ผีล่ากรรม ( บทที่ ๔ )





บทที่ ๔


เงาดำนั้นยังมิได้เลือนหาย  แต่ไม่ปรากฏรูปร่างชัดเจน สิ่งเดียวที่ค่อย ๆเด่นชัดขึ้นมาคือจุดสีแดงสว่างโพลงตรงส่วนหัวซึ่งดูคล้ายดวงตา

“ต่อเปิดไฟ!” ต้นรีบบอกน้องชาย

เสียงเข้มของเขาทำให้ต่อหายตกตะลึงรีบลุกขึ้นยืนแล้วมุ่งไปกดสวิตซ์ไฟข้างประตู

แสงไฟนีออนสว่างจ้าขึ้นในเวลาไม่นาน สองหนุ่มพี่น้องต่างจ้องมองไปยังใต้บันไดเป็นตาเดียวกัน เงาดำเลื่อนไหลไปรวมกันที่ส่วนหัว ขึ้นรูปกลายเป็นหัวกะโหลกสีขาวขุ่นขยับขากรรไกรขึ้นลง

“ตาย...ต้องตาย”

ต่อได้ยินเสียงพูดถึงความตายดังขึ้น เกิดความรู้สึกเย็นเยือกสันหลังแล่นลามไปถึงต้นคอของเขาทันที

กะโหลกตาแดงหล่นวูบลงบนพื้นและเคลื่อนตัวเข้าหาต้นซึ่งยังนั่งกองอยู่บนพื้นหน้าฐานบันได มันขยับขากรรไกรกว้างก่อนงับท่อนแขนของชายหนุ่มในทันทีที่ถึงตัวเขา

“โอ๊ย! ไปให้พ้น! ออกไปให้พ้น!” ต้นตะโกนลั่น

ต่อมองภาพพี่ชายสลัดแขนไล่กะโหลกผีแล้วถึงกับถอยกรูดหลังชนฝาด้วยความหวาดกลัว และเขาต้องอ้าปากค้างดวงตาเบิกกว้างเมื่อกะโหลกนั้นกระเด็นมาอยู่แทบเท้าของเขา

“ตาย...พวกมึงต้องตาย” เสียงบอกความตายดังขึ้นอีกครั้งข้างหูต่อ จนเขาต้องเหลียวมองด้านข้างเพราะพรั่นพรึงว่าใครบางคนหรืออะไรบางอย่างอาจมายืนกระซิบข้างหูเขา แต่ก็ไม่เห็นมีอะไร

“ต่อระวัง!” เสียงต้นร้องเตือน

ต่อหันหน้ากลับมาก็พบว่าหัวกะโหลกขาวกำลังลอยขึ้นจากพื้น ชั่วพริบตาเดียวมันงับเข้าที่น่องโดยเขาไม่ทันตั้งตัว

“เวรแล้ว! อย่ามายุ่งกับกู!” ต่อร้องเสียงดัง ลนลานเตะขาไปในอากาศจนเสียหลักล้มลง จึงไม่ทันได้สังเกตความรู้สึกตัวเองว่า จุดที่ถูกฟันจากหัวกะโหลกงับนั้นหามีความเจ็บปวดแต่อย่างใด


----------------------------------


กัญญาเดินเข้าไปหามารดาซึ่งกำลังนั่งสนทนากับบิดาของหล่อนอยู่บนม้าหินอ่อนหน้าบ้าน ภายใต้ซุ้มการเวกสร้างจากไม้ระแนงนิ้วตีไว้ห่างราวหนึ่งฝ่ามือ หล่อนบอกเล่าความตั้งใจของเมธาวัฒน์ที่ได้ชักชวนไปวัดทำบุญ

“เมษให้ชวนแม่ไปด้วยค่ะ แม่จะไปด้วยมั้ยคะ”

“ไปสิลูก” นางยุพินรีบตอบรับ “ว่าแต่จะไปทำบุญอะไรล่ะ”

“กัญอยากถวายสังฆทาน บอกให้เมธแวะซื้อถังสังฆทานมาด้วยแล้วค่ะ” หล่อนบอกความตั้งใจแล้วหันไปพูดกับบิดา “พ่อไปด้วยกันนะคะ”

“ไปกันเถอะลูก เดี๋ยวพอขออยู่เฝ้าบ้านดีกว่า ไม่มีเจ้าแต้มอยู่ก็คงต้องระแวดระวังกันมากขึ้น” นายกันต์พลพูดเรียบ ๆ แต่มีผลทำให้กัญญาต้องลดสายตาลงต่ำ

หญิงสาวรู้ว่าบิดามิได้ตั้งใจใช้คำพูดกระทบจิตใจหรือความรู้สึกของหล่อน ตัวของหล่อนเองต่างหากที่ยังรู้สึกผิดในใจโทษฐาน‘คนบาป’ ผู้ทำการปลิดชีวิตของเจ้าแต้ม

นางยุพินมองดูบุตรสาวแล้วพูดทำลายความเงียบ

“มีถังสังฆทานแล้วเราก็ทำกับข้าวเสริมไปถวายพระด้วยดีมั้ยลูก รีบทำกับข้าวสักอย่างสองอย่างคงทันกว่าพ่อเมธาเขาจะมาถึง” ว่าพลางนางก็ลุกขึ้นจากม้านั่ง

กัญญาติดตามนางยุพินเข้าครัวช่วยกันประกอบอาหารปรุงไม่ยุ่งยากอันได้แก่ปลาหมึกทอดและต้มยำไก่ จัดเตรียมใส่ปิ่นโตเสร็จเรียบร้อยแล้วต่างแยกย้ายกันแต่งตัวรอการมาถึงของเมธาวัฒน์ ไม่นานเสียงแตรรถของชายหนุ่มก็ดังขึ้นที่หน้าประตูรั้ว

หญิงสาวหิ้วปิ่นโตออกไปหน้ามุขพบว่านายกันต์พลจัดการเปิดประตูให้รถเก๋งสีดำแล่นเข้ามาในบริเวณบ้านเรียบร้อยแล้ว หล่อนเห็นเมธาวัฒน์ดับเครื่องยนต์เปิดประตูลงจากรถมายกมือทำความเคารพบุพการีทั้งสองของหล่อนยังความอบอุ่นแผ่นซ่านในดวงใจ

ฐานะครอบครัวของเมธาวัฒน์เหนือกว่ากัญญามาก แต่ครอบครัวเขามิได้กีดกันการคบหาระหว่างเขากับหล่อน อาจเป็นเพราะเมธาวัฒน์เป็นลูกชายคนสุดท้องของบ้านที่บรรดาพี่ชายสองคนต่างประสบความสำเร็จในชีวิตจนพ่อแม่เลิกเป็นกังวลกับเส้นทางชีวิตของลูกๆ ถึงอย่างนั้นบ้านของหล่อนก็มิได้ตื่นเต้นอะไรมากมายกับฐานะของฝ่ายชาย นายกันต์พลกลับพูดให้ข้อคิดว่าการครองคู่มิใช่มีปัจจัยเรื่องฐานะเพียงอย่างเดียว

“ผมซื้อดอกไม้ ซื้อพวงมาลัยมาพร้อม เผื่อได้ไปไหว้พระด้วยเลยนะครับ” เมธาวัฒน์พูดกับผู้สูงวัย

“ช่างรู้ใจคนแก่นะพ่อคุณ” นางยุพินยิ้มละไม “เสียดายลุงเขาไม่ได้ไปด้วย”

“อ้าว ทำไมหรือครับ”

“เจ้าแต้มไม่อยู่ก็เลยเกิดนึกเป็นห่วงบ้านขึ้นมา”

“โธ่ ฟังคุณพูดเหมือนตอนมีเจ้าแต้มอยู่นี่ผมไม่เคยห่วงบ้านเลย” นายกันต์พลพูดยิ้ม ๆ

“ให้ลุงอยู่บ้านนี่แหละ แล้วค่อยหาโอกาสไปพร้อมหน้ากันวันหลัง วันนี้เขายังมีห่วงเลยไปไม่ถึงวัด” นายยุพินหันกลับไปบอกชายหนุ่มพลางกวักมือเรียกบุตรสาว “ไปกันเถอะลูก เดี๋ยวจะไม่ทันเพล”

หญิงสาวต่างวัยทั้งสองคนเข้าไปนั่งตอนหลังรถเรียบร้อยดีแล้วเมธาวัฒน์จึงกล่าวลานายกันต์พล

“ผมไปก่อนนะครับคุณลุง”

“ลุงอนุโมทนาบุญด้วยนะพ่อหนุ่ม” ผู้สูงวัยบอกสีหน้าแช่มชื่น

พอเคลื่อนรถออกจากบ้านฝ่ายหญิงเมธาวัฒน์ก็ถามขึ้นว่า “เราจะไปวัดไหนกันดีครับ”

“ไปวัดศรีมงคลกันเถอะ” นางยุพินพูด “พ่อหนุ่มคงไม่คุ้นชื่อละมัง ยายกัญบอกทางให้ด้วยนะลูก”

“ถึงปากทางแล้วเลี้ยวขวาตรงไปเรื่อย ๆจนถึงตลาดก่อนค่ะเมธ” กัญญาบอกเส้นทางแล้วหันไปถามมารดา “ทำไมไม่ไปวัดไทรทองคะแม่”

วัดไทรทองเป็นวัดประจำชุมชนในเขตพื้นที่บ้านของหล่อน แต่วัดศรีมงคลเป็นวัดประจำชุมชนของเขตพื้นที่ใกล้เคียงอีกชุมชนซึ่งตั้งอยู่บนเขตติดต่อของสองชุมชนพอดี

“ไปเถอะลูก ถึงแล้วเดี๋ยวก็รู้เอง”

กัญญาฟังแล้วนิ่งคิดว่าแม่ของหล่อนต้องมีจุดหมายอะไรบางอย่างจึงได้เลือกไปวัดศรีมงคล ด้วยปกติบ้านหล่อนเข้าวัดทำบุญที่วัดไทรทองเป็นหลัก

“ผ่านตลาดแล้วเลี้ยวขวา ไปตามถนนเรื่อย ๆ เมธจะเห็นกำแพงวัดยาวเลยค่ะ”

รถเก๋งสีดำเป็นประกายสะท้อนแดดยามสายแล่นช้า ๆไปตามถนนคอนกรีต ผ่านบ้านเรือนและร้านค้าสองข้างทางเพียงไม่นานฝั่งหนึ่งก็กลายเป็นกำแพงสีขาวยาวเป็นเส้นตรงขนานไปตามแนวถนน

“สุดกำแพงแล้วเลี้ยวซ้ายค่ะเมธ เข้าไปอีกไม่ไกลจะเห็นประตูทางเข้า” กัญญาชี้ทาง

สิ่งแรกที่มองเห็นเด่นชัดเมื่อรถแล่นผ่านซุ้มประตูสูงใหญ่เข้าไปในเขตวัดคือมณฑปหลังคากระเบื้องดินเผาสีแดงตั้งอยู่บนฐานบันไดเก้าขั้นสามด้านอันได้แก่ด้านซ้ายขวาและด้านหน้า ตัวมณฑปเป็นแบบเปิดโล่งทั้งสามด้านตามทิศของบันได มีเพียงด้านหลังปิดทึบเป็นฉากทาสีแดงเขียนลายไทยสีทองเสริมความเด่นขององค์พระพุทธรูปปางสมาธิซึ่งประดิษฐานอยู่กลางมณฑป

“เมษขับเข้าไปทางขวาจะเป็นลานจอดรถค่ะ เข้าไปจอดได้เลย”

คณะของกัญญาลงจากรถจัดเตรียมข้าวของเสร็จก็เป็นเวลาสิบนาฬิกาเศษ

“ไปหาพระรูปไหนคะแม่” หล่อนถามมารดา

“ไม่ได้เฉพาะเจาะจงหรอกลูก สังฆทานเราถวายให้กับหมู่คณะของสงฆ์”

กัญญาพอมีความรู้ในเรื่องเจตนาของการทำสังฆทานอยู่บ้าง แต่หล่อนถามนางยุพินเพราะไม่แน่ใจในความประสงค์ของมารดา

“ไปทางนั้นก็ได้ครับ ผมเห็นมีพระรูปหนึ่ง” เมธาวัฒน์พูด

หญิงสาวหันมองทิศทางที่ชายหนุ่มบอกเห็นภิกษุนุ่งสบงสวมอังสะยืนหันหลังถือไม้กวาดกวาดใบไม้อยู่ใต้ร่มต้นหูกวาง และเมื่อพากันเดินเข้าไปถึงนางยุพินก็เป็นผู้ประนมมือบอกความประสงค์การทำบุญ

“ขอนิมนต์ท่านรับสังฆทานเจ้าค่ะ”

ครั้นภิกษุร่างสูงหันกลับมากัญญาก็รู้สึกคุ้นหน้า และนึกขึ้นได้ว่าเคยพบท่านมาก่อนเมื่อไปใส่บาตรที่ตลาด ใบหน้าท่านแม้มิได้ยิ้มแต่ดูอิ่มเอิบผ่องใสราวกับผู้มีอายุเพียงสี่สิบปีเศษ

“เข้าไปนั่งพักร้อนที่หน้ากุฏิกันก่อนเถอะโยม” ท่านกล่าวเนิบๆ

กุฏิของท่านอยู่ไม่ห่างจากต้นหูกวางนั้นเอง เป็นอาคารสองชั้น ครึ่งบนเป็นไม้ครึ่งล่างเป็นปูนติดกระจกบานเลื่อนขนาดใหญ่เป็นประตูทางเข้า พื้นที่ภายในหนึ่งในสามเป็นห้องมิดชิด ส่วนที่เหลือเป็นส่วนโล่งตั้งโต๊ะหมู่บูชาไว้ตรงมุมหนึ่งมีอาสนะวางด้านข้าง ปูพรมผืนใหญ่ลายเถาวัลย์ซับซ้อนสีครีมเว้นระยะห่างออกมาจากอาสนะพระ

ฆราวาสทั้งสามนั่งลงบนพรมแล้วพากันกราบพระพุทธรูปหน้าโต๊ะหมู่บูชา โดยฝ่ายภิกษุเดินหายเข้าไปในห้องด้านซ้ายมือ

“วัดนี้ดูร่มรื่นดีนะครับ กัญ” เมธาวัฒน์เอ่ยขึ้น

กัญญาเองก็สัมผัสได้ถึงความสงบร่มเย็นตั้งแต่ก้าวแรกตอนลงจากรถ วัดนี้ร่มรื่นด้วยสีเขียวของไม้ใหญ่หลายต้น และยังมีเสียงระฆังลมดังกรุ๋งกริ๋งอยู่เนือง ๆ

“ที่หลังวัดมีสระบัวด้วยนะคะ ทางวัดปลูกบัวไว้เต็มเลยค่ะ สวย ๆ ทั้งนั้น” หล่อนบอกชายหนุ่มข้างกาย

“เดี๋ยวไหว้พระเสร็จแล้วกัญต้องพาผมไปดูนะครับ”

“สวยจริง ๆ นะลูก ป้าเห็นแล้วยังนึกอยากเลี้ยงบัวขึ้นมาบ้างเลย” นางยุพินพูดเสริม

บานประตูของห้องเดียวในที่นั้นเปิดออก ภิกษุร่างสูงกลับออกมาด้วยการนุ่งห่มจีวรสีกรักแบบเฉวียงบ่า ท่านเดินมานั่งลงบนอาสนะข้างโต๊ะหมู่เรียบร้อยดีแล้วฆราวาสทั้งสามพนมมือก้มลงกราบพระสงฆ์

“เจริญพร วันนี้มาทำอะไรกันล่ะโยม”

“ลูกสาวจะมาถวายสังฆทานค่ะท่าน ย่างยี่สิบห้าสงสัยดวงจะไม่ค่อยดี” นางยุพินพูด

“โยมผู้ชายอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ”

“ผมยี่สิบหกแล้วครับ” เมธาวัฒน์ตอบ

“แล้วตอนยี่สิบห้ามีอะไรไม่ดีบ้างมั้ย” ภิกษุถามต่อ

ชายหนุ่มทำหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงตอบคำถาม

“ก็ไม่มีนะครับ ปกติดีครับ”

ภิกษุหนุ่มใหญ่ยิ้มในหน้าพลางกล่าวสืบไป “คนเราต้องอยู่เหนือดวงนะโยม ดำรงชีวิตด้วยสติและปัญญา”

“สาธุเจ้าค่ะ” นางยุพินยกมือขึ้นประนม “แต่ว่า...มีเรื่องผี ๆ สาง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยสิเจ้าคะ เกรงว่าจะมาขอส่วนบุญ”

“อย่างนั้นหรือโยม” ท่านหันไปถามกัญญา

“เจ้าค่ะ” หล่อนตอบรับสั้น ๆ มิได้เล่าขยายความในเหตุการณ์ที่ประสบให้พระฟัง กลัวท่านจะเห็นเป็นเรื่องเหลือเชื่อไร้สาระ

“ก็ได้แต่ทำบุญไปให้เขา ส่วนจะถึงหรือไม่ถึง แล้วเขาจะรับหรือไม่รับก็เป็นส่วนของเขา อย่างน้อยโยมก็ได้ในส่วนของโยมละนะ” ภิกษุเงยหน้ามองนาฬิกาทรงกลมเรือนใหญ่บนผนังครู่หนึ่งจึงพูดต่อ “ตั้งใจกันให้พร้อมแล้วก็ถวายของเถอะโยม”

กัญญาเปิดกระเป๋าถือหยิบซองสีขาวออกมายกขึ้นพนมระดับอก หล่อนใส่ธนบัตรไว้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่อยู่บ้าน ตั้งใจถวายเป็นค่าน้ำและค่ากระแสไฟของวัดโดยได้เขียนระบุไว้ชัดเจนที่หน้าซอง

หญิงสาวอธิษฐานขอให้เหตุร้ายทั้งปวงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แล้วหล่อนก็ยื่นซองให้มารดากับเมธาวัฒน์ร่วมบุญ จากนั้นทั้งคณะจึงช่วยกันประเคนของและภัตตาหารที่เตรียมมาถวายแด่พระสงฆ์ จนเสร็จสิ้นลงด้วยการร่วมกันกรวดน้ำรับพรจากพระ

“ใกล้เพลแล้วเดี๋ยวท่านต้องฉันเพล เราออกไปไหว้พระกันก่อนจะได้ไม่เป็นการรบกวนท่าน” นางยุพินบอกผู้ร่วมคณะ

ทั้งสามคนพ้นจากกุฏิพระไม่นานเสียงกลองก็ดังกึกก้องทั่วบริเวณวัดบ่งบอกเพลาเพล พวกเขาพากันไปปิดทองไหว้พระบนมณฑปและทำบุญรูปแบบต่าง ๆตามที่ทางวัดจัดไว้ แล้วก็เดินอ้อมไปด้านหลังวัดซึ่งมีไทรใบแหลมต้นสูงพุ่มใหญ่ปลูกไว้เป็นระยะอยู่รอบสระบัวขนาดใหญ่ มีม้าหินตั้งเป็นระเบียบอยู่ใต้โค้นไม้ราวกับจัดเตรียมไว้เป็นสถานที่นั่งพักผ่อนให้กับผู้ไปเยี่ยมชมสระบัว

กัญญาเคยแวะมานั่งชมสระบัวกับบุพการีอยู่หลายครั้งจึงไม่รู้สึกแปลกตาอะไร สิ่งเดียวที่หล่อนยังประทับใจมิรู้ลืมคือภาพความงามของดอกบัวหลากสีชูก้านดอกโผล่พ้นกลุ่มใบขึ้นมาเหนือผิวน้ำ นอกจากดอกสีขาวและสีชมพูที่เห็นเจนตาแล้วยังมีสีเหลือง สีน้ำเงินและสีบานเย็นซึ่งมีเฉดสีเข้มอ่อนแตกต่างกันไปอีก แม้กระทั่งใบบัวก็ยังมีสีต่างกันทั้งใบเขียวล้วน ใบเขียวแซมน้ำตาล และใบสีน้ำตาลอมแดง หากในความแตกต่างของสีดอกและใบนั้นทั่วทั้งสระมีสิ่งหนึ่งเหมือนกันคือสายพันธุ์บัวที่เป็นตระกูลของบัวสายทั้งหมด

“โอ้โฮ้ มีแต่ดอกบัวเต็มสระเลยนะครับ” เมธาวัฒน์ร้องด้วยท่าทางตื่นเต้น

“ก็ถึงได้เรียกว่าสระบัวไงล่ะคะ เพราะมีแต่บัว บัว บัว” กัญญาบอกพลางหัวเราะเบิกบานใจ

“เคยได้ยินแต่บัวสี่เหล่า แต่คงไม่ได้มีแค่สี่สีมั้งครับ”

“สงสัยเมธาเขาไม่เคยเห็นสระบัวมาก่อนนะลูก ดูตื่นตาตื่นใจเสียเหลือเกิน” นางยุพินพูดยิ้ม ๆ กับบุตรสาว

“ดอกสีบานเย็นนั่นสวยนะครับ สีสดมาก ใบก็สีแปลกดี” เขาหันมาบอกหญิงสาว“เดี๋ยวผมขอไปถ่ายรูปใกล้ ๆ หน่อยนะครับ เอาไปให้คุณแม่ดู เผื่อนึกชอบใจจะขุดบ่อบัวหน้าบ้านขึ้นมาบ้าง”

“ชอบถึงขนาดนั้นเลยนะคะเมษ” หล่อนพูดกลั้วหัวเราะ“กัญว่าเลี้ยงบัวในอ่างก็พอมั้งคะ”

“โอ๊ย แบบนั้นดูไม่เป็นธรรมชาติ ต้องขุดบ่อดินไปเลยครับ” เขาบอกแล้วลุกขึ้นก้าวเข้าไปใกล้ริมสระ เดินกลับไปกลับมาหามุมถ่ายรูปด้วยโทรศัพท์

“แม่จะไปไหนต่อหรือเปล่าคะ” กัญญาหันกลับไปถามนางยุพิน

“รอให้เลยเที่ยงสักหน่อยแล้วเราเข้าไปหาแม่ชีกัน”

“แม่ชีอะไรคะ แม่รู้จักด้วยหรือ” หญิงสาวกังขา แต่ยังไม่ทันได้รับคำตอบหล่อนก็เปลี่ยนความสนใจไปยังมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดไม่ไกลจากที่หล่อนนั่งอยู่ เมื่อผู้ขับและผู้ซ้อนท้ายถอดหมวกกันน็อกออกจนสามารถเห็นใบหน้าชัดเจนกัญญาจึงบอกมารดา

“นั่นพี่ต้นกับพี่ต่อนี่คะแม่”

ผู้มาใหม่ก็คงมองเห็นกัญญากับนางยุพิน เพราะสะกิดแขนกันเดินเข้ามาหาสองแม่ลูก

“อ้าว ต้น ต่อ มาทำอะไรกันที่วัดนี้ล่ะ” นางยุพินถาม

สองหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ยาวแถวเดียวกับคู่แม่ลูก แล้วต้นพูดขึ้นว่า “มาหาแม่ชีอัมพรครับ”

นางยุพินขมวดคิ้วทันที “ป้าก็ว่าจะไปหาอยู่เหมือนกัน นี่มานั่งรอเวลาให้เลยเที่ยงไปสักหน่อย”

เมธาวัฒน์เดินกลับเข้ามานั่งลงใกล้กัญญา เขามองไปยังผู้มาใหม่แล้วเลิกคิ้วให้หญิงสาว

“พี่ต้น พี่ต่อขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ปากซอยบ้านกัญค่ะ” หล่อนบอกเขา

“อ้อครับ” ชายหนุ่มครางรับรู้

“คุณป้ามาเรื่องอะไรหรือครับ” ต่อถามขึ้นบ้าง

“เรื่องยายกัญเขาน่ะ พักนี้ดวงไม่ค่อยดี”

“ทำไมหรือครับ” ต่อรีบถาม

“ก็แบบว่า...เจอดีเข้าให้น่ะสิ”

“ผีหลอกหรือเปล่าครับ” ต่อพูดโพล่ง

“เบา ๆ หน่อยต่อ” ต้นปราม

“พวกผมก็โดนดีมาเหมือนกันครับ เลยตั้งใจจะมาขอให้แม่ชีช่วย” ต่อบอกเสียงเบาดูสีหน้าซีดลง

“ป้านึกว่าจะมาขอน้ำมนต์ให้ขายของดี”

เมธาวัฒน์กระซิบถามหญิงสาว “กัญครับ แม่ชีที่พูดถึงนี่เป็นใครหรือครับ” แต่ดูเหมือนนางยุพินจะได้ยินคำถามนั้นเพราะนางเป็นผู้ตอบเสียเอง

“แม่ชีตาเห็นน่ะลูก”

กัญญารู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินมารดาของหล่อนเอ่ยชื่อแม่ชีผู้นั้นซึ่งสื่อไปในทางอภินิหาร หล่อนพอจะเดาความตั้งใจของมารดาออกแล้วว่าคงต้องการพึ่งพาบารมีของท่านไขปัญหาลี้ลับที่หล่อนได้เผชิญมา

ต่อยกข้อมือดูนาฬิกาแล้วพูดว่า “เที่ยงกว่าแล้วครับ ป้าจะเข้าไปหาแม่ชีพร้อมกับพวกผมเลยมั้ย”

“ไปสิ เข้าไปพร้อมกันเลยก็ดี”

เขตพื้นที่สำหรับพำนักของแม่ชีอยู่ด้านขวาของสระบัวนั้นเอง ห่างไกลจากกุฏิสงฆ์มากพอสมควรในสายตาของกัญญา เป็นสิ่งก่อสร้างด้วยปูนสองชั้นหลังคาทรงแปดเหลี่ยมขนาดกะทัดรัดสำหรับอยู่อาศัยคนเดียวหรือคนสอง ทุกหลังทาสีน้ำตาลอ่อนเหมือนกันหมดมองเผิน ๆดูคล้ายกำลังเดินอยู่ในหมู่บ้านตุ๊กตา

ระหว่างเดินทางนั้นกัญญาเห็นมีแม่ชีนุ่งขาวห่มขาวเดินไปมาอยู่บ้าง มีทั้งแม่ชีที่ปลงผมโกนคิ้วและแม่ชีมีผมมีคิ้วอยู่ครบ และแม่ชีตาเห็นที่หญิงสาวได้พบเมื่อเข้าไปถึงที่พักของท่านก็เป็นผู้มีขนคิ้วและเส้นผมดังฆราวาสทั่วไปเพียงแต่รวบผมเป็นมุ่นมวยอยู่ด้านหลังศีรษะ สวมชุดขาวนั่งอยู่บนเสื่อผืนใหญ่ปูทับพื้นกระเบื้องอย่างเรียบง่าย กัญญาคะเนอายุในใจว่าท่านน่าจะมีอายุไม่เกินสี่สิบห้าถึงห้าสิบปีเพราะดูอ่อนเยาว์กว่าแม่ของหล่อนมาก

“มากันพร้อมหน้าเลยนะ” แม่ชีเปล่งเสียงพูด

(ต่อด้านล่าง)




Create Date : 21 กันยายน 2556
Last Update : 21 กันยายน 2556 13:05:11 น.
Counter : 542 Pageviews.

5 comments
  
“อยู่ซอยเดียวกันแต่คนละบ้านค่ะคุณแม่ มาเจอกันโดยบังเอิญก่อนเข้ามา” นางยุพินชี้แจง

“ฉันว่าโลกนี้คงไม่มีเรื่องบังเอิญหรอก” ชีตาเห็นกล่าวช้า ๆ ด้วยรอยยิ้มในหน้า เว้นระยะครู่หนึ่งจึงถามต่อ “มาหาฤกษ์ยามให้ลูกสาวแต่งงานหรือไง”

“ไม่ใช่ค่ะคุณแม่ มาเรื่องลึกลับหรอกค่ะ” นางยุพินอธิบายอ้อมแอ้ม

“อีกคณะหนึ่งมาเรื่องอะไรล่ะ” แม่ชีพูดขึ้นลอย ๆ

“พวกผมมาขอพึ่งบารมีแม่ชีสักหน่อยเถอะครับ โดนผีเล่นงานทำเอาขวัญกระเจิงไปตาม ๆ กัน” ต้นเป็นผู้บอก

กัญญาฟังแล้วคิดว่าช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่หล่อนกับสองพี่น้องพบเจอเรื่องลี้ลับมาเหมือน ๆ กัน

ชีตาเห็นยิ้มกว้างพลางหัวเราะในลำคอ

“แล้วจะให้ฉันช่วยอะไรล่ะ”

“ก็สุดแท้แต่คุณแม่จะเมตตาเถอะครับ พวกผมไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครเลยนึกถึงคุณแม่” ต้นพูด

“ฉันเมตตาพวกเธอได้ แต่กรรมไม่เคยเมตตาใคร กงเกวียนกำเกวียนน่ะเคยได้ยินกันบ้างมั้ยล่ะ” ท่านหลับตานิ่งครู่หนึ่งก็ลืมตาสนทนาต่อ “ตกลงว่าสองคณะนี้ถูกผีหลอกกันมาทั้งคู่อย่างนั้นหรือ”

นางยุพินตอบรับพร้อม ๆ กับคู่พี่น้อง

“ฉันขอพูดตามตรงเลยนะ งานนี้รดน้ำมนต์อาบน้ำมนต์ยังไงก็ไม่พ้นไปได้ คนเราเกิดกับตายชีวิตหนึ่งก็แค่คนละครั้ง ในเมื่อเกิดมาแล้วหมั่นสะสมความดีเข้าไว้เถอะ ผลกรรมดีก็คงไม่ไปไหนเสีย” แม่ชีพูดช้าเช่นเคย

“คุณแม่จะบอกว่ายังไงครับ ผมปัญญาทึบฟังไม่เข้าใจ” ต่อย่นคิ้วถาม

“แก้ไขอะไรไม่ได้เลยหรือคะ” นางยุพินหน้าสลด

“เรื่องเกิดตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้ แล้วจะไปแก้กันตรงไหนล่ะ ทำดีหนีกรรมเท่านั้นละ ไม่ต้องหวังอะไร บุญช่วยเราได้ถึงแม้จะลบกรรมไม่ได้ก็ตามที” ชีตาเห็นพูดคล้ายรำพึง “ว่าง ๆ ก็มานั่งปฏิบัติกรรมฐานที่วัดนี้ดูบ้างมั้ยล่ะ หลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านเปิดสอนทุกหัวค่ำ สามวันเจ็ดวันก็ยังดี”

“พวกผมคงไม่มีเวลาหรอกครับ ต้องเปิดร้านค้าขายตอนกลางคืน” ต้นบอก สีหน้าเป็นกังวล

“เธอล่ะ แม่หนู” แม่ชีจ้องหน้ากัญญา

“ไม่แน่ใจนะคะ ทำงานกลับถึงบ้านเร็วบ้างช้าบ้างไม่แน่นอนค่ะ” หล่อนตอบ

“คนเราก็แบบนี้แหละ” แม่ชีกล่าวเรียบ ๆ ใบหน้ามีรอยยิ้มขึ้นมาอีกคราว “พวกคุณกลับไปเถอะ คุยกันนาน ๆ ก็พาลจะเบื่อกันเสียเปล่า ๆ”

“คุณแม่ไม่ช่วยอะไรพวกผมเลยหรือครับ” ต่อถาม ใบหน้าเหลี่ยมแสดงความผิดหวังชัดเจน “รดน้ำมนต์ให้สักนิดก็ยังดีนะครับ”

“นั่นกิจของพระ ไม่ใช่เรื่องของฉัน”

“ขอของดีไว้ติดตัวป้องกันภัยก็ได้นะครับคุณแม่” ต้นช่วยน้องชายอ้อนวอน

“พุทโธช่วยได้ พวกเธอจำไว้ให้ดี ตั้งใจมั่นแล้วไม่ต้องกลัวอะไร” แม่ชีจบการสนทนาด้วยการหันไปหยิบขวดน้ำเทใส่แก้วยกขึ้นดื่ม

ทุกคนในที่นั้นจึงได้แต่มองสบตากันอยู่เงียบ ๆ แล้วกราบลาแม่ชีพากันออกจากอาคารทรงแปดเหลี่ยม

“คงไม่มีอะไรร้ายแรงมั้งครับ แม่ชีก็เลยไม่ได้ทำอะไรให้พวกเรา” ต่อพูดเมื่อเดินพ้นจากที่พำนักของแม่ชีตาเห็น

“ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะจ้ะ” นางยุพินว่า

ต้นกับต่อเดินไปถึงที่จอดรถของตัวเองก็กล่าวลาคณะของกัญญา สามคนที่เหลือเดินเรื่อยไปยังลานจอดรถหน้าวัด เตรียมตัวเข้านั่งในรถแล้วนางยุพินร้องอุทานเสียงดัง

“ตายละ ลืมแวะเอาปิ่นโตมาด้วย มัวแต่คิดนู่นคิดนี่เพลินจนลืม”

“เดี๋ยวกัญย้อนกลับไปเอามาเองค่ะแม่” กัญญาเสนอตัวพลางออกเดินไปยังกุฏิพระที่ได้ถวายสังฆทาน หล่อนพบพี่ต่อยืนอยู่ข้างมอเตอร์ไซค์เพียงลำพังใต้ร่มหูกวาง

“อ้าว ยังไม่กลับหรือคะพี่ต่อ”

“รอพี่ต้นครับ แกขึ้นไปขอน้ำมนต์ที่กุฏิหลวงพ่อ”

“ว่าแต่น้องกัญมาทำอะไรแถวนี้ครับ” ต่อย้อนถาม

“กัญมาถวายอาหารเมื่อก่อนเพลค่ะ เพิ่งนึกได้ว่าลืมมารับปิ่นโตกลับ”

“อ๋อครับ” ต่อครางรับรู้ แต่แล้วเขาก็มีสีหน้าท่าทางที่บ่งบอกถึงความกังวลใจบางอย่างก่อนเขาจะพูดขึ้นว่า “น้องกัญครับ พี่ถามอะไรหน่อยสิ”

“มีอะไรหรือคะ” หญิงสาวเลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจ

“เมื่อคืนที่น้องกัญเลี้ยวรถเข้าซอย พาใครกลับมาด้วยหรือเปล่าครับ”

กัญญาสะดุดใจคำพูดของชายหนุ่มตรงหน้าเป็นอย่างยิ่ง แต่พยายามพูดออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่สุด

“กัญขับรถมาคนเดียวค่ะ เลิกงานช้าก็เลยกลับบ้านดึก”

ต่อฟังคำตอบแล้วยิ้มแห้ง ๆ “แต่พี่เห็นมีคนนั่งอยู่ที่เบาะหลังของน้องกัญนะครับ”

กัญญารู้สึกเย็นสันหลังวาบขึ้นทันทีแม้ยืนอยู่ท่ามกลางความอบอ้าวของอากาศ

“พี่ต่อเห็น...เห็นอะไรหรือคะ”

ชายหนุ่มไม่ได้ตอบในทันที เขายกมือลูบแขนตัวเองไปมา ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็เห็นว่าผิวเนื้อบริเวณท่อนแขนของเขาเป็นตุ่มผุดขึ้นตามเส้นขนที่ลุกชัน

“พี่เห็นเหมือนคนแก่หน้าขาววอกนั่งอยู่หลังเบาะของน้องกัญน่ะครับ”
คำตอบของต่อทำให้หล่อนขนลุกขึ้นมาเช่นเดียวกับเขา

“กัญไม่ได้เปิดไฟนะคะ พี่คงตาฝาดไป”

“ก็นั่นแหละครับ พี่นึกถึงภาพนั้นทีไรถึงได้ขนลุกตลอด พี่เห็นหน้าแกชัดเลยนะน้องกัญ แกยังหันหน้ามองพี่อีกด้วย”

ความรู้สึกปีติยินดีในการบุญวันนี้ของกัญญามลายสิ้นไปทันที แทนที่เข้ามาด้วยความรู้สึกหวั่นกลัวเมื่อคิดไปถึงว่า ผีตนนั้นอาจจะติดตามหล่อนมาตั้งแต่ข้างถนนจนถึงบ้านของหล่อน !

ภิกษุร่างสูงเดินหิ้วปิ่นโตจากประตูกุฏิตรงเข้ามายังจุดที่สองหนุ่มสาวยืนสนทนากัน

“มารับปิ่นโตหรือโยม”

“ค่ะท่าน” กัญญาตอบเรียบ ๆ กลบเกลื่อนความรู้สึกกลัวในจิตใจ

ภิกษุยกปิ่นโตวางลงในตะกร้าหน้ารถของต่อ “รับไปสิโยม”

ท่านพูดแค่นั้นแล้วหันหลังตั้งท่าเดินกลับกุฏิ แต่เดินไปได้เพียงสองก้าวก็หยุดและเหลียวหลังกับมาพูดขึ้นอีกว่า

“พุทโธช่วยได้ จำไว้ให้ดี”
โดย: พ ชมภัค วันที่: 21 กันยายน 2556 เวลา:13:12:16 น.
  
เค้าไปอ่านในกระทู้มาแล้วล่ะ แวะมาหาค่า
โดย: มาโซคิส IP: 115.67.134.179 วันที่: 21 กันยายน 2556 เวลา:15:43:25 น.
  
ลงชื่อไว้ที่กระทู้แล้ว
เดี๋ยวดึกๆไปอ่านนะคะ

^^
โดย: lovereason วันที่: 21 กันยายน 2556 เวลา:22:54:43 น.
  
แวะมาในนามแฝงใหม่ จำกันได้บ่

ขอ add friend ไว้ก่อนค่ะ ว่างๆ จะแวะมาอ่านตั้งแต่ต้น
โดย: พี่รุ้ง (นักเขียน-นักอ่าน ) วันที่: 24 กันยายน 2556 เวลา:11:13:15 น.
  
อ๊ะ! พี่รุ้ง

ชมภัครู้จักพี่สาวชื่อรุ้งอยู่เพียงคนเดียว จำได้ไม่ลืมเลยค่ะ
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมเยียนกันนะคะ (แอบดีใจ แอบปลื้ม ที่พี่จำน้องได้เหมือนกัน)
โดย: พ ชมภัค วันที่: 27 กันยายน 2556 เวลา:23:45:49 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

พ ชมภัค
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



เป็นคน...ยาก
ยากเป็น...คน
คน...เป็นยาก

โดยเฉพาะถ้าคิดจะบรรลุจุดมุ่งหมาย
...ยากยิ่งกว่ายาก

หนทางที่เต็มไปด้วยขวากหนาม ล้วนจำเป็นต้องเสียสละ เสียสละ...และเสียสละ

--------------------พระสนมเฉียนเฟย-----------


** ** ** ** **

อย่าได้คิดจะยอมแพ้และละทิ้งไปง่าย ๆ แบบนี้...

ก็อย่างที่ฉันบอกนั่นแหละ

ถ้าไขว่คว้าความฝันนี้ไม่ได้...
ก็เปลี่ยนเป็นความฝันอื่นเสียก็สิ้นเรื่อง

ยิ้มสักครั้งสิ ความสำเร็จ ชื่อเสียงไม่ใช่ปลายทาง

ทำให้ตัวเองมีความสุขต่างหาก... ถึงจะเรียกว่าคุณค่าและความหมาย

....ไม่ต้องกลัวหัวใจจะแหลกสลาย....

----------------โจว เจี๋ยหลุน (Jay Chou)-------
กันยายน 2556

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
16
17
18
19
20
22
23
24
25
26
27
28
30
 
 
MY VIP Friends