซะห์ เธอเป็นคนเก่ง น่าเสียดาย แล้วตอนนี้ ก็ไม่มีหน้าไหนมาช่วยเธอ
ได้อีก”ชายร่างใหญ่เล็งปืนมาที่ฉัน เหนี่ยวไก กระสุนพุ่งเข้าสู่หน้าอกซ้าย ฉันรู้สึกได้ถึงความเจ็บแปลบ ภาพความทรงจำระหว่างฉันและอาหามะ ปรากฏชัดขึ้นตามลำดับ ตาเริ่มพร่าเลือน แต่ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าจากรองเท้าท็อปบู๊ท และเสียงเรียกแว่วๆ ก่อนที่สติของฉันจะดับวูบลง

ฉันก้าวเดินด้วยความยากเย็นไปตามทางที่เต็มไปด้วยหมอกควันหนาทึบ
ยิ่งเดินเข้าไปหมอกยิ่งหนาปกคลุมทางเดินจนมองไม่เห็น แล้วเบื้องหน้าปรากฏแสงไฟเจิดจ้าส่องกระทบตาจนต้องหรี่ตาลง แต่ยังคงเพ่งมองไปข้างหน้า เงาตะคุ่มค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้จนปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ

“อาหามะ คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ฉันรีบวิ่งเข้าไปให้เห็นใบหน้าชายคนรัก
ได้อย่างชัดเจน แต่ไม่มีเสียงตอบจากเขา มีเพียงการพยักหน้ารับและยิ้มตอบช้า แล้วค่อยๆ เคลื่อนตัวจากไป ฉันรีบวิ่งตามเขาไปไม่ลดละ “โอ๊ย” ฉันรู้สึกเจ็บแปลบหัวใจอย่างแรง ก่อนที่ฉันจะรู้สึกล่องลอย...

“คุณหมอค่ะ ชีพจรคนไข้” นางพยาบาลชี้มือไปที่เครื่องวัดชีพจรและ
การเต้นของหัวใจ ทำให้บรรดาแพทย์และพยาบาลต่างระดมกำลังช่วยชีวิตคนไข้เต็มที่ ด้วยความโกลาหล

..........................................

แพทย์เดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน ที่มีผู้คนยืนรอฟังอาการอยู่แน่นขนัด

“หมอครับ ซะห์เป็นยังไงบ้าง” ปลัดนทีเอ่ยถามก่อนคนแรก

“ซะห์ปลอดภัยไหมคะ หมอ” หมอพัชชาถามด้วยน้ำเสียงห่วงใยเช่นกัน

“คุณอาอิซะห์ พ้นขีดอันตรายแล้วครับ แต่แม้กระสุนจะไม่โดนหัวใจ
แต่ทำให้เกิดอาการฉีกขาดและเสียเลือดมาก คงต้องรอดูอาการตลอดเวลาครับ” แพทย์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“ผมนี่มันเป็นปลัดที่แย่มากๆ ปกป้อง ซะห์คนเดียวยังทำไม่ได้ แล้วผม
จะไปปกป้องใครได้” ปลัดนั่งกุมศีรษะพลางกล่าวโทษตัวเอง

“ปลัดคะ อย่าโทษตัวเองเลย คุณทำดีที่สุดแล้ว เราต้องช่วยกันภาวนา
ให้ซะห์ปลอดภัย ฉันเชื่อค่ะ ว่าอาหามะ ต้องช่วย ซะห์ได้” หมอพัชชายกมือไหว้ตั้งจิตภาวนา ทุกคนนั่งรอต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ พร้อมภาวนาให้ซะห์ปลอดภัย

........................................

ฉันค่อยๆ ลืมตามองเพดานสีขาวขุ่น และค่อยๆ ขยับตัวแต่ก็ทำไม่ได้
เพราะยังคงเจ็บแปลบที่อกซ้าย “อย่าขยับค่ะ คุณ เดี๋ยวแผลฉีก” เสียงพยาบาลคนสวยร้องเตือนทำให้ฉันต้องนอนนิ่งๆ เหม่อมองเพดานอย่างเบื่อหน่าย ก่อนแพทย์เจ้าของไข้จะเข้ามาตรวจอาการอีกครั้ง

“คุณหมอคะ ฉันอยากพบคุณปลัด กับคุณหมอพัชชา”

“แต่ว่า...” ยังไม่ทันที่แพทย์จะเอ่ยปากห้าม ฉันพยายามขอร้องให้
หมอตามคนทั้งสองมา เพราะฉันรู้ว่า อีกไม่นานฉันคงต้องไปพบคนที่ฉันรักแล้ว อีกไม่นาน

...........................................

“ซะห์ เป็นไงบ้าง เธอต้องไม่เป็นไรนะ” หมอพัชชา รีบเข้ามากุมมือให้กำลังใจ

“คุณหมอคะ ฉันคงไม่สามารถทำหน้าที่ดูแลบ้านนานาคได้อีก ฉันอยาก
เห็นบ้านเราสงบสุขเสียที”

“ซะห์ หมอบอกว่าเธอปลอดภัยแล้ว เธอจะไม่เป็นไร เชื่อหมอซิ”
หมอพัชชากำมือฉันแน่น น้ำตาค่อยๆ ซึมออกมาโดยไม่รู้ตัว

“ไหนว่าซะห์ไม่เป็นไร แล้วคุณหมอร้องไห้ทำไมคะ” ฉันพยายามข่มอารมณ์ให้นิ่งที่สุดเพราะไม่อยากให้ใครได้เห็นความอ่อนแอแม้วินาทีสุดท้าย

“ซะห์” หมอพัชชา ไม่อาจกลั้นน้ำตาต่อไปได้ ปล่อยให้ไหลพรั่งพรูไม่หยุด

“คุณปลัดคะ คุณปลัดสัญญากับฉันนะคะ ว่าคุณปลัดจะไม่ท้อแท้ จะเดินหน้าทำความเข้าใจกับชาวบ้านต่อไป คุณหมอพัชชาน่าจะช่วยคุณปลัดได้ค่ะ”
ฉันค่อยๆ พูดให้ช้าลง เพราะยิ่งพูดยิ่งรู้สึกเจ็บแปลบที่อกซ้ายหนักขึ้นๆ

“ซะห์ ผมสัญญา ว่าผมจะไม่ท้อแท้ จะพยายามทำให้ชาวบ้านเข้าใจให้ได้
แต่ว่า...ซะห์ต้องไม่เป็นไร ซะห์ต้องอยู่ช่วยผม” ปลัดหยุดพูด พยายามกลืนก้อนเหนียวลงคออย่างลำบาก

ติ๊ด...ติ๊ด...ติ๊ด เสียงเต้นของหัวใจค่อยช้าๆ หมอพัชชาหันไปดูเครื่องวัดชีพจร แล้วรีบเรียกแพทย์เข้ามาทันที.....

.........................................

เวลาผ่านไปกว่า 3 ชั่วโมง ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีแพทย์หรือพยาบาลออกมา
บอกอาการของอาอิซะห์ ทุกคนยังคงนั่งสวดมนต์ภาวนาต่อพระเจ้า มีเพียงปลัดหนุ่มที่ยังคงเดินวนไปวนมาหน้าห้องฉุกเฉินด้วยอาการกระสับกระส่าย หมอพัชชาสังเกตเห็นอาการจึงเข้าไปจับแขนให้กำลังใจ

“คุณปลัดคะ ใจเย็นเถอะค่ะ ฉันเชื่อว่าซะห์ต้องไม่เป็นไร" หมอพัชชา กล่าว
ปลอบใจทั้งที่ใบหน้ายังเต็มไปด้วยคราบน้ำตาที่ยังไม่เหือดแห้ง

ปลัดค่อยนั่งลงสงบสติอารมณ์ พลางนึกภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองซะห์
หญิงผู้ที่เขาหวังจะรับเป็นคู่ชีวิต และนึกเสียดายที่ไม่เคยได้แสดงให้ซะห์ได้รู้ถึงความรู้สึกดีดีที่เขามีให้เป็นพิเศษ และไม่รู้ว่ามันจะสายเกินไปหรือไม่

........................................

ฉันกลับมาเดินบนทางที่ปกคลุมไปด้วยหมอกควันหนาทีบอีกครั้ง แต่คราวนี้
ฉันมองเห็นอาหามะชัดเจน เขายืนยิ้มให้ฉันอยู่ตรงหน้า และเดินเข้ามาใกล้ขึ้นๆ

“ซะห์ ไหนสัญญากับเรา ว่าเธอจะไม่อ่อนแอ กลับไปทำหน้าที่ของเธอ
กลับไป” เสียงหะมะก้องในโสตประสาท แล้วฉันรู้สึกได้ถึงแรงกระตุกแรงขึ้นๆ แล้วเหมือนร่างฉันกำลังล่องลอยไป...

.....................................

"เธอปลอดภัยแล้วครับ แต่ต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลอีกสักระยะ"
สิ้นคำตอบของแพทย์ ทุกคนต่างยิ้มแย้มด้วยความดีใจ

"คุณปลัดคะ ซะห์ปลอดภัยแล้ว เห็นไหมคะ คนดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อม
คุ้มครอง" หมอพัชชาจับแขนปลัดนทีเป็นการปลอบใจ ปลัดได้แต่ยิ้มรับโดยไม่พูดตอบ

"วันนี้ หมอยังไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยม กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะค่ะคุณปลัด
พรุ่งนี้เราค่อยมาเยี่ยม ซะห์"หมอพัชชา พยักหน้าชักชวน ก่อนเดินออกไป ปลัดค่อยๆ ลุกขึ้นเดินตามไป

ปลัดกลับถึงบ้านพัก พลางล้มตัวลงนอน แล้วค่อยๆ ผล็อยหลับด้วยความ
อ่อนแรง แต่ขณะกำลังเคลิ้ม ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาใกล้ พยายามจะลุกขึ้น แต่ความรู้สึกเหมือนตัวชาลุกไม่ขึ้น ได้แต่มอง เห็น อาอิซะห์ มายืนยิ้มอยู่ปลายเท้า

"ปลัดคะ ฝากบ้านนานาคด้วย ซะห์ไม่อาจทำหน้าที่ได้อีก ปลัดต้องเข้มแข็งนะคะ"เสียงก้องในหู และภาพข้างหน้าค่อยๆ จางหายไป

"ซะห์" ปลัดนที ตะโกนเรียกสุดเสียง ลุกขึ้น มองไปรอบๆ แสงอาทิตย์
สาดส่องกระทบแสบตา "นี่เราฝันไปหรือนี่" ปลัดได้แต่นึกในใจขออย่าให้เป็นจริง แต่แล้ว....เสียงตะโกนเรียกปลัดดังขึ้นด้วยน้ำเสียงรีบร้อน

"ปลัดค่ะ แย่แล้ว เร็วเถอะค่ะ ไปโรงพยาบาลด่วน ซะห์ แย่แล้ว" หมอพัชชา
ตะโกนเรียกเร่งร้อน ปลัดหนุ่มไม่รั้งรอคว้าเสื้อแจ๊กเก็ตสวมทับกระโดดลงพรวดเดียวถึงพื้น พร้อมขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว เพียงอึดใจก็ถึงหน้าโรงพยาบาล ทั้งสองคนรีบวิ่งที่หน้าห้องฉุกเฉินอย่างไม่รอช้า

"เธอสิ้นลมไปเมื่อคืนครับ น่าแปลกมากๆ เธอจากไปอย่างสงบ" แพทย์กล่าวช้าๆ พลางส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ หมอพัชชา ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาย พลางโผเข้ากอดร่างไร้ลมหายใจของฉัน ปลัดหนุ่มยืนมองด้วยน้ำตาซึม พลางกล่าวคำสัญญาเบาๆ คล้ายเสียงกระซิบ "ผมสัญญานะ ซะห์ ว่าผมจะช่วยเหลือชาวนานาคให้กลับมามีความสุขให้ได้ ผมสัญญา"

ฉันยืนมองอากัปกิริยาของคนที่รักฉันอย่างสุขใจ ฉันคงกล่าวได้เพียงคำขอโทษที่ไม่อาจกลับไปทำหน้าที่ปกป้องดูแลบ้านนานาคได้อีกแล้ว ทั้งที่เสียงคำขอโทษคงไม่มีวันที่ใครจะได้ยินอีก เพราะ ฉันคงต้องกลับไปสู่ความเมตตาของพระเจ้าแล้ว และหวังว่า ปลัดหนุ่มไฟแรง และหมอพัชชาผู้ทุ่มเทเพื่อคนไข้ทุกคน จะทำให้ชาวนานาคทุกคนมีความสุขได้ ขอให้ความสันติสุข กลับคืนสู่ ดินแดนใต้ด้ามขวานทองของไทยเสียที

จนถึงวันนี้ ฉันเข้าใจแล้วว่า คำที่ มูซาร์ ชายขาพิการเคยบอกเราไว้ "ไม้ซีกจะไปงัดไม้ซุงได้อย่างไร มีแต่จะหักเท่านั้น"

ใช่ หากไม้ซีกเพียงไม้เดียวคงไม่อาจงัดไม้ซุงหนาขึ้นมาได้ มีแต่จะหักไปเท่านั้น แต่หากไม้ซีกหลายๆ ไม้มารวมกัน ซุงหนาเพียงใด ไม่อาจทนทาน


Create Date : 19 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2551 23:39:24 น. 12 comments
Counter : 448 Pageviews.

 
“คุณพร้อมเมื่อไหร่ บอกหมอนะ จะได้ปล่อยเขาไปสบายเสียที”
ลุ้นมานาน เมื่อได้ยินคำนี้ก็ปล่อยโฮเหมือนกัน

ไม่ทราบมีเค้าความจากความเป็นจริงหรือเปล่า เพราะเขียนได้ดีมาก ทำให้มีความรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในสถานที่นั้นร่วมกัน

ถึงจะว่าเป็นบล็อกเล็กๆไม่ดัง..เราก็ไม่ต่างกันค่ะ เล็กเท่ากัน อยากเขียนอะไรเขียน
มาติดตามเรื่องอื่นต่อไปค่ะ ที่บ้านมีโอกาสรับใช้ชาติทางใต้เหมือนกัน..ขอให้อย่ามีอันตรายเกิดขึ้น


โดย: " ยูกะ " (YUCCA ) วันที่: 20 พฤศจิกายน 2551 เวลา:11:51:59 น.  

 


ปวดตาเรยผม


โดย: อืม...ครับ เชิญตามสบาย วันที่: 20 พฤศจิกายน 2551 เวลา:12:59:02 น.  

 
ผมป่าวว่าตัวหนังสือ คือผมว่ามันยาวมาก ผมอ่านจนปวดตาต่างห่างคับ แหะ ๆ


โดย: อืม...ครับ เชิญตามสบาย วันที่: 20 พฤศจิกายน 2551 เวลา:15:18:12 น.  

 
เราต้องอยู่ด้วยความศรัทธาค่ะ
ความเหงาในวันนี้จะทำให้เรารู้ว่า
วันข้างหน้าที่ความรักมาทักทาย
นั่นจะเปนการรอคอยที่มีค่าที่สุด


โดย: funkylady วันที่: 21 พฤศจิกายน 2551 เวลา:20:13:23 น.  

 
ยังไม่อยากให้มีตอนจบเลย..ชอบ
น่าจะมีตอน " ต่อจากตอนจบ "


โดย: YUCCA วันที่: 22 พฤศจิกายน 2551 เวลา:16:58:09 น.  

 
เขียนไปเรื่อยๆค่ะ อยารีบร้อน ผลงานก็จะออกมาดี
ไม่เร่ง..นานเท่าไหร่ก็ได้..มาคอยติดตามค่ะ

ราตรีสวัสดิ์ ฝันดีนะคะ


โดย: " ยูกะ " (YUCCA ) วันที่: 24 พฤศจิกายน 2551 เวลา:3:26:01 น.  

 
พอรู้ว่ารับรางวี่รางวัลเลยต้องรีบหาอ่านทันที

ทำไมหนอคุ้นเคยกันมานานแต่ไม่เคยเห็นในอีกแง่มุมหนึ่ง"เก่งเงียบ"นะเนี่ย เขียนดีมากค่า

เก็บบล็อคไว้แล้วจะตามอ่านเรื่อยๆ นะคะ


โดย: นิด กมลวรรณ IP: 125.24.157.3 วันที่: 21 เมษายน 2552 เวลา:17:58:29 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะที่เขียนให้่อ่าน เขียนดีมากๆค่ะ อ่านแล้วแอบน้ำตาร่วงไปด้วย

ทำไมคนไทยด้วยกันต้องฆ่ากันเอง



โดย: พื้นที่สีเขียว วันที่: 11 พฤษภาคม 2552 เวลา:8:37:07 น.  

 
เขียนดีมากคะเหมือนเราได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ด้วยเลยเวลาเศร้า ก็แทบจะน้ำตาไหลเหมือนกันน่าเอาไปทำละครนะคะผู้คนเค้าจะได้ทราบว่าชีวิตทางภาคใต้ต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง (เป็นกำลังใจให้นะคะเขียนเรื่องดีๆๆมาให้พวกเราได้อ่านอีกนะคะ)


โดย: เอ (เออีไอโอยู ) วันที่: 11 พฤษภาคม 2552 เวลา:10:44:00 น.  

 
อ่านจบหมดทั้งสามตอน เข้าใจและเห็นภาพได้ชัดเจนอย่างยิ่ง และเข้าใจชาวบ้านท่ต้องอยู่ระหว่างกลางของโจรร้ายและฝ่ายรัฐค่ะ

พวกเราคอยวันที่จะสงบสุขเสียทีค่ะ


โดย: ซองขาวเบอร์ 9 วันที่: 15 พฤษภาคม 2552 เวลา:15:39:41 น.  

 
เขียนเรื่องได้น่าอ่านและน่าติดตามมากค่ะ แฟนพี่ก็ทำงานอยู่ ศอ.บต.(ยะลา) ค่ะ เป็นข้าราชการพลเรือน ตอนนี้กำลังปฏิบัติการจิตวิทยา ดึงมวลชน "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา"


โดย: kapeak วันที่: 20 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:52:04 น.  

 
อ่านแล้วรู้สึกสองอย่างเลยครับ

อย่างแรก...รู้ว่าเป็นอะไรไม่ได้มาก แต่ก็อยากเป็นไม้อีกไม้ซีกที่ไปช่วยงัดไม้ซุง

อย่างที่สอง...ก็อยากภาวนาให้นักการเมืองไทย ที่คอยพร่ำพูดว่าตนนั้นแสนดี แต่ยังไม่ปรากฏที่ดีเท่า อาอิซะห์ เลยน่ะครับ

เขียนได้ดีมาก ๆ เลย...


โดย: archparty วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:16:40:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

bowwy14
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนคนหนึ่งที่แสนธรรมดา ซึ่งไม่เคยสำคัญสำหรับใคร แถมยังอยู่นอกสายตาทุกคนเสมอ และเป็นคนสุดท้ายที่ใครจะนึกถึง
Friends' blogs
[Add bowwy14's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.