ผีล่ากรรม ( บทที่ ๕ )



บทที่ ๕


เมธาวัฒน์ขับรถออกจากซุ้มประตูวัดพารถเข้าสู่ถนนทางตรงแล้วเขาจึงสนทนากับนางยุพิน

“คุณป้ารู้จักแม่ชีท่านนี้มาก่อนหรือเปล่าครับ”เขาถามพลางดูกระจกมองหลังแวบหนึ่ง

“เพื่อนป้าเคยชวนมาหาครั้งหนึ่งไม่นานนี้เองมีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่อยากรู้ว่าทำไมท่านถึงได้ชื่อแม่ชีตาเห็น”เขานิ่งไปชั่วครู่ราวกับนึกตรึกตรอง “เท่าที่พูดคุยกับท่าน เหมือนเราเข้าไปนั่งสนทนาธรรมกันนะครับไม่ได้มีอะไรให้แปลกใจเลยว่าท่านรู้เห็นอะไรมากกว่าคนทั่วไป”

“เรื่องนั้นป้าก็ไม่แน่ใจหรอกนะครั้งก่อนที่ได้พบท่านก็ไม่ได้ยุ่งกับวิชาอาคมอะไร เพื่อนป้าหลังยอกหลายวันกินยาไม่หายได้ข่าวมาว่าแม่ชีรักษาอาการเจ็บป่วยบางอย่างได้ ก็เลยชวนป้าไปหาท่าน”นางยุพินพูดเนือย ๆ

“แล้วรักษาหายมั้ยครับ” ชายหนุ่มยังถามต่อ

“ไม่ได้หายปลิดทิ้งต่อหน้าต่อตาอะไรแบบนั้นท่านให้น้ำขวดหนึ่งกลับไปอาบที่บ้าน น่าอัศจรรย์ว่าเพียงชั่วข้ามคืนอาการก็หายไป”

“แต่ก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันนะครับ”

“ข้อนี้ป้าไม่รู้รายละเอียดอะไรนัก บ้างก็พูดกันว่าคนป่วยหนักๆ รายที่เดินทางไม่สะดวก แต่ญาติ ๆ มาขอท่านช่วยอนุเคราะห์ เพียงแค่บอกชื่อบอกวันเดือนปีเกิดยังไม่ทันได้บอกอาการท่านก็พูดได้ว่าป่วยเป็นโรคอะไร ป้าว่าอาจจะมาจากสาเหตุนี้”

“ถ้าเป็นเรื่องจริงท่านคงปฏิบัติจนได้อภิญญาแล้วมั้งครับ”

กัญญานิ่งเงียบมาตลอดเพราะกำลังขบคิดถึงคำพูดของภิกษุรูปนั้น หล่อนเห็นว่าช่างเป็นความบังเอิญราวกับท่านร่วมอยู่ในวงสนทนาคณะของหล่อนกับแม่ชีอัมพร

‘พุทโธช่วยได้ จำไว้ให้ดี’ กระแสเสียงของภิกษุและแม่ชีดังซ้อนเป็นเสียงเดียวกันในความคิดคำนึงของกัญญา

“คิดอะไรอยู่หรือลูก นั่งเงียบเชียว”นางยุพินแตะแขนบุตรสาว

“เปล่าค่ะแม่” หล่อนบอกเสียงเบา สายตามองภาพข้างทางอย่างไร้จุดหมาย “เรามาผิดวันหรือเปล่าไม่รู้นะคะเห็นบางสำนักทรงเขาไม่รับแขกวันพระวันโกนทำนองนั้น”

“แม่ชีไม่ได้รับดูดวงจ้ะลูก ท่านช่วยคนอย่างเดียว”

“แล้วเรื่องของเราท่านช่วยได้หรือคะไม่ใช่อาการเจ็บป่วยทางกายนี่นา”

“ครั้งก่อนแม่เห็นมีคนมาหาท่านเรื่องทำนองนี้อยู่บ้างท่านคงพอจะรู้เหตุรู้ทางแก้อยู่เหมือนกันละนะ ไม่งั้นชาวบ้านคงไม่ไปพึ่งบารมีท่าน ดูแต่ต้นกับต่อก็ยังไปหาท่านด้วยเรื่องผีๆ สาง ๆ เลย”

“ใบหน้าท่านดูมีเมตตา ถ้าท่านรู้เห็นจริงก็คงไม่นิ่งดูดายกับคนที่ไปขอความช่วยเหลือหรอกครับเพราะท่านก็ไม่ได้รับเงินทองอะไรไม่ใช่หรือครับ”

“ไม่เลยจ้ะ” นางยุพินรีบบอก“ใครจะถวายเงินทองอะไรนี่แม่ชีไม่รับเลย บอกให้ไปถวายกับทางวัด”

“วันนี้ถือว่าเราไปทำบุญเพื่อความสบายใจ กัญไม่ต้องคิดอะไรมากนะครับ”เมธาวัฒน์พูด “ว่าแต่ตรงกลับบ้านเลยหรือจะไปแวะที่ไหนต่อมั้ยครับ”

“กัญ ลูกจะไปไหนหรือเปล่า”

กัญญาส่ายหน้าแทนคำตอบ

“ถ้างั้นก็แวะกินข้าวนอกบ้านกันก่อนแล้วค่อยเข้าบ้าน บ่ายโมงกว่าแล้วนี่ลุงอยู่บ้านคงเรียบร้อยไปแล้วละ” นางยุพินหันไปกล่าวกับชายหนุ่ม“ป้าไม่รู้ว่าเมธาจะแวะมา จะได้เตรียมทำกับข้าวไว้ให้”

“ผมก็ไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้าเหมือนกันครับ โทรศัพท์คุยกับกัญฟังเรื่องเมื่อคืนแล้วพูดกันว่าน่าจะได้เข้าวัดทำบุญกัญเห็นดีด้วยผมก็แต่งตัวออกมาเลยครับ”

“เรื่องเมื่อคืนน่ากลัวเหลือเกินลูกเอ๊ยตามเข้าไปหลอกหลอนถึงในห้องนอนจนแทบนอนกันไม่ได้ ลุงเขาก็เป็นห่วงเลยต้องให้ป้าเข้านอนเป็นเพื่อนยายกัญ”

“มีอะไรหรือครับกัญเล่าให้ผมฟังแค่ว่าเจ้าแต้มตาย” เมธาวัฒน์ถามขมวดคิ้ว

กัญญาอยากจะร้องทัดทานมารดาแต่ก็ช้าไปเสียแล้วเมื่อนางพูดขึ้นโดยเร็วว่า

“ไม่รู้ตัวอะไรเข้าไปอยู่ในตู้เสื้อผ้ายายกัญทำเสียงกุก ๆ กัก ๆ อยู่ข้างใน แต่พอเปิดดูกลับไม่เจออะไร ทำเอาขนลุกไปตาม ๆกันจนต้องนอนเปิดไฟไว้ทั้งคืน...”

หญิงสาวจึงทำได้แค่เพียงการเม้มริมฝีปากแล้วนิ่งเงียบ

“ได้ยินกันหมดทุกคนในบ้าน พูดแล้วยังขนลุก ป้าถึงได้ตัดสินใจไปหาแม่ชียังไงล่ะ”

“ผมว่าดูแปลก ๆ อยู่นะครับ”

“สำหรับป้านั้นเห็นว่าแปลกมากเชียวละทั้งเรื่องที่ยายกัญเจอมาและสิ่งที่ได้เห็นกับตาตัวเอง”

กัญญามิได้เล่าเรื่องนี้ให้เมธาวัฒน์ฟังเพราะเกรงเขาเข้าใจหล่อนว่าพูดเพ้อเจ้อด้วยความขลาดกลัวจนหูแว่วตาฝาดไปเสียทุกอย่างกับสิ่งรอบตัวซึ่งขณะนี้มารดาของหล่อนเป็นผู้เล่าเหตุการณ์เองอย่างน้อยก็ถือเป็นประจักษ์พยานว่าสิ่งที่หล่อนพานพบมามิใช่เป็นแต่เพียงเรื่องแต่งขึ้นมาแต่อย่างใด

และหล่อนยังเก็บงำความลับไว้อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องที่พี่ต่อบอกว่าเห็นคนแก่หน้าขาววอกนั่งอยู่เบาะหลังในรถของหล่อน นาทีนี้หญิงสาวชั่งใจว่าจะไม่พูดออกไปด้วยไม่ต้องการให้ผู้รับฟังต้องเป็นทุกข์ใจเพิ่มขึ้น

“เราทำบุญให้เขาไปแล้ว เขาคงไม่มารบกวนอีกหรอก”กัญญาหวังให้ผู้รับฟังทั้งสองคลายความกังวล

“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้นนะลูกอย่าได้มารบกวนกันอีกเลย เจ้าประคู้ณ” นางยุพินยกมือพนมขึ้นเหนือศีรษะ

“กินข้าวกันที่ตลาดดีกว่านะคะมีหลายร้านให้เลือก” หล่อนเปลี่ยนเรื่องพูด อยากให้ทุกคนลืมเรื่องลี้ลับต่าง ๆ เสียโดยที่หล่อนเองก็พยายามไม่หวนคิดถึงมันอีกเช่นกัน


-----------------------------------


วิรัตน์กับธีระออกจากวัดแวะซื้อของที่ตลาดแล้วก็ตรงกลับเข้าบ้าน

วิรัตน์ผู้พี่สั่งให้น้องชายเตรียมของเพื่อนำออกไปร้านแต่ตัวเองกลับเดินหาขันน้ำใบใหญ่เทน้ำมนต์ในขวดพลาสติกกรอกมาจากอ่างน้ำมนต์ของทางวัด

เขายกขันน้ำขึ้นระดับอก หลับตาแล้วทำปากขมุบขมิบราวกับบริกรรมคาถาบางอย่างครู่หนึ่งก็ลืมตาแล้วใช้นิ้วมือจุ่มลงในขันพลางเดินไปจุดนั้นจุดนี้ของบ้านเพื่อประพรมน้ำมนต์

“ทำบุญให้เขาไปแล้ว คงไม่ต้องพบเจอกันอีกแล้วมั้งพี่”ธีระมองพี่ชายแล้วยิ้มกว้างอย่างขบขัน

“ไปสู่สุคติเถอะโยม อย่ามารบกวนกันอีกเลย” ต้นพูดพลางพรมน้ำมนต์ใส่ข้างฝา

“เราก็เป็นโยมอยู่นะพี่ ไม่ได้เป็นพระซักหน่อย”

“พี่พูดแทนพระน่ะ ให้คุณผีเขาไปที่ชอบ ๆ” ต้นบอกหน้าตาเฉย

ต่อฟังแล้วหัวเราะ“พี่นี่ถูกผีหลอกจนเพี้ยนไปแล้ว”

“เรื่องผ่านมาแล้วนายก็หัวเราะได้น่ะสิตอนผีงับขาความรู้สึกเป็นไง เห็นสลัดขาเหยง ๆ จนล้มหงายท้องอยากให้นายเห็นหน้าตัวเองตอนนั้นเหลือเกิน” ต้นว่า

“พอเถอะพี่ พูดไปใครเขาก็ไม่เชื่อเราสองคนโดนผีกัดแต่ไม่เป็นรอยอะไร” ความชื่นบานบนใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นความหม่นหมอง“คงไม่ใช่พวกเราหนังเหนียวอะไรหรอกนะ วันก่อนพี่ยังถูกมีดบาดอยู่เลย”

ต้นมองน้องชายแล้วพยักหน้าเรียก

“มานี่ เดี๋ยวพี่จะพรมน้ำมนต์ให้ ขวัญเอ๋ยขวัญมา”พี่ชายไม่รอให้น้องชายขยับตัวเพราะเป็นฝ่ายเดินเข้าหาเสียเองแล้วพรมน้ำมนต์ให้จนชุ่มเต็มหน้า

“สาธุครับหลวงพี่ วันนี้หรือวันไหนอย่าได้มารบกวนกันอีกเลยนะคุณผี”ต่อแกล้งพูดให้พี่ชายสบายใจ ส่วนตัวเองยังไม่สามารถกำจัดภาพแห่งความกลัวไปได้ราวกับมันติดอยู่ในทุกขุมขน นึกถึงขึ้นมาคราใดก็พาให้ขนลุกชันได้ตลอด

“เอ้า ดื่มสักคนละอึกสองอึก เพิ่มความเข้มขลัง”ต้นยื่นขันน้ำมนต์มาให้ต่อตรงหน้า เขาส่ายหน้าแล้วดันขันกลับคืนไป

“เชิญพี่ตามสบาย ผมว่าน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์แต่มือพี่น่ะคงไม่ศักดิ์สิทธิ์สักเท่าไหร่ เข้าบ้านมายังไม่เห็นล้างมือเลยนี่ถ้าผมดื่มเข้าไปแล้วท้องเสีย เกิดเจอผีขึ้นมาอีกต้องวิ่งหนีผีแล้วถ่ายราดรดกางเกงใครรู้เข้าจะหาว่าผมกลัวผีจนขี้ราด”

“นายนี่ช่างคิดไปได้” ต้นหัวเราะก๊าก วางขันน้ำมนต์บนหลังตู้เย็นแล้วหันกลับมาพูดกับน้องชายด้วยสีหน้าจริงจัง“พี่ถามอะไรหน่อยนะต่อ คิดให้ดี ๆ ก่อนตอบ”

“มีอะไรหรือครับ”

“นายรู้สึกเจ็บมั้ยตอนถูกกะโหลกผีกัด”

ต่อนิ่งคิดทบทวนความรู้สึกของตัวเอง ครู่หนึ่งจึงตอบกลับไป“ไม่แน่ใจนะครับ กลัวด้วยตกใจด้วยปน ๆ กันเลยไม่ทันรู้สึกตัวมั้ง”

“พี่ว่าไม่เจ็บนะถ้าเจ็บก็ต้องมีรอยแผลให้เราเห็นสิ”

ต่อเม้มปาก กลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด

“ก็อาจจะเป็นอย่างพี่ว่า แบบนี้หรือเปล่าครับที่เขาเรียกว่าผีหลอกมาหลอกให้พวกเรากลัว แต่จริง ๆ แล้วทำอะไรพวกเราไม่ได้” ต่อบอกเรียบ ๆพลางนึกอะไรขึ้นมาได้จึงกลับมีรอยยิ้มในหน้า“ผมเคยได้ยินพระอาจารย์ท่านหนึ่งพูดว่า ผีไม่มีกล้ามเนื้อแต่เรามีกล้ามเนื้อจะกลัวมันทำไม ผีกินโอวัลตินไม่ได้ แต่เรากินได้ ฉะนั้นไม่ต้องไปกลัวมัน”

“ท่านเป็นพระก็เลยไม่กลัวแต่เราเป็นโยมจะไม่ให้กลัวยังไงไหว นี่ผมร่วงไปกี่เส้นแล้วก็ไม่รู้ เจอกันอีกสงสัยคราวนี้คงหัวโกร๋นแน่ๆ หมดหล่อกันพอดี” ต้นยิ้มแห้ง ๆ

“อุตส่าห์ดั้นด้นไปหาแม่ชีตาเห็นแต่ท่านก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะครับ”

“พี่ก็แปลกใจอยู่เหมือนกันนะ ป้าสาลี่ข้างบ้านบอกว่าท่านเก่งนักหนา”

ต่อฉุกใจคิดถึงคำพูดบางตอนของแม่ชีอัมพรด้วยว่าเป็นคำพูดเดียวกับที่พระภิกษุรูปหนึ่งกล่าวขึ้นมาขณะที่เขายืนคุยกับกัญญาใต้ร่มหูกวาง

“อาทิตย์นี้เราปิดร้านแล้วเข้าบ้านช้าหน่อยดีกว่าซื้อของรอใส่บาตรพระตอนเช้าก่อนแล้วค่อยเข้าบ้าน” ต้นบอก

“ก็ดีนะพี่ แม่ชีบอกให้ทำบุญทำดีเข้าไว้นี่ครับ”

“เราเป็นชาวพุทธ ถึงไม่เชื่อไม่ศรัทธาอะไรก็แล้วแต่อย่างน้อยคงต้องเชื่อเรื่องบุญบาปไว้บ้างละ”

ต่อคิดว่าพี่ชายของเขาพูดได้อย่างน่าคิดไม่เสียทีที่ได้บวชเรียนกันคนละพรรษาเมื่ออายุครบบวช


---------------------------------


โมงยามเคลื่อนเดินหน้าไปไม่ถอยหลังกลับสุริยันจันทราเคลื่อนคล้อยหมุนเวียนเปลี่ยนผัน คล้ายจะบ่งบอกสัจธรรมอยู่ทุกเช้าค่ำว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้จีรัง เฉกเช่นชีวิตคนเรานั้นเมื่อยามประสบทุกข์สาหัสหรือสุขหฤหรรษ์เพียงใด แม้อยากผลักไสความทุกข์หรือยึดเกาะเกี่ยวเอาแต่ความสุขไว้ฝ่ายเดียวก็หามีใครทำเช่นนั้นได้

กัญญากลับเข้าทำงานวันจันทร์ด้วยความแจ่มใสเนื่องจากในวันหยุดพักผ่อนของหล่อนมิได้พบเจอเรื่องลี้ลับอะไรให้หนักใจขึ้นมาอีกถึงอย่างนั้นหล่อนก็ไม่ประมาทในความดี กระทำเพิ่มพูนโดยการใส่บาตรพระเดินบิณฑบาตเช้าวันอาทิตย์และทำอาหารไปถวายเพลที่วัดไทรทองใกล้บ้าน

หล่อนถึงที่ทำงานก่อนเวลาเข้างานเสมอโดยมีนัดกับชนิษฐาที่ร้านนมสดใกล้ที่ทำงาน

“สองวันนี้ออกไปเที่ยวต่างจังหวัดมาหรือจ้ะ นี่ถ้าไม่รู้จักกันก็นึกว่านักศึกษาเพิ่งจบปอตรีดูหน้าเด็กขึ้นผิดตา เอ...หรือว่านัดเที่ยวกันสองต่อสองกับว่าที่เจ้าบ่าวในอนาคต”ชนิษฐาพูดกระเซ้าเพื่อนแล้วยกขนมปังประกบไส้ผักรวมกัดเคี้ยวตุ้ย ๆ

“ไม่ได้ไปไหนกันหรอกเมื่อวันเสาร์ไปวัดทำบุญด้วยกันแค่นั้นเอง” กัญญาบอกยิ้ม ๆ พลางยกแก้วนมช็อกโกแลตดื่ม

“อย่าบอกนะว่าพาไปจีบกันในวัดน่ะโรแมนติกซะเหลือเกิน” ชนิษฐามองเพื่อนตาค้าง

กัญญาต้องรีบวางแก้วนมเพราะกลัวหัวเราะจนสำลักน้ำนม

“ใครจะบ้าไปจีบกันในวัด ฉันพาแม่ไปด้วยหรอก”

“คู่เธอนี่ดูสมกันดีนะ พูดจาภาษาเดียวกันแถมยังชอบอะไรเหมือน ๆ กันอีก” ชนิษฐายกแก้วนมสดขาวนวลดื่มคั่นจังหวะการพูด ครั้นวางแก้วลงจึงกล่าวต่ออีกว่า“ฉันเห็นบางคู่นี่ความคิดเห็นไม่ค่อยตรงกัน คนหนึ่งไปภูเขา คนหนึ่งจะไปทะเลผู้หญิงจะกินก๋วยเตี๋ยว ผู้ชายจะกินข้าว แล้วก็ทะเลาะกันเพราะคิดสวนทางกันตลอด”

กัญญากัดขนมปังแล้วก็คิดไปว่าคู่ของหล่อนคิดเห็นสอดคล้องทางเดียวกัน เพราะหล่อนไม่เคยเอาแต่ใจด้วยเรื่องเล็ก ๆน้อย ๆ จนเป็นเหตุให้ผิดใจกัน ด้วยหล่อนไม่ชอบผู้มีนิสัยเจ้าอารมณ์อยู่เป็นทุนจึงทำให้หล่อนไม่อยากประพฤติตัวเยี่ยงนั้นแต่เหนืออื่นใดหล่อนว่าเมธาวัฒน์เป็นผู้ชายเรียบง่ายสบาย ๆ กับความเป็นอยู่ของชีวิตก็เลยไม่ค่อยมีเรื่องให้ขัดแย้งกัน

“กัญโชคดีนะที่ได้เจอคนดี ๆของเรานี่ไม่รู้พระพรหมท่านส่งให้มาเกิดหรือยัง”ชนิษฐาตาลอยเหมือนความคิดโลดแล่นไปแสนไกล

“คงมาเกิดแล้วละ เพียงแต่ไม่ตี๋ ไม่ขาวเธอก็เลยไม่มีสายตาให้เท่านั้นเอง” กัญญาแกล้งพูดไปทำนองนั้นหล่อนรู้ว่าหนุ่มบางคนในบริษัทมอง ๆ เพื่อนของหล่อนอยู่บ้างเหมือนกัน

“ขาวแต่ไม่ตี๋ ตี๋แต่ไม่ขาว มันก็ไม่ใช่นะเธอลองนึกภาพดูสิ ถ้าตี๋แล้วดำ ๆ นี่เขาก็คงไม่เรียกว่าตี๋หรอกใช่มั้ย” ชนิษฐาเม้มปากทำหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางส่ายหน้า “ฉันไม่อยากจะนึกภาพเล้ย”

กัญญาเห็นเพื่อนสาวยิ้มแย้มรื่นรมย์ตั้งแต่ยามเช้าหล่อนจึงไม่อยากทำลายบรรยากาศลงด้วยเรื่องลี้ลับของตัวเองซึ่งตั้งใจนำมาเล่าสู่กันฟัง

ใกล้ถึงเวลาเริ่มงานหญิงสาวทั้งสองออกจากร้านนมสดเดินเข้าสู่ที่ทำงานและเริ่มงานด้วยการรับวางบิลสินค้าจากร้านค้าวัสดุรายใหญ่ซึ่งให้เครดิตกับทางบริษัทโดยชนิษฐาเป็นผู้รับเรื่องติดต่อส่วนกัญญาจัดการแยกบิลรายการต่าง ๆ ที่เสมียนหน้างานนอกพื้นที่จัดส่งเข้ามาให้ด้วยการส่งผ่านหัวหน้างานระดับสูงซึ่งต้องเข้ามาติดต่อธุระเรื่องแบบแปลนกับทางบริษัทอยู่เป็นประจำ

ชายร่างท้วมผิวคล้ำแต่งกายด้วยกางเกงขายาวสีดำสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีกรมท่าผลักประตูเดินเข้ามาในสำนักงานเขาตรงเข้าไปทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะกัญญา

“สวัสดีครับ คุณกัญญา ผมมารับเช็คครับ”บุรุษนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ตรงเวลาเป๊ะเลยนะคะ”หล่อนยิ้มแย้มเช่นเดียวกับเขาด้วยความคุ้น “รอสักครู่นะคะเดี๋ยวกัญจะไปรับเช็คมาให้”

หล่อนลุกจากเก้าอี้จัดหาน้ำดื่มให้เขาแล้วเดินขึ้นชั้นสองเพื่อรายงานอรุณีแต่ยังไม่ทันที่หล่อนได้เอ่ยปากว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็ยื่นแฟ้มบางวางลงตรงหน้า

“ช่วงบ่ายจะเข้ามาอีกรายฉันเตรียมไว้ให้ในแฟ้มเรียบร้อยแล้ว”

“ค่ะ” กัญญารับคำสั้น ๆ ตั้งท่าจะลุกจากไป แต่อรุณีร้องห้ามด้วยเสียงห้วนๆ

“เดี๋ยวค่ะ น้องกัญ”

“คะ” หญิงสาวหันกลับมาเลิกคิ้วสูง

“วันก่อนคุณนิภาเข้าออฟฟิต เธอบ่น ๆเรื่องห้องเก็บวัสดุน่ะ เห็นว่าไม่เรียบร้อยขัดหูขัดตาเลยโทร.มาบ่นกับพี่เธอสองคนใครว่าง ๆ ก็เข้าไปเคลียให้พี่หน่อยนะ”

“ได้ค่ะ เดี๋ยวจะเข้าไปจัดการให้นะคะ”

“ทำป้ายห้าสอติดไว้ข้างฝาด้วยก็เห็นจะดีนะ”อรุณียิ้มมุมปาก “รู้จักมั้ยคะ สะสาง สะดวก สะอาด สุขลักษณะ สร้างนิสัย”

“รู้จักค่ะ” กัญญาตอบเรียบ ๆ ไปเพียงนั้นรู้ดีว่าอรุณีตั้งใจพูดกระทบหล่อน เพราะหน้าที่ควบคุมการเบิกจ่ายวัสดุในห้องนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของหล่อนกับชนิษฐาโดยตรง

หล่อนกลับลงไปจัดการกับเอกสารการรับจ่ายเช็คจนเรียบร้อยแล้วแลเห็นชนิษฐายังง่วนอยู่กับการสนทนากับผู้มาติดต่องานหล่อนจึงตัดสินใจเป็นผู้รับภาระห้องเก็บวัดสุเสียเอง โดยหล่อนได้เข้าไปกระซิบบอกเพื่อนให้รับรู้

“ยายนิด เดี๋ยวเราไปเคลียของที่ห้องเก็บวัสดุนะ”

ชนิษฐาพยักหน้ารับรู้กัญญาจึงถือสมุดเล่มบางสำหรับตรวจเช็ควัสดุติดมือไปด้วย

ห้องเก็บวัสดุเป็นส่วนต่อเติมอยู่ภายนอกด้านหลังตัวอาคารมีประตูเข้าออกทางเดียวที่ผนังส่วนลึกสุดของตึกชั้นล่าง ในห้องมีหน้าต่างเป็นกระจกสีดำบานเลื่อนเพียงบานเดียวบนผนังด้านหนึ่งมีเหล็กดัดติดไว้อย่างแน่นหนาเพราะภายนอกเป็นโรงจอดรถของบริษัท และยังมีพัดลมเพดานติดไว้สามตัวตามแนวยาวของห้อง

สิ่งที่เป็นหลักใหญ่ภายในห้องเก็บวัสดุคือตู้เหล็กสูงจำนวนหลายใบซึ่งตั้งเรียงชิดผนังด้านในสุดและมีชั้นเหล็กสามช่วงชั้นสำหรับวางของอีกหลายชิ้นจัดตั้งเป็นแถวเป็นแนวยาวขนาดไปกับความลึกของห้องวัตถุประสงค์หลักของห้องนี้นอกจากใช้เก็บวัสดุสำนักงานแล้วยังเป็นที่เก็บเครื่องใช้สำนักงานเก่าๆ และเอกสารต่าง ๆ ซึ่งยังไม่พ้นระยะเวลาทิ้งทำลาย

กัญญาเดินเข้าไปเปิดตู้เหล็กตรวจดูการจัดเรียงแฟ้มเอกสารเห็นบางชั้นมีการวางสลับเดือนกันอยู่บ้างหล่อนจึงดึงออกมาเรียงใหม่ จนถึงการจัดมัดเอกสารให้ซ้อนกันเป็นระเบียบ ทำอยู่อย่างนั้นหลายตู้แล้วก็หันไปจัดการกับกล่องวัสดุต่างๆ ที่มีมากมายแต่ไม่ถึงกับรกจนไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย

ส่วนที่รกที่สุดในห้องน่าจะเป็นชั้นเก็บแบบแปลนผลงานเก่าๆ ของบริษัท วางซ้อนทับก่ายกันไปคนทิศทาง จากฝีมือของหัวหน้างานและสถาปนิกเข้ามารื้อค้นแล้วจากไปด้วยความรีบร้อน ทำให้กัญญากับชนิษฐาต้องส่ายหน้าทุกครั้งที่เข้ามาเห็นบางครั้งพวกหล่อนหลงลืมไม่ทันได้ตามเข้าไปจัดเก็บก็เป็นเหตุให้โดนบ่นอยู่บ้างเป็นบางคราว

ขณะที่หญิงสาวกำลังตั้งใจจัดเรียงม้วนกระดาษบนชั้นเหล็กอยู่นั้นหล่อนได้ยินเสียงเปิดปิดประตูห้องครั้งหนึ่งก็เข้าใจว่าชนิษฐาติดตามเข้ามาช่วยงานหล่อน

“พี่เขากลับไปแล้วหรือ” หล่อนถามเสียงดังแต่ไม่มีการโต้ตอบกลับมา ไม่มีแม้กระทั่งเสียงรองเท้ากระทบพื้น ทำให้หล่อนต้องชะงักมือแล้วหันมองผ่านช่องทางเดินระหว่างชั้นเหล็ก

“นั่นเธอใช่มั้ยยายนิด”

ไฟฟ้าดับวูบลงทำให้จุดที่กัญญายืนอยู่เหลือเพียงแสงสลัวๆ พร้อมกับเสียงประตูเปิดปิดดังซ้ำอีกครั้ง

“นิด อย่าแกล้งกันแบบนี้ ฉันยิ่งกลัว ๆ อยู่นะ”หล่อนว่า

ไฟฟ้ากลับสว่างขึ้นมา แต่เพียงไม่นานก็ดับวูบลงอีกทำให้หญิงสาวต้องเดินตัดตรงไปยังช่องว่างระหว่างชั้นเหล็กอีกแถวหนึ่ง หวังจะได้เห็นใครสักคนที่แกล้งล้อเล่นกับหล่อนแต่ก็ไม่พบใครเลย

ฝาตู้เหล็กบานหนึ่งซ้ายมือกัญญาแง้มออกเองอย่างช้าๆ หล่อนเห็นภาพนั้นแล้วใจเต้นรัวจนเดินเซเข้าไปชนชั้นเหล็ก

ภายในตู้เกิดเสียงดังกุกกักราวกับมีตัวสัตว์กระโดดดิ้นอยู่ข้างในทำให้หล่อนหนาวเยือกไปทั้งกายมันเป็นตำแหน่งของตู้เก็บเอกสารสำคัญซึ่งมัดรวมใส่ไว้จนแทบไม่เหลือที่ว่าง...แล้วเสียงกุกกักนั้นดังขึ้นได้อย่างไร!

หล่อนก้าวเท้ากระเถิบถอยหลังด้วยความพรั่นพรึง จังหวะเดียวกันนั้นเองฝาตู้อีกบานก็เปิดออกอย่างแรงจนเกิดเสียงดังพร้อมร่างบวมอืดสีเขียวเรืองดุจซากศพจมน้ำยืนปรากฏตัวอยู่หน้าตู้ มันเบิกตาโพลงแล้วพุ่งเข้าหากัญญา

“กรี๊ดดด!” หญิงสาวเซถลาล้มลงบนพื้นซากศพทาบทับบนตัวหล่อน ด้วยความตื่นกลัวหล่อนจึงผลักศพนั้นออกไปให้พ้นตัวและมันก็กลิ้งไปนอนหงายหน้าอยู่ข้างกายหล่อนนั้นเอง

กัญญาดันตัวหมายจะลุกหนี แต่มือของศพจับข้อเท้าของหล่อนไว้จนหล่อนล้มลมอีกคราว

ซากผีพลิกกายลุกขึ้นยืนแล้วลากตัวกัญญาตรงไปยังตู้เอกสาร

“ตาย...ตายเสียเถอะมึง!” เสียงนั้นห้าวห้วนราวกับเป็นเสียงของผู้ชาย

“ไม่! กรี๊ดดด!” หล่อนกรีดร้องดิ้นรนด้วยความตื่นกลัวแต่ในห้วงอารมณ์นั้นกลับเห็นภาพแม่ชีอัมพรสว่างวาบขึ้นกลางความคิด จะด้วยเหตุใดหล่อนก็ไม่อาจรู้ได้พลันให้กัญญาระลึกถึงน้ำเสียงของแม่ชีในโสตประสาทแล้วภาพของแม่ชีอัมพรก็เลือนหายกลายเป็นตัวอักษรขึ้นมาแทน

กัญญาหลับตานิ่งรวบรวมสติกล่าวคำตามที่เห็นปรากฏในห้วงความคิด

“พุทโธ! พุทโธ!พุทโธ!”

แม้จะกล่าวออกไปด้วยสติซึ่งเจือด้วยความกลัวแต่หล่อนก็พอจะรับรู้ได้ว่าเกิดอาการขนลุกซู่ทั่วทั้งกาย

กัญญาลืมตาขึ้นพบว่ารอบกายสว่างด้วยแสงนวลจ้าอยู่ครู่หนึ่งแล้วสติรับรู้ของหล่อนก็ดับวูบลง




Create Date : 29 กันยายน 2556
Last Update : 29 กันยายน 2556 18:35:45 น.
Counter : 832 Pageviews.

3 comments
  
มาทักในนี้ อ่านที่กระทู้แล้วล่ะ
โดย: มาโซคิส วันที่: 29 กันยายน 2556 เวลา:19:05:53 น.
  
งือออ น่ากลัวค่ะ
อยู่คนเดียว ห้องยิ่งวังเวง
ยังมาเจอศพอืดๆอีก จะบร้าเลยนุ่น แหะๆ

กัญญาต้องทำบุญหนักๆแล้ว
พุทโธช่วยได้จริงๆด้วยนะคะ

ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เค้าเยอะ
จะช่วยได้จนไม่ต้องถึงชีวิตมั๊ยคะเนี่ย

****ไปที่กระทู้ จะอ่านค่ะ
แต่นุ่นโหลดนิยายของใครๆก็ไม่ขึ้นเลย
เคืองพี่พันจัง

อ่านในนี้ก่อนนะคะ ถ้าดีเมื่อไหร่ค่อยไปกีฟ+โหวตให้ค่า ^^
โดย: lovereason วันที่: 29 กันยายน 2556 เวลา:23:52:43 น.
  
ขอบคุณทั้งสองท่านที่เข้ามาทักทาย
ตอนนี้เกิดอาการงง ๆ กับระบบเหมือนกันค่ะ (มึนม๊ากกกก...) ^ ^'

คุณนุ่นจะลองนำ 'พุทโธ' ไปใช้ยามเผชิญหน้ากับสิ่งลี้ลับดูบ้างก็ได้นะคะ ไม่สวงนวิธีค่ะ ^ ^
ได้ผลอย่างไรมาเล่าสู่กันฟังบ้างเน้อ
โดย: พ ชมภัค วันที่: 30 กันยายน 2556 เวลา:17:20:21 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

พ ชมภัค
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



เป็นคน...ยาก
ยากเป็น...คน
คน...เป็นยาก

โดยเฉพาะถ้าคิดจะบรรลุจุดมุ่งหมาย
...ยากยิ่งกว่ายาก

หนทางที่เต็มไปด้วยขวากหนาม ล้วนจำเป็นต้องเสียสละ เสียสละ...และเสียสละ

--------------------พระสนมเฉียนเฟย-----------


** ** ** ** **

อย่าได้คิดจะยอมแพ้และละทิ้งไปง่าย ๆ แบบนี้...

ก็อย่างที่ฉันบอกนั่นแหละ

ถ้าไขว่คว้าความฝันนี้ไม่ได้...
ก็เปลี่ยนเป็นความฝันอื่นเสียก็สิ้นเรื่อง

ยิ้มสักครั้งสิ ความสำเร็จ ชื่อเสียงไม่ใช่ปลายทาง

ทำให้ตัวเองมีความสุขต่างหาก... ถึงจะเรียกว่าคุณค่าและความหมาย

....ไม่ต้องกลัวหัวใจจะแหลกสลาย....

----------------โจว เจี๋ยหลุน (Jay Chou)-------
กันยายน 2556

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
16
17
18
19
20
22
23
24
25
26
27
28
30
 
 
MY VIP Friends