จะ สุข หรือ ทุกข์ ไม่ได้อยู่ที่ คนอื่น ทำ แต่อยู่ที่ เรา เลือก ^ 0 ^

<<
ตุลาคม 2555
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
30 ตุลาคม 2555
 

► ►►. . .สุมหัวนินทาชาวบ้าน ก๊ะ อิตั้วเจ้นู๋บี - บัวเหล่าที่ 5 ( โครงการ 12 ). . .◄ ◄◄


►►►. . ..
. I'm not weird !... . . .◄◄ ◄

.  .  ...... I 'm  Limited Edition ....... . .  . 


หวัดดีเจ้าค่ะ ทั่นผู้มีเกือกทุกทั่น
ที่หลวมตัวแวะเข้ามาในบล็อค ของอิฉัน หุหุ

( อ้อ..ไหน ๆ ก็เผลอแวะมาแล้ว นิ )
ไงก็อย่าลืมโพสทักทายกันมั่งนะเจ้าคะ
จะได้ช่วยเสริมสิริมงคลให้กับ บล็อคของอิฉัน
ที่สำคัญ เรทติ้งจะได้ วิ่ง ๆ อิอิ

( เราเน้น ปริมาณ ไม่เน้น คุณภาพ แหะ ๆ )

มิตรภาพ      เกิดขึ้น      ที่ตรงไหน
ไม่สำคัญ     เท่าไร        อย่าไปสน
สิ่งสำคัญ       อยู่ที่ใจ     ในตัวตน
จะรับรู้         ค่าแห่งคน   ค่าแห่งคำ


ด้วยจิตคาราวะ และ มิตรภาพ  จริ๊ง....จริง  เหอ ....เหอ....



ปอลิง

หน้านี้เอาไว้ พูดคุยทักทาย กันจ้า
มีไร เม้าส์ได้ตามสะดวกปาก นะเจ้าคะ
อิฉันชอบฟังเสียงชาวบ้านเข้ามาคุยให้ฟัง  แหะ ๆ ^ - ^

อ้อ ขออนุญาตแนะนำ

สมาคม สูงกินลม ไว้ไม่มีหงอย ... แห่งประเทศไทย
ไว้ในอ้อมใจของทุก ๆ ท่านด้วยเจ้าคะ

//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=itoursab&group=6

ครายว่าง ๆ ก็แวะไปกรอกใบสมัคร เข้าสมาคม ได้นะเจ้าคะ
ช่วงนี้ สมาคม ของเราเรามี โปรโมชั่น พิเศษ
แพคเกจกินลมชมวิวบนคาน พร้อม น้ำเต้าหู้กะไข่ลวก

เสิร์ฟโดยทั่นประธานชมรม คนล่าสุด ไอ้แสบ หลานอิฉันเอ๊ง อิอิ




หมายเหตุ

บล็อกนี้ แบ่งเป็น 3 โซน นะเจ้าคะ
คือ

1. สุมหัวคุยกัน 

//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=bsonjb&group=1

ส่วนนี้เอาไว้เม้าส์เรื่อยเปื่อย ก๊ะ ชาวบ้านฮ่ะ
( เขตนี้เป็นเขตกรีน โซน )
แพล่มได้โดยไม่ต้องกัว จขกท. กัด เหอๆ




2 ตัวหนังสือธรรมโม๊ะ เอ๊ย ทำมะทำโม ของอิน้องบัวผ่อง

//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=bsonjb&group=3

ส่วนนี้เอาไว้โชว์ รัศมี ธรรมโม๊ะ ของ อิน้องบัวผ่อง เค้าง่ะ
จัดเป็น พิ้งค์ โซน ที่ หวานแหวว สะแด่วแห้ว
เหมาะสำหรับ ผู้ที่อยากบริโภคธรรมะแนวน้ำแข็งใส
ย่อยง่าย ๆ โดยไม่ เสาะท้องเพราะ อาหารเป็นพิษ งิงิ





3.ตัวหนังสืออื้อฉาวววว ของ เจ้าป้าบัวเกรียน !

//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=bsonjb&group=2

อืม...อันนี้ เรด โซน ง่ะ เขตมหันตภัย น้อง ๆ ซึนามิ
ถ้าเป็น ไออ่อน อิอ่อน มิสมควร เข้าไปเพ่นพ่านเด็ดขาดดด
เพราะอาจ หงายเงิบ สำลักน้ำลายอิฉันตายได้โดยมิลู้ตัว
โซนนี้เหมาะสำหรับ ตัวพ่อ แอนด์ ตัวแม่
ผู้ พิสมัย ธรรมะแนว อินดี้ + ฮาร์ดคอร์








Create Date : 30 ตุลาคม 2555
Last Update : 31 ตุลาคม 2555 13:17:07 น. 100 comments
Counter : 5666 Pageviews.  
 
 
 
 

อืม...โครงการสุมหัวนินทาชาวบ้านโปรเจคนี้
ในที่สุด เก๊าะ ปิดงบครบโหลจนได้ วุ้ย
แหม๊ ? อิตั้วเจ้นู๋บีมันก็ขี้คุยเหมือนกัน นะนี่ อิอิ :12:
เฮ้ออ ...จิง ๆ ก็ยังม่ะอยากขึ้นหน้าใหม่หรอกน้าาา
เพราะเพิ่งถอยโปรเจคก่อน ไปแป๊บ ๆ นี่เอง

แต่เม้นต์ใกล้จะครบร้อย ( เริ่มโหลดช้าอีกแระ )
แถมช่วงนี้ ก็กะว่าจะหายหัวจากบล็อกไปซักระยะ
จึงอาจจะไม่ค่อยได้มา อัพบล็อกเท่าไร
เลยกลัว แควน ๆ จะงุงิ ที่ หน้าบล็อกมันโหลดช้าอึดทึด
เวลา ที่เข้ามา อัพเดต ข่าวคราวในสุสานโบราณ อ่ะจร้าา

ก็เรยว่า ก่อนจะหายหัวไป แวะมาเปิดโปรเจคใหม่ไว้คอยท่าดีฝ่า

ปอลิง
แล้วเด๋วจาเขียน เรื่อง พุทธอวตาร ก๊ะ สัมมาฯสไตล์
ในแบบฉบับ ของ อิปลาไหลไฟฟ้า มาหั้ยอ่าน นะจ๊ะทูนหัวววว
แล้วครึ้ม ๆ จะเขียน เดอะ เลตเตอร์ จม.เปิดผนึก
จากน้องนู๋บี ถึง คุณลุงวินัย ฯ มาหั้ยอ่านโตยจร้าาา
จาได้เห็นดำเห็นแดงกันซะทีว่า
ระหว่าง ตะละแม่เทียวเสี้ยม ก๊ะ อิตาเฒ่าซือหม่าอี้
ไผ จะเสร็จ ไผ ? แล้ว อี่นางมัน แซ่บอีหลี จริง บ่ ?
แต่ตอนนี้ ขออนุยาดไป บิ้วอารมณ์
เพื่อผลิตระเบิด เอ๊ย ผลิตน้ำลาย ก่อนน้าาา หุหุ :36:

อ้อ อันนี้ ความเดิม จากโปรเจคที่แล้ว อิอิ

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=bsonjb&month=10-2012&date=18&group=1&gblog=14



 
 

โดย: ตะละแม่เทียวเสี้ยม นงรามงามล่มเมืองงงงง หุหุ (นู๋บี ) วันที่: 30 ตุลาคม 2555 เวลา:23:26:36 น.  

 
 
 

++++++++++++++++++++++++++
จำนวนผู้ชม 14362 ครั้ง
จำนวนผู้ชม Profile 229 ครั้ง

++++++++++++++++++++++++++
 
 

โดย: ตะละแม่เทียวเสี้ยม นงรามงามล่มเมืองงงงง หุหุ (นู๋บี ) วันที่: 30 ตุลาคม 2555 เวลา:23:45:02 น.  

 
 
 
มาเจิมหลักโหล หุหุ
4632
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.12.0 วันที่: 31 ตุลาคม 2555 เวลา:8:56:57 น.  

 
 
 
"ขี่" กระทิง..."วิ่งราว" เซียน


ในบรรดา "เซียน" ในตลาดหุ้นเวลานี้ "จอร์จ ตัน" หรือ เอกยุทธ อัญชันบุตร
เปิดเผยว่า คนที่เล่นหุ้นระดับ 1,000 ล้านขึ้นไป
มีไม่เกิน 30 คน ที่เล่นหุ้นระดับ 2,000 ล้านบาทขึ้นไปมีอยู่ 4-5 คนในตลาด

"พวกนี้จะรู้จักกันเองผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์
ซึ่งจะมาชนกันในตลาด จะรู้เลยว่าซื้อขายสไตล์นี้ใครเล่น ถ้าเห็นลักษณะการขายที่รุนแรงออกมา
จะรู้ได้ว่าเขาถือ "ต้นทุนต่ำ" ได้กำไรกลับออกไปเยอะ
คนพวกนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนรัฐบาล"

รายใหญ่จะวนเวียนกับโบรกเกอร์ 5-6 แห่ง ใครก๊วนใคร หุ้นตัวนี้ "ทุ่น" ของใครสามารถยกหูเช็คข้อมูลง่ายมากผ่านโบรกเกอร์ที่ตัวเองใช้บริการ
ข่าวสารสำหรับรายใหญ่ค่อนข้าง "แม่นยำ" แต่บางครั้งก็มี "ข่าวลวง" ถูกปล่อยออกมาเช่นเดียวกัน

"การลากหุ้นบางครั้งจะลากครั้งละ 2-3 มือ(ตัว)พร้อมกัน พวกนี้จะมี "วอร์รูม" (ห้องปฏิบัติการ) บางกลุ่มชอบไปคุยกันในร้านอาหารว่าจะเล่นตัวไหนดี"

ตลาดหุ้นปี 2546 เป็นตลาดหุ้นวัดฝีมือเซียน ถ้า "ขาใหญ่" คนไหนกำไรไม่เกิน "เท่าตัว" ของทุนที่ลง
ถือว่าเป็น "หมู" มือไม่ถึง แต่ในปี 2547 หนังคนละม้วน...หุ้นเล่นยากกว่าปีที่แล้วมาก

ชื่อย่อถูกเรียกขาน และรู้กันเองในหมู่เซียน ภาษาที่ "เซียน" ใช้กันในตลาด
เอกยุทธ เล่าให้ฟังว่า คนที่ตกใจรีบขายหุ้นราคาถูกออกมาเขาเรียกว่า "ขายหมู" คำว่า "ซื้อยกไม้" หมายถึงการเก็บหุ้นเพื่อไล่ราคา "ทุ่นใคร" หมายถึง "หุ้นตัวนี้ของใคร" เช่น ทุ่น "นาย_ก" ปีที่แล้วเป็นหุ้นที่ฮิต คนเชื่อถือมาก

กฎการทำกำไรของเซียน "จังหวะ" นั้นสำคัญที่สุด
เอกยุทธบอกว่า คุณต้องรู้วิธีเข้า และวิธีออก แต่ไม่ใช่รู้วิธีเข้าๆ ออกๆ
คนที่เข้าเร็วออกเร็วไม่มีทางรวยหุ้น..."เชื่อผม!!!"

จังหวะตลาดสำคัญมากในการกำหนด "กำไร" ในช่วงที่ตลาดหุ้น "ขาลง" หรือ"ไซด์เวย์"
รายใหญ่ที่ชอบกินคำใหญ่ๆ จะถอนตัว พวกที่เล่นจะใช้วิธี "วิ่งราว" หรือ "วิ่งเร็ว" กำไร 2-3 ช่อง (ช่วง) ราคา..."หนี"

"ช่วงที่จังหวะตลาดไม่ดี เวลาไล่หุ้นเขาจะ "ซื้อขึ้น" จะใช้วิธีกวาดทีเดียว 3-4 ช่อง ล่อพวกตามแห่
ถ้าอยู่ดีๆ ช่อง Offer หายไป 3-4 ช่อง
คนจะรีบคีย์คำสั่ง Bid (ซื้อ) ตามเข้ามา
จากนั้นเขาจะลากขึ้นไป "ปล่อยของ" เหลือกำไร 2-3 ช่องก็ทิ้ง
รายใหญ่ที่เล่นหุ้นในลักษณะนี้เขาเรียกว่าพวก "ฟาสต์ฟู้ด" (กินเร็ว) กินคำเล็กแล้วรีบออก"

เอกยุทธ ย้ำว่านักเล่นหุ้นที่มือระดับเซียน เขาไม่มานั่งดูเทคนิคแล้วซื้อๆ ขายๆ
แต่เขาจะเก็บข้อมูลหุ้นเป้าหมาย ต้องรู้หมดทุกเรื่องเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้น

"Free Float" (จำนวนหุ้นหมุนเวียน)ในตลาด "หน้าตัก" เจ้าของหุ้น ดูว่าเจ้าของหุ้น "เซียน" แค่ไหนถือหุ้นกี่เปอร์เซ็นต์
แล้วติดต่อขอนัดคุย จากนั้นถึงมาเลือกกลยุทธ์ในการเก็บหุ้นว่าจะใช้วิธี "ทุบ" หรือจะค่อยๆ เก็บ

"ขั้นตอนทั้งหมดนี้จะต้องทำควบคู่ไปกับขบวนการสร้างข่าว"

เขาเล่าว่า นักเล่นหุ้นที่พบมีหลากหลายประเภท ทั้งดูกราฟ ดูเป้าหมายราคา
มีจุดตัดลากกันมั่วไปหมด แล้วก็มีอีกประเภทหนึ่งฟังข่าวลือในตลาดอย่างเดียว
พวกนี้สั่งซื้อหุ้นยังไม่รู้เลยว่าบริษัททำธุรกิจอะไร ประเภทนี้ในตลาดหุ้นมีเยอะ..."เจ๊งลูกเดียว"

"ประเภทเซียนตัวจริง ข่าวลือมาไม่สนใจ ส่วนผมชอบ "ขี่หุ้น"
ก็ไม่รู้ว่าจัดอยู่ประเภทไหน ผมจะให้น้ำหนักกับ "วอลุ่ม" มากกว่าสัญญาณทุกอย่าง
หุ้นไม่มีวอลุ่มผมไม่เล่น ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับเทคนิค
รู้ว่าตัวไหนกำลังถูกเก็บก็จะเข้าก่อน เวลาออกก็จะหนีก่อน"

หุ้นที่เอกยุทธเล่นจะเลือกหุ้นที่มีโอกาสขายทำกำไรมากกว่า 10% ขึ้นไป
จังหวะที่ตลาดไม่ดีเขาจะออกจากตลาด
เพราะฉะนั้น กำไรมากหรือน้อยมันบอกเป็นกฎตายตัวไม่ได้
ต้องดูแนวโน้มของหุ้น ดูแนวโน้มตลาดว่ามันขึ้นมาแล้วกี่แต้ม(จุด)

"ช่วงที่ขึ้นจาก 605 แต้มขึ้นไป 800 แต้ม ใช้เวลา 2 เดือน ตลาดกำลังบ้าเลือด
ช่วงนี้ผมได้กำไรเยอะมาก ไปเก็บไว้ก่อนช่วง 600-605 จุดเทหมดหน้าตัก"

ในการลงทุนของเอกยุทธ จะซื้อครั้งละไม่เกิน 4-5 ตัวมากที่สุด
หุ้นที่เขาเล่นมีกฎตายตัวว่าต้องมีสภาพคล่องสูง
และมีวอลุ่มแน่น (เท่านั้น)...."เช่น PTT BANPU
ผมได้กำไรมาเยอะ" ช่วงนั้นจะเข้าแต่ตัวใหญ่ๆ ตัวละหลายร้อยล้านบาท

เอกยุทธ บอกว่า พวกกองทุนใหญ่ๆ ในต่างประเทศที่เข้ามาเล่นหุ้นไทย
มันจะวนเวียนมาเจอกันในตลาด เขาเคยเจอ "จอร์จ โซรอส" มาแล้วหลายตลาด
ไปเจอกันที่ลอนดอน ตอนไปทุบค่าเงินปอนด์

"ตอนจอร์จ โซรอสทุบเงินบาทปี 2540
ผมอยู่มาเลเซีย ช่วงนั้นหายนะประเทศไทยผมอยู่ข้างนอกมองเห็นหมด
ยังโทรมาบอกเพื่อนๆ ว่าขายทรัพย์สินให้หมด เก็บเงินสดไว้เดี๋ยวจะได้ซื้อของถูก"

ถ้าคุณอยากเป็นรายใหญ่ เขาย้ำว่า กฎของรายใหญ่มีเพียง 2 ข้อเท่านั้น
หนึ่ง คุณต้องมี "เงินสด" ติดกระเป๋า กับอีกข้อ ?อย่าโลภ? (เด็ดขาด)

"ถ้ารู้ว่าเข้าจังหวะผิดต้อง "ทิ้ง? เขาเรียกว่า Cut Loss (ตัดขาดทุน)
และ Let Profit Run (ปล่อยให้กำไรวิ่งต่อไป) ช่วงที่หุ้นกำไรดีราคากำลังขึ้น
ผมจะไล่ราคาตลอด สมมติว่าราคา 2 บาท กำไรเยอะแล้วล่ะ
แต่ผมจะไม่ขายเลย จะเฝ้าหน้าจอตลอดว่าจะหนีหรือไม่หนี ช่วงนี้จะไม่ให้เด็กดูเลย

....ถ้ามันกลับหัวลงมาที่ 1.90 บาท...
"ผมเลิก" ถ้าไปต่อที่ 2.20 ผมจะยังตามอยู่
วิธีการคือจะขยับเป้าหมายขึ้นไปเรื่อยๆ
ถ้าหักหัวลงมา 2 บาทผมถึงจะขาย
แต่ถ้ามันไม่ลงไปต่อ 2.50 ถ้า ลงมา 2.30 ผมขาย
แต่ถ้า 2.50 ยืนได้ เป้าของผมก็ขยับไป 2.80 คือ ผมจะ Let Profit Run ตลอด ผมจะไม่ Cut เลย"

หลักในการขายหุ้น "ขาขึ้น"
เอกยุทธ บอกเคล็ดลับว่า จะต้องปรับราคาขายอยู่ตลอด ถึง 2 บาทผมจะกำไรมากแล้ว
แต่ถ้าราคายังวิ่งต่อ ผมจะไม่ขายเด็ดขาด
ใครจะมาด่าว่าโง่ก็ไม่สน เพราะไม่รู้จะขายทำไม เพื่อให้ Let Profit มัน Run ไปตลอด

"แต่เมื่อใดที่มันเริ่มหันหัวกลับ...ผมเลิก ทุกราคาผมขายหมดจะไม่รอ
และไม่เสียดายเงิน 5 สตางค์ 10 สตางค์ ทุกช่องที่มีอยู่จะโยน (ขาย) ทิ้งหมดเลย
สมมติว่าถ้าราคา 2 บาทลงมา 1.80 ทุกราคาที่มี 1.80 บาทผมทิ้งหมด
แต่ถ้าขึ้นต่อ 1.80 ผมไม่ขายแล้ว รายใหญ่เขาเล่นกันอย่างนี้"
เอกยุทธให้นิยามของ?ความโลภ?
ในมุมมองของเขาว่า คนที่โลภคือคนที่ไม่อยู่กับปัจจุบัน ไม่ประเมินภาวะตลาด
เห็นคนอื่นได้ก็อยากได้ด้วย คุณอย่าคิดว่าหุ้นมันขึ้นเองโดยธรรมชาติ มันขึ้นเพราะ "ดีมานด์"
มันขึ้นเพราะ "ความเชื่อ" 2 ปัจจัยนี้เท่านั้น

"ผมยกตัวอย่างเวลาคุณผ่านสี่แยกราชประสงค์ คุณยกมือไหว้พระพรหม
เพราะคุณเชื่อถือ แต่ถ้าวันใดวันหนึ่ง คุณผ่านประตูน้ำคุณเห็นตึกใบหยก
ถ้าคุณยกมือไหว้ ที่นั่นก็ "ศักดิ์สิทธิ์" เหมือนกับการเล่นหุ้น คุณซื้อเพราะคุณเชื่อ!

....ผมจะบอกว่าคุณเชื่อได้ แต่อย่างมงาย
ผมเชื่อว่ามันจะขึ้นผมก็ไม่งมงายว่ามันจะขึ้นไปจนสุดยอด เพราะไม่มีอะไรขึ้นไปสุดยอดแล้วไม่มีลง ไม่มีใครขายหุ้นได้ในราคาสูงสุด
ผมเองเล่นหุ้นมาเป็นสิบๆ ปี เคยขายหุ้นจุดสุดยอดไม่กี่ครั้ง ซึ่งมันต้องฟลุ้คจริงๆ

....เพราะฉะนั้นบางคนกำไร 10-20 สตางค์ก็ขายแล้ว คือ "Cut Profit" (ตัดกำไร)
แต่หุ้นตกลงมา 50 สตางค์ Let Loss Run(ปล่อยให้ขาดทุนมากขึ้นเรื่อยๆ)
ไม่ยอมขาย ลงมาอีกก็ไม่ยอมขาย หวังว่ามันจะกลับไปที่เก่า เล่นอย่างงี้เจ๊งแน่ๆ"

เขากล่าวว่า ระดับมืออาชีพจริงๆ
เขาจะไม่มีกฎอะไรตายตัว เช่น หุ้นลงมา 50% แล้วต้องซื้อ
หรือขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์แล้วต้องขาย...."ผมว่ามันเพ้อเจ้อ" หรือพวกที่ชอบซื้อหุ้น "ถัวเฉลี่ยต้นทุน" เขาก็จะไม่ทำ พวกนี้จะตายช้าๆ สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน เล่นหุ้นขาลงซื้อถัวเฉลี่ยไม่ได้...ต้อง Cut Loss ทิ้งอย่างเดียว

จุดสังเกตของหุ้นที่ถูกดึงขึ้นมาเล่นนานๆ
หรือ "ลากยาว" มักจะมีการสร้าง Story (เรื่องราว) ขึ้นมาก่อนเขายกตัวอย่างกรณีหุ้น ITV ราคาขึ้นมาจาก 6 บาทวิ่งไปที่ 12 บาท
หลังจากจัดงานใหญ่ครบรอบ 20 ปี ก่อตั้งบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น ระหว่างวันที่ 27- 29 มิถุนายน 2546 ที่เมืองทองธานี

ช่วงที่ราคาปรับขึ้นจาก 12 บาท วิ่งไปถึง 18 บาท
เล่นข่าว ITV ได้ลดค่าสัมปทานทั้งๆ ที่ข่าวจริงยังไม่ออกมา ช่วงราคา 18 บาท ถึง 32 บาท
เล่นข่าวขายหุ้นเป็นการเฉพาะเจาะจง (Privateplacement) ให้แก่บริษัท กันตนา กรุ๊ป และนายไตรภพ ลิมปพัทธ์

"ผมเข้า ITV ตอน 5 บาทกว่าแล้วเลิกตอน 8 บาทกว่า
ใครจะไปรู้ว่าประเทศนี้ดีจริงๆ รอบที่สองผมเข้า 12 บาทกว่า พอ 32.50 บาท
ผมเลิกขายทิ้งหมด เขาปล่อยข่าวว่าจะลากไป 40 ใครจะอยู่ก็อยู่
ตอนนั้นผมบอกเพื่อนว่า...หนีก่อน
ตอนขาย N-PARK ก็เหมือนกันช่วงประกาศลดทุน
แล้วเพิ่มทุน ผมทิ้งหมด อะไรที่ไม่ชัวร์ต้องทิ้งก่อน"

เอกยุทธเล่าว่า วิธีการของรายใหญ่บางกลุ่มซึ่งเขาถือว่า "สกปรก" ที่สุด
คือ จับบริษัท "เน่า" แต่งตัวแล้วนำมาซื้อขายในตลาด หุ้นเน่าจะมาจาก 2 แหล่ง
จากหมวด Rehabco(ฟื้นฟูกิจการ) และผ่านเข้ามาทาง "ไอพีโอ" (หุ้นจอง)

ขบวนการจะเริ่มจากซื้อบริษัทที่ "เจ๊ง" ไปแล้วอาจจะอยู่ในตลาด
หรือไม่ได้อยู่ในตลาด แต่ต้องมีขนาดที่ใหญ่หน่อยระดับหลายๆ ร้อยล้านบาทขึ้นไป
เล็กๆ จะทำไม่คุ้ม ระดับที่เขาสนใจจริงๆ คือระดับ 2,000-3,000 ล้าน มันเห็นน้ำเห็นเนื้อ

"ผมอยากจะเปรียบเหมือนกับเอาของเน่าๆ มาต้มให้ร้อน กินดูก็รู้ว่าเน่า
หุ้นพวกนี้ราคาจะพุ่งแรงมากในช่วงแรกๆ แต่ไม่นานมันก็จะตกลงมาอย่างหนัก กราฟเหมือนยอดภูเขา"

ส่วนหุ้น "ไอพีโอ" วิธีการที่จะได้เงินตอนเข้าตลาดจะกำหนดค่าพี/อี เรโช สูงๆ บางบริษัทพื้นฐานไม่ดี แต่ขายพี/อี 12-13 เท่า บางตัวขาย 15 เท่า

"ในความเห็นผมที่มาเลเซีย หรือ สิงคโปร์ บริษัทใหม่เขาจะให้พี/อีไม่เกิน 8 เท่า
ตลาดจะต้องเป็นผู้กำหนดไม่ใช่ให้เจ้าของบริษัทเป็นผู้กำหนด
หรือให้โบรกเกอร์เป็นคนกำหนด ผมคิดว่าไม่ถูกต้อง

ก่อนเอาหุ้นเข้าตลาดต้องประมาณการ Cashflow และคาดการณ์กำไรปีถัดไป
พอเข้าตลาดได้เงินแล้วประกาศตัวเลขขาดทุน จริงๆ แล้วเขาต้องมี Profit การันตี 3 ปี
โดยผู้ถือหุ้นใหญ่ต้องเป็นคนรับประกัน"

ที่ไม่ถูกต้องอีกข้อทางการต้องห้ามผู้ถือหุ้นใหญ่
หรือ ผู้บริหาร ซื้อๆ ขายๆ (เทรดหุ้น)เพราะคุณรู้ข้อมูลภายใน ในต่างประเทศเขาไม่ให้เรื่องนี้
เพราะเป็นการชี้นำราคา

นี้คือเกร็ดความรู้เชิงลึกที่ "จอร์จ ตัน" เซียนหุ้น 1,000 ล้าน ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมา

//www.oknation.net/blog/print.php?id=305192

4379
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 110.168.80.16 วันที่: 31 ตุลาคม 2555 เวลา:15:42:22 น.  

 
 
 
ที่มา : Bangkok Biznews

ตอนที่ 1 : กลยุทธ์หักเหลี่ยมโค่น "เซียน"

"จอร์จ ตัน" คือชื่อที่ "เอกยุทธ อัญชันบุตร" โด่งดังในมาเลเซีย และสิงคโปร์ ในฐานะมือบริหาร "เฮดจ์ฟันด์" (กองทุนบริหารความเสี่ยง) มือฉกาจ ที่เล่นกับความเสี่ยงทุกชนิด ทั้งหุ้น ค่าเงิน และความผันผวนของราคาน้ำมัน

"ผมเล่นหุ้นทั่วโลกเล่นมาเป็น 10 ปีแล้ว"

เอกยุทธให้คำนิยามตัวเองว่าเป็น ?นักธุรกิจ? ที่แสวงหาโอกาสจากความเสี่ยง และผลกำไร ที่มาเลเซีย และสิงคโปร์ เขาบอกว่าเพื่อนๆ จะให้เกียรติเรียกว่า "ไต่กอ" หรือ ?Big Brother? ภาษาไทยแปลว่า?พี่ใหญ่?

"เพื่อนฝูงผมเยอะมากทุกวงการจนบางคนเขามองผมว่าเป็น "มาเฟีย? ถ้าคุณไป สิงคโปร์ มาเลเซีย วันนี้ไปถามชื่อผมว่า "จอร์จ ตัน? เมืองไทย นักธุรกิจทุกคนรู้จักผม ไม่มีทางลืมชื่อผม? เอกยุทธกล่าวด้วยความมั่นใจ

เอกยุทธยังเป็นดีลเมคเกอร์ที่เชี่ยวชาญทางด้าน M&A(ควบรวมกิจการ) อยู่ในมาเลเซีย ธุรกิจของเขาราบรื่นในฐานะเพื่อนสนิทลูกชาย ดร.มหาธีร์ อดีตผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาลของมาเลเซีย

แต่ในเมืองไทยเขาเป็นนักเล่นหุ้นระดับ "พันล้าน" เข้าออกอย่างไร้ร่องรอย จนถูกตั้งฉายานามในหมู่เซียนเมืองไทยว่า "ป.(ป๊อด)ลอนดอน" ซึ่งคนมักเข้าใจผิดว่าเป็น "ปิ่น จักกะพาก" อดีตราชาเทคโอเวอร์เมืองไทยที่ไปใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอังกฤษ

"ปีที่แล้วช่วงปลายปี 2546 เขา(ผู้มีอำนาจ)ตามหาตัวผมทีแล้ว จะเล่นงานผม เขาบอกว่า ป.ลอนดอนมาปั่นหุ้นของเขา แต่คนเข้าใจว่าผมเป็นปิ่น โชคดีให้คุณปิ่นรับไป

ผมเริ่มเห็นคนในรัฐบาลชี้นำราคาหุ้นชัดช่วงปลายปี 2545 พอปี 2546 ผมก็เริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ผมรู้ว่าเข้ามาต้องได้ตังค์ ในฐานะนักธุรกิจนี่คือช่องทางหาเงิน เพราะไม่มีตลาดไหนเล่นหุ้น "หมู" ขนาดนี้ คือถ้าผมกินเจ้ามือจะไม่เสียใจเลย"

จอร์จ ตัน เวียนวนอยู่ในห้องค้า 5-6 แห่งในกรุงเทพฯ การลงทุนของเขาจะมี "ก๊วน" เหมือนกับเซียนคนอื่นๆ ในตลาด และเห็นกลุ่มทุนใกล้ชิดศูนย์อำนาจ 2 กลุ่มใหญ่เข้ามาหาผลประโยชน์ในตลาดหุ้นร่ำรวยเป็นหมื่นล้านบาทกลับออกไป

"คือผมไปเทรดนั่งในห้อง VIP โก้หรู มองออกมาเห็นคนแก่นั่งขยับแว่นตาได้เงินไม่กี่พันก็เลิกแต่เสียเงินเป็นแสน ผมเห็นอย่างนี้เกือบปี มันรู้สึกละอายใจ"

ในฐานะเซียนหุ้น "จอร์จ ตัน" โกยกำไรจากตลาดหุ้นไทยในปี 2546 กว่า 1,000 ล้านบาท ด้วยวิธี "ขี่กระแส" ทักษิณฟีเวอร์ เล่นหุ้นในกลุ่ม "ชินคอร์ป" และหุ้นรัฐวิสาหกิจแทบทุกตัวที่เกี่ยวข้องกับคนในรัฐบาล แม้จะไม่ยอมเปิดเผยตัวเลขเงินลงทุนที่แน่ชัด บอกเพียงสั้นๆ ว่า "มากกว่าพันล้านบาท"

"อย่าพูดถึงตัวเลขดีกว่า ยิ่งเขาจ้องจะมายึดเงินผมอยู่"

หลังจากเอกยุทธหลบหนีออกจากประเทศไทยเมื่อ 20 ปีก่อนในคดีแชร์ชาร์เตอร์ เขาถูกเพื่อนชักชวนไปบริหารกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) เล่นอัตราแลกเปลี่ยน หุ้น และน้ำมัน

"ผมได้ประสบการณ์หนักๆ ช่วงนั้น เทรดมัน 3 ตลาดเลย โตเกียว นิวยอร์ก ลอนดอน"

สิ่งที่ "จอร์จ ตัน" เรียนรู้ ก็คือ เทคนิคการเล่นหุ้นที่มืออาชีพระดับโลกใช้กัน

วิธีการสร้างราคาหุ้นเริ่มจากเก็บข้อมูล เลือกหุ้นที่มีวอลุ่มสูง หรือ "หุ้นร้อน" ติดอันดับวอลุ่มสูงสุด 20 อันดับแรกของตลาด

พอเลือกหุ้นได้แล้ว ต้องไปตรวจสอบ "หน้าตัก" เจ้าของหุ้นก่อนว่า "รวย" หรือไม่ สิ่งที่ต้องดู คือ ดูว่าเจ้าของ "เซียน" หรือเปล่า ถือหุ้นอยู่เยอะแค่ไหน แล้วหุ้นตัวนั้นมี Free Float (หุ้นหมุนเวียนในตลาด) อยู่เท่าไร

"ถ้า Free Float ไม่เยอะต้องเช็คว่าใครถือหุ้นใหญ่ จะติดต่อไป จะคุยกันว่าอยากขายออกมาบ้างมั๊ย เดี๋ยวเรามาขายด้วยกัน ถ้าคุยจบก็เริ่มเลย เจ้าของหุ้นจะช่วยปล่อยข่าวดีออกมาหนุนราคาพยายามดันราคาจนถึงจุดสุดยอดก็ปล่อยของ

แต่ถ้าคุยไม่ลงตัวก็มาดูหน้าตักเจ้าของหุ้น ถ้าเป็นพวกเศรษฐีเงินกู้ (เอาหุ้นไปจำนำแบงก์ไว้) หรือถ้าเจ้าของถือหุ้นหมิ่นเหม่ เขาปั่นเลย เพราะรู้ว่าคุณไม่กล้าขายออกมาสู้กับเขา"

เมื่อผ่านขบวนการตรงนี้แล้วก็จะเริ่มขบวนการปล่อยข่าวผ่านโบรกเกอร์ ซึ่งโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ก็จะรู้กันว่า "รายใหญ่" เล่นตัวไหนก็จะแกล้งเปิดพอร์ตให้ลูกค้าในบริษัท 1-2 คนดู บอกว่า "หุ้นตัวนี้....เสี่ยกำลังเล่น"

แต่ก่อนที่จะปล่อยข่าว "เสี่ย" ก็จะเข้าไปเก็บก่อน ทุบบ้างโยนบ้างเล่นกันเอง ก็คือซื้อมา...ขายถูก ซื้อมา....ขายถูก ทำอย่างนี้เพื่อสร้างวอลุ่มให้ราคาลง แต่ตัวเองยังถืออยู่ พวกนี้จะไม่กล้าทุบรุนแรง จะทำให้เสียราคา

"สมมุติราคาหุ้น 2 บาทเขาจะเล่น 1.80-2.10 บาท อยู่ตรงนี้เพื่อสร้างวอลุ่ม 1-2 เดือน เมื่อเก็บหุ้นได้มากพอก็จะกระซิบกับโบรกเกอร์ พวกนี้จะรู้กัน"

เขาบอกว่าถ้าหุ้นขนาดไม่ใหญ่เงินหน้าตักขนาด 200-300 ล้าน ก็สร้างราคาได้แล้ว แต่ถ้าเป็นหุ้นขนาดใหญ่ต้องมีหน้าตักเป็น 1,000 ล้าน เพราะเงินสด 300 ล้าน สามารถหมุนเล่นรอบได้ถึง 3,000 ล้าน ถ้ามี 3 คนมาช่วยกันปั่นวงเงินหมุนก็ระดับหมื่นล้าน ราคาหุ้นวิ่งแน่นอน

"เวลาผมเล่นหุ้นผมไม่ใช้วิธีการอย่างนี้ แต่ผมจะดูว่าใครเล่น เห็นอาการก็รู้แล้วว่าใครเล่น จุดสังเกตให้ดูวอลุ่มที่เพิ่มขึ้นจะบอกอาการ ผมจะให้เด็กนั่งเฝ้า ถ้ารู้ว่ามันเล่นแน่ เราก็เข้าไปซื้อเก็บไว้ แต่จะค่อยๆ เก็บ ถ้าคุณไปซื้อเป็นล้านหุ้นต่อวัน พวกเซียนมันตกใจ"

หุ้นที่อยู่ในขบวนการสร้างราคานั้น ระยะเวลาในการเก็บหุ้นเพื่อ "โหนกระแส" จะต้องใช้เวลาเก็บอย่างต่ำสุด 2-3 อาทิตย์ แผนของเราต้องการจะไป "กินเจ้ามือ"

"เพราะฉะนั้นต้อง "รอ" อย่างใจเย็น จะต้องเก็บที่ละแสน สองแสนหุ้น แล้วต้องกระจายหลายๆโบรกฯอย่างต่ำก็ 5-6 โบรกฯขึ้นไป แล้วต้องใช้คนหลายคน ถ้าคุณเก็บเร็วคุณเสร็จ เจ้ามือมันรู้"

ถ้าเป็นเซียนหุ้นที่ย่ามใจ และไม่ค่อยระวังตัว จะใช้วิธีค่อนข้างโจ่งแจ้ง นั่งเก็บ 3-4 โบรกฯก็โยนหุ้นได้ หรือบางทีอยู่โบรกฯเดียวกันเปิดเล่น 5 บัญชี นั่งเคาะอยู่ห้องเดียวกันเลย ซึ่งแบบนี้น่าเกลียดมากแต่ทางการก็ไม่จับ

ในกรณี "นักการเมือง" ที่เข้ามาหาประโยชน์ในตลาดหุ้น ส่วนใหญ่จะมาในรูปของ "กองทุน" ชื่อแปลกๆ หรือ มีคำว่า "นอมินี" ต่อท้าย ผ่านเงินมาจากต่างประเทศ ส่วนใหญ่ใช้ประเทศสิงคโปร์เป็นแหล่งพักเงินเข้าออก แต่ตัวเองนั่งสั่งการซื้อขายอยู่ในประเทศไทย

บางคนใช้วิธีลงทุนผ่าน Private Fund (กองทุนส่วนบุคคล) มีผู้จัดการกองทุนออกหน้ารับแทนว่าเป็นคนบริหารให้ แต่จริงๆ แล้วสั่งการโดยเขาหมด

"Private Fund ของบิ๊กพวกนี้สั่งซื้อ สั่งขายหุ้นเอง เพียงแต่เขาให้โบรกฯเป็นคนคีย์คำสั่ง เงินเป็นร้อยเป็นพันล้านไม่มีทางที่จะให้โบรกเกอร์ตัดสินใจแทนเขาหรอก"

เอกยุทธ ให้ไปถามโบรกเกอร์พวกนี้รู้ข้อมูลดีที่สุด เพราะต้องบันทึกเทปคำสั่งซื้อขายไว้เป็นหลักฐาน ว่าหุ้นตัวนี้ "เสี่ย" คนไหนเล่น เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเปิดเผยเพราะเขากลัวเสียลูกค้า ไม่ใช่ฝรั่งผมทอง แต่เป็นฝรั่งผมดำ

ในขบวนการสร้างราคาขบวนการ "สร้างข่าว" สำคัญมากที่สุด วิธีการเก็บหุ้นของรายใหญ่มักใช้การปล่อยข่าวเพื่อ "ทุบหุ้น" โดย "ขายนำ" แรงๆ แล้วมารับซื้อข้างล่าง เขาเรียกว่าทุบให้ "อ้วก" รายย่อยตกใจคายหุ้นออกมา วิธีนี้เก่ามากตรวจสอบง่าย แต่ใช้ได้ผลทุกครั้ง

วิธีการทุบหุ้นที่ซับซ้อนขึ้นหน่อย คือ ไปซื้อหุ้นตัวใหญ่ๆ ที่มีผลต่อการคำนวณดัชนี เช่น PTT THAI BANPU BBL เลือก 4-5 ตัวแล้วทุบเพื่อกดให้ดัชนีลง เขาจะใช้วิธีโยน (ขาย) ไม้ละ 1 ล้านหุ้น ขายเอง รับเองยอมขาดทุนไม่มาก ถ้าเป็นหุ้นของเขาก็รับกลับ ถ้าเป็นหุ้นของคนอื่นที่ผสมโรงก็ดึงรายการซื้อออก จะมีคนนั่งหน้าจอรอดูตลอด

"เขาต้องการให้เกิด "Panic Sale" (ขายแบบตื่นตระหนก) หุ้นขนาดกลาง และเล็กมันจะลงแรงกว่าหุ้นตัวใหญ่ เขาก็จะไปเลือกเก็บหุ้นที่มีพื้นฐานบ้างถือไว้ ขบวนการต่อไปนี่แหละคลาสสิกที่สุด เมื่อเก็บหุ้นได้มากพอสมควรแล้ว ก็จะใช้วิธีไล่ราคา ยิ่งซื้อก็ยิ่งขึ้น...

แต่เขาเก็บจริงใครขายออกมาเท่าไรซื้อหมด ก่อนหน้านั้นเขาก็ไปตกลงกับกองทุนซึ่งเขาควบคุมได้ไว้ก่อน แล้ว "โยนหุ้น" ให้กองทุนรับไป สมมติเก็บมาได้ 20 ล้านหุ้นราคา 20 บาท ก็ไปคุยกับกองทุนว่าผมให้ Discount (ส่วนลด) คุณ 10% เป็นการเก็บให้กองทุน"

เอกยุทธ ยืนยันว่ามีกองทุนจำนวนไม่น้อยที่ยืมมือรายใหญ่เข้าเก็บหุ้นให้ ซึ่งมักจะได้หุ้นราคาสูงเข้าพอร์ต สาเหตุที่กองทุนยอมทำอย่างนี้ก็เพราะมันเป็น "Win-Win-Win" ทั้ง 3 ฝ่าย

"Win แรก" ในทางบัญชีจะดูดีทันที เพราะซื้อได้ในราคา Discount(ส่วนลด) ฐานะกองทุนจะมีกำไรทันที "Win ที่สอง"ผู้จัดการกองทุนมีผลงาน แต่ที่ร้ายกว่านั้นผู้จัดการกองทุนบางคนมีรถปอร์เช่ คันละ 10 กว่าล้านขับ เพราะมีรายได้พิเศษจากการรับซื้อหุ้น "Win ที่สาม" วิธีการเก็บหุ้นแล้วโยนให้กองทุนรับไปถือว่าปลอดภัยที่สุด

"แต่หลังจากกองทุนซื้อไปแล้วก็ตัวใครตัวมัน ผมถึงบอกว่าอันตรายมันไม่ได้มีเฉพาะนักลงทุนในตลาดอย่างเดียว คนที่ไปซื้อหน่วยลงทุนก็เสี่ยง ไปเช็คกองทุนของรัฐดูซิว่าเจ๊งกันไปเท่าไรกับวิธีนี้ นี่เป็นวิธีการฉ้อฉลที่ตามกฎหมายแล้วคุณจับเขาไม่ได้"

ในขบวนการสร้างราคาหุ้นการปล่อยข่าว"ด้านบวก"สำคัญมากเช่นเดียวกัน ที่นิยมใช้กันมาก คนสร้างราคา คือ "รายใหญ่"กับ"เจ้าของหุ้น"รู้เห็นเป็นใจกัน

"เขาจะคุยกันก่อน ถ้าคุยจบก็เริ่มเลย เจ้าของหุ้นจะช่วยปล่อยข่าวดีออกมาหนุนราคาทุกๆ 3-4 อาทิตย์ รวมไปถึงเชิญนักวิเคราะห์ไป Company Visit ช่วยดันราคาไปจนถึงจุดสุดยอด ถ้าเป็นหุ้นรัฐวิสาหกิจ หุ้นที่เกี่ยวกับสัมปทาน หรือหุ้นที่รัฐเอื้อประโยชน์ทางภาษี ข่าวดีพวกนี้จะออกมาจากคณะรัฐมนตรีแป๊บเดียวหุ้นวิ่งก่อนแล้ว ให้สังเกตดู บางคนออกมาพูดส่งสัญญาณตรงๆ เลยก็มี"

ตอนที่ 2 : "ขี่" กระทิง..."วิ่งราว" เซียน
...
ตอนที่ 3 (ตอนสุดท้าย) : แกะรอย "เซียน"...เปลี่ยน "ถุงเงิน"

ประสบการณ์ที่สั่งสมมากว่า 10 ปี ในตลาดหุ้นทั่วโลก ทำให้ “เอกยุทธ อัญชันบุตร” หรือ “จอร์จ ตัน” เซียนหุ้นแถวหน้าของเมืองไทย รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังของขบวนการสร้างราคาหุ้น รู้ลึกถึงเส้นทางเคลื่อนย้ายเงินเข้าออกในคราบนักลงทุนต่างชาติ และกลเม็ดเปลี่ยน "ถุงเงิน” โอนกำไรไปเก็บไว้ใน Asset รูปแบบใหม่ เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่จะย้อนกลับมาหาตัวเอง

เอกยุทธ เล่าให้ฟังว่า พวกนี้จะไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทชื่อแปลกๆ ในประเทศที่มีชื่อเสียงในด้านการโอนเงิน และปลอดภาษี เช่น บริติช เวอร์จิ้น ไอร์แลนด์ จากนั้นก็ใช้ชื่อบริษัทไปเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นกับโบรกเกอร์ต่างประเทศหลายบัญชี พร้อมกับตั้งตัวแทน (นอมินี) ขึ้นมาดูแลผลประโยชน์

"ขบวนการต่อไปจะโอนเงินมาพักไว้ที่ประเทศสิงคโปร์ จุดหมายปลายทางของเงิน คือ ตลาดหุ้นไทย เพื่อปกปิดชื่อ และแหล่งที่มาของเงิน ทำให้ดูเหมือนว่าเป็นเงินนอก จริงๆ แล้วคนออกคำสั่งซื้อ-ขาย นั่งอยู่ในประเทศไทย แต่เงินซื้อขายจะถูกหมุนถ่ายเข้าออกเหมือนกับเป็นเงินของนักลงทุนต่างชาติ...พวกนี้ฝรั่งผมดำทั้งนั้น

เค้กก้อนใหญ่ที่สุดเป็นหุ้นรัฐวิสาหกิจที่เอาไปขายให้พวกฝรั่ง หุ้นพวกนี้ไม่ได้อยู่ในพอร์ตกองทุนต่างชาติทั้งหมด แต่จะมีโบรกเกอร์ฝรั่งทำหน้าที่เป็น "ตัวกลาง" รับหุ้นไป "ขายต่อ" ให้กับบริษัทของคนไทยที่ไปจดทะเบียนในต่างประเทศ ถ้าดูรายชื่อผู้ถือหุ้นจะมองไม่เห็น เพราะเขาให้โบรกเกอร์ฝรั่ง "บล็อก" ชื่อไว้ชั้นหนึ่ง จากนั้นก็เข้าสู่ขบวนการสร้างราคาหุ้นเพื่อเก็บกำไร"

หุ้นที่เอกยุทธตั้งข้อสังเกตมากที่สุดคือหุ้น PTT และ AOT

เอกยุทธยืนยันว่าในปี 2546 ความมั่งคั่งของกลุ่มทุนใหญ่อย่างน้อย 2 กลุ่มที่อาจเกี่ยวข้องกับ "ถุงเงิน" ของผู้มีอำนาจได้กำไรจาก "ตลาดหุ้น" กลับออกไปกว่า 1 หมื่นล้านบาทด้วยวิธีนี้...โดยเฉพาะหุ้น "รัฐวิสาหกิจ" และหุ้นในกลุ่ม "ชินคอร์ป"

ขั้นตอนการทำกำไรชนิดที่ไม่ให้ใครตามดมกลิ่นได้ง่ายๆ นี้ กลุ่มที่ทำได้ต้องเป็นเซียนระดับ "เฟิร์สคลาส" เท่านั้น

แหล่งข่าวระดับสูงในวงการธนาคารพาณิชย์ของรัฐแห่งหนึ่งไขปริศนาว่า รายใหญ่ที่เข้ามาซื้อขายในลักษณะดูแลราคาหุ้น PTT ไม่ใช่ฝรั่ง หรือ "ป..ขายกาแฟ" แต่เป็น "ป..ปตท." สอดคล้องกับข้อสังเกตของเอกยุทธ ราคา PTT ที่วิ่งจาก (ไอพีโอ) 35 บาท ขึ้นมา 193 บาท อาจมีการใช้ข้อมูลภายในเพื่อผลประโยชน์ของใครบางคน

ส่วนวิธีการเก็บเงินหลังทำกำไรจากตลาดหุ้นไทย เอกยุทธ อธิบายต่อว่าในยุคเก่า พวกเผด็จการ หรือพ่อค้ายาเสพติด เวลาถ่ายเงินออกนอกประเทศจะไปเปิดบัญชี หรือไม่ก็ไปเปิดตู้เซฟเอาไว้ เช่นที่ สวิตเซอร์แลนด์ แล้วก็ให้ "โค้ด" ลูกหลานไว้ เวลาตายไปก็โดนแบงก์โกงไปบ้าง เงินหายไปบ้าง เอาเงินกลับมาได้ยาก

“แต่เศรษฐีรุ่นใหม่มีวิธีการเก็บเงินแบบใหม่ เวลาพวกนี้ขายหุ้นเสร็จ โอนเงินออกไปเขาจะไม่เก็บเป็นเงินสดไว้ในบัญชี ไม่ถือเงินสด ไม่ซื้อพร็อพเพอร์ตี้ ไม่เอาไปซื้อทองไว้ในตู้เซฟ เขาใช้วิธีไปซื้อพันธบัตรสหรัฐ ซึ่งมันมีดอกเบี้ย แล้วมันเป็น Transferable (เอกสารแสดงการโอน) คุณสลักหลังอย่างเดียว มันก็เหมือนเงินสด ซื้อใบละ 1 ล้านดอลลาร์ เพราะเก็บง่าย เอาไปขายที่ไหนก็ได้ในโลก"

“วิธีถ่ายเงินไปซื้อพันธบัตรสหรัฐตรวจสอบยาก เปลี่ยนเป็นเงินง่าย ให้ใครถือก็ได้ เอาไปแลกที่ฮ่องกง หรือขึ้นเงินที่ไหนก็ได้ คุณ Discount (ขายลดราคา) ได้หมด อันนี้อันตราย...คลาสสิกที่สุดแล้วในยุคนี้"

ในบรรดาความเสี่ยงทุกชนิดที่เคยสัมผัสมาเอกยุทธ ยอมรับว่า "ค่าเงิน" เล่นยากที่สุด และเคยขาดทุนมาแล้วจำนวนมาก..."แต่ตลาดหุ้นไทยเล่นง่ายที่สุด"

"ถ้าคุณอยู่ในแวดวงตลาดหุ้น ซึ่งผมอยู่มาเกือบ 20 ปี มันมองเห็นหมด เขาถึงบอกว่า "คนเห็นผี" ไง คือ มันรู้ ผมไม่เคยอยากรู้ เพราะรู้แล้วมันคัน...อยากบอก ถ้าเล่นหุ้นในต่างประเทศมันต้อง "ฝีมือ" เล็งแล้วเล็งอีกกว่าจะฟันกันได้ แต่ที่นี่ไม่ต้องรอเลย นั่งดูเดี๋ยวเดียวก็รู้แล้วว่ากำลังเก็บ ผม "ขี่" ไปกับมันดีกว่า ปีที่แล้วผม "ขี่" หุ้นนาย_กเยอะ ขี่ตัวใหญ่ๆทั้งนั้น เขาก็เลยแค้นผม"

เมื่อถามว่ามีใครบ้าง ”เซียน” ตัวจริงในตลาดหุ้น

เอกยุทธ ตอบว่าคนที่เก่งจริงในวงการหุ้น ไม่ใช่คนในรัฐบาล เซียนที่มีพอร์ตเล่นหุ้นระดับพันล้านหลายคนโตขึ้นมาจาก "ฝีมือ" ตัวเองจริงๆ ไม่ใช่กลุ่มการเมือง แต่บางคนถูกกลุ่มการเมืองมาขอให้ช่วยทำราคา

"ที่คุณเห็นส่วนใหญ่ "รวย" มาจาก "ข้อมูลวงใน" ที่ได้เปรียบคนอื่น กลุ่มทนายเล่นหุ้นมากกว่า 2,000 ล้าน...กลุ่มนี้ใหญ่มาก ข้อมูลวงในแม่นยำ ส่วนพวกนักการเมืองจะเล่นหุ้นผ่านอดีตปลัดคลังคนหนึ่ง ข้อมูลจะรู้ก่อน 10 นาที รู้จากข้างในห้องประชุมเลย หุ้นตัวไหนที่ได้ประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาลพวกนี้จะรู้ก่อนหมด

ส่วนคนที่ขายกาแฟ เขารับว่าเล่นหุ้น 1,000 ล้าน ผมอยากจะถามว่าทำไมมีน้อยเหลือเกิน 1,000 ล้าน นั่นชื่อใคร ยังมีเล่นในชื่อคนอื่นอีกเท่าไร คนนี้รวยขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่ช่วงวิกฤติธุรกิจเขาโดนหนักมาก"

เขายังกล่าวถึง "ซีอีโอ" ของบริษัทสื่อสารระดับชาติคนหนึ่งที่ใกล้ชิดกลุ่มการเมือง ในวงการหุ้นเขารู้จักในฐานะ "มือทุบ"...เซียนโดนกันมาแล้วทุกคน

"ซีอีโอคนนี้มีผลงานเคยเข้าไปไล่หุ้นบง.ธนชาติ มีคนเข้าไปติดร่างแหกันเยอะ เขาจะเก็บล็อตใหญ่แล้วหาคนมารับไม้ (หุ้น) ต่อ ลากหุ้นขึ้นไป 19.90 บาท(ช่วงเดือนกันยายน 2546) จากนั้นเขาก็ทิ้งทุกไม้ (ทุกช่องราคา) ทุบหุ้นร่วงอย่างแรง มีบริษัทหนึ่งเข้าไปรับไว้ยังติดหุ้นที่ราคา 19 บาทมาจนถึงทุกวันนี้"

สำหรับขนาดหุ้นที่รายใหญ่เลือกเก็บ เอกยุทธ บอกว่า "ต้องใหญ่" Free Float(ปริมาณหุ้นหมุนเวียนในตลาด) ต้องมาก ถ้าเป็นหุ้นใหม่ๆ (ไอพีโอ) ก็ต้องเร็ว ได้มาแล้วต้องเลิกเลย เพราะมันไม่ใช่หุ้นที่ติดอันดับ (Most Active) เล่นรอบเดียวแล้วหายไปเป็นปี

ถ้าเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องหมุนเวียนไม่มาก เซียนพวกที่เข้าไปเล่นจะไม่ใช้วิธี "ไล่ราคา" เพราะการไล่ราคาจะทำให้ต้นทุนสูง ถ้าเขาต้องการเก็บหุ้นจะใช้วิธี "ทุบ" ให้รายย่อย "อ๊วก" หรือ "สำลัก" ออกมา จากนั้นเขาจะเข้าไปเก็บเพื่อดันราคาให้มันวิ่ง...ทีนี้ก็บ๊ายบาย!!!เลย

จุดสังเกตที่เอกยุทธแนะให้จับตา เมื่อมีการลากหุ้นขึ้นมาแล้วระยะหนึ่ง ถ้าราคาเริ่มนิ่ง หรือขยับขึ้นเล็กน้อย แต่วอลุ่มยังคงหน้าแน่นผิดปกติ เป็นสัญญาณเตือนว่าขณะนั้นรายใหญ่กำลัง ”โยนหุ้น” ซื้อขายกันเองระหว่างกลุ่ม เพื่อเปิดไฟ "ล่อแมลงเม่า"....ในไม่ช้าราคาหุ้นจะตกลงอย่างรวดเร็ว

"หุ้น Free Float น้อย พวกรายใหญ่จะไม่กล้าเสี่ยงถือยาวๆ ถึงแนวโน้มกิจการจะดี แต่พอมีกำไรก็ต้องทิ้ง หุ้นลักษณะนี้จะขึ้นเร็ว ลงเร็ว รอรอบอีกทีนานเป็นปี"

ในการทำศึก "การข่าว" นั้นสำคัญมาก เอกยุทธ เปิดเผยว่า เซียนหุ้นแทบทุกคนในตลาดจะเลี้ยงดู "เด็ก" (แหล่งข่าว)ทุกโบรกฯ ถ้าเล่นหุ้นเยอะต้องทำแบบนี้

คราวนี้มาถึงยุทธวิธีตลบหลัง "เซียน" กันบ้าง ในกรณีที่มี "รายใหญ่" ดอดเข้ามาเก็บหุ้นแล้วเจ้าของหุ้นอยากแก้เผ็ดพวกนี้ เอกยุทธ บอกเคล็ดลับว่า ให้ใช้วิธี "ทุบ" ให้ "อ๊วก" ก่อน จากนั้นก็ออกหุ้นใหม่ขายเฉพาะเจาะจงทำให้ "สัดส่วน" มันเล็กลง

"ถ้าบริษัทขนาดไม่ใหญ่มาก "ทุบ" แล้วหาทุนใหม่ยัดเข้าไป ใช้เงินซัก 500 ล้าน ก็พอ ให้มันซีดลงไปเรื่อยๆ Dilute (ลดสัดส่วนหุ้น) ให้มันกลายเป็นหุ้นเล็ก ต้องหาคนที่ไว้ใจได้ร่วมมือกัน เรื่องพวกนี้ผมถนัด เคยทำอาชีพนี้ตอนอยู่มาเลเซีย คนที่ทำดีลควบรวมกิจการเยอะที่สุดในรอบ 10 ปีคือ "ผม" ทำมาแล้ว 50-60 บริษัท"

ในทางตรงกันข้ามถ้าพวกเซียนรู้ว่า "เจ้าของหุ้น" เอาหุ้นไป "จำนำ" ไว้กับสถาบันการเงิน ถ้าใช้วิธี "ทุบ" เจ้าของหุ้นเสร็จเลย สมมติราคาหุ้น 100 บาท สถาบันการเงินอาจให้คุณ 50 บาท ถ้าราคาหุ้นตกก็ต้องหาหลักประกันมาเพิ่ม มันเดือดร้อนตรงนี้

"ผมถึงบอกว่าถ้าจะต่อสู้กันก็ต้องดู "หน้าตัก" ของอีกฝ่าย เพราะเวลาหุ้นตกมันก็จะยิ่งตกหนัก ถ้าไม่มีหลักประกันไปเพิ่มจะเป็นการ Force Sale (บังคับขาย) ทันที เจ้าหนี้จะต้อง Cut Loss โยนทิ้งออกมาบ้าง เขาจะเก็บเฉพาะบล็อกใหญ่เอาไว้ Controlling (ควบคุม) เท่านั้นเอง สมมติรายใหญ่รู้ว่าเจ้าของเอาหุ้นไปจำนำไว้อย่างนี้เสร็จเลย"

ในขณะที่วิธีการ "คอร์รัปชัน" สมัยใหม่ในแวดวงการเงิน แหล่งข่าวระดับสูงจากธนาคารพาณิชย์ของรัฐแห่งหนึ่ง เปิดเผยว่า สมัยก่อนผู้บริหารระดับสูงของธนาคารจะใช้วิธี "กินเปอร์เซ็นต์" จากวงเงินกู้ หรือที่ภาษาในวงการเขาเรียกว่า "กินปากถุง"

"เดี๋ยวนี้กินปากถุงมันเสี่ยง เจอหนี้ไม่ดีเป็นเอ็นพีแอล (หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้) มันสาวถึงต้นตอเลยว่าใครอนุมัติบ้าง เดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนเป็น "ขอหุ้น" ก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์แทน"

แหล่งข่าวรายนี้ บอกว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมามีหุ้น "ไอพีโอ" อย่างน้อย 30-40 บริษัท เป็นลูกหนี้ของธนาคารเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต้อง "จ่ายหุ้น" ให้กับ "บิ๊ก" ของธนาคาร หรือ ขอซื้อมาใน "ราคาถูก" แต่เขาจะไม่รับมาเป็นก้อนใหญ่ จะกระจายหุ้นให้กับคนใกล้ชิดจำนวนหลายสิบคน แล้วนำไปขายเปลี่ยนเป็น "เงิน" ในตลาดหุ้นอีกทอดหนึ่ง ได้กำไรจากวิธีนี้ไปหลายร้อยล้านบาท

ทางด้าน เอกยุทธ บอกว่าทุกวันนี้วิธีการสร้างราคาหุ้นไม่ได้ซับซ้อนขึ้น แต่กฎหมายเมืองไทยมีช่องโหว่ ถ้าพฤติกรรมฟ้องว่า "ปั่นหุ้น" ชัดๆแต่กฎหมายต้องพิสูจน์ว่าเขาได้เงินมาจากการปั่นหุ้นอย่างไร ซึ่งพิสูจน์ยาก

ปัจจุบันการปั่นหุ้นถือเป็นความผิดทางอาญา กฎหมายกำหนดโทษให้จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับตั้งแต่ 500,000 บาท จนถึง 2 เท่าของผลประโยชน์ที่ได้รับ เมื่อสู้กันในชั้นศาลสุดท้ายผู้ถูกกล่าวหามักจะหลุดคดี

"ผมถึงบอกว่าถ้าคุณ (ผู้มีอำนาจ) แน่จริงไปเปิดบัญชีเล่นหุ้นพร้อมกันในต่างประเทศดีกว่า แล้วจะรู้ว่าใครเก่งกว่าใคร ประเทศไหนก็ได้คุณชี้มาเลย เก่งแบบเล่นหุ้นรู้ข้อมูลวงใน...ปัดโธ่!!!ใครก็เล่นเป็น"

//www.ranthong.com/smf/index.php?topic=34605.0

5777 หุหุ
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 110.168.80.16 วันที่: 31 ตุลาคม 2555 เวลา:15:48:30 น.  

 
 
 
ที่มา : ขอขอบคุณ

www.thaivi.com

อ้างอิงจาก :-

คุณ เม่าลัลล้า ที่

//www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 60542.html

ไม่ว่าจะเป็นหุ้นฝรั่งหรือหุ้นไทย มันก็ต้องไล่ราคาทั้งนั้นแหละ ไม่งั้นมันก็ไม่ขึ้นหรอก

แต่ในที่นี้เราจะมุ่งเน้นไปที่หุ้นปั่นก็แล้วกันครับ เพราะหุ้นพวกนี้เป็นอันตรายมากกว่า ไม่มีปัจจัยพื้นฐานสนับสนุน เราจึงต้องรู้เท่าทันเป็นพิเศษ

เดี๋ยวเราตามไปดูพร้อม ๆ กันดีกว่า ว่าการปั่นหุ้นเขามีกระบวนการอย่างไร เพื่อจะได้ไม่ต้องกลายเป็น แมงเม่าบินเข้ากองไฟ ไม่ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพในตลาดหุ้น

ก่อนกระบวนการไล่ราคาเกิดขึ้น กลุ่มปั่นหุ้นก็จะต้องทำการเลือกหุ้นก่อนครับ

ครั้นจะเลือกหุ้นที่มีกองทุนถืออยู่ก็คงไม่ดีแน่ เพราะไล่ ๆ ราคาอยู่ กองทุนอาจขายไม้ใหญ่ใส่มาก็ได้ ถ้าราคามันปรับตัวสูงไปกว่าปัจจัยพื้นฐานมาก

ข้อสำคัญอีกอย่าง คือ ต้องพูดคุยเจรจากับเจ้าของกิจการก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวเจอดี เพราะเจ้าของกิจการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ มีหุ้นให้ขนออกมาขายได้ไม่อั้น

ด้วยเหตุนี้ เราจึงมักจะเห็นความโยงใยของรายใหญ่ในกลุ่มหุ้นที่ร่วมขบวนการอยู่เสมอ

หุ้นในกลุ่มเดียวกัน เราก็จะเห็นชื่อกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในเวลาไล่เลี่ยกัน แล้วจากไปพร้อม ๆ กันในเวลาไม่นานนัก แล้วกลุ่มนี้ก็จะเข้าไปสิงสถิตเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทอื่นต่อ ๆ ไป หรือไม่ก็ส่งคนของแต่ละบริษัทมาถือหุ้นไขว้ไปมาระหว่างบริษัทในกลุ่มก๊วนของตน

โดยมากกลุ่มทำราคา ก็มักจะเลือกบริษัทที่ปัจจัยพื้นฐานไม่ดี เพื่อจะได้ไม่ต้องไปชนกับกองทุนครับ รวมทั้งบริษัทนั้นต้องมีจำนวนหุ้นหมุนเวียนน้อย หรือที่เขาเรียกกันว่ามี Free Float ต่ำด้วย เพื่อที่จะสามารถควบคุมหุ้นได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และยิ่งราคาหุ้นต่ำก็จะยิ่งดี เพราะจะได้รู้สึกว่าถูกในทางจิตวิทยา ล่อคนมาติดกับดักได้ง่าย และยังทำกำไรได้สูงซะด้วย

เช่น เงิน 10 ล้านบาท ซื้อหุ้นราคา 1 บาท ได้ 10 ล้านหุ้น เมื่อหุ้นขึ้นไปเพียง 1.50 บาท ก็สามารถทำเงินได้แล้วถึง 5 ล้านบาท ซึ่งหากนำเงิน 10 ล้านบาทนี้ ไปซื้อหุ้นบลูชิพราคา 100 บาท จะซื้อได้เพียง 1 แสนหุ้น และหุ้นต้องขึ้นไปถึง 150 บาท จึงจะได้กำไร 5 ล้านบาท

เมื่อได้หุ้นเป้าหมายแล้ว ก็ต้องหาบัญชีตัวแทนล่ะครับ เพื่อนพ้องน้องพี่ ลุงป้าน้าอา คนขับรถ คนสวน ที่เปิดบัญชีรอไว้หลากหลายโบรกเกอร์ จะถูกใช้ชื่อเป็นตัวแทนในการซื้อ ขาย รับโอนหุ้น ระหว่างกัน ยิ่งเดี๋ยวนี้ยิ่งซับซ้อนขึ้นเพื่อให้ยากในการตรวจสอบ กระจายไปมากกว่า 20 บัญชี ยังมีให้เห็นอยู่บ่อยเลยครับ

เมื่อทุกอย่างพร้อม คราวนี้ก็เริ่มทำการ เก็บ-กด หุ้นสิครับ

การ เก็บ-กด หุ้น เป็นจิตวิทยารายใหญ่รังแกรายย่อย โดยใช้วิธีการวาง offer หนา ๆ ไม่ให้ใครกล้าเคาะซื้อขึ้นไป และกดดันให้คนที่มีหุ้นอยู่ รู้สึกว่า ราคาคงจะขึ้นต่อไม่ไหวแล้ว ขายหุ้นลงมาที่ฝั่ง bid ซึ่งกลุ่มทำราคาตั้งราคารอซื้ออยู่ วิธีนี้พบเห็นกันโดยทั่วไปครับ

แต่สำหรับหุ้นในกลุ่ม เดอะซัน หรือ หุ้นในกลุ่ม เสี่ยลี หรือ หุ้นในกลุ่ม เสี่ยบี แล้ว โหดกว่านั้น ใช้วิธีการกดหุ้นด้วยวิธีซาดิสต์ หรือที่ในวงการชอบเรียกว่า “ทุบให้อ้วก” โดยให้พรรคพวกตั้ง bid ไว้ที่โบรกเกอร์หนึ่ง แล้วสั่งอีกโบรกเกอร์หนึ่งให้ขายโครมลงมาไม้ใหญ่ ๆ เขย่าขวัญพวกเรา บล็อกราคา ดองราคาไม่ให้ไปไหน มีกด มีทุบ สักระยะหนึ่ง เดี๋ยวรายย่อยก็จะขายทิ้งลงมาให้เองครับ

ช่วงหลังนี้ เขาพัฒนาไปถึงขั้นใช้กราฟเทคนิคเข้าช่วย ทำเหมือน ๆ จะไป ไล่ซื้อหุ้นให้ราคาวิ่งขึ้นไปถึงแนวต้าน ซื้อรวดเดียวแบบกวาดมาจนเกลี้ยง แล้วทิ้งโครมลงมาในลักษณะ “ทุบให้อ้วก” จนเกิด Sell signal เพื่อสั่งลา ว่าหุ้นตัวนี้ไปไม่รอดแล้ว

จากนั้นก็ปล่อยให้มวลชนทั้งหลายที่หลงซื้อหุ้นนั้นเข้าไป เซ็งกันไปเอง ขายขาดทุนบ้าง ขายเท่าทุนบ้าง ส่วนกลุ่มทำราคาก็ย้ายไปเล่นตัวอื่นพลาง ๆ ก่อน เพื่อให้มวลชนที่ถือหุ้นนี้อยู่ เกิดอาการสิ้นหวังกันถ้วนหน้า

กระบวนการ เก็บ-กด และ ทุบให้อ้วก นี้ อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ หรือ เป็นเดือนเลยล่ะครับ เพื่อเรียกของคืนมาจนกว่าจะครบตามที่ต้องการ


ในช่วงของการกด-เก็บหุ้น ปริมาณการซื้อขายจะมากขึ้นผิดสังเกตครับ มีซื้อ ๆ ขาย ๆ แต่ราคาไม่ขยับ หรือ ขยับก็ขยับไม่มาก หรือ บางครั้งขยับลงอีกต่างหาก เพื่อกดดันให้ผู้มีหุ้นอยู่รู้สึกว่า แรงขายมีเยอะจัง ราคาไม่ไปไหนเลย แล้วขายหุ้นทิ้งลงมา

เมื่อได้หุ้นครบแล้ว เขาจะนั่งรอเวลาระยะหนึ่ง เพื่อไม่ให้ผิดสังเกตครับ แล้วจึงค่อยไล่ราคาขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ในระหว่างที่ไล่ราคาขึ้น ก็จะมีการเชิญนักวิเคราะห์ไปเยี่ยมชมกิจการ หรือ ออกข่าวดี เรื่องรายได้ พันธมิตร หรือ อาจจะเลยเถิดไปถึงขนาดปล่อยข่าวลือต่าง ๆ นานาไปเลยด้วยซ้ำ เพื่อให้มวลชนเชื่อว่าหุ้นกำลังจะมีแนวโน้มที่ดี

แล้วจะทำยังไงล่ะครับ เพื่อจะเพิ่มน้ำหนักให้กับข่าวดีนั้น ก็ต้องไล่ราคาโชว์ซิครับ ด้วยการเคาะซื้อครั้งละมาก ๆ รวบทีละ 2-3 แถว แบบเว่อร์ ๆ หน่อย ก็กินรวบไม่แบ่งใครเลย 5-6 แถวก็มี คราวนี้ความมั่นใจก็มา การแย่งกันซื้อแบบไม่เกี่ยงราคาก็เกิดขึ้น

ถ้าหุ้นนั้นพื้นฐานแย่หน่อย หรือ กลุ่มทำราคากลุ่มเล็ก เกมส์ก็มักจะจบไวครับ

แต่บางกรณีที่กลุ่มทำราคาเป็นกลุ่มใหญ่ การลากราคานั้นอาจจะยาวนาน เพื่อให้ราคาขึ้นไปสุดโต่งเท่าที่จะเป็นไปได้

กลวิธีระหว่างไล่ราคานี้ ก็น่าเกลียดพอประมาณครับ ตั้งขายไว้ที่โบรกเกอร์หนึ่ง แล้วก็สั่งอีกโบรกเกอร์หนึ่งให้เคาะซื้อเอง เมื่อซื้อได้แล้วก็จะสั่งโบรกเกอร์ให้ตั้งขายในราคาที่สูงขึ้น แล้วก็สั่งอีกโบรกเกอร์หนึ่งให้เคาะซื้อตาม

ตลาดหลักทรัพย์ตรวจได้ไม่ยากครับ ถ้าอยากจะตรวจจริงจัง ใครที่ซื้อแพงแล้วขายถูก แล้วก็ไปไล่ซื้อที่แพงกว่า แล้วก็ขายถูกอีกครั้งแล้วครั้งเล่า และซื้อขายทีไม้ใหญ่ ๆ ก็นั่นแหละ แก๊งค์ปั่นหุ้น

เมื่อหุ้นขึ้นมาใกล้ราคาเป้าหมายแล้ว ไม่รู้เป็นไง สื่อและหนังสือพิมพ์ มักจะออกมาเชียร์เรื่อย ช่วงนี้แหละครับที่รายใหญ่จะเริ่มทยอยขายหุ้น

แต่เนื่องจากหุ้นมันมีเยอะนะครับ ขายลำบาก ก็ต้องเรียกแขกเข้ามาร่วมแจม

วิธีเรียกแขก ก็จะใช้วิธีเดิมครับ เคาะซื้อของตัวเองที่ตั้งขายไว้ที่อีกโบรกเกอร์หนึ่งอย่างรวดเร็วและรุนแรง หลาย ๆ ระดับราคา มีโชว์เคาะซื้อเคาะขายสลับไปมา ครั้งละหลายแสนหลายล้านหุ้น เพื่อให้ดูคึกคักเป็นที่สนใจของมวลชน เมื่อมวลชนเห็นว่าหุ้นตัวนี้ วิ่งดี น่าจะทำกำไรได้งาม ก็จะแห่เข้ามาเคาะซื้อสนุกสนานพร้อมความหวังรวยเร็ว

ตรงนี้แหละครับที่รายใหญ่จะเริ่มตั้งขายที่ฝั่ง offer ในแต่ละช่วงราคา พร้อมๆกับตั้ง bid หนาๆ เพื่อจูงใจให้รายย่อยเคาะซื้อเนื่องจากเห็นว่า ขืนตั้งรอซื้อจะไม่ได้ของ

ระหว่างนี้อาจมีเคาะซื้อนำไม้เล็ก ๆ ต่อเนื่องกัน เพื่อจูงใจให้รายย่อยแห่เคาะซื้อตาม เมื่อหุ้นที่ตั้งขายใกล้หมด รายใหญ่จะขนหุ้นมาเติมขาย และอาจมีเคาะซื้อหุ้นที่ตัวเองวางขายไว้ที่โบรกเกอร์อื่นสลับเป็นระยะด้วยครับ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าหุ้นนั้นยังมีแรงซื้อมากอยู่

แต่พอซื้อเสร็จ ก็ขนหุ้นที่เพิ่งซื้อนะแหละ มาวางขายอีกที่ฝั่ง offer อีก หลังจากนั้นไม่นาน หุ้นก็จะถูกเปลี่ยนมือไปอย่างเงียบ ๆ มวลชนก็จะเริ่มครอบครองหุ้นเกือบทั้งหมดของรายใหญ่ในเวลาต่อมา

ส่วนรายย่อยที่ยังไม่เคาะซื้อก็จะตั้ง bid รอ ใช่ไหมครับ พอรายย่อย bid รอ รายใหญ่ก็จะค่อยๆถอน bid ออก แล้วตั้งซื้อใหม่เพื่อดันให้รายย่อยได้คิวซื้อก่อน

เมื่อ bid ที่เหลืออยู่ มีแต่คำสั่งซื้อของรายย่อยที่หนาแน่นพอแล้ว รายใหญ่ก็จะเทขายลงมา และขายต่อเนื่องลงมาเรื่อย ๆ จนกว่าจะหมดพอร์ต

ขอย้ำอีกครั้งนะครับ ว่าบทนี้เป็นการเปิดโปงเพื่อให้รู้ทันเกมปั่นหุ้น ไม่ได้สนับสนุนการผิดศีลทำบาป ไม่ได้สนับสนุนการลักทรัพย์ ไม่ได้สนับสนุนการมุสา ฯ แต่ประการใด แต่ต้องการสื่อให้เห็นไม่เผลอไปเล่นในเกมของเขา เพื่อเราจะได้ไม่หลงทางไปเป็นเหยื่อ


มาถึงตรงนี้ ก็อดที่จะพูดถึง " การไล่ราคาวอแร้นท์ " และ " การซ่อนออร์เดอร์ไม่ได้ "

เริ่มจากการไล่ราคาวอแร้นท์ก่อนแล้วกันครับ

.....หุ้นเก็งกำไรหลายๆตัว ก็มี วอแร้นท์ และหลาย ๆ ครั้งที่คนทำราคา จะเอาหุ้นตัวแม่ และวอแร้นท์ขึ้นมาอย่างช้า ๆ โดยไม่ให้ใครได้ทันสังเกตเห็น

เมื่อสะสม หุ้นและวอแร้นท์ ได้มากพอ ก็จะลาก วอแร้นท์ ขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เพราะราคาถูกกว่า ใช้เงินน้อยกว่า

เมื่อลาก วอแร้นท์ ขึ้นไปได้ระยะหนึ่ง ก็จะลาก หุ้นแม่ ขึ้นไป พร้อม ๆ กับวางขาย วอแร้นท์ เพราะนักเก็งกำไรส่วนใหญ่ เมื่อเห็น หุ้นแม่ ขึ้น ก็เชื่อว่าวอแร้นท์จะขึ้นตาม แต่หารู้ไม่ว่าเขาวางขาย วอแร้นท์ กันแล้ว

ตบท้ายแล้วนะ จะเปิดโปงเรื่องการซ่อนออร์เดอร์หน่อย

ซื้อแล้วลง ขายแล้วขึ้น เป็นเรื่องปกติที่ผิดพลาดกันได้ครับ

แต่ความผิดพลาดนั้น สามารถทำให้ลดน้อยลงไปได้ด้วยความช่างสังเกตครับ

การตั้งซ่อนออร์เดอร์เพื่อหลอกซื้อของ มักจะใช้ในช่วงที่ราคาอยู่ที่แนวรับ จะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่พอดี ซึ่งตรงจุดนี้ ผู้ที่มีต้นทุนต่ำ มักจะยอมขายทิ้งลงมา ก่อนที่ราคาจะหลุดแนวรับลงไป หรือไม่ก็มักจะใช้ในช่วงที่ราคาอยู่ที่แนวต้านพอดี ให้เราลุ้นเล่นว่าจะ Breakout ผ่านขึ้นไปได้หรือไม่ พอเราเห็นว่ามันคงไปไม่ไหวแล้ว เราก็จะขายลงมา จากนั้นไม่นานเขาก็จะลากผ่านแนวต้านขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ใครกล้าตาม

เราไปดูการเล่นกับจิตวิทยามวลชนด้วยวิธี Partial Publish กันครับ

หากรายใหญ่ต้องการให้มวลชนขายลงมา เขาก็จะขนหุ้นมาวางขายที่ฝั่ง Offer หนา ๆ แล้วตั้ง bid น้อย ๆ ให้เราหวาดเสียวเล่น หรือไม่ก็ใช้ กลวิธี “ทุบให้อ๊วก” ตามแต่ความซาดิสต์ที่มีในจิตใจ

แต่เมื่อราคาไหลหรือดิ่งลงไป ณ ระดับราคาหนึ่งแล้ว รายใหญ่เหล่านั้นก็จะสั่งตั้งซื้อแบบซ่อนออร์เดอร์ ที่ฝั่ง bid ด้วยการตั้งซื้อหุ้นจำนวนมาก แต่ใช้คำสั่ง partial publish ทีละน้อย ๆ เช่น สั่ง bid ซื้อหุ้นช่องละ 1 ล้านหุ้น แต่ให้เห็นทีละ 40,000 หุ้น

แหม พอเราเห็นฝั่ง offer หนา ๆ ขนาดหลายล้านหุ้นขวางอยู่ ขณะที่ bid เหลือแค่ 40,000 หุ้น เราก็รีบขายซิครับ ก่อนที่ราคานั้นจะมีคนชิงขายลงมาก่อน

แต่มันก็น่าแปลก พอเราขายลงมา 40,000 หุ้น มันก็โผล่ขึ้นมาอัตโนมัติที่ฝั่ง bid อีก 40,000 หุ้น พอเราขายอีก 40,000 หุ้น มันก็โผล่เข้ามาอีก 40,000 หุ้น พอเราขายอีก 80,000 หุ้น มันก็โผล่เข้ามาอีก 40,000 หุ้น 2 ครั้ง ติดกัน พอเราหยุดขาย มันก็ยังคงรอเราที่ฝั่ง bid อีก 40,000 หุ้น แบบไม่สะทกสะท้านแรงขาย

คำถามคือ หากเป็นท่านเอง ท่านต้องการจะขายหุ้น 2-3 ล้านหุ้น ท่านจะเอามาวางโชว์ที่ฝั่ง offer ไหมครับ ถ้าท่านแสดงให้คนอื่นเห็นว่าท่านอยากขาย 2-3 ล้านหุ้น แล้วใครจะไปเคาะซื้อล่ะครับ

และใครกันหนอจะรับซื้อที่ฝั่ง bid ได้ไม่อั้นขนาดนั้น ใครขายมาเท่าไหร่ รับซื้อหมดเลย แสดงว่าคนที่รับซื้อไม่อั้นคนนั้น เขาต้องมั่นใจสูงเลยใช่ไหมครับว่าราคาจะวิ่งแน่ เพราะถ้าเป็นคนปกติ เขาไม่ซื้อหรอก ถ้าแรงขายยังขายทิ้งลงมาเรื่อย ๆ

ถ้าท่านเห็นแบบนี้ ต้องหยุดขาย หรือ หาจังหวะซื้อคืนแล้วนะครับ พลาดแล้วล่ะ เขากำลังตั้งโต๊ะซื้อของอยู่ และเมื่อไม่มีใครขายลงมาให้แล้ว อีกไม่นาน เขาจะกวาดรวบขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

พอวิธีนี้เริ่มมีคนสังเกตเห็น รายใหญ่เลยพัฒนาวิธีใหม่ ด้วยการย้าย partial publish มาที่ฝั่ง offer แทน พร้อม ๆ กับ ทยอยตั้งรับ ที่ฝั่ง bid ด้วย จากนั้นก็เคาะซื้อของตัวเองไปเรื่อย ๆ ที่ฝั่ง offer เพื่อให้ใคร ๆ เห็นว่า นี่เป็น partial publish นะ มีออร์เดอร์ซ่อนขายที่ฝั่ง offer นะ น่ากลัวนะ

พอเขาเคาะซื้อ 100,000 หุ้น โห partial publish ไหลมาให้เห็น 20 รายการๆละ 5,000 หุ้น เลยแหะ อีกสักพัก เขาก็เคาะซื้ออีก 200,000 หุ้น partial publish ก็จะโชว์ให้เห็นมา 40 รายการ ๆ ละ 5,000 หุ้น ว่าไง ว่าไง กลัวไหม มีออร์เดอร์ซ่อนขายอยู่นะ

พอเราเห็นว่า เคาะซื้อฝั่ง offer เท่าไหร่ก็ไม่หมดซะที แถมซ่อนออร์เดอร์ซะด้วย ด้วยความรู้เท่าทัน เราก็จะขายโครมลงมาที่ฝั่ง bid แหะ ๆ ๆ เสร็จเขาเลยล่ะครับ เขาได้ของไปแล้ว พอฝั่ง bid จะหมด เขาก็เติม bid อีก ขายมาเท่าไหร่ ฝั่ง bid ก็ไม่หมดซะที ไอ้ที่เราขายไปแล้ว นั่งรอทั้งวัน ยังไม่ได้ซื้อคืนเลย

คำถามคือ หากเป็นท่านเอง ท่านต้องการจะซื้อหุ้นจำนวนมาก ท่านเห็นว่าฝั่ง offer หนาขนาดนั้น เคาะไม่ผ่านสักที ท่านจำเป็นจะต้องรีบตั้ง bid มาจ่อแบบนี้ไหมครับ ทำไมฝั่ง offer ไมผ่าน แต่ฝั่ง bid ก็ไม่หลุดล่ะ ถ้าไม่มีคนตั้งโต๊ะรอซื้อไม่อั้นที่ฝั่ง bid

แต่ถ้า Offer ไม่ผ่าน ฝั่ง bid ก็ไหลรูด ตัวใครตัวมันล่ะกันนะครับ

น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวางนะครับ

ที่มา : ThaiDayTrade
//www.ranthong.com/smf/index.php?PHPSESSID=c7b2fc6402c4b87fcfc17931693d25c6&topic=34607.msg784313;topicseen#new

4067
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 110.168.80.16 วันที่: 31 ตุลาคม 2555 เวลา:16:03:03 น.  

 
 
 
วันนี้ขอหยุดลงทุน...เพราะ???
เมื่อคืนดันฝันว่า นั่งรับประทานอาหารกับกลุ่มเพื่อน..แต่ที่โต๊ะมี "สัมภเวสีหน้าเหลี่ยมไร้ถิ่นอาศัย" และ "เจ๊กมาเลย์ขายชาผสมน้ำตาล" ที่มีปมด้อยอยากดังและอยากเสนอหน้าตามสื่อหน้าเงินทั้งหลาย...นั่งร่วมโต๊ะด้วย..สงสัยผมจะรับประทานมากไปมั้ง...ถึงฝันร้ายเช่นนี้..อย่างนั้นวันนี้หยุดลงทุนดีกว่า..เพราะขนาดฝันยังเจอพวก "ตัวซวย" เลย..555555

มีคนถามและอยากให้ผมแนะนำหุ้นเป็นรายวันและรายตัว..ขอเรียนว่าไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ครับ..เพราะหากแนะนำอย่างนั่น ท่านนักลงทุนทั้งหลายก็จะไม่มีทางลงทุนได้เองหากไม่มีผู้แนะนำ..ผมอยากให้ขยันทำการบ้านหรืออ่านให้มากและเลือกอ่านผู้ที่วิเคราะห์หรือประเมินก่อนมีเหตุการณ์หรือเห็นราคาหุ้นแล้ว..เพราะที่ผมเห็นส่วนใหญ่มาวิเคราะห์เมื่อเกิดเหตุการณ์และเห็นราคาหุ้นแล้ว อย่างนั้นใครๆก็พูดได้เหมือนเปิดถ้วยไฮโลแทง..

เอกยุทธ อัญชันบุตร
3-10-2555

//akeyuth.net/index.php/2012-09-06-16-26-52/117-2012-10-03-01-29-35
8260
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 110.168.80.16 วันที่: 31 ตุลาคม 2555 เวลา:16:06:59 น.  

 
 
 


 
 

โดย: นู๋บี วันที่: 31 ตุลาคม 2555 เวลา:16:35:19 น.  

 
 
 
ข้อเปรียบเทียบระหว่าง อิปลาไหลทะเล VS อิปลาไหลไฟฟ้าาาา



ปลาไหลทะเล เป็นสัตว์ที่เลือกกินแต่สิ่งที่สะอาดและมีคุณค่า
จึงไม่ต้องกังวลเรื่องการรับสารพิษจาก ระบบห่วงโซ่อาหาร
เนื่องจากมลภาวะที่มีมากขึ้นในปัจจุบัน

ปลาไหลทะเล ตามธรรมชาตินับวันจะหายากยิ่งขึ้น ใน ปี คศ. 1972 รัฐบาลญี่ปุ่น มีนโยบายส่งเสริมให้ประชาชนรู้จักคุณค่าของปลาไหลทะเลมากยิ่งขึ้น จึงทุ่มทุนมหาศาลที่จะทำการวิจัยเพื่อนำสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดของปลาไหลทะเลมาสกัดเป็นอาหารเสริมและมีการส่งเสริม การเลี้ยงปลาไหลทะเล ตามชายฝั่งทะเลเป็นอย่างมาก

การวิจัยปลาไหลทะเลว่ามีสารอาหารที่สำคัญอะไร ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายได้ถึงขนาดนี้ ..ในที่สุดก็ค้นพบว่า ในปลาไหลทะเลอุดมไปด้วยสารอาหารที่สำคัญได้จากการสกัดจากกระดูกไขสันหลังของปลาไหลทะเลในรูปของกรดไขมันไม่อิ่มตัว 2 ชนิด คือ DHA และ EPA รวมทั้งวิตามินจากธรรมชาติอีก 3 ชนิดได้แก่ วิตามิน A D และ E



ที่มา


//www.dlife2u.com/285154/เรื่องปลาไหลทะเลญี่ปุ่น

 
 

โดย: นู๋บี วันที่: 31 ตุลาคม 2555 เวลา:16:36:01 น.  

 
 
 


ปลาไหลไฟฟ้าเป็นปลาน้ำจืดที่อาศัยอยู่ในเเม่น้ำอะเมซอนเเละออริโนโคในอเมริกาใต้ มันเป็นหนึ่งในสัตว์ที่อันตรายที่สุดในอเมริกาใต้
เจ้าปลาไหลไฟฟ้านั้นไม่ได้มีเเค่ 1 เเต่มีถึง 3อวัยวะพิเศษ
ที่ผลิตกระเเสไฟฟ้าสูงถึง 600โวลต์หรือมากกว่า เพื่อช๊อกหรือฆ่าคน

เป็นที่เชื่อกันว่าคนที่ไปว่ายน้ำในเเม่น้ำอะเมซอนเเละออริโนโคหายไปอย่างไร้ร่องรอยนั้นโดนปลาไหลไฟฟ้าฆ่าหรือจมน้ำตาย ซึ่งส่วนมากคนมักจะโทษการตายนี้ให้สัตว์นักล่าอย่างปิรันย่าหรือจระเข้เคย์เเมน นับว่าเป็นโชคดีของเราที่เจ้าปลาไหลไฟฟ้านั้นไม่พิสมัยเนื้อคน เพราะอาหารของมันคือปลาขนาดเล็ก, ปูเเละสัตว์ตัวเล็กๆ ปลาไหลไฟฟ้าจะโจมตีเพื่อป้องกันตัวเท่านั้น การลงน้ำที่มีปลาไหลไฟฟ้าอยู่นั้นควรทำด้วยความระวังหรือไม่ลงเลยดีกว่า

ที่มา

//writer.dek-d.com/JiPpieZz/writer/viewlongc.php?id=687461&chapter=66
 
 

โดย: นู๋บี วันที่: 31 ตุลาคม 2555 เวลา:16:36:36 น.  

 
 
 
อิปลาไหลทะเล ว่า ...
---------------------------
เพราะไม่ได้คิดจะไปชาบูๆ กะทั่นวิษณุ ทันที
ต้องดูก่อนว่า คำสอนท่าน วิษณุ
ขัดกับ มโนคติส่วนตัวรึป่าว ง่ะ
แบ่บ ว่า ขอดูเชิงก่อน อิอิ
++++++++++++++++++++

ทั่นด็อกฯ ถาม....
แล้ว มโนคติส่วนตัว ของ อิปลาไหลทะเล
มันเป็นฉันใด ล่ะหนอ ? ขอยกตัวอย่าง ให้ทั่นด็อก สักดอกส์สองดอกส์สิจ๊ะ
แบ่บว่า ทั่นด็อก ฯ อยากจะลอกหนัง ชำแหล่ะเนื้อ
แล้ว ป่นกระดูก สกัดเอาน้ำมันจากปลาไหลทะเล
มา รับประทานเป็น อาหารเสริม อ่ะจร้าาา หุหุ


ปอลิง
เด๋ว ฤกษ์งามยามดี จะมาเม้าส์โตยจร้าาาาาา
 
 

โดย: นู๋บี วันที่: 31 ตุลาคม 2555 เวลา:16:38:30 น.  

 
 
 
อืม...แวะมาบอกว่า ช่วงนี้จิง ๆ แร้ว
ก็เริ่มสะสางดินพอกหางหมูไปได้แยะ แระ แหล่ะ
แต่ ยังบิ้วอารมณ์ เขียนเรื่อง พุทธอวตาร ก๊ะ สัมมาสไตล์
ในแบบฉบับ อิปลาไหลไฟฟ้า ไม่ออกเรยอ่า


เฮ้ออ ข้อมูลดิบ ที่จะเขียนน่ะมีโม๊ดดดดด
แต่ องค์ยังไม่ลง ซ้าที อ่า
เรย ยังค้าง ๆ คา ๆ จิ้มดีดไม่ออก
ไง ก้อ อย่าเพิ่งงอล อิตั้วเจ้ มันเรยน้าาา
ช่วงนี้ อี 'ติ๊สแตก อ่า


และ ถ้าจะใ้ห้สักแต่ว่า หลับหูหลับตา
ขีด ๆ เขียน ๆ ให้มันจบ ๆ
แล้วเอามาโพสแบ่บ สุกเอาเผากิน
อิเจ้มันมันก็ ทำใจไม่ได้ ว่ะ
ดังนั้น รอหน่อย เน๊าะ แหะ...แหะ....



อ้อ เอาคลิปมาฝากด้วยจร้าาาา

คลิปวีดีโอปลาไหลไฟฟ้า ปะทะ จระเข้
ใครจะอยู่หรือไปมาดูกัน

//www.youtube.com/watch?v=uyy5UjQ0Sao


เฮ้ออ นี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า
ไอ้เฒ่าสุมาอี้ ที่กะลังฟัดอยู่ด้วยเนี่ย
มันเป็น กิ้งก่า เป็นแย้ เป็น กระปอม
เป็น ตัวเอี้ยในรูจอมปลวก หรือว่า โคตรไอ้เข้ กันแน่ว่ะ


แต่ก็ช่างเหอะนะ
เพราะไม่ว่า มันจะเป็นตัวอะไร
ก็คงไม่สำคัญหรอกจร้าาาาาา
ไงซะ ถ้าไอ้หน้าไหน ดันทะลึ่ง
หลงเข้ามาโคจร ในจักรวาลเดียวก๊ะอาเหล่าม่า เมื่อไร
อาเหล่าม่า มันก็ จับเอามาแหล่กล่ายโม๊ดดด แผล่บ ๆ


++++++++++++++++++++++++++

จำนวนผู้ชม 14447 ครั้ง
จำนวนผู้ชม Profile 230 ครั้ง

++++++++++++++++++++++++++
 
 

โดย: อาเหล่าม่า ( ปลาไหลไฟฟ้า ห้าพันโวลต์ แผล่บ...แผล่บ... ) (นู๋บี ) วันที่: 31 ตุลาคม 2555 เวลา:20:22:21 น.  

 
 
 
ทั่นด็อกฯ ถาม....
แล้ว มโนคติส่วนตัว ของ อิปลาไหลทะเล
มันเป็นฉันใด ล่ะหนอ ? ขอยกตัวอย่าง ให้ทั่นด็อก สักดอกส์สองดอกส์สิจ๊ะ
*.*
มโนคติของอิปลาไหล
ก็เลือกกินแต่สิ่งที่สะอาดและมีคุณค่า
แระก็ ศีล เป็นสัมมาทิฏฐิ
ทุศีล เป็นมิจฉาทิฏฐิ
ใช้หลักกาลามสูตร
สัมมาทิฏฐิ ควรมีในตน
มิจฉาทิฏฐิ ควรห่างไกล
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
บุญบาปมีจริง ผลของบุญและบาปมีจริง
สวรรค์นรกเป็นเรื่องชั่วคราวไม่เที่ยงเป็นทุกข์พึ่งไม่ได้จริง
นิพพาน เที่ยง ไม่มีทุกข์ เป็นที่พึ่งได้จริง
สมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน คือกรรมที่จะ
ช่วยให้เรามีกำลังสติสมาธิและปัญญาทำให้เข้าใจมรรค8
และอริยสัจ4ได้ ทำให้เข้าถึงและเข้าใจสภาวะนิพพาน
ถอนกิเลสตัณหาออกจากจิตใจหลุดพ้นจากอำนาจของ
กิเลสและมิจฉาทิฏฐิได้ถาวร หลุดพ้นจากการเกิดแก่เจ็บ
และตาย

ประมาณนี้
ถ้าคำสอนเข้ากันได้กับมโนคติก็จะยอมรับได้ง่าย
แต่ถ้าคำสอนนั้นขัดกับมโนคติมันจะไม่ชอบ ขัดแย้ง
รับฟังได้ยาก ไม่คล้อยตาม มีเถียง ไม่ชอบใจ
ไม่ยอมรับ ขัดหูขัดตา (หุหุ) แต่ถ้าพิสูจน์ความจริง
ได้ว่าถูกต้องก็จะยอมรับได้ในภายหลัง คือยอมรับ
เพราะมันเป็นจริงเป็นสัจธรรมที่เป็นสัมมาทิฏฐิมีคุณค่า
ไม่มีโทษ และพิสูจน์รู้ได้ด้วยตัวเราเองหมดสงสัย

1281 หุหุ

 
 

โดย: อิปลาไหลทะเล IP: 58.9.153.129 วันที่: 31 ตุลาคม 2555 เวลา:22:17:49 น.  

 
 
 
ซาตุ๊....

อิอิ ทั่นด็อกมันบอกว่า
มโนคติ ของ อิปลาไหลทะเล นี่
คล้าย ๆ ของ อิปลาไหลไฟ้า อ่า
แต่ว่า ม่ะเหมือนกันเป๊ะ ซะทีเดียว
มันเป็นความเหมือนที่แตกต่าง อ่า


เพราะ อาเหล่าม่า อิปลาไหลไฟฟ้า ฯ
มัน มีสารพัดพิษเป็นชาติตระกูล
แถมยัง สำเรจเคล็ดวิชา อาหาเรปฏิกูลสัญญา อีกด้วย
เรย แหล่กม่ายเลือก และ แหล่กได้โม๊ดดดดดดด
ทั้ง สิ่งโสโครก ของไร้ประโยชน์
ตลอดจน ของที่สะอาด แอนด์ มีคุณค่า


เฉกเช่นเดียวกับ บัว เหล่าที่ ห้า
ที่ มันสามารถ ใช้ ทั้ง ปฏิกูลของเปือกตม
แล แสงแดดอันบริสุทธิ์ยามรุ่งอรุณ
มาช่วยค้ำจุนให้เกิด คุณประโยชน์ แก่ตน


อืม...สำบัดสำนวนชักจะติดลิเก วุ้ย หุหุ
เอาเป็นว่า โดยหลักการ คอนเซปต์ของ มโนคติ
ของ สองปลาไหล มีอะรัย ที่ คล้าย ๆ กัน
แต่ว่า สัมมาฯ สไตล์ ที่ประมวลผลได้ ดัน ต่างกันซะนี่
บางที อาจเป็นเพราะ สัจธรรมที่ต่างคนต่างค้นพบ
มันเป็นเือง ของการ มองคนละมุมมั้ง อิอิ


อาทิเช่น

1.อิปลาไหลไฟฟ้า มันไม่เชื่อว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

2.การยกลูกให้ชาวบ้าน ของพระเวสสันดร เป็น มิจฉาทิฏฐิ

3.ในเรื่องที่ เอี้ยก้วยให้อภัยก้วยพูนั้น
มันยังไม่ใช่ สัมมาฯ สไตล์
ในแบบฉบับของเปอร์เฟคชั่นนิสต์
ในความคิดของ อิปลาไหลไฟฟ้า
และ การทำโทษที่ อึ้งย้งจะขังลูกสาวในคุกขี้ไก่
นั่นก็ มิใช่ สัมมาฯ


4.และ ถ้าต้องเปิดศึกเกิดกรณีพิพาท แย่งลูกกัน
การให้สิทธิ์ของลูกได้อยู่กับทั้งพ่อและแม่ เท่าๆกัน
มันก็ มิใช่ สัมมาฯสไตล์ ในแบบฉบับของ อิปลาไหลไฟฟ้า

อ๊ะ ๆ งงล่ะสิ ? ไว้เด๋ว บิ้วอารมณ์ศิลปิน จน องค์ลง ได้ เมื่อไร
จะมารจนา มหากาพย์ธรรมโม๊ะ ให้ฟัง อิอิ
 
 

โดย: อาเหล่าม่า ( ปลาไหลไฟฟ้า ห้าพันโวลต์ แผล่บ...แผล่บ... )ิ (นู๋บี ) วันที่: 1 พฤศจิกายน 2555 เวลา:0:00:51 น.  

 
 
 
จำนวนผู้ชม 14470 ครั้ง
จำนวนผู้ชม Profile 230 ครั้ง
 
 

โดย: อาเหล่าม่า ( ปลาไหลไฟฟ้า ห้าหมื่นโวลต์ แผล่บ...แผล่บ... ) (นู๋บี ) วันที่: 1 พฤศจิกายน 2555 เวลา:0:03:09 น.  

 
 
 
พูดถึงมุมมองเรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นี่เหมือนท่านป๋าโจฯ
เรยง่ะ วันนึงได้ไปกราบหลวงพ่อไก่ ก็ถามท่านตรงๆว่า
ทำไมทำดีแล้วไม่ได้ดี คนทำชั่วกลับได้ดี
ท่านตอบว่าทำดีได้ดีนั้นมันดีที่ตัวเราเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นมา
เห็นว่าเราดี หรือมาสรรเสริญความดีของเรา
อิอ่อนมันเข้าใจว่าดีนั้นมันหมายถึงความเจริญ
ความสุข ความสงบ มีสติสัมปัชญะ เกิดสัมมาทิฏฐิ
มีหิริดอตัปะะ รู้ละอายต่อบาป รู้ถูกรู้ผิดเอง รู้ดีรู้ชั่วเอง
ดีในทางธรรมและดีในทางโลกแบบสัมมาสไตล์
แต่ไม่ใช่ดีแบบสนองกิเลสตัณหาให้อิ่มอกอิ่มใจหรือได้ดี
อย่างที่ใจเราหรือที่กิเลสของเราต้องการ ตอนนี้ ป๋าโจฯ แกก็
ยังเปรยๆอยู่เรื่อยๆแหละ ว่าทำดีได้ดีมีที่ไหน หุหุ
แปลว่าป๋าโจฯยังไม่เจอสัจธรรมของทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
เพราะคนที่ป๋าโจฯแกเห็นว่าทำชั่ว ก็ยังได้ดีมีสุข ร่ำรวย
มีชื่อเสียงทรัพย์สินเงินทอง มีคนรัก +สรรเสริญอยู่ ง่ะ
แบ่บว่าป๋าฯเห็นแต่ภายนอกที่เขาเป็นสุข ไม่ได้เห็น
ความทุกข์ของคนพวกนั้น ก็เลยอาจจะยังไม่เข้าใจสัจธรรม
เรื่องทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ของงี้มันอยู่ที่ภูมิธรรมและ
ประสบการณ์ที่เจอสัจธรรมตามจริง ต้องสัมผัสความจริงนั้น
ได้ยินจากปากคนอื่น ก็ได้แต่รับไว้เป็นความรู้พร้อม
ข้อขัดแย้งและสงสัยที่เกิดในใจ วันไหนเห็นถูกรู้จริง
เข้าใจได้ด้วยตนเอง ก็เอวัง หมดข้อสงสัย เห็นจริงแจ่มแจ้ง ไปเอง

ส่วนเรื่องการยกลูกให้ชาวบ้าน ของพระเวสสันดร
เป็น มิจฉาทิฏฐิ นี่ก็เหมือนป๋าโจฯอีกเหมือนกัน
(สองคนนี้ลูกไป๋กะพ่อปั๋วมันเป็นไงกัน วะคะ ยังกะโขก
ออกมาจากหลุมเดียวกันเรย 55)
ป๋าโจฯแกเล่าให้ฟัง ว่าตั้งกะจำฟามได้ แกเกลียด
พระเวสสันดรมั่กๆ ตอนเด็กก๋งพาไปวัดฟังเทศน์เรื่อง
กัณหา-ชาลี ทีไร เป็นต้องร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร กลัวชูชก
เกลียดพระเวสสันดร แล้วก็พาลเกลียดพระพุทธเจ้าอีกด้วย
ตอนแต่งงานกันใหม่ๆเนี่ย ก็เถียงกันเรื่องเนี๊ยะ
เห็นคนละมุม55 อิอ่อนมันลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ส่วน
ป๋าโจฯก็ไม่เอาพระพุทธเจ้า ในคอมฯของส่วนตัวของอิอ่อน
ก็มีแต่พระไตรปิฎก นิทานชาดก คำสอนของพระปฏิบัติดี
ปฏิบัติชอบที่ถูกกะจริตของอิอ่อน มันก็บ้าฟังบ้าอ่านของมัน
ไม่ได้ขัดแย้งกะป๋าไง ต่างคนต่างชอบก็ต่างคนต่างทำไป
มีวันนึงก็เอาสารดีเรื่องสังเวชียะสถานที่อินเดียมาดู
แล้วป๋าก็ได้ดูด้วย คืออยากรู้จักคนอินเดีย หุหุ
ดูแล้วป๋าแกเกิดซาโตริอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ง่ะ เริ่มยอมรับ
พระพุทธเจ้านิดๆ เริ่มเห็นดีงามกะท่าน แล้วอิอ่อนก็มีพา
ป๋าฯไปตระเวณทำบุญกะพระป่ามั่ง พระบ้านมั่ง ศรัทธา
องค์ไหนก็ดั้นด้นไปพบไปกราบไปเจอตัวเป็นๆ (อิอิ)
คืออิอ่อนอยากไปแล้วป๋าแกก็ต้องตามไปเป็นเพื่อน ง่ะ
ก็ไปฟังเทศน์ฟังธรรม ป๋าแกก็ได้เจอสัจธรรมด้วยตนเอง
บางองค์ก็ทำให้ป๋าสงบเกิดสมาธิเข้าฌาณได้ตรงนั้นเลย
บางองค์ก็ทำให้ป๋าประทับใจ
บางองค์ก็ทำให้ป๋าผิดหวัง คือไม่ได้เจออะไรเป็นพิเศษ
บางองค์ก็ทำให้ป๋าประหลาดใจ
บางองค์ก็ทำให้ป๋าซาบซึ้ง มันเป็นปัจจัตตังของป๋าเค้า ง่ะ
แต่เพราะเราอยู่ด้วยเขาก็จะเล่าให้ฟังว่าเขารู้สึกอย่างไร
เจออะไร พบอะไรเป็นที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์พันลึก
ไม่เคยคิดว่าจะมีแบบนี้ในโลก เหมือนคนที่อยู่ในกะลา
แล้วได้เปิดกะลาออกมาเห็นโลกข้างนอก ง่ะ แต่สิ่งที่ป๋าเห็น
นั้น อิอ่อนอยู่ในเหตุการณ์ด้วยแต่อิอ่อนมันเหมือนคน
หูหนวกตาบอด อะนะ ไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นแบบป๋าเขาหลอก
อย่างป๋าเขาเจอพระบางองค์ เขาเห็นเป็นดอกบัวสีขาวบาน
อยู่กลางอก พระบางองค์ก็ไม่เห็นดอกบัวที่พระฯแต่กลับ
เห็นดอกบัวที่ตัวเองแทน (ไปเพ่งพระแต่ดันเห็นที่ตัวเอง)
บางทีเห็นคนฆราวาสในวัดบางคนก็มีดอกบัวบานที่อก
บางทีก็ดอกเล็ก บางทีก็ดอกใหญ่ บางคนก็เห็นชัด
บางคนก็เห็นลางๆ บางคนก็เห็นเป็นดอกบัวสีก็มี
แล้วมีครั้งหนึ่งไปทำบุญใหญ่ที่วัดพุทธบูชา เขาเห็นพระฯ
ในนิมิตมีรัศมีเป็นสีเหลือง 1 องค์ รัศมีเป็นสีขาวอีก 1 องค์
เหมือนมาเป็นประธานในงานบุญนั้นด้วย เขาเห็นเวลาที่
พระสงฆ์รับสังฆทานแล้วให้พรก็เห็นเป็นแสงสว่างสาด
ออกมาถึงคนในศาลา(ไม่ได้เห็นทุกครั้งนะ นานๆจะเห็นที)
ที่วัดพุทธบูชา เขาจะนิมนต์พระอาจารย์สายวัดป่าจากวัด
ทางอิสานมาเดือนละครั้งน่ะ พระอาจารย์ดังๆก็มากันเยอะ
ทำกันมาหลายปี อิอ่อนก็พาป๋ากะลูกไปทำบุญที่งานนี้ตลอด
หลายปีที่ผ่านมาแหละ ผลบุญส่วนใหญ่ป๋าเขารับได้ตลอด
เขาเห็นอัศจรรย์หลายๆครั้ง ยังเคยเอาเรื่องแปลกนี่ไปถาม
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช ที่สวนสันติธรรมเลยนะ เรื่อง
มีนิมิตพระติดอยู่ที่ตาหลังจากไปทำบุญที่วัดพุทธบูชา
หลวงพ่อบอกว่าเป็นธรรมดา ใครๆก็มีกันได้
หลวงพ่อก็เคยเห็นในนิมิตแถมยังมีมาเทศน์ให้ฟังในนิมิต
อีกด้วย แต่หลวงพ่อก็บอกว่าอย่าไปเพ่งที่พระฯให้มาก
คืออย่าไปติดใจ ให้ไปพิจารณาเล็บขนฟันหนัง กระดูก
เป็นอสุภะกรรมฐานให้มาก เพ่งให้เห็นเป็นกระดูกเลยยิ่งดี
แล้วป๋าก็ถามต่อว่าอยากให้พระในนิมิตมาให้เห็นเรื่อยๆ
ต้องทำไง หลวงพ่อบอกว่า ก็ไปที่วัดแล้วทำบุญแบบที่ทำแล้ว
เห็นพระฯมาในนิมิตนั่นแหละ ก็ไปทำบ่อยๆ ก็จะได้
เห็นบ่อยๆประมาณจริตใครจริตมันทำแล้วได้ผลยังไง
ถ้าชอบผลแบบนั้นก็ทำเหตุแบบนั้นบ่อยๆ

จนมาถึงวันนี้ ป๋าโจฯก็ยอมรับพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
เป็นอาจารย์เขาหมดเลย รวมถึงพระศรีอาริย์ที่จะมาใน
อนาคตด้วยนะ พระพุทธเจ้าที่จะมาอุบัติในอนาคตเขาก็
ยอมรับนับถือการบำเพ็ญบารมีทุกองค์ นับถือให้เป็นอาจารย์
และพระพุทธเจ้าในอดีตก็ยอมรับนับถือหมดทุกพระองค์
โดยเฉพาะพระกัสสปะพุทธเจ้า นี่เขาเหมือนจะมีความรัก
และผูกพันธ์ด้วยอย่างมากเป็นพิเศษ เป็นความรู้สึก
ส่วนตัวของเขาน่ะ อธิบายได้ยาก ทุกครั้งที่คิดถึงก็เป็น
ความรู้สึกเหมือนลูกรักพ่อ รู้ว่าพ่อรักลูก ปรารถนาดีกับลูก
อบอุ่น ไม่โดดเดี่ยว อะไรแบบเนี๊ยะ แบ่บว่าฟังป๋าโจฯพูด
แล้วมาจิ้นเองต่อ อะนะ (อาจจะเว่อร์ไปบ้าง 55)

ก็อยากจะบอกว่า จากประสบการณ์และสัจธรรมที่ป๋าโจฯ
เขาได้พบและรู้ด้วยตัวเอง เขาก็เปลี่ยนทัศนะคติ มโนคติ
และคิดใหม่ทำใหม่ได้ เปลี่ยนแปลงตัวเอง ชอบไปหาพระฯ
ชอบไปหาพระอาจารย์ ชอบไปทำบุญ ชอบทำสมาธิ ชอบการ
ปฏิบัติธรรม ชอบการรักษาศีล ชอบการสวดมนต์ ชอบการ
ฟังธรรม จนเดี๋ยวนี้เขาจะสะสมคำสอนพระเองแล้ว ทั้ง
หลวงตามหาบัว หลวงพ่อจรัล หลวงตาวิริยังค์ และพระอื่นๆ
อีกมากมาย ทั้งพุทธประวัติ พระไตรปิฎก นิทานชาดก ทั้ง
ซีดีวีดีโยูทูบ เอ็มพี3 ทั้งเก็บทั้งแจกบนโหลดบิท เป็นงาน
อดิเรกของป๋าไปแระ ทั้งหมดนี้ป๋าเขาทำเอง ดำริเอง
ไม่เกี่ยวกับอิอ่อนเรยนะ เพราะเขาเห็นสัจธรรมของเขา
เขารู้เองเห็นเองเขาก็ไปของเขาเองตามภูมิรู้ภูมิธรรม
ของเขา ป๋าเขาอาจจะโชคดีเรื่องของเก่าเขามีเยอะ ปัจจัตตัง
มีเยอะ ก็รู้อะไรได้โลดโผนพิสดาร มากกว่าคนไม่รู้อย่าง
อิอ่อน ที่เอาเรื่องป๋ามาเล่านี่ ป๋าเขาเล่าให้เราฟังคนเดียว
ไม่เคยเล่าให้คนอื่นฟังเลยนะ ที่เอามาเล่าในบลอกนี่ก็เสี่ยง
เหมือนกัน ถ้าป๋ารู้เขาก็คงไม่ชอบ (เหอๆ) ถ้าคนอ่านไม่ชอบ
นี่ไม่ต้องไปว่าป๋าเขาเรยนะ ให้ว่าอิอ่อนแทน เพราะมันเป็น
คนเอามาเปิดเผย คืออยากให้อาเหล่าม่ารู้น่ะ ว่าไม่ได้มีแต่
แต่อาเหล่าม่าที่คิดแบบนี้ เรื่องพระเวสสันดร อย่างน้อย
ในอดีตป๋าเขาก็คิดแบบอาเหล่าม่าแหละ และไม่เคยปิดบัง
ความชอบความไม่ชอบเรื่องที่คิดต่างจากคนอื่น แต่ป๋าฯเขา
ไม่พูดกับคนอื่นนะ ก็พูดกับเมียที่แหละ เป็นคนใกล้ชิดเขา
ก็ฟังเรื่องในใจเขาเยอะหน่อย หุหุ

4988







 
 

โดย: อิอ่อน IP: 110.168.80.16 วันที่: 1 พฤศจิกายน 2555 เวลา:10:08:12 น.  

 
 
 
สำหรับอิอ่อน
มุมมองเรื่องพระเวสสันดรที่ยกลูกให้คนอื่นเป็นสัมมาทิฏฐิ
เพราะดูจากว่าพระเวสสันดรท่านรักลูกแต่ท่านรัก
พระสัมมาสัมโพธิญาณด้วย การที่ท่านเลือกทำกรรม
เพื่อพระสัมมาสัมโพธิญาณก็เพื่อประโยชน์ของท่านและลูก
รวมถึงคนที่เกี่ยวข้องกับท่านทั้งหมดด้วย
เหมือนคนที่ดำริจะทำกรรมอย่างหนึ่งให้สำเร็จ
ก็ต้องพากเพียร ต้องสูญเสีย ต้องเสียสละตนเองและ
ครอบครัว รู้เหตุ รู้ผล รู้กาลข้างหน้า รู้ประโยชน์ไหนมากว่า
ประโยชน์ไหนด้อยกว่า ไม่ได้ทำเพราะรักตัวกลัวตาย
แต่เป็นการเสียสละตนเองและครอบครัว
เื่พื่อเป้าหมายที่ต้องทำให้สำเร็จ

แต่ที่อิอ่อนมันยกลูกสาวให้พี่สะใภ้นั้นมันยกให้เพราะกิเลส
ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อพระสัมมาสัมโพธิญาณ จึงบอกว่าเป็น
มิจฉาทิฏฐิไง เพราะเห็นว่า พ่อกะลูกสาว มันจะมีปัญหากัน
กลัวลูกสาวอยู่ใกล้พ่อแล้วจะลำบาก หุหุ
แบบว่าคิดมากคิดเยอะคิดล่วงหน้า้เกินไป กังวลมากไป
เลยคิดจะตัดปัญหาแยกลูกสาวให้ไปอยู่ไกลๆจากพ่อมัน
สุดท้ายเจอมิจฉาทิฏฐิที่หนักกว่าของพี่สะใภ้เข้าไป
เลยต้องกลับลำทำตามมิจฉาทิฏฐิอีกรอบ
ต้องกลับคำพูด ยอมเสียสัจจะ ยอมเสียคน
และทำร้ายจิตใจคนอื่น ด้วยการยึดลูกสาวคืนโดยที่
เขาไม่เต็มใจคืนให้ เพราะยอมรับผลเสียที่จะเกิดตามมา
ไม่ได้ แต่ยอมรับให้พี่ชายพี่สะใภ้และพ่อแม่ของเรา
ว่าเราได้ว่าทำไม่ถูกทำผิดโดนตัดหางออกจากตระกูล
เลิกคบเลิกยุ่งเกี่ยวกันไป คือมิจฉาทิฏฐิเนี่ยมันทำเพื่อ
ตนเองล้วนๆ ไม่ได้ทำเพื่อคนอื่นไง

พระสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นมโนคติของอิอ่อน
อาจจะต่างจากคนอื่นๆได้ คือกรรมใดถ้าทำเพื่อสะสมบารมี
เพื่อให้ได้พระสัมมาสัมโพธิญาณ นั้นคือสัมมาทิฏฐิเสมอ
เป็นมุมมองส่วนตัวนะ อาจจะเป็นสัจธรรมหรือไม่เป็น
สัจธรรมก็ได้ เพราะยังไม่ได้รู้จริงด้วยตนเอง คือไม่ได้มี
พระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นสัจธรรมของตัวเอง อะนะ

3665

 
 

โดย: อิอ่อน IP: 110.168.80.16 วันที่: 1 พฤศจิกายน 2555 เวลา:10:34:44 น.  

 
 
 
และถ้าท่านทั่นด๊อกฯ
ดำริอยากจะบำเพ็ญตนเพื่อพระสัมมาสัมโพธิญาณขึ้นมาบ้าง
หรือรับไว้เป็นมโนคติส่วนตัว ก็จะเซอร์ไพรส์มั่กๆ นะฮ่ะ
มะได้ยัดเยียด เนอะ แค่สนอฟามเห็นแปลกๆ+พิศดารเล่นๆ
เฉยๆ ง่ะ

ว่าสมมุติ ทั่นด๊อกเตอร์เลคเตอร์ดำริจะทำกรรมเพื่อ
พระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว มิสคลาริสจะคิดยังไง หุหุ

9915 หุหุ

 
 

โดย: อิอ่อน IP: 110.168.80.16 วันที่: 1 พฤศจิกายน 2555 เวลา:10:39:45 น.  

 
 
 
จะช่วยให้ลูกแกะในฝันของมิสคลาริส หยุดร้องเข้าโหมดสงบ
ได้จริง รึป่าว

3655 หุหุ
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 110.168.80.16 วันที่: 1 พฤศจิกายน 2555 เวลา:10:41:37 น.  

 
 
 
หลายมุมมองและบทวิเคราะห์ทางจิต
ของทั่นดร.ฮันนิบาลเลคเตอร์ หุหุ รวบรวมมาจากเว็บพันทิพย์ และเว็บอื่นๆจากกูเกิล
//topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/08/X8172723/X8172723.html

พอจะสรุปจากมุมมองของหลายๆคนที่ถูกใจอิอ่อนนะ
1. ดร.ฮันนิบาล เล็คเตอร์" เป็นคนที่มี"ไอคิว" และ "อีคิว"สูง
2. EQ ใช้วัดความฉลาดทางอารมณ์นะ
ไม่ได้ใช้วัดคุณธรรม หรือใครดี ใครชั่ว
3. เค้ารักและผูกพันกับเหยื่อมาก
4. ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ให้เตลิดและล่อหลอกเหยื่อได้
แต่การที่ไอคิวและอีคิวสูงไม่ได้เป็นการบอกว่าคนๆนั้นจะเป็นคนดีหรือเปล่านะ
5. ผมชอบประโยคที่ที่ FBI ถาม Clarice ว่าจะให้ส่งตำรวจมาคุ้มกันให้มั้ย (หลังจาก ดอกเตอร์ฮันนิบาลหนีออกไปได้แล้ว) Clarice บอกว่าไม่จำเป็นเพราะดอกเตอร์ฮันนิบาลจะไม่ทำอย่างนั้นแน่ๆเพราะเค้าถือว่ามันเป็นการ "เสียมารยาท"
อีคิวโคดสูง "ทั้งฆาตกรและคนล่าฆาตกร"
6.ระดับเชาวน์ปัญญา หรือ ไอคิว (IQ ย่อจาก Intelligence quotient) หมายถึง ความฉลาดทางเชาวน์ปัญญา การคิด การใช้เหตุผล การคำนวณ การเชื่อมโยง ไอคิว เป็นศักยภาพทางสมองที่ติดตัวมาแต่กำเนิด เปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ยาก ไอคิว สามารถวัดออกมาเป็นค่าสัดส่วนตัวเลขที่แน่นอนได้
7. หากพูดถึงความฉลาด คนส่วนใหญ่มักนึกถึงแต่เรื่องของIQหรือความฉลาดด้านสติปัญญาเท่านั้น แต่จริงๆแล้วความฉลาดครอบคลุมในบุคลิกภาพของมนุษย์ได้หลายด้าน ดังนี้
7.1. IQ(Intelligence Quotient) คือ ความฉลาดทางสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาของคน
7.2. EQ(Emotional Quotient) คือ ความฉลาดทางอารมณ์ การแสดงออกโดยการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
7.3. PQ(Play Quotient) คือ ความฉลาดที่เกิดจากการเล่นและการริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งต่างๆด้วยตนเอง
7.4. AQ(Adversity Quotient) คือ ความฉลาดในการเพียรพยายามแก้ปัญหาให้สำเร็จด้วยตนเอง
7.5. MQ(Moral Quotient) คือ ความฉลาดด้านจริยธรรม
//www.thaimental.com/modules.php?name=News&file=article&sid=1176
8.ผมว่า แกเป็นคนที่มีคุณธรรมสูงคนนึงเลยทีเดียว จากเหตุผลที่แกบอกว่า ช่วยให้เหยื่อหลุดพ้น ในทางที่ผิดรึเปล่า เปล่าครับ แต่เป็นไปในทางที่สังคมไม่นิยมต่างหาก
ถ้าแกไปเกิดในเผ่ากินคน แกจะกลายเป็นพ่อครัวชั้นดีไปเลยเชียว น่าจะมี fan club อยู่ไม่น้อย ดูจากรสนิยมของแกละนะ
9.ชอบฟังผลงานประพันธ์เพลงของ ว้ากเนอร์ กับโชแปง
10. เป็นสุภาพบุรุษ
11.Hannibal Rising ตอนแรกตามฆ่าเพื่อล้างแค้นให้น้องก่อนแล้วค่อยพัฒนาเป็นฆ่าด้วยเหตุผลอื่น
12.เป็นคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า
13.รักศิลปะ มีรสนิยมในการปรุงอาหารเลิศ มว๊ากกกก
14.ฮันนิบาล เล็กเตอร์เรียนจบ ปริญญาเอก สาขาแพทย์ศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัย จอห์น ฮอปกินส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประกอบอาชีพเป็นศัลยแพทย์ จิตแพทย์ และภัณฑรักษ์ ฮันนิบาลเป็นบุคคลที่เฉลียวฉลาดซึ่งน้อยคนนักจะเป็นได้ ชอบเก็บตัว ไม่สุงสิงกับใคร
15.ฮันนิบัล เลือกเหยื่อไม่ฆ่าซี้ซั้ว แถมยังเอ็นดูสตาริ่ง ไม่ฆ่าทิ้งให้จบๆ และยังจะช่วยสืบฆาตกรอีก
16.มีเหตุผลในการฆ่าทุกครั้ง ฆ่าเพราะความแค้นส่วนตัวหรือฆ่าเพราะขัดรสนิยม ไม่ได้ฆ่าแบบไร้ความรู้สึกโดยสมบูรณ์

4089 หุหุ





 
 

โดย: อิอ่อน IP: 110.168.80.16 วันที่: 1 พฤศจิกายน 2555 เวลา:11:25:49 น.  

 
 
 
ของแปลก!!!
กุ้งล็อบสเตอร์เพศเมียซึ่งมีลำตัวครึ่งซ้ายสีดำและครึ่งขวาสีส้มเหมือนสีของเทศกาลฮาโลวีน ถูกจับได้ที่นอกชายฝั่งรัฐแมสซาชูเซตส์ของสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
//www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9550000133503

4890
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 58.11.226.123 วันที่: 1 พฤศจิกายน 2555 เวลา:13:24:59 น.  

 
 
 
ลงทุนมาแล้ว 1 ปี เอาประสบการณ์เม่าๆมาฝากครับ : พี่ Teety ครับ ผมกำไรแล้วครับ!!!
ไม่เห็นพี่ Teety มานานมาก 10 เดือนได้ ถ้าพี่เห็นกระทู้นี้ รบกวนอ่านด้วยครับ !!!

----------------------------------------------------------------------------
วันนี้มีโอกาสเคลียร์บัญชีพอร์ตหุ้นประจำปีครับ เลยอยากจะเล่าประสบการณ์ 1 ปีกว่าๆที่ลงทุนให้ฟัง

ผมเริ่มลงทุนในหุ้นเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2554 เป็นวันที่มาพร้อมความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม หมายมั่นปั้นมือจะเป็นเซียนวีไออย่างดร.ตีแตกคนดัง อ่านหนังสือมาก็เยอะ ที่สำคัญ งานหลักที่ผมถนัดที่สุดคือ การวิเคราะห์การเงิน วิเคราะห์บริษัทฯลูกค้ามาเป็นร้อย กะงบในตลาดแค่ไม่กี่ตัว ทำไมจะดูไม่ออก 555+

เริ่มต้นจากการหาบริษัทที่จะเข้าซื้อหุ้น หาอยู่อาทิตย์กว่าๆ ก็ไปเจอหุ้นตัวนึง คือ อีเจ๊ (ชื่อย่อสองตัว อยู่อันดับต้นๆของรายชื่อหุ้นทั้งหมด ขอใช้นามสมมุตินะครับ)เพราะดูแล้ว ราคาไม่แพง งบดี น่าสนใจ ที่สำคัญ เหมาะกับจำนวนเงินในพอร์ต

ครั้งแรกที่เริ่มซื้อคือ 16 บาท ยิ่งซื้อยิ่งขึ้น ซื้อไล่ไปเรื่อยๆ ย่ามใจ แหงล่ะ งบแค่นี้ ฝีมือวิเคราะห์ระดับนี้แล้ว ไม่มีทางพลาด 5555+

รวมซื้อทั้งหมด 17,000 หุ้น จนต้นทุนประมาณ 23 บาท ราคาไปจบที่ 24 บาท ครับ อาจจะคลาดเคลื่อนนิดหน่อย แต่ประมาณนี้แหละ

ไม่ขาย! งบดี อั๊วะไม่ขายเฟ้ย!

หลังจากนั้น ราคาก็ค่อยๆลดลงมาเรื่อยๆครับ “พื้นฐานดี ไม่ขายหรอก เดี๋ยวมันก็มา” (ปลอบใจตัวเอง)

ลงมาจนถึงประมาณ 15 บาท เอ ทำไมกระทู้มันเริ่มหายไปเรื่อยๆ ยัยเจ๊ที่ชอบเล่นหุ้นตัวนี้ เริ่มพูดถึงน้อยลง ยอมรับครับ ว่าความมั่นใจถดถอยลงอย่างมาก ขาดทุนไปแล้ว 8 บาทต่อหุ้น

“กว่าจะกระดึ๊บได้ 1 ช่อง 10 ตังค์เนี่ย มันก็ยากอยู่นะ แล้วต้องกระดึ๊บ 80 ช่องเนี่ย ชาติหน้ามันจะมามั๊ยเนี่ย”

ความมั่นใจหายไปเลยครับ หน้ามืด ตังในพอร์ตของตัวเอง แค่ 20% อีก 80% ที่เหลือ ตังพ่อหมด พ่อถามว่าเป็นไง ก็บ่ายเบี่ยงมาตลอด (คิดว่าพ่อคงไม่รู้ มารู้ตอนหลังว่าพ่อเช็คราคาทุกวัน 555+)

ช่วงนั้นตามอ่านกระทู้ในห้องสินธรนี่แหละครับ ทำให้ผมเจอพี่ Teety แล้วผมก็ขอคำแนะนำจากพี่เค้า พี่เค้าให้คำแนะนำที่สำคัญผ่านมาทางข้อความหลังไมค์ครับ

“คัทลอสไปดีกว่าครับ”

คำนี้ ไม่เคยอยู่ในหัวของเม่า VI อย่างผมตอนนั้นเลย ตอนนั้นราคาประมาณ 13 บาท ถ้าคัทก็ 10 บาทต่อหุ้น

(170,000 บาท ตายห่าน! แค่ได้กำไรจากปันผลไก่ 6000 ก็แทบรากเลือด เล่นกี่ปี ถึงจะได้ทุนคืนเนี่ย)

คิดหนักมากครับ สุดท้ายยอมบอกพ่อ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นหลัก พ่อขำ ณ วินาทีนั้นจากหน้าเจื่อนๆ ถึงกับงงเลยครับ นึกว่าพ่อจะบอกให้เลิกเล่นซะแล้ว

“เท่าที่อ่านกระทู้พี่เค้า คิดว่าเค้าเป็นยังไง เก่งมั๊ย” พ่อถาม
“ก็เก่งนะ ไม่งั้นไม่หลังไมค์ไปถามเค้าหรอก” ผมตอบ
“’งั้นก็คัทเลย เริ่มใหม่ แต่พ่อไม่เติมเงินให้นะ ค่อยๆศึกษาไป”

เท่านั้นแหละ คัทต่อหน้าพ่อเลยครับ (แล้วอีกวันมันก็เด้งให้ช้ำใจ ตามประสาเม่า 5555+)

หลังจากนั้น ก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือ ศึกษาด้าน Technical ไปด้วย ลองผิดลองถูกมาเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่ทิ้งการวิเคราะห์หุ้นโดยหลักการวิเคราะห์การเงินตามที่ตัวเองถนัด จนตอนนี้มีหุ้นคู่บารมีประมาณ 7-8 ตัว (นิยามคำว่า หุ้นคู่บารมีของผมคือ เล่นได้ มากกว่าเสียครับ 555+)

วันนี้ ผ่านมาปีเศษ ผลขาดทุนหักกลบหมด พร้อมกับกำไรอีก 16% รีบเอางบการเงินของพอร์ตไปเสนอ(หน้า)ให้พ่อดู 5555+

พ่อบอกว่า “อืม ดี เก่งๆ แต่เล่นให้มันน้อยๆหน่อย งานการไม่ค่อยจะทำ จ้องแต่หน้าจอ อย่าหมกมุ่นให้มันมากนัก” เล่นเอาผมเซ็งเลย นึกว่าจะให้เลิกเล่นซะแล้ว 5555+
--------------------------------------------------------------------------------

เห็นช่วงนี้มีเม่าหน้าใหม่เยอะ (ผมเป็นเม่าหน้าเกือบเก่าครับ) อยากฝากประสบการณ์ของผมให้ลองพิจารณาดูครับ

1.ตลาดหุ้น(แม่ม)เถื่อน ไม่เจ๋งจริง อยู่ไม่ได้ : ใครคิดว่าเล่นหุ้น มันก็แค่เหมือนขายของ ซื้อถูก มาขายแพงก็กำไรแระ คิดผิดครับ พวกที่คิดแบบนี้ ผมเห็นนั่งอยู่บนดอย หรือไม่ก็กลับไปขายน้ำเต้าหู้กันหลายคนแล้ว

2.ต้องรู้จักคัทลอส : มาร์ของเพื่อน สอนผมไว้คำนึง “ก่อนซื้อ หาทางลงไว้ด้วย” ก็คือก่อนซื้อ(ย้ำว่าก่อนซื้อนะครับ)ต้องคิดแล้วว่าถ้ามันไม่ขึ้น (ผิดทาง) จะคัทที่เท่าไหร่ ถึงจุดที่คิดไว้แล้ว อย่าพิรี้พิไร เสียดาย หวังลมๆแล้งๆ คัทโลด หรือ การต้องมีวินัยนั่นเอง

3.อย่าใช้เงินผิดประเภท : เงินลงทุนก็คือลงทุน ถ้าลงทุนแล้วเอาตัวไม่รอด แนะนำว่า อย่าเพิ่งเติมเงินครับ เพราะคุณจะเสียเงินเหมือนท่อน้ำที่มันรั่วๆ มีน้ำซึมออกตลอดเวลา

4.อ่านหนังสือให้มาก ตามข่าวให้มาก คิดให้เยอะ อย่าหวังพึ่งคนอื่น : แม่สอนมาตลอด ว่าอย่ายืมจมูกคนอื่นหายใจ ทุกวันนี้ก็อ่านบทวิเคราะห์และความเห็นของเซียนหลายๆท่านในห้อง ไม่ว่าจะเป็นเซียนโน๊ต คุณ wild rabbit เฮียสี่ คุณ Satan@เต้ย คุณดาวเรือง และ อีกหลายๆท่าน แต่จะบอกว่า พออ่านแล้ว ไม่เคยเชื่อเลยครับ มานั่งวิเคราะห์เอง ว่าทำไมเค้าถึงมองแบบนี้ แล้วเรามองแบบไหน ทำไมถึงเหมือนกัน ทำไมถึงต่างกัน

5.อย่าหวังจะรวยจากการลงทุนในหุ้น : ถ้าคิดแบบนี้ ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินดีกว่าครับ เพราะคุณจะเกิดความโลภ ที่มันจะขัดขวางวินัยการลงทุนที่วางไว้ และ อารมณ์จะเข้ามาทำให้แผนที่วางไว้พังไปหมด ส่วนตัวผมคิดว่า เป็นการเล่นเกมอย่างหนึ่ง โดยคิดว่าผลกำไรที่ได้ คือคะแนนจากการเล่นเกม ถ้าเสียเงิน อย่าเสียใจ เริ่มใหม่ แต่ต้องย้อนกลับไปอ่านข้อ 2 อีกรอบนะครับ

สุดท้ายนี้ นอกจากคุณพ่อผมแล้ว ผมขอขอบคุณพี่ๆน้องๆชาวสินธรครับ โดยเฉพาะพี่ Teety ถ้าไม่ได้คำแนะนำจากพี่ ป่านนี้ผมยังนั่งบนดอยอีเจ๊อยู่แน่ๆเลยครับ (ราคาปิดอีเจ๊วันนี้ 15.10 บาท ยังห่างจากทุนผมประมาณ 8 บาท)

ผมหวังว่าประสบการณ์ของผมที่เล่ามานี้จะเป็นการตอบแทนคืนให้กับห้องสินธร ห้องที่ผมฉกฉวยความรู้มาตลอด 1 ปีกว่าๆครับ ขอบคุณครับ
จากคุณ : chomai
//www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I12865696/I12865696.html
3457
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 58.11.226.123 วันที่: 1 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:28:02 น.  

 
 
 
นี่ ๆ อิหม่ามี๊ขราาาาาาาาาาาาาาา
วันนี้ อิตั้วเจ้มันขึ้นเวรบ่าย อีกแระคร้าาา
ยังม่ะมีเวลา ( และ อารมณ์ศิลปิน )
จะ รจนา มหากาพย์ สัมมาฯสไตล์
ในแบบฉบับบ อิปลาไหลไฟฟ้า เยยย แหะ ๆ

อ้อ แต่ อิทั่นด็อกฯ มันฝาก อิรจนา ไปเม้ง อิอ่อน ด้วยอ่ะ
ที่ไปกล่าวหาว่า ทั่นด็อก โขกออกมาจากหลุมเดียวกัน ก๊ะป๋าโจ อ่ะ
ทั่นด็อกฯ มันบ่นกระปอดกระแปดใหญ่เรย
ว่า ทั่นด็อกฯ รับมิด้ายยยยยย
ปั๊ดโธ่ เอ๊ยยยย อิอ่อน มันพูดงี้ ออกมาได้ไงกันฟระ
อย่าได้บังอาจแม้แต่จะคิดเอา สปีชีซ์อันสูงส่ง อย่าง อิปลาไหลไฟฟ้า
ไปเทียบกับ โคตรไอ้เข้ มะลื่อทื่อ ไร้รสนิยมอันวิไล เฉกเช่นป๋าโจเชียวนะยะ


นี่ ๆ จะบอกอะไร ให้ น้าาาาาา
ไอ้ ทิฏฐิ ของ อิปลาไหลไฟฟ้า ก๊ะ โคตรไอ้เข้ น่ะ
ถึงจะมีอะไรเย้ยฟ้าท้าดินคล้าย ๆกัน
แต่มันก็เป็น ความเหมือนที่แตกต่าง
เช่นเดียวก๊ะ ที่ทิฏฐิ ของอิปลาไหลทะเล
ก๊ะ อิปลาไหล ไฟฟ้า นั่นแหล่ะ


แร้วเด๋วฤกษ์งามยามดีจาขึ้น ปาฐกถา
แก้ผ้า โชว์หน้าไพ่ ให้ได้รับชม
ว่า ไผ เป็น ไผ ว่า อิปลาไหลไฟฟ้า
มันต่างจาก อิปลาไหลทะเล และ โคตรไอ้เข้ ยังไง
ทำไม she ถึงได้เลื่อนยศ เป็น อิเสือติดปีก หุหุ


ว่าแต่ รู้สึกว่า ช่วงนี้...ดูท่าอิอ่อน
มันจาสนอกสนใจใจ เรื่อง หุ้นจังเรยวุ้ย นึกครึ้ม อารัยเนี่ย ?
แล้วเรื่อง แอบเอาป๋าโจมานินทา นี่ ก็เหมือนกัน
แหม๊ นี่ถ้าอิป๋ามันแอบเข้ามาอ่านในบล็อกนี้ จะทำไงดีเนี่ย
เพลา ๆ ซะมั่งก็ดี นะ อิหม่ามี๊ เด๋วโดนผัวฟ้องหย่า มะลู้ด้วย เอิ๊ก ๆ

เอ้า เอา เดอะ ลิง มาฝาก เพื่อ รำลึก ถึง ฟามหลัง
ครั้งทั่นด็อกไปออกแขก ที่ห้อง อภิญญา อิอิ

นักปฏิบัติอย่างเราจะจัดการยังไงดี ถ้ารู้ว่า มีโปรแกรมเถื่อนอยู่ในคอมพ์ ของตัวเอง ?

//webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:n

 
 

โดย: อิปลาไหลไฟฟ้า ห้าหมื่นโวลต์ โฮ่...โฮ่.... (นู๋บี ) วันที่: 2 พฤศจิกายน 2555 เวลา:0:13:01 น.  

 
 
 
อันนี้ก็แถม อิอิ

//www.pichate1964.com/mv/silenceofthelambs.html


ครอว์ฟอร์ดแนะนำสตาร์ลิ่งจงระวังตัว และปฏิบัติตามกฏของดร.ชิลตัน อย่าเปิดเผยเรื่องส่วนตัวอันเป็นเหตุให้ดร.เล็คเตอร์รู้เท่าทันความคิดตื้นลึกหนาบางในจิตใจ บางทีมันอาจเป็นผลร้ายเหมือนกับที่ วิล แกรฮ์ม เคยประสบมา






+++++++++++++++++++++++++++++++++++
จำนวนผู้ชม 14528 ครั้ง
จำนวนผู้ชม Profile 231 ครั้ง
+++++++++++++++++++++++++++++++++
 
 

โดย: อิปลาไหลไฟฟ้า ห้าหมื่นโวลต์ โฮ่...โฮ่.... (นู๋บี ) วันที่: 2 พฤศจิกายน 2555 เวลา:0:15:54 น.  

 
 
 
ส่วน ตัวหนังสือ ข้างล่างนี้
ฝาก อิหม่ามี๊ช่วย วิเคราะห์ กลหมาก ให้ที
ว่า บัก สุมาอี้ ใกล้จะ เสร็จ แม่นางเทียวฯ อ๊ะยัง เอ่ย? หุหุ
































































From : สุมาอี้ [30 ตุลาคม 2555 05:52]













จะไปยุ่งกะพวกมุสลิมทำไม
ไม่มีสาระอะไรขึ้นมา .. แต่ยังไงก็ไปไม่ได้ เพราะตอนนี้ยังอยู่...
ถ้ากลับมา....เมื่อไหร่ค่อยว่ากัน ..แต่ไม่ควรไปยุ่งกับพวกแขกหรอก
ไปงานอื่นๆดีกว่านะ..


















From : เทียวเสี้ยม [31 ตุลาคม 2555 00:55]




อ้าววว ทั่นซือหม่าฯ เจ้าขราาาาา
เก๊าะ ซุนวู สอน น้องนู๋บี เองนิหน่า
ว่า ลู้เขาลู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครา โฮ่ ๆ

อีกอย่าง อ่ะนะโบราณ ทั่นว่าไว้
บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ อ่ะ
ฉะนั้นรอมา 11 ปี หรือ 800 ปี แล้ว
ค่อย แก้แค้นก็ยัง ไม่สายนิเน๊าะ


แหม๊ ก็เทียวเสี้ยมคนนี้น่ะ
หาใช่ นักเลง คีย์บอร์ด แล เสือใบลาน
ที่ ชอบหลบอยู่หลัง คอมฯ แล้วหาเรื่อง ระเบิดขมองพวกแขกทางเว็บบอร์ด เพื่อทวงความแค้น นิหว่า


อีแบบนั้นมันม่ะเจ๋ง ว่ะ
อนึ่ง ถ้าเราอยากได้ลูกเสือ
เรา เก๊าะต้อง หาเรื่อง เข้าถ้ำเสือ อ่ะจิค๊ะ
เผื่อจาโชคดีมีวาสนา เจอ ทั่นชีค หล่อ ๆ ล่ำ ๆ
มาขอน้องนู๋บี ไปอยู่ในที่ฮาเร็ม
เอ๊ย หมายถึง จาได้ ปรับความเข้าใจ
ลดความบาดหมาง ระหว่าง ศาสนา ได้มั่งไงคร้าาา อิอิ


ว่า แต่ทั่นซือหม่าฯ ไม่ฉงฉัยหรอกหรือว่า
ทำไม มุสลิม ถึง เปรียบเหมือน ทุเรียน ในเข่งแตงโม ?
เนี่ย 30 พ.ย. นี้ อ่ะนะ น้องนู๋บี ยังอยากจะไป...
เสวนาธรรม ก๊ะ บังจิม เยยย
ว่า หมาที่ไหน ไปขุดหลุมฝังมุสลิม หุุหุ
ลุงวินัย ไม่อยากลู้ เลยหรือ เจ้าคะ อิอิ

















From : สุมาอี้[31 ตุลาคม 2555 01:27]





ฮ่ะฮ่า...ทหารพิเศษของเมกัน นี่หน่วยหนึ่งละ ไม่ค่อยสนใจจะฝังพวกแขก ก็ระเบิดมันจนเป็นชิ้นเล็กๆ หาซากไม่เจอ จะเอาอะไรไปฝัง ?

จะลองไปก็ตามใจ หาบอดี้การ์ดไปด้วย สักสามสี่คนเพื่อเพิ่มความขลัง ให้พวกแขกเกรงๆซะบ้าง

สนใจ
จะไปอยู่ฮาเร็มหรือ ว๊าา ไหงชอบ"กินน้ำ" ใต้ตูดคนอื่นๆ ??....ก็ โน่น
ไปที่บรูไน สุลต่านที่นั่น"หน้าหม้อ" สุดๆ ชอบกวาดต้อนสาวๆ
ทั่วโลกไปรวมที่นั่น แต่ได้ข่าวว่า จ่ายหนัก ใจถึง
สาวไหนไปผ่าน"ประสบการณ์" ที่นั่นกลับมา แม้จะโดนยำจนหลวมโครก
จากเหล่าบรรดาญาติๆเพื่อนๆของสุลต่าน ก็ตาม
แต่ยังไงก็กระเป๋าตุงกลับมานอนทำรีแพร์ที่บ้าน รอแผลหายอาจจะไปใหม่
ฮ่าๆๆ...


















From : เทียวเสี้ยม [1 พฤศจิกายน 2555 00:59]



แหม๊ ? ทีหลังไมค์ ล่ะ ทำปากเก่ง เชียวนะลุงวินัย
ตอนอยู่ หน้าไมค์ ไม่เห็น ตอบโต้บังจิมยังงี้้ ว้าาา ฮา ๆ

อืม...แต่จะว่าไปหน่วยซีล ของเมกัน มันก็เก่งเน๊าะลุงเน๊าะ
เพราะขนาดมัน ไม่เคยฝึกปฏิบัติธรรมก๊ะพระป่าที่ไหน
มันก็ยังมีสติ รู้จักคิด เป็น สัมมาทิฏฐิ
รู้ว่า เมื่อระเบิดมันจนเป็นชิ้นเล็กๆ หาซากไม่เจอแล้ว
ก็ไม่ควรที่จะสนใจจะเอาอะไรไปฝัง ?


ไม่เหมือนคนบางคนว่ะ
แมร่ง โอ้อวดตัวเองว่าเป็นศิษย์พระป่าแท้ ๆ
แต่พอพวกตาลีบัน มันระเบิด พระพุทธรูปแห่งบามิยัน
จนเป็นชิ้นเล็กๆ หาซากไม่เจอแล้ว
ก็ยังเจ้าคิดเจ้าแค้น เที่ยวพื้นฝอยหาตะเข็บ
เก็บซากอิฐซากปูน มาแค้น ฝังใจ ซะอีกแหน่ะ เหอะ










อ้อ แล้ว เรื่อง หาบอดี้การ์ดไปด้วย สักสามสี่คน
เพื่อเพิ่มความขลัง ให้พวกแขกเกรงๆ นั้นน่ะ คงไม่จำเป็นมั้ง
ก็อิฉัน ไป่วมเสวนาอย่าง บริสุทธิ์ใจนิหว่า
ม่ะได้ มีวาระซ่อนเร้น จะหาเรื่องไประเบิดขมอง ทวงหนี้แค้น
ให้มันตายตกตามกัน แบ่บ ใครบางคนซะหน่อยนิ
แล้ว ทำไมต้อง หวาดระแวงด้วยฟระ
ที่สำคัญ อิฉันเป็น สาวสวยผู้ทรงศีล นิคร้าาาา


นี่ ๆ ม่ะเคยได้ยินหรือไง
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
และ ศีล เป็น เกราะป้องกันภัยอันตราย ทั้งปวง


ดังนั้น ไม่ต้องห่วง อิฉันหรอกคร้าาาาาา
ถ้าจะห่วงอ่ะนะ ลุงห่วงตัวเองดีกว่าว่ะ
เฮ้อออ ถ้ายังทำปากดี จ้องแต่จะไปขย้ำคอหอย พวกแขก อยู่งี้
ต่อให้ ลุงซุกหัวอยู่แต่หลังคีย์บอร์ด
แถมยังมี หน่วยซีลทั้ง กองร้อย มาคอยคุ้มกัน
สักวัน มันก็คงมี คนหาเรื่องขับเครื่องบิน มาชนถึงบ้าน
แบบ เคส 9/11 นั่นแหล่ะ


ส่วนไอ้เรื่องชอบ"กินน้ำ" ใต้ตูดคนอื่นๆ นี่
็ก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไรนิ อิอิ
แหม๊ ? ได้รับเกียรติ ถูกเชิญ
ให้ไป "แลกเปลี่ยนประสบการณ์"
ก๊ะ พวกแขกที่บรูไน ก็ไม่ได้เสียหาย อะไรอ่ะ
นอกจากจะได้ ร่ำเรียน วิชา สปช. แบบ โกอินเตอร์ แล้ว
ยังจะได้พ๊อกเกตมันนี่ ไปทำรีแพร์ตรูด อีกตะหาก


เฮ้อออ อย่างน้อย ไปอยู่ก๊ะสุลต่าน บรูไน
มันก็ยังดีกว่า หน้ามืดไปอยู่ก๊ะ เจ้าของดาบฟ้าฟื้น แบ่บ อินังบัวคลี่ ล่ะว้าาาาาา
นั่นน่ะนะ นอกจากจะต้องช้ำใจ
เพราะ ต้องไปกินน้ำใต้ศอก อิน้องวันทอง
จนศีลข้อ สาม ต้องถลอกปอกเปิก แร้วว
วันดีคืนดี ยังต้องหวาดระแวง
กลัวว่าไอ้ชายหื่นหมื่นกามนั่น
มันจะเอา ดาบฟ้าฟื้น มาทำซีซาร์
ผ่าท้องเรา เอาเด็กออก ไปทำกุมารทอง อี๊กกก


นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า
ถ้า อยากได้ตังค์ ไปทำรีแพร์ ให้ไปหาแขก
แต่ถ้าอยาก โดนทำซีซ่าร์ จนท้องแตกตาย 5
ให้ไปหา เจ้าของดาบฟ้าฟื้นสนิมเขรอะ เหอะ ๆ



















From : สุมาอี้ [1 พฤศจิกายน 2555 01:49]




เฮ้ออ...ยุคนี้
ต่อให้มีศีลสักกี่ข้อก็ไม่ทางป้องกันระเบิดจากพวกแขกบ้านั่นได้หรอก
สู้เสื้อนิรภัยของแท้ไม่ได้(ไม่ใช่ที่เอามาหลอกขายกองทัพไทกอ
โดนยิงกี่นัดก็พรุนทุกๆนัด) เห็นหลวงพ่อหลวงตาหลวงพี่ที่ ๓ จว.
ใต้นั่นไหมละ โดนไปกี่ศพแล้ว
พวกแขกพวกนี้มันไม่สนในศีลของชาวพุทธเราหรอกน๊าา อย่าประมาทไป ..
รอลงมาเที่ยวเมืองไทยเมื่อไหร่ จะมาเป็นบอดี้การ์ดให้ รอหน่อย
รอปั่นหุ้นอีกสักพัก ...แต่มีข้อแม้คือ
ถ้านู๋บีมีบอดี้การ์ดขาประจำอยู่แล้ว ก็ไม่เอาละ
เดี๋ยวจะกัดกันเป็นหมาเดือน ๑๒ แย่งตัวเมียกัน ฮ่าๆๆๆ...

อยากเห็นเหมือนกันว่า แก่หงำเหงือกขนาดนี้แล้ว
นู๋บียังมีทรงใบหน้าเป็นรูปไข่เหมือนตอนเด็กๆหรือเปล่า อะไรๆเช๊งกะเด๊ะ
ขาวจั๊ว น่าเจี๊ยะแค่ไหน
ทำไมถึงอยากจะส่ายตะโพกไปยั่วพวกแขกนัก...(ของไทยๆก็มีอะไรดีๆเหมือนกันหรอก
น๊าา ไม่ใช่มีแต่พวกแขกนะ เปลี่ยนทัศนคติซะด้วย ฮีโธ่ๆๆ ...
ใช่ว่ามันจะเป็นกล้วยเล็บมือนางไปหมด ...จะบอกความลับให้
เชื้อชาติของพี่สุมาอี้ก็มาจากทางปักษ์ใต้เหมือนกัน
ไม่มีอะไรที่จะแพ้พวกแขกหรอกจ้าาา ฮีโธ่ๆ...)





 
 

โดย: อิปลาไหลไฟฟ้า ห้าหมื่นโวลต์ โฮ่...โฮ่.... (นู๋บี ) วันที่: 2 พฤศจิกายน 2555 เวลา:0:17:13 น.  

 
 
 
อา... คลาริซ จ๋าาาาาาาาาา

ถ้าลูกแกะหยุดกรีดร้อง เมื่อไร
ฉันสัญญาว่าจะเลิก ตามหาเธอ
และตอนนี้ฉันจำเป็นต้องไปดินเนอร์
กับ ซือหม่าอี้ เพื่อนซี้ ก่อน !


 
 

โดย: อิปลาไหลไฟฟ้า ห้าหมื่นโวลต์ โฮ่...โฮ่.... (นู๋บี ) วันที่: 2 พฤศจิกายน 2555 เวลา:0:19:04 น.  

 
 
 
อิอิ...
อ้าวเหรอ อิช้านพูดไม่ถูกหูทั่นด๊อกฯ หุหุ
งั้นขอถอนคำพูด ณ.บัดนาว แระกัน เนาะ
เรื่อง โขกออกมาจาหลุมเดียวกัน ก๊ะป๋าโจ เนี่ยไม่จริ๊งไม่จิง
อิอ่อน ตาถั่ว ตาแชแหม มั่กๆ คร่า หุหุ
ทั่นด๊อกฯ โอเค ปะคะ

เป็นแค่ความเหมือนที่แตกต่าง เท่าน้านนนน
รสนิยมก็คนละเรื่องคนละโลก แร้วเนอะ
555

เรื่องหุ้นน่ะ มันชอบเป็นสันดานเดิมน่ะ หุหุ
สมัยยังละอ่อน เคยทำงานฝ่ายคอมฯ เป็นโปรแกรมเมอร์
บริษัทฯเงินทุนหลักทรัพย์แห่งหนึ่งที่ถูกปิดไปตอนปี2540
ตอนนั้นก็บ้าเล่นหุ้น(อิอิ) โบนัสออก ก็เอาไปถลุงสนองกิเลส
ตัณหาในตลาดหุ้นจนหมด ไม่เหลือเงินเก็บเร้ย (55)
พอบริษัทฯโดนรัฐบาลปิดก็เลยเลิก ยังคาใจเรื่องหุ้นอยู่ง่ะ
ว่าเจ๊งได้ไง ขนาดอยู่ใกล้แหล่งข่าวนะเนี่ย หุหุ
พอมาได้อ่านกระทู้ห้องสินธรเนี่ย หูยยยยยย...
มันช่างเหมือน อีเจ๊สมัยเมาหุ้น เหมือนเห็นตัวเอง ง่ะ
มันเหมือนวงจรอุบาทเดิมๆ หน้าใหม่หลงเข้ามาบาดเจ็บ
ล้มตายก็เลิกไป ใครเก่งหน่อยเอาตัวรอดได้ก็กลายเป็น
เหาฉลามเกาะหัวจ้าวปั่นหุ้นเป็นผีชัตเตอร์ไปเรื่อย
เหมือนบ่อนพนันถูกกฏหมาย ชิงไหวชิงพริบเงินเดิมพันสูง
ล่อใจคนอยากรวยทางลัด (รวมถึงอิอ่อนด้วย 55) เกือบๆจะ
หลวมตัวไปแว้ววววว แต่ยั้งตรีนได้ทัน หุหุ
อ่านเอาประสบการณ์มันส์ๆของคนอื่นเก็บไว้เป้นฟามรู้ดีฝ่า
เจาะๆอ่านๆไปก็ได้ประเทืองปัญญาดีกว่าห้องศาสดาอีกนะ
ห้องหุ้นเนี่ยของจริงเจ็บจริง หลอกลวงหน้าด้านๆก็มีจริง
ไม่ต้องเก็บหางกันเลย คนอยู่วงนอกตามดูไม่นานก็
เห็นฟามจริงปรากฏได้ง่าย เฟคเป็นเฟค จริงเป็นจริง
เงินไม่เข้าใครออกใคร เงินเม่าหน้าใหม่หน้าเก่าก็จะไหล
ไปอยู่กะเซียนและจ้าวและเจ้าของบริษัทหุ้น อยู่เนืองๆ
เป็น zero sum game เจงๆ มีคนได้ก็ต้องมีคนเสีย
และอะไรที่เราอ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์ก็อยากเอามา
เผยแพร่ให้คนอื่นๆเขารู้ทันเกมส์บ้าง เล็กน้อยก็ยังดี
เผื่ออาซิ้มอาซ้ออากงอาแปะอาม่า มาเจอเทคนิคกลโกง
ของมาเฟียตลาดหุ้นจะได้รู้ทันพวกโกงกันบ้าง
ตอนนี้ไปทางไหนก็มีแต่คนพูดเรื่องหุ้นด้วย ก็บรรยกาศ
ก็เหมือนตอนใกล้ตลาดหุ้นเจ๊ง ง่ะ รอบนี้ก็น่ากลัวเหมือน
ตอนโน้น แต่หนักว่าที่แบงค์มาร่วมทำธุรกรรมซื้อขายหุ้น
เป็นโบรคได้เองเนี่ย อตร. จะทำให้ขยายฐานคนมาเข้าบ่วง
ตลาดหุ้นได้อีกเยอะ

วิเคราะห์แร้ว....อิอิ
บักสุมาอี้ อีไม่ใจดี ไม่สปอร์ต เรย ง่ะ
แค่หยอก ไม่ทุ่ม ไม่ป๋า เรยนะ แถมด้วยไม่เร้าใจ 555
บางอย่างก็พูดตรงเกิ๊นนนนน ไม่ poetry ไม่มีรสนิยมวิไล
ฟันธงว่า เอาชนะใจตะละแม่เทียวเสี้ยมได้ยาก ว่ะค่ะ
ขนาดอิอ่อน มันยังเมินสำนวนบักสุฯ เร้ย (555)
ระหว่าง สำนวนเห่ยๆ กะการไม่พูดบางเนี่ย
การไม่พูด ยังมีซาเหน่ มากฝ่านะ โฮะ โฮะ โฮะ
จะหาคนที่มี 5Q พร้อมแบบนี้ได้ที่ไหนมั่ง วะคะ (อิอิ)
วานแม่นางเทียวเสี้ยม ช่วยควานหาให้ด้วยอยากเห็น หุหุ
ไม่รู้พวกอาบังอิสลามจะมีไหมนะ
1. IQ(Intelligence Quotient) คือ ความฉลาดทางสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาของคน
2. EQ(Emotional Quotient) คือ ความฉลาดทางอารมณ์ การแสดงออกโดยการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
3. PQ(Play Quotient) คือ ความฉลาดที่เกิดจากการเล่นและการริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งต่างๆด้วยตนเอง
4. AQ(Adversity Quotient) คือ ความฉลาดในการเพียรพยายามแก้ปัญหาให้สำเร็จด้วยตนเอง
5. MQ(Moral Quotient) คือ ความฉลาดด้านจริยธรรม
//www.thaimental.com/modules.php?

7486 หุหุ



 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.120.220.127 วันที่: 2 พฤศจิกายน 2555 เวลา:9:32:35 น.  

 
 
 
เด๋วนี้ไม่ค่อยอ่านของห้องศาสดา แระ
เหมือนเดิมๆ ไม่สร้างสรรค์ เดาทางถูก มีแต่คนหลงตัวเอง
หลงความคิดตัวเอง หลงตำราที่ตัวเองยึดถือ
ใครเห็นต่างเป็นโดนฆ่าหั่นศพ กินศพไม่เหลือซากอีกต่างหาก
คิดซะว่าเป็นห้องโลกสวย ไปละกัน หุหุ
โลกสวยด้วยตำรา สวยด้วยศัลยกรรมเอาแต่รูปภายนอก
สันดานดิบๆเถื่อนๆ เขารับฟามจริงไม่ได้แบ่บว่าเขาต้องการ
เป็นโลกตัวอย่างของความดีและความถูกต้องตามตำราและ
ตามสังคมนิยมในแบบที่เขาเห็นว่าถูกมั้ง มันเลยขาดเสน่ห์
เรื่องของความเห็นต่างแบบสร้างสรรค์
มีแต่แบบต้องเดินตามกันไป ง่ะ
จืดชืดสำหรับคนที่อ่านบ่อยๆแล้วเจอแต่เรื่องซ้ำๆเดิมๆ
เดาทางถูก เดาตอนจบได้ และยิ่งขาดมาม่าต้อมยำมันง่วง
หุหุ

6499 หุหุ แสดงว่ามีคนเข้าใจ
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.120.220.127 วันที่: 2 พฤศจิกายน 2555 เวลา:9:43:01 น.  

 
 
 
ทางรอดจากวงการอันเน่าเฟะ
หากรู้จักมอง “ความดัง” อย่างเข้าใจและไม่หลงไปกับแสงสีอย่าง อ๊อฟ-ศุภณัฐ ได้ก็ดีไป แต่ดูเหมือนว่าวัยรุ่นไทยส่วนใหญ่จะไม่เป็นเช่นนั้น จากคำบอกเล่าของ “ป๊อก-ทวิษย์ชญะ ตั้งสหะรังษี” เจ้าของค่ายเพลง Classy Records ซึ่งพบเจอ “คนอยากดัง” มานับครั้งไม่ถ้วน ถึงกับออกปากเลยว่า ทุกวันนี้สังคมเรา “บิดเบี้ยว” และ “ฟอนเฟะ” จนน่าถนาถ นอกจากตัวเด็กเองจะยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เป็นซูเปอร์สตาร์แล้ว ผู้ปกครองของพวกเขายังพร้อมสนับสนุนอย่างไร้สติเสียด้วย


“ตั้งแต่ทำค่ายเพลงมา ผมเจอตลอดเลยพ่อแม่ที่ยอมยัดเงินให้เราเพราะอยากให้ลูกได้ทำอัลบั้ม มีเยอะมากจริงๆ บอกผมว่าจะเอาเงินเท่าไหร่ เดี๋ยวช่วยๆ ผมบอก เฮ้ย! ไม่ใช่นะ เราทำอย่างนั้นไม่ได้ เงินเราก็อยากได้นะ แต่วิธีการแบบนี้เราปฏิเสธ มันไม่อยู่ในรูปในรอย
ทุกวันนี้พ่อแม่ที่อยากให้ลูกเข้าวงการต่างจากเมื่อก่อนมาก เมื่อก่อนลูกของตาสีตาสาหลงเข้ามา มีแมวมองมาเห็นแวว กลายเป็นยุคคุณสรพงษ์ แต่ทุกวันนี้พ่อแม่ขับเบ๊นซ์ซีรีส์ 5 มารอรับลูก ดูลูกประกวด พ่อแม่กดโหวตเอง หมดเงินเป็นล้านๆ เพื่อให้ลูกดัง พาลูกมาฝากค่ายบอกมีเงินขนาดนี้ เอาไหม? โลกมันเปลี่ยนไปหมด คิดดูสิว่าขนาดคนที่รวยอยู่แล้วยังอยากให้ลูกดังเลย


หลายคนคิดในเชิงตรรกะว่า ลงทุนไป 20 ล้าน ทำศัลยกรรม เสียเงินฝากลูกกับผู้จัดฯ ฝีมือดีๆ ส่งเข้าประกวด โหวตให้ลูกได้ดัง พอดังเดี๋ยวแป๊บเดียวก็คืนทุน ถ้ามารู้เบื้องหลังทุกวันนี้จะเห็นเลยว่ามันมีคนคิดแบบนี้อยู่จริงๆ ทุกอย่างเป็นวงจรการค้าไปหมด มีตั้งหลายคนในวงการที่เติบโตมาจากวงจรนี้ มีบางคนอยากดังจนถึงขนาดคิดว่า ฉันจะไม่ทำอะไรแล้ว ขอแค่ได้เข้าไปในยืนอยู่ในเวที The Star, AF, The Voice ก็พอ ไม่ต้องได้ที่หนึ่ง ไม่ต้องเข้ารอบลึกๆ ก็ได้ แค่ได้ออกทีวี ให้คนจำได้ว่าเป็น “นายเอ The Voice” “นายเอ The Star” ให้ชื่อเวทีกลายเป็นแบรนด์พ่วงท้ายชื่อตัวเองไป แค่นี้ก็ขายได้ หากินกับความดังไปได้อีกนาน


บางคนหนักกว่านั้น อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ พอได้โอกาสเข้าวงการยอมดร็อปเรียน แถมพ่อแม่ก็ยอมให้ดร็อปด้วย พอผู้จัดฯ แนะให้ไปทำศัลยกรรมก็ไป ดร็อปเรียนและไปทำศัลยกรรมทั้งที่ยังเรียนไม่จบ คุณคิดดูว่าแรงจูงใจของวงการบันเทิงมันมีมากขนาดไหน ถึงขนาดที่ไม่มีใครห้ามปรามกันแล้ว ทุกอย่างคือธุรกิจอันฉาบฉวยที่ได้เงินมากมายมหาศาล ผู้จัดฯ บางคนส่งเด็กไปทำศัลยกรรมที่เกาหลีเป็นแพคเกจ แถมได้เงินส่วนแบ่งจากคลินิกเหล่านั้นอีก แล้วคนที่หลงเข้ามาจะทานไหวไหมแบบนี้ ใครจะเข้ามาต้องใจแข็งมากๆ ต้องคอยบอกคอยสอนลูกหลานของตัวเองให้ดี เพราะคงไม่มีใครมาช่วยคุณได้แล้วล่ะ”


ในฐานะเจ้าของค่ายเพลงผู้คัดเลือกศิลปินเอง เท่าที่ผ่านมา ป๊อก-ทวิษย์ชญะ ก็พยายามชี้ทางให้คนมีฝันที่กำลังหลงทางได้ตาสว่างให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะคิดเสมอว่า “ผู้ใหญ่ในสังคมต้องคอยชี้แนะครับ เรามีหน้าที่เป็นกระจกให้เขา ไม่ใช่มองแค่ว่าคนนี้สวย ไอ้นี่บ้านรวยมีกำลังสนับสนุนผลงานแน่นอน ขายได้-ไม่ได้ พ่อแม่มันคงไม่ว่า เอาวะ จับมาเซ็นสัญญาไว้ก่อน แล้วถ้าเกิดพ่อแม่เด็กคนนั้นงงๆ คิดแต่อยากให้ลูกดังอย่างเดียวก็เข้าทาง
เพราะงั้น จะตัดสินใจอะไรก็ต้องค่อยๆ คิด ชั่งน้ำหนักดูให้ดีก่อน บางคนยอมทิ้งเงินเดือน 5-6 หมื่นเพราะมีคนมาชวนทำอัลบั้ม นั่งรออยู่เป็นปี 2 ปี สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ ผมเห็นมาเยอะแล้วก็เสียดายครับ ตอนตัดสินใจทุกคนบอกว่าจะไม่เสียใจหมด แต่พอเดินพลาด ก็เห็นมานั่งร้องไห้กันทุกคน”


โดยเฉพาะรายที่มีความสามารถเฉพาะทางอยู่แล้ว ยิ่งไม่คุ้มที่จะเสี่ยงให้ต้องชอกช้ำไปกับวงการนี้ “มีน้องคนหนึ่งเป็นกราฟิกดีไซน์ที่โคตรเก่งเลย ร้องเพลงก็ธรรมดาๆ แต่หน้าตาขายได้ ผมก็บอกให้เขาร้องเพลงเป็นงานอดิเรกดีกว่า เขาก็ขอบคุณเรานะที่แนะให้เขารู้ตัว บางคนเรียนจบหมอมา มีความมุ่งมั่นอยากจะเป็นสัตวแพทย์ตั้งแต่ตอนเด็กๆ แต่สุดท้าย พอจบปุ๊บก็ไปเป็นนักร้อง ไปเป็นดารา ถ่ายแบบ 2-3 เล่ม ติดลมบน เลิกเป็นหมอดีกว่า ถามหน่อยว่าแล้วมันเรียนมาทำไมวะ
คือผมไม่เคยดูถูกความฝันใครนะ แต่ถ้ามันคือความฝันของเขาจริงๆ เขาจะรู้ว่าความฝันของเขามันไม่ได้หายไปไหนหรอก ยังเลือกทำเป็นงานอดิเรกได้ แต่ถ้าบอกว่าเบื่องานที่ทำอยู่จริงๆ อยากเสี่ยง อยากเปลี่ยน นั่นก็อีกเรื่องนึง แต่ก็ต้องค่อยๆ คิด ไม่ใช่ตะบี้ตะบันลุยดะแล้วมาเสียใจทีหลัง ต้องมีสติ ค้นหาตัวเองให้เจอ มองคนอื่นให้เคลียร์ แล้วเราก็จะรอด ไม่ตกเป็นเหยื่อของวงการนี้”

//www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9550000133814

9951 หุหุ
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.120.220.127 วันที่: 2 พฤศจิกายน 2555 เวลา:10:01:37 น.  

 
 
 
ของแท้ ตอบโจทย์ตลาดหุ้นขึ้นหรือลง
tfex 2 พ.ย.55
ต่างชาติ Net long – Set บวก…

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=trade4u&month=11-2012&date=02&group=1&gblog=324

ต่างชาติ Net short – Set ลบ… หุหุ

4678
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.120.220.127 วันที่: 2 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:15:26 น.  

 
 
 
นี่ ๆ แควนขับเจ้าขราาาาาาาาาา
เย็นนี้ อิตั้วเจ้ มันจากลับบ้านกลับช่องไปเยี่ยมป๊ะป๋าหมาน
แล้วเก๊าะไปปะเหลาะชวน หม่ามี๊แก้วดี
หั้ยมาสมัครล็อกอินที่ พันติ๊ป โตย หุหุ


นี่ก็กะไว้ว่า จาหายหัวไปจากบล็อกสักพักหญ่าย ๆ น้าาาาา
เรยแวะมาส่งข่าวคราวคร้าาาา แบ่บว่า กลัวแควน ๆ จาชะเง้อคอยหา แหะ...แหะ...


ปอลิง

เด๋ว เอาไว้ จิ้มดีดเรื่อง สัมมาฯสไตล์ ก๊ะ พุทธอวตาร เสร็จเมื่อไร
จาเอามาโพส ให้อ่าน เพื่อเป็นการทิ้งทวนน้าาาา
ขอเวลาหน่อยเน๊าะ

+++++++++++++++++
จำนวนผู้ชม 14648 ครั้ง
จำนวนผู้ชม Profile 231 ครั้ง
+++++++++++++++++++++
 
 

โดย: ตะละแม่เทียวเสี้ยมมมมมม (นู๋บี ) วันที่: 3 พฤศจิกายน 2555 เวลา:15:30:20 น.  

 
 
 
20 ปีไม่สาย! ชายจีนเก็บขยะ หาเงินซื้อเปียโนให้ภรรยา
อู๋เจิ้ง ชายจีนวัย 69 ปี สร้างฝันให้ภรรยาสำเร็จ เก็บออมเงินจากการเก็บขยะขาย เป็นเวลานาน 20 ปี จนสามารถซื้อเปียโนให้ภรรยาของตน
//www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9550000135930

รักแท้แม้หย่ากันไปแล้ว ภรรยากลับมาบริจาคตับให้สามีป่วย
หวั่งอี้ - คู่สามีภรรยาที่อยู่กินกันมานานเกือบ 10 ปี หย่ากันเพราะเห็นต่างเรื่องงาน แต่ผ่านไป 2 เดือน อดีตสามีตรวจพบว่าเป็นตับแข็ง และมะเร็งตับ อดีตภรรยาจึงขอแต่งงานใหม่ด้วยเพื่อใช้สิทธิในการบริจาคตับ ครั้นถูกคณะกรรมการด้านจริยธรรมสอบสวน เธอก็พูดทั้งน้ำตาว่า “เพราะฉันรักเขาค่ะ”
โดยตอนแรกที่รู้เรื่อง เถียนคิดว่าเธอล้อเล่น แต่พอเห็นเธอมีสีหน้าจริงจัง และลากเขาไปคุยกับหมอ พร้อมขอให้หมอรีบทำการผ่าตัด เขาก็รีบปฏิเสธทันที และเลือกที่จะไม่พูด เมื่อเธอพูดเรื่องนี้ขึ้น

“ผมรู้สึกว่าการบริจาคตับนั้นเสี่ยงมาก เพราะหากเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น จะพาลทำเธอบาดเจ็บไปด้วยอีกคน ลูกสาวเราก็ยังเล็กอยู่”

ซูบอกกับผู้สื่อข่าวว่า“การแต่งงานเป็นเพียงรูปแบบภายนอก ที่สำคัญคือ จิตใจของคนทั้งสอง ซึ่งกระดาษแผ่นเดียวไม่สามารถชี้วัดได้ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่โยงพวกเราเข้าด้วยกัน ลูก พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ความรู้สึก ความทรงจำ ประกอบขึ้นเป็นครอบครัว”

//www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9550000134570

9932 หุหุ
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 110.169.252.7 วันที่: 7 พฤศจิกายน 2555 เวลา:9:14:54 น.  

 
 
 
ปั๋วเล่อฝึกม้า
ธรรมชาติสร้างกีบเท้าม้าไว้สำหรับตะกุยเกล็ดน้ำค้างแข็งและหิมะ แผงขนสำหรับป้องลมและทานความหนาว การแทะเล็มหญ้า กินน้ำจากลำธาร ยกเท้ากระโดดควบตะบึง สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมชาติที่แท้ของเหล่าอาชา แม้พวกมันจะมีลานกว้างและโรงคอกให้อยู่อาศัยอย่างดีเลิศเพียงใด ก็ไร้ประโยชน์

ต่อมา ก็มีปั๋วเล่อ ผู้ประกาศก้องว่า “ข้าชำนาญการฝึกม้า” จากนั้น ก็ตัดโกนขน เลาะกีบเท้า นาบเหล็กร้อนตีตราพวกมัน ผูกล่ามตรึงพวกมันไว้ภายในคอก ระหว่างขั้นตอนนี้ มีม้าสองหรือสามตัวในฝูงม้าสิบตัว ล้มตายไป เขาปล่อยให้ม้าอดอาหารอดน้ำ ลงแส้เฆี่ยนตีให้เหยาะย่าง บังคับให้ควบตะบึง ฝึกให้วิ่งตามแนวเส้นทาง ขู่เข็ญให้วิ่งเคียงคู่กัน เบื้องหน้ามีเครื่องบังเหียนบีบรัดให้พวกมันกลัวลาน เบื้องหลังยังมีสายแส้เชือกหนังคอยคุกคาม ระหว่างขั้นตอนนี้ เหล่าอาชามากกว่าครึ่งได้ล้มตายไป

ฝูงม้าที่ดำเนินชีวิตอยู่ตามทุ่งราบ กินหญ้า ดื่มน้ำจากลำธาร เมื่อสบายอารมณ์ก็แนบศีรษะเคล้าเคลียเล่นหยอกกัน เมื่อโกรธเกรี้ยวก็หันหลังให้กันยกเท้าเตะ นี่คือสิ่งที่ม้าทุกตัวกระทำ เมื่อท่านนำรถเทียมแอกใส่พวกมัน จับมันเคียงแอกและคานรถ จากนั้นพวกมันก็เรียนรู้การขบกัดกระแทกทำลายเครื่องเทียมแอก สะบัดสิ่งที่รั้งบีบรัดตัว กัดทึ้งสายบังเหียน และม้าเหล่านั้นก็เรียนรู้การกระทำที่เลวร้ายที่สุด นี่คืออาชญากรรมของปั๋วเล่อ

แปลเรียบเรียงตัดตอนจากหนังสือจวงจื่อ(庄子) บทที่แปด

//www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9550000132613

6775
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 110.169.252.7 วันที่: 7 พฤศจิกายน 2555 เวลา:9:25:03 น.  

 
 
 
นั่งลืม...
เหยียนหุยกล่าวว่า “ข้ากำลังก้าวหน้า”

ขงจื่อถามว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

“ข้าลืมมนุสสธรรมและครรลองธรรม”

“ดีมาก แต่ก็ยังไม่เพียงพอ”

วันต่อมา ทั้งสองพบกันอีก และเหยียนหุยก็ได้พูดขึ้นว่า “ข้ากำลังก้าวหน้า”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

“ข้าลืมพิธีกรรมและดนตรี”

“ดีมาก แต่ก็ยังไม่เพียงพอ”

วันต่อมา ทั้งสองพบกันอีกครั้ง เหยียนหุยพูดขึ้นว่า “ข้ากำลังก้าวหน้า”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

“ข้าอาจนั่งลง และลืมสิ้นทุกสิ่ง!”

ขงจื่อมีสีหน้าตกตะลึง และกล่าวว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ที่ว่านั่งลงและลืมทุกสิ่ง?”

เหยียนหุยกล่าวว่า “ข้าสลายแขนขาและลำตัว ปลิดการรับรู้และภูมิปัญญา สลัดรูป ละทิ้งความรู้ และผนึกตัวเองเข้ากับมรรคาใหญ่ นี่คือสิ่งที่ข้าหมายความว่า นั่งลงและลืมสิ้นทุกสิ่ง”

ขงจื่อกล่าวว่า “หากเจ้าได้เข้าร่วมกับมัน เจ้าก็ไร้ความลำเอียงรักใคร่ใดๆ หากเจ้ากำลังเปลี่ยนแปลง เจ้าก็จะไร้ความคงที่ จึงอาจนับได้ว่าเจ้าเป็นผู้เปี่ยมปรีชาญาณอย่างแท้จริง! หากเจ้ายินดี ข้าก็จะขอเป็นศิษย์ของเจ้า”

แปลเรียบเรียงตัดตอนจากหนังสือจวงจื่อ(庄子) บทที่หก ปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่

//www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9550000126831

7772
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 110.169.252.7 วันที่: 7 พฤศจิกายน 2555 เวลา:9:28:52 น.  

 
 
 
ขงจื้อสอนเหยียนหุย
ขงจื๊อขณะอายุได้ 30 ปี ได้ตั้งโรงเรียนขึ้น 1 แห่ง นับเป็นโรงเรียนเอกชนแห่งแรกของประเทศจีน ในสมัยนั้นคนรู้หนังสือ จะมีอยู่เฉพาะในหมู่ขุนนางเท่านั้น คนธรรมดาอ่านหนังสือไม่ออก แต่นักเรียนของขงจื๊อสามารถทำอะไรได้ทุกอย่าง ในตอนเริ่มต้นพวกขุนนางต่างดูถูกขงจื๊อ ต่างคิดว่าคนอายุน้อยคงจะไม่สามารถสอนนักเรียนให้ดีได้ ต่อมาจึงเป็นที่ประจักษ์ว่านักเรียนที่ขงจื๊อสอนนั้นไม่เลว จึงได้นำบุตรหลานส่งเข้าเรียนที่โรงเรียนของขงจื๊อ
ขงจื๊อปฏิบัติต่อนักเรียนด้วยความเข้มงวด วันหนึ่งท่านวิพากย์นักเรียนชื่อ เหยียนหุย ว่า "ฉันพูดอะไร เธอพูดอย่างนั้น ตัวเองไม่มีความริเริ่ม ไม่มีการพัฒนา แล้วจะก้าวหน้าได้อย่างไร" เหยียนหุย ถามว่า "ทำอย่างไรจึงจะพัฒนา"
"ต้องคิดอยากพัฒนา ต้องหมั่นเล่าเรียน พินิจพิจารณามากๆ เอาแต่เรียนโดยไม่ได้พิจารณา ย่อมไม่สามารถได้รับความรู้อย่างสูง อย่างเช่น ฉันบอกเธอว่า มุมหนึ่งของโต๊ะเป็นมุมฉาก เธอควรจะพิจารณาว่าอีก 3 มุม ก็เป็นมุมฉาก และสรุปว่าโต๊ะนี้เป็นโต๊ะ 4 เหลี่ยม ไม่ใช่โต๊ะกลม"
นักเรียนอีกคนหนึ่งถามว่า "ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไร จึงจะทำให้ตัวเองมีความรู้มาก ๆ "
"เรื่องนี้ต้องเรียนให้มากขึ้น พบเหตุปัญหาอะไรล้วนต้องถามว่าทำไม เมื่อไม่เข้าใจ อย่าทำเป็นเข้าใจ ทำอย่างฉันนี่ เมื่อมีคนถามปัญหาฉัน มีบ่อยๆ ที่ฉันตอบไม่ได้ ฉันก็นำปัญหานั้นไปถามคนอื่น อย่างนี้ เวลานานไปความรู้ย่อมมากขึ้นตามมา"
"อาจารย์พูดถูก" เหยียนหุยเห็นด้วย แต่ถามต่ออีกว่า "หากไม่มีท่านอาจารย์ พวกเราจะเรียนจบได้ความรู้ได้อย่างไร"
"ที่เธอพูดนั้นไม่ถูก เธอต้องรู้ว่า บนพื้นโลกนี้มีครูอยู่มากมาย หากมีคน 3 คนเดินมาในนั้นอย่างน้อย ต้องมี 1 คนเป็นครูของเรา แน่นอน เขาทำอะไรถูกต้องพวกเราก็ทำตามที่เขาทำ หากเขาทำอะไรไม่ดีงามพวกเรารู้ก็อย่าทำตามนั้น"
นักเรียนให้ความเคารพขงจื๊ออย่างมาก มีบางคนเรียนกับขงจื๊อถึง 12 ปี ยังไม่อยากจบ ขงจื๊อสอนลูกศิษย์ได้ประมาณ 3,000 คน มีอยู่ 72 คนบรรลุถึงความเป็นผู้มีชื่อเสียง บางคนยังได้เป็นขุนนางของประเทศด้วย

//www.gotoknow.org/blogs/posts/342988

2608
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 110.169.252.7 วันที่: 7 พฤศจิกายน 2555 เวลา:9:39:14 น.  

 
 
 
วรรณไว พัธโนทัย เล่าเรื่องสัมพันธ์ไทย-จีน ตอนจบ: ประสบการณ์ชีวิตในสังคมจีนยุคที่หาดูที่ไหนไม่ได้ในโลก

//www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9550000049196

1419
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 110.169.252.7 วันที่: 7 พฤศจิกายน 2555 เวลา:9:49:17 น.  

 
 
 
อิอิ แท้งกิ๋ว อิอ่อนมากมายจร้าาา
ที่แวะเวียนมาช่วย ปั่นเรทติ้งให้กัน ฉะเหมอ ?
อ้อ แล้วที่มอดเว็บ มีสาส์นมาถึงอีแมว ของ อิอิ่อนได้นั้น

มันเกิดจาก การผิดพลาดทางเทคนิกคร้าาาา
แบ่บว่า หลายวันก่อน อาเหล่าม่า มันอยู่ดีไม่ว่าดี
นึกครึ้ม อยากจะ ปป.อีแมว ที่ผูกติดก๊ะ ล็อกอิน k.kwan อ่ะคร้าาา
ประมาณว่า ม่ะอยากให้ อิมอด มันเมล์ไปรบกวนอิหม่ามี๊ ด้วยมั้ง


ก็เลยถือ วิสาสะ เข้าไปเทคโอเวอร์
ยึดกิจการมาเปลี่ยนแปลง อีแมวซะใหม่
แต่ไปทำอีท่าไหน ก็มิลู้ ดั๊นไม่ดูตาม้าตาเรือ เรยกลายเป็นว่า
หน้าจอที่ล็อกอิน มันรวน ๆ ดูผิดปกติ อ่า
สุดท้าย เก๊าะเรย ต้องลอง กลับไปใช้อีเมล์ของ อิหม่ามี๊ ใส่ไป
เพื่อแก้ไขให้เหมือนเดิมก่อน แต่ดั๊น จำอีแมวอันดั้งเดิมของ อิเจ้รอง ไม่ได้
เลยต้องไปก๊อป เอา อีแมวอันล่าสุดของ อิเจ้รอง มาจาก mail box อ่ะคร้าา
โทษที ที่ทำให้ ตกใจ แหะ...แหะ..


แต่พูดก็พูดเหอะนะ ไม่เข้าใจอิพวกมอดจิง ๆ เรย
เนี่ย ไม พออิน้องหมื่นโมฯ โดนแบน แล้ว มีการระบุ Exp ไว้ชัดเจน
ทว่าพอ เป็นของ อาเหล่าม่า อิพวกมอด มันกลับ หาเรื่อง แบบตลอดซาดฟระ
แมร่ง ช่างน่าน้อยใจเสียนี่กระไร ลำเอียงโคตร ๆ อ่ะซิก ๆ



ปอลิง
ช่วงนี้ ขอพักปาก แอนด์ไปซุ่มปั่นน้ำลาย สักพักหญ่าย ๆ เน๊าะ
จึง อาจจะไม่ค่อยได้มาโพสในบล็อดสัก เท่าไร
ที่สำคัญ ช่วงนี้ กะลังไป เล่นเกมส์ ไก่หยอกหมา
ก๊ะ ไอ้เฒ่าอึ้งจีเพ้ง เอ๊ยยย ไอ้เฒ่าซือหม่าอี้ โตยแหะ ๆ
เอ้า เอา ลิ้งค์ เนี๊ยะ มาฝากจร้าาาาาาา

//www.youtube.com/watch?v=0Xcs1Vp4u5M


แบ่บว่า ดูข่าวนี้ แล้ว นึกถึง อิหม่ามี๊ อ่ะ อิอิ
หวังว่า คนบางคน คงจะไม่ซรวย
แบ่บ คุณแม่ชะตาขาด ใน ลิ้งค์นั้น เด้อออ

 
 

โดย: ตะละแม่เทียวเสี้ยม นงรามงามล่มเมืองงงงง หุหุ (นู๋บี ) วันที่: 7 พฤศจิกายน 2555 เวลา:23:47:26 น.  

 
 
 
อ้อ ส่วนอันนี้ เอามาหั้ยอ่านเล่น ระหว่างรอ หุหุ


+++++++++++++++++++++++++++++++
ถึงทั่นสุมาอี้ !
FROM :B
TO: ซือหม่าอี้

Monday, November 5, 2012 11:07 PM
แหม๊ ? เอะอะ ๆ ก็จ้องแต่จะหาเรื่อง
ชักเอาดาบฟ้าฟื้นสนิมเขรอะ
มาเจ๊าะไข่แดง เอ๊ย ทิ่มแทงรังแกคนอื่น
อะโหยยย กลัวเป็น บาดทะยักจังเรยวุ้ย อิอิ
นี่ ๆ ลุงวินัยเจ้าขรา จามาหื่นมาหน้าหม้อ เอ๊ย มาทำอ้อล้อ
ก้อร่อก้อติก ทำ ติ้งไรคร้าาาาาาา


เนี่ยมาทำตัวเป็นชายหื่นหมื่นกาม แบบนี้
ระวังน้าาา ถ้าลุงมีลูกสาวขึ้นมาล่ะก้อ
เด๋ว กรรมจะตามสนอง เป็นเหตุให้ลูกสาวลุง
มันโดนแทะโลมจนเหลือแต่กระดูก
แบบเดียวที่ ลุง กะลัง ทำไก่หยอกหมา ก๊ะ อิฉันอยู่เนี่ย
อืม...พระป่าคูบาอาจานของลุง ทั่นไม่สอนดอกหรือ ว่า
เวรกรรมมันมีจริงนะว้อยยยยย เหอ...เหอ....

แต่ไงก็อย่า ชะล่าใจไปล่ะ
สิ่งที่เราเห็น มันก็เป็นเช่นที่เรา ปรุง อ่ะนะ
บางที มุดรูดูผ้าถุง เอ๊ย ดูไห ของอิน้องนู๋บี แร้ววว
อาจจะ ไม่มี ไข่แดงให้เต๊าะ อาจจะเจอแต่ ถั่วดำ ก้อได้นะ หุหุ
แล้วไอ้ที่ บอกว่า ยังไม่มีผัวเป็นตัวเป็นตนเนี่ย
น้องนู๋บีอาจจะมี เมียครบ 4 คน
ตามที่ ทั่นนบีฯ ทรงอนุญาตไว้ แล้วก็ได้ว่ะ ฮา ๆ


ฉะนั้น อย่าได้มาจ้องแต่จะเจาะไข่แดงน้องนู๋บีเรยคร้าาา
เพราะ น้องนู๋บี มีแต่ ถั่วดำ...เอ๊ย... ธรรมมะ จะหั้ย
ขอเชิญคุณลุงถ่อสังขารไปเจาะไข่แดง ...
สาว ๆ มุสลิมะ สายเลือดบริสุทธ์ ผู้ได้รับพร
จะดีกว่าน้าาาา จะได้ไปเคลียร์หนี้แค้น
เรื่องที่ เสียดุล ถูกหนุ่ม ๆ มุสลิมะ
มันฉกสาว ๆ พุทธมามกะ ไปขม้ำ ไง๊
เนี่ย ไอเดียนี้ เวิร์คกว่า การไปตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก
จ้องแต่จะ หาเรื่องระเบิดขมอง พวกแขก กลางเวบบอร์ด ตั้งแยะ อิอิ


อ้อ แล้วน้องนู๋บีก็ไม่ได้คิดจะไปอ่อยเหยื่อล่อไอ้เข้
ยี่ห้อพระจันทร์เสี้ยวเกี่ยวเดือน หรอกคร้าาา
โถ ๆๆๆ ไอ้เรื่อง แอบปลื้มพวกอาบัง เนี่ย
ลุงวินัยก็อย่าได้ไปกังวลวิตกวิจารณ์
ว่าจะ ขาดดุล พวกอาบัง นักเรยจร้าา


น้องนู๋บีก็แค่ปาหินข้างทาง
เรียกร้องความสนใจจากคนบางคนเฉย ๆ อ่ะ
เห็นมันชอบระริกระรี้ ทำตัวเป็นจิ๊กโก๋
หาเรื่องไปดีดไข่ ไอ้พวกแขก นัก
ก็เลยนึกครึ้ม หาเรื่อง แหย่มันเล่น แค่นั้นเอ๊ง
ดูดิ๊ว่า ไอ้หนูทดลองยา ตัวนี้
มันจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง ยังไง ? หุหุ


อิอิ รู้งี้แร้ว ลุงก็อย่า มาถือสาหาความ อะไร
ก๊ะ น้ำลายอิฉันให้มันมากนักเล๊ยยย คร้าาา
แบ่บว่า น้องนู๋บีมันเป็นพูญิ๋งขี้เหงา
เป็น เด็กมีปัญหา ขาดความอบอุ่นในหัวใจนี่คร้าาาา
ก็เลยชอบ แกว่งปากหาเท้างี้แหล่ะ อะซิก ๆ


แต่ ไอ้ที่ คิดจะตั้ง กาทู้ เรื่อง

อิฉันเริ่มมองเห็นความงามตามหลักอิสลาม
เมื่อ เปลี่ยนใจ หันมาปฏิบัติธรรม

นั้นน่ะ มันมีเหตุปัจจัย มาจาก ลิงค์ เนี๊ยะ

//www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12767874/Y12767874.html#14

เห็นอิพวกพุทธมามกะจ๋า มันมาทำสะดิ้ง
ขู่จะ ลง พรหมทัณฑ์ อิฉันนัก
ก็เรยเกิดอารมณ์ขันพิเรนทร์ กะจะ แหย่พวกมัน เล่น
ด้วยการหันไปออดอ้อนพี่บังฯ ทั้งหลายอ่า อิอิ...


แหม๊...ไม่รู้สินะ จะว่าไป
นอกจาก อิฉันจะมีสันดาน
ชอบกวนซ่งติงชาวบ้าน เหมือน ป๋ารถสังข์ แร้ว
อีกข้อหนึ่งที่ อิฉันมั่นใจว่า ทำได้ดี ไม่แพ้ อิป๋ามัน
ก็คือ การหว่านซาเหน่ ใส่เหล่าหนุ่ม ๆมุสลิมมะ ว่ะ
เนี่ย ป๋ารถสังข์ฯ เคยทำให้ พี่บังทั้งหลาย เอ็นดู ได้เท่าไร
อิฉันก็คิดว่า มารยาญิ๋งที่ตัวเองมี
ก็ทำได้ดียิ่งกว่าซะอีกอ่ะ เชื่อป่ะ ? อิอิ


อ้อ แร้วอิแม่นางเตียวเสี้ยม น่ะ
สวมเสื้อกาวน์ไปทำงานอยู่เสมอคร้าาาา
( ครึ้ม ๆ มันเก๊าะ โนบรา นั่งจ่ายยา ด้วยว่ะ เอิ๊ก ๆ )
ไงซะก็ไม่มีวาสนาจะได้เป็น นางฟ้าไนติงเกล
แจกไข่แดงให้ใครมาเจาะเล่น เป็น ทานหรอกจร้าาาา


อืม...นี่ ๆๆ รู้แล้วเหยียบไว้เรยน้าาาาา
สมัยละอ่อน ตอนสอบเข้ามหาลัยน่ะ
น้องนู๋บีเคย ตอบข้อสอบจิตวิทยา กวนซ่งติงคนตรวจ
จนโดนเฉดหัว เอ๊ย กระเด็นจากคณะแพทย์
ให้มาอยู่ คณะเภสัชด้วยอ่ะ ( ไว้ครึ้ม ๆ จะเล่าให้ฟัง )
แหม ? ไม่อยากจะบอกเรยว่า นี่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้อ่ะนะ
ก็จะยังทำแบ่บเดิมอยู่ว่ะ เอิ๊ก ๆ

ว่าแต่ ถ้าลุงวินัยมีปัญหาเรื่องการใช้ยา
ก็มาปรึกษาเภสัชกรสาวโฉด คนนนี้ได้น้าาาา
ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ยาฆ่าหญ้า ยาเบื่อหมา
หรือว่า เรื่อง กินไวอะกร้า ยังไง ไม่ให้เกิด โอเวอร์ โด๊ส ฯลฯ
อ้อ แต่ลุงอย่าได้ทะลึ่งมาปรึกษา น้องนู๋บี
เรื่อง กินยาแก้โรคหัวใจมักง่าย ยังไงให้มันได้มรรคผล น้าาา
เพราะ อีเรื่องนี้ มันเป็น ปัจจัตตัง
คงต้องหมั่นฝึกเจริญสติปัฏฐาน เอาเองว่ะ เอิ๊ก ๆ


อืม...ว่าแต่ ลุงวินัย รู้จัก ไหมล่ะ ?
ไอ้เรื่องธรรมมะชั้นสูง อย่าง สติปัฏฐาน น่ะ อิอิ
อ๊ะ ๆ เรื่องนี้ มันม่ะใช่ ขี้ ๆ แบบการสะพายเป้
ไปนั่งสมาธิในโบสถ์ที่หินหมากเป้ง
แล้ว สะดิ้ง มา จิ้น มาปรุงแต่ง จิตสังขาร
ให้ มีจินตนาการบรรเจิดว่า จะเกิด สงครามโลกครั้งที่ ๓
นิวเคลียร์กำลังถูกทิ้งลงมาเหนือหัว จะระเบิดจริงๆ
ในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า หรอกน้าาาาา
ใครที่ กระแดะ เสแร้งแกล้งเอาจิตตัวเองไปหลอกตัวเอง งี้น่ะ
มันช่างโง่เขลาเหมือนทารกไร้เดียงสา เสียนี่กระไร หุหุ


เอ้า เอา เดอะลิง มาฝาก คร้าาาาา
เนี่ย ตอนคนบางคนมาตะกายข้างฝาร้องเหมียว ๆ หง่าว ๆ
อยากรู้อยากเห็น เอ๊ย สนใจใคร่จะรู้นักนิ ว่า
อินังเตียวเสี้ยมผ่านหนาวผ่านร้อนมาได้จั๋งได เอิ๊ก ๆ

//topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/01/Y7467757/Y7467757.html#20

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=itoursab&group=6

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=itoursab&month=09-2009&date=28&group=6&gblog=1

//board.palungjit.com/f10/ไม่มีบุตรสืบสกุลถือ เป็นกรรมของคนคนนั้นหรือไม่-229801.html#post3056189

อ้อ ส่วนลิงค์ นี้ ไม่เกี่ยว แต่อ่านแล้ว ขำดี
เลยเอามาเล่าสู่กันฟัง 5555

//liddeen2.wordpress.com/2010/01/02/เท้าของมุสลิมกับหน้าขอ/


อืม...พระป่า ไม่เคยเสี้ยมสอนหรือไงลุง
ว่า อันเพศตรงข้าม ทั้ง ปิตุคาม แล มาตุคาม เนี่ย
มันก็เหมือน งูพิษ ว่ะ เกิดไปเวทนา
เก็บเอาไว้ดูเล่น พวกมันก็รังแต่ จะร้องแง้ว ๆ
คอยเกาะแข้งเกาะขา ถ่วงความก้าวหน้า ในการปฏิบัติ
ที่สำคัญ ขืนไปติดบ่วงติดแร้วพวกนี้เข้า
เราก็ อาจจะตกม้าตายตอนจบ
แบ่บ นักเขียนโซดาปั่นซี้เก่าของลุง ก็ได้นะ อิอิ


เฮ้ออ ทุเรียนบางลูก น่ะ มันก็ไม่เกิดมา
เพื่อ ให้กระรอกท่อ มาแทะ มาเจาะ
หรือ มาล่อลวงไปฉีกเปลือกทุเรียน หรอกนะ
แต่ ทุเรียนบางลูก สวรรค์ส่งมันมาเกิด
เพื่อให้ มันสุกคาต้น แร้ว หล่นใส่กบาล
ไอ้พวกกระรอกหื่น เพื่อ ทวงหนี้แค้น
แทน บรรดาหญ้าอ่อน ผู้ไม่ประสา อ่ะคร้าาา อิอิ

นี่ ๆ จะบอกให้นะ ถ้า ตอนนั้น พี่พัน ไม่แบนหน้าไมค์ อ่ะนะ
น้องนู๋บี ยังกะว่า จะ วิ่งร้องไห้ขี้มูกโป่ง
แร้ว เดินแก้ผ้าโทง ๆ ไปแตกกาทู้เนี๊ยะ

//topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2012/10/Y12762691/Y12762691.html#38


เพื่อเฉ่ง ไอ้กระรอกท่อหน้าหม้อ ไปแระอ่า
เนี่ย ตอนที่ร่างสคริปค์ ยังคิด ๆ ชื่อ กาทู้ ไว้เล๊ยยย ว่า

ขออนุญาต เอาศีลข้อ 3 มาโชว์ เพราะถูก ลุงโขฯ ดูหมิ่นฉักฉี ลูกผู้หญิง !


แต่จะว่าไป อิตาลุงโข เพื่อนซี้ลุงนี่
มันก็น่าเอ็นดู เหมือนกันนะ ลุงวินัย
ขนาดมันริจะเป็น คัสซาโนว่า
ก็ยัง อุส่า ห่วง สถานะ ศิษย์พระป่า
อยากจะเจ๊าะไข่แดงสาว จนตัวสั่น
ก็ยังกลัวว่า ศีลข้อ 3 ที่รักษาไว้จะถลอก
เลยต้อง โยนหินถามทางเสียก่อน ว่า
ว่า อินางมีผัว เอ๊ย มี บอดี้การ์ดส่วนตัว รึยัง หุหุ


น่าเสียดายนะ ที่ลุงแกดันเป็นศิษย์พระป่าบ้านนอกคอกนา
หาใช่ ศิษย์สวนโมกข์ผู้มีรสนิยมอันลุ่มลึก
เป็น ธรรมถึกที่ปฏิเสธได้ทั้ง นรก สวรรค์
อันเป็นสัมมาฯสไตล์ ตามแบบฉบับที่อิฉันล็อกสเปคไว้
ไม่งั้นอ่ะนะ ตะละแม่เทียวเสี้ยม
มันอาจจะหน้ามืด ไล่ปล้ำไปแระ
แต่ก็นั่นแหล่ะนะ ผู้มืดบอดอย่างสุมาอี้
หาใช่ ยอดบุรุษที่คู่ควรอย่างทั่นกวนอู
ฉะนั้นมีหรือที่ม้าเซกเทาว์ มันจะยอมให้ขึ้นขี่ หุหุ


บ๊ายบายคร้าาา ลุงวินัย เจ้าขราาาา
เด๋วจาไป ลับมีด เตรียมเจี๋ยน บักสุมาอี้ มันแระ
เนี่ย เพิ่งจาหลังไมค์ไปโม้ ให้ ทั่น ตั๋งโต๊ะ ฟังอยู่แหม่บ ๆ
แบ่บว่า จา ตัดหัว บักสุมาอี้ ไปเป็นของกำนัล เพื่อ ง้อทั่นลิโป้ ง่ะ
เผื่อว่า อีจะได้ใจอ่อน หายงอล ตะละแม่เทียวเสี้ยมเสียที อิอิ
 
 

โดย: ตะละแม่เทียวเสี้ยม นงรามงามล่มเมืองงงงง หุหุ (นู๋บี ) วันที่: 7 พฤศจิกายน 2555 เวลา:23:50:37 น.  

 
 
 
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ถึง ไอ้เฒ่า อึ้งจีเพ้ง... เอ๊ย ....ทั่นซือหม่าอี้ ที่เคาร๊พพพพ !

FROM: B
TO: ซือหม่าอี้
Wednesday, November 7, 2012 11:04 PM

นี่ ๆ ...ลุงวินัยเจ้าขราาาา
วันนี้น้องนู๋บีอารมณ์ดีคร้าาาา
ไชโย๊ ! ป๋าโอบาม่า ทำ ดับเบิ้ล
ได้ รีเทิร์นกลับไปอยู่ใน ไวท์ เฮาส์ แระว่ะ
( จะได้ลงจากดอยแล้วตรู ฮา ๆ )

เออ ว่าแต่ เชคดูใน เอาท์ บ๊อกซ์ ที่หลังไมค์แล้ว
ชักไม่แน่ใจว่า ตัวหนังสือ บางส่วนที่ส่งไป มันจะตกหล่น ไหมนะ
น้องนู๋บี เรยแวะมา แพล่มต่อ อีกสักดอกส์สองดอกส์ อ่ะคร้าาา
แหม๊ ? ก็ตาม ประสา เปอร์เฟคชั่นนิสต์ นั่นแหล่ะ
แบ่บว่า ไม่ชอบให้ คอลเลคชั่นของสะสม มันตก ๆ หล่น ๆ
เพราะเด๋ว เวลาเอาไปแฉแต่เช้า เอ๊ย เอาไปโชว์ชาวบ้าน ที่หน้าไมค์
มันจะไม่ออกรสออกชาด ขาดรสนิยมอันวิไล
ผิดวิสัย ตะละแม่เทียวเสี้ยมมม อ่ะ หุหุ


อ้อแท้งกิ๋วนะคุณลุงวินัย ที่มาเทศนา หั้ยฟัง
เกี่ยวกับเรื่องข้อคิดเรื่อง คุณค่าของเยื่อบาง ๆ กลางหว่างขาของผู้หญิง
แต่ไงอิฉันก็ยังชอบคอนเซปต์ พรหมจารีไม่เอา เอาพรมเช็ดเท้า อยู่ดี
แหม๊ ก็ไอ้เรามันมองทุกสิ่งทุกอย่างจากประโยชน์ใช้สอยนี่คร้าาา
ไม่ว่า จะเป็น คน สัตว์ สิ่งของ หรือว่า ผู้ชาย หุหุ


เอ๊ะ ? แต่มีโอกาสได้ไปอ่านเจอ ข่าวนี้

//www.siamdara.com/hotnews/00013890.html

แล้วก็ชักเห็นด้วยก๊ะ คุณลุง เหมือนกันแฮะ
แหม๊ ไอ้เยื่อบาง ๆ กลางหว่างขา ที่แม่ให้มานี่
มันก็เอาไปสร้างกำไร ได้ตั้งหลายตังค์ เหมือนกันวุ้ย


นี่ยังกะว่า เด๋วครึ้ม ๆ อิน้องนู๋บี
ไปเปิดประมูลผังผืดพรหมจรรย์ผ่านทาง อีเบย์
เลียนแบบ อิสาวบิ๊กบราเธอร์ มั่งดีกว่า
เผื่อจะได้ ปัจจัย จากบรรดา สุลต่านบรูไนกระเป๋าหนัก
มาช่วยสมทบทุนทำบุญทอดกฐิน
เพื่อซื้อ พรมเช็ดเท้า ไปถวายวัดป่า มั่งไงคร้าา


แหม๊ ลุงวินัยเจ้าขราาาาา ถ้าทำงี้ อ่ะนะ
น้องนู๋บี จาได้บุญได้กุศลมาสะสมสักกี่กี่โลขีด น๊อออ
อ้อ แล้วจะได้ กุศลผลบุญมากมาย
เทียบเท่ากับ ยัยแฟง แห่ง วัดคณิกาผล ไหมล่ะหว่า
อะโหยยยยย น่าทดลองไปพิสูจน์นะเนี่ย หุหุ


เอ ? หรือว่า น้องนู๋บี จาเอา ผังผืดพรหมจรรย์
ไปสร้างมูลค่าเพิ่ม ด้วยการ เปิดบริษัท
รับงานกวนข้าวทิพย์ และ ปักตะไคร้ไล่ฝนทั่วราชอาณาจักร
แบบที่ คุณลุงเคยแนะนำไว้ดีล่ะหว่า ?
ไม่แน่นา ถ้ากิจการนี้ ได้ดีมีกำไร
บางที น้องนู๋บี อาจจะ เอาเข้าตลาดหลักทรัพย์
เพื่อระดมทุนแล้วเก๊าะ ปั่นหุ้น
หลอกให้เม่า วีไอ ทั้งหลายมาเก็งกำไร
เผื่อว่า จะได้ตังค์เป็นกอบเป็นกำขึ้นมามั่ง
ดูแร้ว อีแบ่บนี้ ก็ท่าจะเวิร์ค ไม่หยอกแฮะ อิอิ


อ้อ แล้วถ้า คุณลุงคิดว่า
ไอ้การได้เป็นคนแรกของผู้หญิงเนี่ย
มันทำให้ ไอ้พวกชายหื่นหมื่นกาม
มันภูมิอกภูมิใจซะมากมายก่ายกอง
จนตีปีกพั่บ ๆ ต้องไปร้องกระต๊าก ๆ
อ้าปากบอกชาวบ้านเนี่ย
ก็ขอหั้ย ลุง ไปลองอ่าน ลิงค์นี้ ดู
เผื่อว่า หูตาจะได้สว่างไสวขึ้นมามั่ง

//muslimthai.muslimthaipost.com/main/index.php?page=sub&category=109&id=5370


เห็นป่ะ ว่า แค่มี 15 ดอลล่า
ก็สามารถมีผังพืดพรมจรรย์ ใหม่ ๆ ซิง ๆได้
โดยไม่ต้องเสียเวลาไปเจ็บตัวทำรีแพร์ แระ
อย่า ชะล่าใจไปนักเรยจร้า พ่อคัสซาโนว่า เรียก ลุง หุหุ


เออ...นี่ ๆ ลุงวินัยเจ้าขราาา ไหน ๆ
ลุงก็ทะลึ่งมา ซักไซ้ไล่เลียงหาเรื่องลวกน้ำร้อนขูดขน
ชำแหล่ะหาเนื้อนาบุญ ของคุณบัวผ่อง เป็นยองเป็นใย
มาตั้งหลายดอกส์ แระนิ งั้นขอถามกลับมั่งดิ


คือว่า น้องนู๋บีสงสัยอ่ะคร้าาาาาาาว่า ไอ้เจ้าซือหม่าอี้ เนี่ย
มันใช่ ไอ้เจ้า อึ้งจีเพ้ง ปลอมตัวมาอ๊ะเปล่าฟระ
ทำไม มันคอยแต่จะจ้องเอาดาบฟ้าฟื้นสนิมเขรอะ
มา ชำแหละ ผังผืดพรหมจรรย์ ของ อิฉัน นักวะ
ตกลงลุงเป็น ซือหม่าอี้ หรือว่า อึ้งจีเพ้ง กันแน่ ?
บอกมาชัดๆ อย่ากำกวม


อ้อ แล้วฝากลุงวินัย ไปเม้ง ไปบอกไอ้เวงนี่ หั้ยที
ว่า อย่าได้ มีจิตคิดมิดีมิร้าย จะมาล่อลวงกันเยยย
เฮ่ย นี่ เทพธิดาไหมแดงนะเว้ยยยบ่ใช่ อิเจ้เหล่งนึ่ง ของ ไอ้ ก้วยยี้
ประเด๋ว ก็เจอ ฝ่ามือ เบญจพิษ ของม่วยม่วย มิลู้ด้วยย
แหม๊ พูดแร้วจะหาว่าคุย อิตา saratonai เพื่อนซี้ของลุง
ยังเคยชื่นชมความสามารถของอิฉัน
โดยเปรียบไว้ว่า น้องนู๋บีเหมือน แมงมุมม่ายดำ เรยว่ะ หุหุ


อิอิ แต่พูดถึงเคส ไอ้ลูกศิษย์คิดล้างครู
แบ่บ อิเจ้เหล่งนึ่ง ก๊ะไอ้เด็กก้วยยี้ แล้วก็น่าคิดนะลุง
สงสัยจังว่ะ ว่า อะไร เป็นเหตุปัจจัย
ที่ทำให้ ไอ้เด็กก้วยยี้มันปฏิเสธไมตรี ของ อินู๋ก้วยเซียง
แล้วมีจิตใจที่มั่นคง ประสงค์จะไปร่วมเรียงเคียงหมอน
ก๊ะ อิเจ้เหล่งนึ่ง แต่เพียงผู้เดียววววว ?


ทั้ง ๆ ที่จะว่าไป อินู๋ก้วยเซียง อ่ะนะ ทั้งสวย และ แสนดี
แถมยัง สาวกว่า ซิงกว่า อิเจ้เหล่งนึ่ง เป็นไหน ๆใครไม่เลือกก็โง่แร้วววว
เอ๊ะ ? หรือว่า ไอ้ก้วยยี้ มันโง่ จิง ๆ เหมือน เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ล่ะหว่า
แทนที่จะภูมิใจ กับการได้เป็น 1 ใน 72 เปอร์เซนต์
ที่ได้ครอบครองเป็นเจ้าของในความสด ความซิง ของเจ้าหญิงไดอาน่า
ดั๊นเปลี่ยนใจไปเลือก อิแม่ม่ายเหนียงยาน อย่าง ยัยคามิลลา ซะได้
น่าสงสัยเหมือนกันแฮะ ว่า อะไรกันแน่คือเหตุปัจจัย ในการเลือกครั้งนี้ ?
แหม๊ น่าไปตั้งกาทู้ถาม ที่ ห้องศาสดา จริงจริ๊งงงงงงง หุหุ

ปอลิง
เออ จิงดิ เห็น ลิงเนี๊ยะ

//hilight.kapook.com/view/78094

แล้ว ชักเห็นจริงอย่างที่ลุงเตือนแฮะ
ชักรู้สึก สยอง ไม่อยากไปแกว่งตรูดล่อเสือล่อตะเข้
คิดจะลองของก๊ะ อิพวกหนุ่มแขก แระว่ะ
หูยยย แค่ หันไป แทะโลมหนุ่ม ๆ เป็น อาหารตา แค่ทีสองที
ถึงกับประเคนน้ำกรด ให้เรยวุ้ย
นี่ ถ้า แร่ดระห่ำอย่างน้องนู๋บี ไปเกิดอยู่แถวนั้น
สงสัย คงจะมีชะตากรรม ไม่ค่อยโสภาลักเท่าไร
ตอนตายศพคงจะไม่สวยว่ะ เอิ๊ก ๆ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

จำนวนผู้ชม 14972 ครั้ง
จำนวนผู้ชม Profile 232 ครั้ง


+++++++++++++++++++++++++++++++++++
 
 

โดย: ตะละแม่เทียวเสี้ยม นงรามงามล่มเมืองงงงง หุหุ (นู๋บี ) วันที่: 7 พฤศจิกายน 2555 เวลา:23:51:58 น.  

 
 
 
รับแซบเรื่อง อีแมว แระก็บ่อเป็นหยัง หุหุ

มีเรื่องของเหยียนหุยมาฝาก ด้วยเด้อ
เมื่อเหยียนหุยลาขงจื้อไปปะทรราช
//writer.dek-d.com/AngelTVXQ/story/viewlongc.php?id=383921&chapter=52

5234
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.122.92.183 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2555 เวลา:9:25:40 น.  

 
 
 
คำคมจากท่านขงจื๊อ

@ เมื่อยากจนก็ยังชื่นชมในคุณธรรม เมื่อมั่งมี ก็ยังชื่นชมในมารยาทจริยธรรม

@ไม่ต้องเป็นห่วงคนอื่นที่ไม่เข้าใจเรา แต่ต้องเป็นห่วงว่าเรา ไม่เข้าใจคนอื่น

@การศึกษา ค้นคว้า ถ้าเอนเอียงไปสุดสายไม่ว่าข้างใดข้างหนึ่ง ก็มีแต่ผลเสียเท่านั้น

@ การที่ยอมรับว่าไม่รู้นั้น ก็คือความที่รู้แล้ว

@ บัณฑิตคิดถึงว่า ทำอย่างไรจะเพิ่มพูนคุณธรรมของตนได้ คนพาลคิดถึงว่า ทำอย่างไรจึงจะเห็นความเป็นอยู่ของตนสะดวกสบายขึ้น โดยไม่คำนึงถึงคุณธรรม

@ บัณฑิตรู้เฉพาะเรื่อง ที่ชอบด้วยคุณธรรม คนพาลรู้เฉพาะเรื่องที่ได้ผลกำไร โดยไม่คำนึงถึงคุณธรรม

@ ความผิดอันเนื่องมาจากการประหยัดนั้น มีน้อยเหลือเกิน

@ ผู้ที่มีคุณธรรมย่อมไม่ถูกทอดทิ้งโดยโดดเดี่ยว และจะต้องมีเพื่อนบ้านมาคบหา

@ บัณฑิตมีความอ่อนน้อมถ่อมตน รับใช้ราษฎรด้วยสติปัญญา มีความเอื้ออาทร ใช้ราษฎรโดยชอบด้วยเหตุผล

@ ไม่คิดถึงความชั่วของคนอื่นในอดีตกาล จึงมีคนโกรธท่านน้อย

@ จงเป็นนักศึกษาในแบบบัณฑิต อย่าเป็นนักศึกษาในแบบคนพาล

@ ตั้งใจมุ่งมั่นอยู่กับคุณธรรม ยึดมั่นในคุณธรรมไม่ละทิ้งความเมตตาธรรม ท่องเที่ยวไปในศิลปะวิชาการ

@ สุรุ่ยสุร่ายเกินไปก็จะอวดหยิ่ง ประหยัดเกินไปก็จะเป็นคนคับแคบ แต่เป็นคนอวดหยิ่งสู้เป็นคนคับแคบดีกว่า

@ บัณฑิตย่อมมีจิตใจกว้างขวางราบรื่น คนพาลย่อมมีความกลัดกลุ้มอึดอัดตลอดเวลา

* อ่อนน้อมแต่ไม่มีจริยธรรม จะกลายเป็นเรื่องเหนื่อยเปล่า ระมัดระวังแต่ไม่มีจริยธรรม จะเป็นความขลาดกลัว

* กล้าหาญแต่ไม่มีจริยธรรม จะกลายเป็นก่อการร้าย ซื่อตรงแต่ไม่มีจริยธรรม จะเป็นภัยแก่คนอื่น

* ยังปรนนิบัตติคนที่มีชีวิตไม่เป็น จะปรนนิบัติเซ่นไหว้เทพเจ้ากับผีได้อย่างไรเล่า

* บัณฑิตมีความสามัคคีต่อกัน แต่ความคิดกับการกระทำไม่เหมือนกัน คนพาลมีความคิดกับการกระทำเหมือนกัน แต่ไม่มีความสามัคคี

* ปรนนิบัติบัณฑิตเป็นเรื่องง่าย แต่ทำให้บัณฑิตรักเป็นเรื่องยากลำบาก เพราะว่าถ้าไม่ชอบด้วยลักษณะธรรมบัณฑิตก็ไม่รัก

* ต่างตักเตือนให้กำลังใจกันและกัน อยู่กันด้วยความสามัคคี เรียกว่าเป็นนักศึกษาได้

* ในระหว่างเป็นเพื่อนกันต้อง ตักเตือนให้กำลังใจกันและกัน ในระหว่างพี่น้องต้องสามัคคีกัน

* เมื่อรักเขาจะไม่ให้กำลังใจเขาได้หรือ เมื่อซื่อสัตย์ต่อเขาจะไม่ตักเตือนสั่งสอนเขาได้หรือ
**
* บัณฑิตย่อมมีความอับอายที่พูดไปแล้วนั้น เกินกว่าที่ทำไป

* ปราชญ์ย่อมหลีกเลี่ยงสังคมที่เลวร้าย สถานที่เลวร้าย มารยาทที่เลวร้าย และวาจาที่เลวร้าย

* ผู้ที่ไม่มีการไตร่ตรองให้ยาว ในอนาคตไกลจะต้องมีภัยที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน

* ตำหนิตนเองให้มาก ตำหนิผู้อื่นให้น้อย ก็จะไม่มีใครโกรธแค้น

* รวมอยู่กันเป็นหมู่ ตลอดวันไม่เคยพูดถึงธรรมที่ชอบ ทำตนเป็นคนฉลาดในเรื่องเล็กๆน้อย ต่อไปเห็นจะลำบาก

* บัณฑิตขอร้องกับตนเอง ส่วนคนพาลนั้นจะขอร้องกับคนผู้อื่น

* บัณฑิตทีความภาคภูมิใจในตนเอง โดยไม่แย่งชิงความภาคภูมิใจของคนอื่น บัณฑิตมีความสามัคคี แต่ไม่เล่นพวกกัน

* พูดไพเระาตลบแตลงทำให้สูญเสียคุณธรรม เรื่องเล็กไม่อดกลั้นไว้จะทำให้แผนเรื่องใหญ่เสีย

* ทุกคนเกลียดก็ต้องพิจารณา ทุกคนรักก็ต้องพิจารณา

* เพื่อนที่ซื่อตรง เพื่อนที่มีความชอบธรรม เพื่อนที่มีความรู้ ทั้ง 3 ประเภทนี้มีประโยชน์แก่เรา

* เพื่อนที่ประจบสอพลอ เพื่อนที่ทำอ่อนน้อมเอาใจ เพื่อนที่ชอบเถียงโดยไม่มีความรู้ ทั้ง 3 ประการนี้เป็ยภัยแก่เรา
* *
@ บัณฑิตมีความกลัวอยู่ 3 ประการ กลัวประกาศิตของสวรรค์ กลัวผู้มีอำนาจ กลัวคำพูดของอริยบุคคล

@ นิสัยคนมีความเหมือนกัน แต่การศึกษาทำให้แตกต่างกัน

@ เฉพาะคนที่มีปัญญาสูง กับคนที่โง่มากเท่านั้น ที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเขาได้

@ รักความเมตตาแต่ไม่มีการศึกษา เสียอยู่ที่ถูกหลอกลวงง่าย รักความรู้แต่ไม่มีการศึกษา เสียอยู่ที่ความรู้นั้นกระจัดกระจายไม่มีฐานที่ตั้ง

@ รักความซื่อสัตย์ แต่ไม่มีการศึกษา เสียอยู่ที่เป็นภัยแก่ตนโดยง่าย รักพูดตรงความจริง แต่ไม่มีการศึกษา เสียอยู่ที่การพูดจะเป็นการทำร้ายผู้อื่นได้โดยง่าย

@ รักความกล้าหาญ แต่ไม่มีการศึกษา เสียอยู่ที่ก่อความไม่สงบได้ง่าย รักความเข้มแข็ง แต่ไม่มีการศึกษา เสียอยู่ที่เป็นคนมุทะลุได้ง่าย

@ อ่านหนังสือโดยไม่ค้นคิด การอ่านจะไม่ได้อะไร ค้นคิดโดยไม่ได้อ่านหนังสือ การค้นคิดจะเปล่าประโยชน์

@ ทบทวนเรื่องเก่าและรู้เรื่องใหม่ขึ้นมาอีก ก็จะเป็นครูได้

@ นักศึกษาสมัยก่อน ศึกษาเพื่อให้ตนมีความสำเร็จในการศึกษา นักศึกษาในปัจจุบัน ศึกษาเพื่อให้คนอื่นรู้ว่าตนเองมีการศึกษา

@ ชอบเอาสองคนมาเทียบว่าใครดีกว่าใคร เธอเองเก่งพอแล้วหรือ สำหรับเราไม่มีเวลาว่างมาทำเช่นนั้น

@ แสร้งพูดไพเราะ แสดงความน่ารัก เพื่อให้ถูกใจคน คนประเภทนี้น้อยนักที่จะเป็นคนมีเมตตาธรรม
@_@
@ ผู้ที่มีเมตตาธรรมเท่านั้น จึงจะสามารถรักคนด้วยความจริงใจ และจึงสามารถเกลียดคนด้วยความจริงใจ

@ ผู้มีปัญญาชื่นชมน้ำ เป็นผู้ขยัน ผู้มีความสุข ผู้มีเมตตา ชื่นชมภูเขา เป็นผู้รักสงบ เป็นผู้มีอายุยืน

@ ผู้ที่มีเมตตาธรรมเท่านั้น เวลาพูด เขาพูดอย่างเชื่องช้า ไม่พูดเชื่องช้าได้หรือ เพราะเมื่อพูดไปแล้ว ต้องทำตามที่พูดด้วยความลำบาก

@ ผู้ที่มีความเข้มแข็ง กล้าหาญ ซื่อสัตย์ พูดช้าก็ใกล้กับความมีเมตตาธรรมแล้ว

@ ผู้มีคุณธรรมต้องมีคำพูดที่ดี แต่ผู้มีคำพูดที่ดี ไม่ต้องใช่เป็นคนที่มีคุณธรรมเสมอไป

@ ผู้มีเมตตาธรรมต้องเป็นผู้ที่กล้าหาญ แต่ผู้กล้าหาญ ไม่ใช่ต้องเป็นคนที่มีเมตตาธรรมเสมอไป

@ เลี้ยงดูพ่อแม่ให้มีชีวิตอยู่ได้เท่านั้นนะหรือ ถ้าเช่นนั้น หมากับม้าก็ได้รับการเลี้ยงดูให้มีชีวิตอยู่เช่นกัน

@ บัณฑิตให้ความเมตตากรุณาแก่ผู้อื่น
ใช้คนทำงานแต่คนไม่โกรธแค้น
ความต้องการของเขาไม่เป็นความโลภ
มีความสงบแต่ไม่มีความเย่อหยิ่ง
มีความสง่าแต่ไม่มีความโหดเหี้ยม

ภาพและข้อมูลจาก //www.pantown.com โดยคุณ nH
https://sites.google.com/site/aroydeejang/idiom-laea-suphasit/khakhm-cak-than-khngcux

6462
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.122.92.183 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2555 เวลา:9:37:56 น.  

 
 
 
คำกล่าวจากบทคำสอนของขงจื๊อ
บทที่ 4 ผู้เมตตา
ย่อหน้า 17 - ยามที่ได้พานพบผู้กล้า ทรงคุณธรรม ใจข้ามันคิดอยากจะเป็นเสมอด้วยเขา ยามที่ได้พบผู้ไม่กล้าไร้คุณธรรม ข้ามาได้คิดข้ามีอะไรเหมือนกับเขาหรือไม่
ย่อหน้า 19 - เมื่อบิดามารดายังอยู่ ไม่สมควรท่องแดนไกล แม้นจำเป็นต้องไป สมควรบอกกล่าวอย่างยิ่ง จะช่วยลดความห่วงใยของท่านลงได้บ้าง

บทที่ 5
ย่อหน้า 24 - พูดจาไพเราะรื่นหู กิริยาอ่อนน้อมประจบประแจง ถ่อมตนเกินไป เป็นเรื่องน่าละอาย น่าอดสู ชิงชังรังเกียจเขาทั้งที่คบกันผิวเผิน ก็เป็นเรื่องน่าละอาย น่าอดสูเช่นกัน

บทที่ 7 การส่งผ่านความรู้
ย่อหน้า 19 - ข้าไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความรู้ในทุกเรื่อง เป็นแค่ข้ารักเรียน ศึกษาจากตำราโบราณ ทุ่มเทกับตำราโบราณ ขบคิดทำความเข้าใจมัน
บทที่ 11 ผู้ริเริ่ม
ย่อหน้า 15 - การยิงเลยเป้า หรือการยิงไม่ถึงเป้า ไม่มีใครเหนือกว่ากัน เพราะไม่เข้าเป้าทั้งคู่
ย่อหน้า 21 - ยามออกไปกับเพื่อน ข้าเรียนรู้อะไรบางอย่างจากพวกเขาเสมอ ข้อดีข้ารับมา ข้อด้อยข้าเอามาปรับปรุงตน

บทที่ 16
ย่อหน้า 10 - สุภาพชนพึงใคร่ครวญ ในเก้าสิ่งนี้
ยามที่มอง ให้ที่ถึงการเห็นได้ชัด
ยามที่ฟัง ให้นึกถึงสิ่งที่ได้ยินให้ชัด
ยามแสดงอารมณ์ ต้องให้ดูฉันท์มิตร
ยามแสดงตัว ให้นึกถึงการมีมารยาทอันงาม
ยามที่พูด ให้นึกถึงความสัตย์
ยามทำงาน ให้นึกถึงการทำดีที่สุด
ยามสงสัย ให้นึกถึงการถาม
ยามโกรธ ให้นึกถึงผลที่จะตามมา
ยามได้ผลประโยชน์ ให้นึกถึงความสมควร

บทที่ 17
รักจะมีเมตตา แต่ไม่รักเรียน โง่ได้
รักฉลาด แต่ไม่รักเรียน ประพฤติผิดได้
รักซื่อสัตย์ แต่ไม่รักเรียน อาจมีภัย
รักจะเป็นคนตรง แต่ไม่รักเรียน อาจหุนหันพลันแล่น
รักจะเป็นคนกล้า แต่ไม่รักเรียน โชคอาจไม่เข้าข้าง
รักจะมีอำนาจ แต่ไม่รักเรียน อาจดูวางโต
คำจากแหล่งอื่น

สัญญาที่ทำไปเพราะโดนข่มขู่ สวรรค์หารับรองไม่
กล่าวเมื่อโดนข่มขู่ห้ามเดินทางไปช่วยเมืองเว่ย หลังจากโดนจับที่ด่านเมืองปู้
หากสบวิญญูชนจงเปิดเผย หากสบทรราชจงอำพราง
[2]*อย่าหวังว่าใคร ๆ ไม่รู้ว่าท่านเก่งหรือมีความสามารถ จงห่วงแต่ว่าสักวันหนึ่งเมื่อคนเขายกย่องหรือเลื่อนตำแหน่งท่าน ท่านมีความเก่งและความสามารถสมกับที่เขายกย่องหรือเลื่อนตำแหน่งหรือเปล่า

//th.wikiquote.org/wiki/%E0%B8%82%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B9%8A%E0%B8%AD

8747
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.122.92.183 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2555 เวลา:9:45:24 น.  

 
 
 
ปรัชญาขงจื๊อ

คุณธรรม ๘ ประการ

คุณธรรมประการที่ ๑.
ความกตัญญูกตเวทิตา.

คุณธรรมประการที่ ๒.
ความรักใคร่ปรองดองระหว่างพี่น้อง.

คุณธรรมประการที่ ๓.
ความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อองค์พระประมุข

คุณธรรมประการที่ ๔.
ความเป็นผู้มีสัจจะ.

คุณธรรมประการที่ ๕.
ว่าด้วยเรื่องจารีตธรรมเนียม.

คุณธรรมประการที่ ๖.
ความเป็นผู้กระทำแต่สิ่งที่ถูกต้องตามธรรมนองครองธรรม.

คุณธรรมประการที่ ๗.
ความเป็นผู้มีความสะอาด สุจริต.

คุณธรรมประการที่ ๘.
ความเป็นผู้มีหิริโอตัปปะ.

ขงจื๊อสอนว่า

- อบรมตนเองให้ดีเสียก่อน แล้วจึงสอนผู้อิ่นต่อไป.

- เห็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วไม่ทำ นั่นคือขาดความกล้า.

- เมื่อเห็นสิ่ที่ควรทำแล้ว ก็ไม่ควรต้องเกรงใจ

แม้ต่อผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ ก็ควรประลองฝีมือกับท่าน.

- บุคคลผู้ถึงซึ่งความรู้แจ้งในสัจธรรมในตอนเช้า

แม้พอถึงค่ำจะได้ตายไป ก็เห็นสมควรแล้ว.

- สวรรค์นั้นพูดอะไรด้วยหรือ ฤดูกาลหมุนเวียนเปลี่ยนไป

สรรพสิ่งก็เจริญเติบโตกันไป สวรรค์ไม่เห็นพูดอะไรเลย.

//www.baanklon.com/index.php?topic=469

2631
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.122.92.183 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2555 เวลา:9:52:07 น.  

 
 
 
โลกเรายังมีอะไรอีกมากมายให้เรียนรู้
ฉลาด เก่ง คงไม่พอ แต่ต้องมีสติ รู้จักวางตัว
และต้องหมั่นศึกษาและติดตามข่าวสารที่เป็นความรู้ทั้งในสายวิชาชีพ
และการใช้ชีวิตในสังคมอีกด้วย ก่อนสิ้นใจ

ขงจื๊อได้ทิ้งท้ายข้อความไว้กับ ซื่อคง ไว้ว่า
“ ขุนเขาต้องพังทลาย ขื่อคานแข็งแรงปานใด สุดท้ายต้องพังลงมา เหมือนเช่น บัณฑิตที่สุดท้ายต้องร่วงโรย ”

หลักความรู้ ศาสตร์สี่แขนง ที่ขงจื๊อวางรากฐานไว้
ได้แก่ วัฒนธรรม ความประพฤติ ความจงรักภักดี และ ความซื่อสัตย์
โดยวัฒนธรรมเน้นถึงการเคารพบรรพบุรุษ และพิธีการโบราณ
ยึดถือผู้อาวุโสเป็นหลัก แต่ไม่ยึดติดหรืออายที่จะหาความรู้
จากคนที่ต่ำชั้นหรืออายุน้อยกว่า

แปดหลักการพื้นฐานในการเรียนรู้ ได้แก่
สำรวจตรวจสอบ
ขยายพรมแดนความรู้
จริงใจ
แก้ไขดัดแปลงตน
บ่มความรู้
ประพฤติตามกฎบ้านเมือง
ประเทศต้องได้รับการดูแล นำความสงบสุขมาสู่โลก

ลำดับการเรียนรู้ ได้แก่
พิธีกรรม
ดนตรี
ยิงธนู
ขี่ม้า
ประวัติศาสตร์
และ คณิตศาสตร์

คุณธรรมทั้งสาม ที่ได้จากการเรียนรู้ ได้แก่
ภูมิปัญญา
เมตตากรุณา
และความกล้าหาญ

สี่ขั้นตอนหลักการสอน ได้แก่
ตั้งจิตใจไว้บนมรรควิธี
ตั้งตนในคุณธรรม
อาศัยหลักเมตตาเกื้อกูล
สร้างสรรค์ศิลปะใหม่

สี่ลำดับการสอน ได้แก่
คุณธรรมและความประพฤติ
ภาษาและการพูดจา
รัฐบาลและกิจการบ้านเมือง
และสุดท้าย คือ วรรณคดี

//raja.thaikm4u.com/blog/plan-and-policy/479

5069
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.122.92.183 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2555 เวลา:10:00:24 น.  

 
 
 
“ทหารไทย” หัวใจนายหล่อมาก!!

เหตุการณ์ “ฮีโร่ในเครื่องแบบ” ทั้ง 5 นาย กระโจนเข้าช่วยคุณป้าซึ่งขับรถพุ่งลงไปในน้ำลึกอย่างไม่รั้งรอ โดยไม่กลัวว่าเครื่องแบบเนี้ยบๆ ที่ใส่มานั้นจะเลอะน้ำ-เปื้อนโคลนขนาดไหน
เพราะในหัววินาทีนั้น สิ่งที่เขาคิดอยู่อย่างเดียวคือ “แค่อยากช่วยเหลือให้คุณป้าปลอดภัยครับ และผมก็เชื่อว่าถึงพวกเราไม่ได้อยู่ตรงนั้น คนอื่นที่เห็นก็ต้องช่วยอยู่ดี”

//www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9550000136412

1364
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.122.92.183 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2555 เวลา:10:14:49 น.  

 
 
 
ขงจื้อ - วิกิพีเดีย
551 - 479 ปีก่อน ค.ศ.
ก่อนสิ้นใจ ขงจื๊อได้ทิ้งท้ายข้อความไว้กับ ซื่อคง ไว้ว่า "ขุนเขาต้องพังทลาย ขื่อคานแข็งแรงปานใด สุดท้ายต้องพังลงมา เหมือนเช่น บัณฑิตที่สุดท้ายต้องร่วงโรย"

เมื่อขงจื๊อเกิดมาได้เพียง3ปี บิดาที่มีร่างกายสูงใหญ่และแข็งแรงได้เสียชีวิตจากไป ขงจื๊อในวัยเยาว์ชอบเล่นตั้งโต๊ะเซ่นไหว้ ชอบเลียนแบบท่าทางพิธีกรรมของผู้ใหญ่ เมื่ออายุได้ 15 ปี ฝักใฝ่การเล่าเรียน อายุ 19 ปี ได้แต่งงานกับแม่นางหยวนกวน ในปีถัดมาได้ลูกชาย ให้ชื่อว่า คงลี้ อายุ 20 ขงจื๊อได้เป็น เสมียนยุ้งฉาง และได้ใส่ใจความถูกต้องเนื่องจากทำงานกับตัวเลข ต่อมาได้ทำหลายหน้าที่รวมทั้ง คนดูแลสัตว์ คนคุมงานก่อสร้าง และในระหว่างที่ศึกษาพิธีกรรมจากรัฐโจว ได้โอกาสไปเยี่ยมเล่าจื๊อ ขงจื๊อมีความสัมพันธ์อันดีกับ เสนาธิบดีของอ๋องจิง และได้ฝากตัวเป็นพ่อบ้าน และได้มีการพูดคุยกับอ๋องในการวางแผน และหลักการปกครอง แต่เนื่องจากโดนใส่ความจากที่ปรึกษาของรัฐ ขงจื๊อจึงเดินทางต่อไปรัฐอื่น ภายหลังได้ฝากฝังตัวเองช่วยบ้านเมือง กับอ๋องติง และได้รับการแต่งตั้งดินแดนส่วนกลางของลู่ เป็นเสนาธิบดีใหญ่ บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง อาชญากรลดลง คนมีคุณธรรมและเคารพผู้อาวุโส และในระหว่างนั้น ได้มีการแบ่งแย่งดินแดน การแย่งชิงเมืองต่างๆ เกิดขึ้น ขงจื๊อได้เดินทางจากเมืองไปสู่เมืองต่างๆ เรียนรู้หลักการปกครอง และวัฒนธรรมท้องถิ่นแต่ละที่ ภายหลังได้ถูกหมายเอาชีวิต และถูกขับไล่ให้ตกทุกข์ได้ยาก และได้กลับมาสู่แคว้นลู่อีกครั้ง ขงจื๊อได้เริ่มรวบรวบพิธีกรรมโบราณ บทเพลง ตำราโบราณ และลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น และได้สอนสั่งลูกศิษย์แถบแม่น้ำซูกับแม่น้ำสี ภายหลังขงจื๊อได้ล้มป่วยหนัก และเจ็ดวันให้หลัง ได้อำลาโลก ตรงกับเดือนสี่ทางจันทรคติ ในปีที่ 16 รัชสมัยอ๋องอี้ รวมอายุได้ 73 ปี

เม่งจื๊อ ศิษย์ของขงจื๊อ ผู้เชื่อว่าโดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์ทุกคนมีพื้นฐานเป็นคนดีมาแต่กำเนิด
แนวคิดของเม่งจื๊อ กล่าวว่า "โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์ทุกคนมีพื้นฐานเป็นคนดีมาแต่กำเนิด แต่สิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีต่าง ๆ ทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงไป" เม่งจื๊อเชื่อว่า ความดีทั้งหมดสามารถต่อเติมให้กับมนุษย์ได้ด้วยการศึกษาศิลปะวิทยาการต่าง ๆ การศึกษาสามารถช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ ไม่ได้เกิดจากประชาชนเป็นผู้กระทำ แต่เกิดจากบรรดาผู้ปกครองที่ไม่มีการศึกษา ฉะนั้นผู้ปกครองควรเป็นนักปรัชญาหรือไม่ก็ควรให้นักปรัชญามาเป็นปกครอง ในกรณีที่นักปกครองไม่มีคุณสมบัติเช่นนั้น ในข้อนี้เขาเน้นว่าชนชั้นบริหารรัฐบาลควรเป็นผู้ที่มีการศึกษา ผู้มีการศึกษาจะสามารถเข้าใจถึงความต้องการของประชาชนได้ดีกว่า

ซุนจื๊อ ศิษย์ของขงจื๊อ ผู้เชื่อว่าตามธรรมชาติแล้วมนุษย์ชั่วร้าย ซึ่งเกิดจากกิเลสอยากได้อยากมี

ซุนจื๊อ เห็นว่า "ตามธรรมชาติแล้วมนุษย์ชั่วร้าย ซึ่งเกิดจากอารมณ์มีความต้องการอยากที่จะได้ เพื่อที่จะขจัดความชั่วร้าย มนุษย์จะต้องปฏิบัติตนอยู่ในกรอบแห่งข้อบังคับของสังคม ความดีงามและการศึกษาก็มีส่วนช่วยทำให้มนุษย์เป็นคนดีได้เช่นกัน"[1] แนวคิดของเขาตรงกันข้ามกับเม่งจื๊อ โดยถ้าเปรียบเทียบเม่งจื๊อเป็นขาว ซุนจื๊อก็เป็นดำ นอกจากนี้เขายังปฏิเสธสิ่งที่เหลือเชื่อ ที่ไม่สามารถพิสูจน์ด้วยหลักเหตุและผล จัดได้ว่าเขาเป็นผู้ยกย่องความเป็นเหตุเป็นผลด้วยผู้หนึ่ง

//th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%82%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B9%8A%E0%B8%AD

6067

 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.122.92.183 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2555 เวลา:13:38:18 น.  

 
 
 
เล่าจื้อ บุคคลในตำนาน

ตำนานกล่าวว่า ในวันที 14 เดือนกันยายน เมื่อ 61 ปี ก่อนพุทธกาล ณ ตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่งชื่อ ฉู่เจิน เมือง คู แห่งรัฐฉู่ ในประเทศจีนโบราณ หญิงผู้หนึ่งอยู่ในท่าเอนกายพิงต้นพลัมได้ให้กำเนอดเด็กทารกคนหนึ่งซึ่งรับรู้กันว่ามีความสำคัญระดุจเทพเจ้า เนื่องจากความเป็นมาเกี่ยวกับกำเนิดของทารกนี้พิเศษกว่าคนธรรมดา คือ อยู่ในครรภ์มารดาถึง 62 ปี กับทั้งก่อนตั้งครรภ์ มารดาได้เห็นและชื่นชมดาวตกดวงหนึ่ง หลังจากอยู่ในครรภ์มารดามาเป็นเวลาหลายปี เมื่อคลอดออกมาก็สามารถพูดได้ทันที เขาได้ชี้นิ้วไปที่ต้นพลัมพลางประกาศว่า ข้าได้นามสกุลมาจากต้นพลัม" (ซึ่งตรงกับคำว่า "หลี" ในภาษาจีน) และเนื่องจากหของเขาใหญ่จึงเติมคำว่า "เอ่อร์" ที่แปลว่าหูต่อจากพลัมเป็น "หลีเอ่อร์" แต่กระนั้นด้วยความที่เขามีเส้นผมที่ขาวราวกับหิมะ คนส่วนมากจึงเรียกเขาว่า "เล่าจื้อ (老子 : lao zi)" หรือ "อาจารย์เฒ่า"ซึ่งแปลได้ว่า "อาจารย์ผู้อาวุโส" หรือ "เด็กผู้อาวุโส"

ไม่ค่อยมีใครรู้ว่าชีวิตในวัยเยาว์ของเล่าจื้อเป็นไปอย่างไร เขาใช้เวลาในวัยผู้ใหญ่อยู่ที่ลั่วหยาง เมืองหลวงของจักรวรรดิจีน ครั้งแรกทำงานเป็นเลขานุการในพระราชวัง ต่อมาจึงทำหน้าที่เก็บรักษาเอกสารทางประวัติศาสตร์สำหรับราชสำนักของราชวงศ์โจว

เล่ากันว่า เมื่ออายุ 160 ปี เล่าจื้อตระหนักถึงความเป็นจริงและความเสื่อมโทรมของราชวงศ์โจว ประกอบกับตกลงใจที่จะปฏิบัติธรรมต่อไปในบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม จึงได้ขับเกวียนเทียมด้วยกระบือตัวหนึ่งออกเดินทางจากอาณาจักรกลางแห่งราชวงศ์โจว ผ่านไปทางด่านหานกู่ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของลั่วหยาง นายด่านชื่อ ยินชิ ซึ่งอ่านปูมพยากรณ์ลมฟ้าอากาศ จึงรู้ล่วงหน้าว่าจะมีผู้ทรงคุณวิทยาผ่านมา นายด่านจึงขอร้องเล่าจื้อว่า "ท่านกำลังจะจากไปไม่มีโอกาสได้พบเห็นกันอีกแล้ว ขอได้โปรดเขียนตำราไว้ให้ข้าพเจ้าซักเล่มหนึ่งด้วยเถิด" เหตุนี้ เล่าจื้อจึงลิขิต "เต้า เต๋อ จิง" (道德經 : Tao Te Ching) คัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ของ เต้า และ เต๋อ ขึ้นมา อันประกอบไปด้วยอักษรจีนห้าพันตัว จากนั้นท่านก็ได้ออกเดินทางไปยังทิศตะวันตก ไม่มีใครทราบว่าท่านเดินทางไปยังที่ใด และมรณะลงเมื่อใด

ช่วงเวลาที่เล่าจื้อเขียนคัมภีร์ขึ้นนั้น เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งทางสังคมและการเมืองที่ราชวงศ์โจวถูกกดดันให้ออกจากเมืองหลวง โดยพวกอนารยชนที่มาจากทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ผู้นำราชวงศ์ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นราชวงศ์ที่มีกำลังอำนาจถูกบังคับให้ไปตั้งเมืองหลวงของตนขึ้นใหม่ ณ ที่ซึ่งห่างไกลออกไปทางทิศตะวันออกของลั่วหยางเป็นระยะทาง 200 ไมล์ เป็น "ราชวงศ์โจวตะวันออก"

ความเสื่อมโทรมของราชวงศ์โจวตะวันออกดำเนินไปเป็นเวลา 522 ปี ด้วยการปกครองแบบราชาธิปไตยซึ่งมีขุนนางเป็นเจ้าของที่ดินอยู่ในอำนาจ ทำให้ราชวงศ์โจวกลายเป็นเสมือนหุ่นเชิด ผลก็คือขุนนางซึ่งมีอำนาจก่อการจราจลและก่อศึกขึ้น หาใช่ศึกต่อต้านอนารยชนที่กดดันอยู่ตามชายแดนรอบนอกของจักรวรรดิไม่ และด้วยการรบกันเองนี้ก็ได้เพิ่มจำนวนคู่ศึกและการหักหลังมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งประเทศจีนในเวลานั้นกลายเป็นแผ่นดินที่เสื่อมทรามลงไปทุกที

ขงจื้อ นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้อุทิศเวลาตลอดชีวิตของตนเพื่อนำระบบจริยธรรมเข้ามาปลูกฝัง โดยหวังว่าจะสามารถป้องกันความชั่วร้ายที่เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน แต่แม้เมื่อขงจื้อสิ้นชีวิตลงแล้วก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น

ขงจื๊อและเล่าจื้อได้มาพบเจอกันโดยบังเอิญ โดยขงจื้อได้มาค้นหาตำราในห้องสมุด จากเรื่องเล่านี้ ทั้งสองได้แลกเปลี่ยนทรรศนะคติความเห็นในหลายๆด้าน เป็นเวลาหลายเดือน หลังจากการเสวนาในครั้งนี้ ขงจื้อกล่าวว่า "การได้เสวนากับท่านเล่าจื้อ ถือว่าเป็นการศึกษาที่ล้ำลึก และดีเยี่ยมกว่าหนังสือในห้องสมุดเสียอีก"

ความเชื่อของเล่าจื้อนั้นตรงกันข้ามกับคำสอนของขงจื้อซึ่งอยู่ร่วมสมัยกัน เล่าจื้อเชื่อว่าขงจื้อมีส่วนในการจุดชนวนความยุ่งเหยิงและความทรุดโทรมที่เกิดขึ้น ด้วยการสั่งสอนหลักเกณฑ์ทางจริยธรรมของขงจื้อนั่นเอง จากจุดนี้ที่เราเริ่มจะมองเห็น "วิถี" อันเป็นคำตอบของเล่าจื้อ สำหรับความยุ่งเหยิงของมนุษย์และสังคม ซึ่งปรากฎอยู่ในเต้า เต๋อ จิง นั่นคือวิถีเปลี่ยนการกระทำเป็นหลักแห่ง "การไม่กระทำ" ภาษาจีนเรียกว่า "หวู เว่ย"

คัมภีร์เต้า เต๋อ จิง มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมของประเทศจีนอย่างมาก โดยภายในคัมภีร์นั้น มีเนื้อหาในด้านปรัชญาบุคคล ความกลมกลืนต่อการใช้ชีวิตกับธรรมชาติ จนไปถึงปรัชญาการเมือง

จากการตีความ คำว่า "เต๋า" ในคัมภีร์ มักจะหมายถึง มรรค หรือ หนทาง (The way) หรือ ธรรม ซึ่งมีความหมายกว้างๆและมักตีความหมายในแนวเป็นไปตามธรรมชาติ การกระทำที่สอดคล้องกับวิถีแห่งเต๋าใดๆ จะสามารถบรรลุมรรคผลได้โดยง่าย เล่าจื้อเชื่อว่า ควรหลีกเลี่ยงความรุนแรงต่างๆเท่าที่จะเป็นไปได้

ถึงแม้ว่าเล่าจื้อจะไม่ได้ปลูกฝังวัฒนธรรมหยั่งลึกได้เทียบเท่ากับ ขงจื้อ ในอารยธรรมจีน แต่ท่านก็ยังเป็นที่เคารพนับถือโดยทั่วไป ทั้งแนวความคิดและการปฏิบัติตามหนทางแห่งเต๋า

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=bsonjb&month=10-2012&group=1&date=30&gblog=15

2735
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.122.92.183 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2555 เวลา:13:52:34 น.  

 
 
 
โอวาทสำหรับผู้นำ
โอวาท ท่านเล่าจื้อ
(คัดบางตอนจาก TAO OF LEADERSHIP)
แปลโดย วันทิพย์ สินสูงสุด

"ความเป็นผู้นำของพวกท่านไม่ได้อยู่ที่เทคนิค
หรือการแสดง..แต่อยู่ที่ความเงียบ และความสามารถ
ของพวกท่านที่จะแสดงความเอาใจใส่"

"คนส่วนมากถูกความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุดรบกวน...
...แต่ผู้นำที่ฉลาดจะพอใจในสิ่งที่มีอยู่
แม้ว่าจะเล็กน้อย..."

"คนส่วนมากนำชีวิตให้ยุ่งเหยิง...
แต่ผู้นำที่ฉลาดจะสงบ และไตร่ตรอง"

"คนส่วนมากแสวงหาสิ่งซึ่งใช้กระตุ้น และสิ่งใหม่ๆ...
...แต่ผู้นำที่ฉลาดจะชอบสิ่งสามัญ และเป็นธรรมชาติ"

"เพื่อที่จะรู้ว่าาคนอื่นประพฤติอย่างไร ต้องใช้ความ
รู้รอบ....แต่เพื่อรู้ตนเองต้องใช้ปัญญา"

"เพื่อที่จะบริหารชีวิตของคนอื่น
ต้องใช้ความเข้มแข็ง...
...แต่เพื่อบริหารชีวิตของตนเอง
ต้องใช้อำนาจอันแท้จริง..."

"ความสงบนิ่งของผู้นำจะชนะความเร่าร้อนของกลุ่ม....
...ความมีสติของผู้นำ เป็นเครื่องมือเบื้องต้นแห่งงานนี้"

"ยิ่งเธอมีมาก เธอก็จะได้รับมากขึ้น...
เธอยิ่งต้องเฝ้าดูแลมากขึ้น....
เธอก็อาจสูญเสียมากขึ้น....
นี่เป็นเจ้าของหรือถูกเป็นเจ้าของกันแน่.."

"..แต่ถ้าเธอยอมสละสิ่งต่างๆ เสีย
เธอก็สามารถยกเลิกการใช้ชีวิต
ไปเฝ้าดูแลสิ่งของต่างๆ นั้นได้.."

"ขอให้พยายามสงบนิ่ง....
เพื่อจะได้ค้นพบความมั่นคงภายในของเธอ...
...ถ้าเธอมีความมั่นคงภายในแล้ว....
เธอจะมีทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอต้องการ...
...เช่นเดียวกัน เธอจะถูกล้างผลาญน้อยลง
และจะอยู่ได้ยาวนานขึ้น.."

"ผู้นำที่ฉลาดรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมาแล้วก็ไป
ดังนั้น ทำไมจึงยึดฉวย และเกาะแน่นเล่า....
ทำไมจึงวิตก และงอตัวเพราะกลัวด้วยเล่า..ทำไม
จึงอยู่ในความเพ้อฝัน แห่งสิ่งที่อาจเกิดหรือไม่ด้วยเล่า..."

"น้ำนั้นเหลว อ่อนและยอม...
แต่น้ำจะกัดเซาะหิน
ซึ่งแข็งและไม่ยอม.....
...ผู้นำที่ฉลาดรู้ว่า การยอมรับจะเอาชนะการต่อต้าน"

"ความสุภาพอ่อนน้อมจะละลายการตั้งรับที่แข็งที่อ..."
....นี่เป็นคำพูดจริงที่มีความขัดแย็งในตัวเอง
อีกข้อหนึ่ง อะไรที่อ่อนนั้นจะแข็งแรง..."

"คุณสมบัติสามประการนี้เป็นสิ่งทรงคุณค่าต่อผู้นำ
...เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย
...ความเรียบง่ายและมัธยัสถ์ทางวัตถุ.....
...มีสำนึกแห่งความเสมอภาค
....หรือความลดน้อมถ่อมตน"

...คุณธรรมของผู้ยิ่งใหญ่...
ผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้
ให้กำเนิด โดยมิอ้างเป็นเจ้าของ
บำรุงเลี้ยง โดยมิถือเป็นบุญคุณ
เกื้อกูล โดยมิก้าวก่าย
ไม่นำความยิ่งใหญ่ ไปแทรกแซงขู่เข็ญบังคับใคร
เมื่อได้รับการเทิดทูน ท่านไม่ท้อแท้
เมื่อกิจการงานอ้นยิ่งใหญ่สำเร็จลง
ท่านถอนตัวจากไป....

//community.thaiware.com/index.php/topic/272932-aico-eoaaaeoei/

6356
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.122.92.183 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2555 เวลา:13:57:07 น.  

 
 
 
ชะตากรรมมีดีมีเลว เมื่อเลวก็ต้องใช้สติปัญญาไตร่ตรองให้รอบคอบ ใช้ความสงบรอดูการเปลี่ยนแปลง

*-*
บ่อจำกัดกบเอาไว้ เอาไว้ ความรู้ก็จำกัดคนเอาไว้ ความรู้ทำให้ท่านยิ่งใหญ่ได้ แต่ความรู้ก็อาจจะทำให้ท่านเล็กกระจ้อยร่อยได้เหมือนกัน ฉะนั้น พึงตั้งตนอยู่เหนือความรู้ทั้งปวง

*-*
คนเรียนหนังสือนั้น เดิมทีประสงค์ที่จะแสวงหามรรค ฟื้นฟูลักษณะดั้งเดิมของธรรมชาติ แต่นานไปนานไปก็หลงทางอยู่เขาวงกตแห่งหนังสือ เดินออกมาไม่พ้น

*-*
มนุษย์นี้ แม้ว่าจะมีความจำเป็นที่จะต้องแต่งตั้งขึ้นก็ตาม แต่กล่าวสำหรับผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศแล้ว ฐานะตำแหน่งก็เหมือนกับโรงเตี๊ยม ไม่มีอะไรที่น่าอาวรณ์แต่ประการใดทั้งสิ้น

*-*
คนกินเหล้าเมาตกรถ

คนกินเหล้าจนเมา ตกกลิ้งลงมาจากรถแม้ตัวจะหนัก แต่ก็ไม่ตาย คนที่กินเหล้าเมา โครงสร้างกระดูกของเขาก็เหมือนกันกับของคนอื่น แต่เหตุไฉนจึงตกรถไม่ตาย เพราะว่าในขณะนั้นเขาไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังนั่งรถอยู่ ทั้งก็ไม่รู้ว่าตนเองตกลงมาจากรถ ความหวาดหวั่นพรั่นพรึงในเรื่องความเป็นความตาย มิได้สอดแทรกเข้าไปในใจของเขาเลย ฉะนั้น เขาจึงมิได้ตกรถตาย!

คนกินเหล้าเมาก็เหมือนกับคนที่ลืมตัวตน คนที่ลืมตัวไร้ตน ย่อมสามารถที่จะได้รับการคุ้มครองจากธรรมชาติ

เราพึงตั้งตนอยู่ในระหว่างไร้ประโยชน์กับมีประโยชน์ แต่ทว่าในทางเป็นจริง แม้จะตั้งตนอยู่ในระหว่างไร้ประโยชน์กับมีประโยชน์ ก็ยังคงต้องประสบกับความยุ่งยากอยู่ดี เพราะฉะนั้น พึงอนุโลมตามการเปลี่ยนแปลง ไม่มีสิ่งที่เรียกว่ามีประโยชน์ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าไร้ประโยชน์ ล่องลอยไปกับศีลธรรม (มรรควิถีแห่งธรรมชาติ) จึงจะสามารถรอดพ้นจากความอับจนได้

ศีลธรรมในโลกมนุษย์เราล้วนสัมพัทธ์ ที่เรียกว่ามีประโยชน์และไร้ประโยชน์ก็เป็นสิ่งสัมพัทธ์เช่นกัน ดังนั้นผู้ที่มีสติปัญญาเป็นเลิศ ควรจะอยู่เหนือศีลธรรมอันสัมพัทธ์นั้น

*-*
บ่อน้ำใสย่อมแห้งก่อน

ขงจื๊อท่องไปในแคว้นต่าง ๆ ถูกล้อมอยู่ในระหว่างแค้นเฉินกับแคว้นไฉ้ ไม่ได้กินไม่ได้ดื่มมา ๗ วัน

ต้ากงเริ่นจึงไปเยี่ยมเยียนถามว่า “คราวนี้ท่านเกือบจะถูกประทุษร้ายแล้วซีนะ?”

ขงจื๊อกล่าวว่า “ใช่”

ต้ากงเริ่นถามอีกว่า “ท่านเกลียดการตายใช่ไหม”

ขงจื๊อกล่าววา “ใช่”

ต้ากงเริ่นจึงกล่าวว่า “ที่แล้วมาข้าพเจ้าเคยบอกเหตุผลของการหลีกเลี่ยงการถูกประทุษร้ายแก่ท่านแล้วมิใช่หรือ? ทางทะเลตะวันออกมีนกอยู่ตัวหนึ่งเรียกว่าอี้ไต้ นกตัวนี้ดู ๆ ไปคล้ายกับไม่มีความสามารถอะไร ในขณะที่บินมันต้องให้ตัวอื่นนำทางให้ ในขณะที่หยุดพักมันก็ปะปนอยู่ในฝูงนก ในขณะที่กินอาหารมันก็ไม่กล้าแย่งกินก่อน เพราะฉะนั้นคนภายนอกจึงไม่อาจจะทำร้ายมันได้ ต้นไม้ที่มีลำต้นตรงจะต้องถูกโค่นก่อน บ่อน้ำที่มีน้ำใสสะอาดจะต้องถูกขอดจนแห้งก่อน นี่เป็นเหตุผลที่แจ่มชัดมากเหลือเกิน บัดนี้พฤติการณ์ของท่าน ก็เหมือนหนึ่งถือแสงสว่างแห่งปัญญาไปส่องความโสมมอื่น ๆ เพื่อแสดงให้เห็นความบริสุทธิ์ผุดผ่องของท่าน การทำเช่นนี้ก็ย่อมจะไม่มีใครยอมอดกลั้นให้แก่ท่าน”

ขงจื๊อได้ฟังดังนั้น ก็เกิดความสำนึกในทันที จึงล่ำลามิตรสหาย แยกตัวออกจากลูกศิษย์ ไปบำเพ็ญพรตในป่าเขาตามลำพัง

สติปัญญามิพึงเผยให้ปรากฏยังภายนอก มิฉะนั้นแล้ว หากผู้อื่นมิได้กลัวท่าน ก็จะต้องริษยาท่านเป็นแน่

*-*
หลินหุยทิ้งหยกแผ่น

เมื่อแคว้นเจี่ยสิ้นแผ่นดิน หลินหุยก็ทิ้งหยกแผ่นค่าควรเมืองที่เป็นสมบัติของตระกูลไปเสีย รีบพาบุตรธิดาอพยพหลบหนีไป

สิ่งซึ่งเกี่ยวข้องกันด้วยผลประโยชน์ จะต้องแลกกันด้วยผลประโยชน์ การนำแผ่นหยกค่าควรเมืองติดตัวไปในยามที่บ้านเมืองกลียุค มีแต่จะทำให้มีอันตรายเพิ่มขึ้น แต่บิดากับบุตรธิดาเป็นความใกล้ชิดสนิทสนมที่มีมาแต่กำเนิด ย่อมจะละทิ้งโดยไม่นำพามิได้

*-*
การแสวงหาสิ่งนอกกาย มักจะมองเห็นผลประโยชน์ที่อยู่ตรงหน้า และมองข้ามอันตรายที่อยู่เบื้องหลังเราไปสิ้น

เหตุผลนั้นมิอยู่ที่ใหญ่หรือเล็ก แต่จะต้องพอเหมาะพอควรจึงจะดี ใหญ่แต่ไม่สมเหตุสมผล ย่อมไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง

สติปัญญาน้อย มีสิ่งที่เห็นแต่ก็มีสิ่งที่ไม่เห็น เพราะได้ถูกปิดบังสติปัญญาใหญ่ก็คือสติปัญญาที่ไม่มีอะไรรอดพ้นไปจากสายตาได้ เมื่อไม่มีอะไรที่รอดพ้นไปจากสายตาได้ การมองปัญหาก็จะรอบด้านสมบูรณ์

*-*
ประโยชน์ของธรรมชาติ

ฮุ่ยจื่อกล่าวแก่จวงจื๊อว่า “วาจาของท่านไร้ประโยชน์”

จวงจื๊อกล่าวว่า “ก็เพราะท่านรู้ว่าไร้ประโยชน์ จึงได้สนทนาเรื่องมีประโยชน์กับท่าน”

ฮุ่ยจื่อกล่าวว่า “ท่านหมายความว่าอย่างไร”

จวงจื๊อกล่าวว่า “ยกตัวอย่างเช่นแผ่นดินผืนนี้ ที่ท่านใช้อยู่ก็เพียงแต่ผืนเล็ก ๆ ที่ท่านยืนอยู่ใต้เท้าท่านเท่านั้น หากขุดเอาดินนอกจากที่ท่านยืนไปเสียทั้งหมด ขุดลึกลงไปถึงใต้บาดาล กระนั้นแล้วแผ่นดินผืนเล็ก ๆ ที่ท่านยืนอยู่จะมีประโยชน์หรือไม่ ? ”

ฮุ่ยจื่อกล่าวว่า “ก็ไม่มีประโยชน์แล้วนะซี”

จวงจื๊อกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ประโยชน์ของสิ่งไร้ประโยชน์ก็เป็นที่ชัดเจนแล้ว”

เพราะฉะนั้นจึงกล่าวว่า “มีประโยชน์ได้สร้างอยู่บนรากฐานของ “ไร้ประโยชน์” ไม่มี “ไร้-ประโยชน์” ก็จะไม่มี “มีประโยชน์”

*-*
ได้ปลาลืมไซ

ไซเป็นเครื่องสานที่ใช้ดักจับปลา เมื่อจับปลาได้แล้วไซก็ทิ้งได้ แร้วใช้สำหรับดักจับกระต่าย เมื่อจับกระต่ายได้แล้วแร้วก็ทิ้งได้ ภาษาและอักษรใช้สำหรับถ่ายทอดความคิด เมื่อความคิดได้ถ่ายทอดออกไปแล้ว ภาษาและอักษรก็ทิ้งได้

ภาษาและอักษรเป็นทางผ่าน มิใช่จุดหมาย การถือเคร่งต่อภาษาและอักษรจนเกินการ กระทั่ง “ไล่คัมภีร์จนผมหงอก” มันจะแตกต่างอะไรกับ “ทิ้งแก่นเอากระพี้” เล่า?

*-*
คนที่สวมเสื้อผ้าขาวราวหิมะ ในใจไม่แน่ว่าจะขาวสะอาดไปด้วย ใครหากได้ลาภยศด้วยการกระทำความชั่ว มิสู้อยู่อย่างยากจนจะดีกว่า

*-*
“อาวุธมีคม” ในโลกนี้มีมากมาย เช่น สุรา กาเม ชื่อเสียง ผลประโยชน์ อำนาจ เป็นต้น เพลงกระบี่ก็เป็นชนิดหนึ่ง จุลมรรคซึ่งเป็นอันตรายแก่ร่างกายนั้นมิพึงยึดถือ

*-*
คนเรามีโรคร้าย ๘ ประการ มีความทุกข์ ๔ ประการ จะไม่สนใจมิได้

ทำในสิ่งที่ท่านไม่ควรกระทำ เรียกว่า แส่เสือก คนอื่นเขาไม่เชื่อท่าน แต่ท่านก็พูดไม่หยุด เรียกว่า เพ้อพล่าม เดาใจคนอื่น พูดสิ่งที่เขาพอใจ เรียกว่า ประจบ ไม่รู้ดีชั่ว เออออตามเขาไป เรียกว่า สอพลอ ชอบพูดความผิดของคนอื่น เรียกว่า ใส่ไคล้ ทำลายความสนิทสนมของคนอื่น เรียกว่า ยุแยง ยกย่องคนชั่ว ขับไสคนที่ตนเกลียด เรียกว่า เจ้าเล่ห์ ไม่แยกดีชั่ว ทำดีทั้งสองฝ่าย เพื่อให้เขาชอบ เรียกว่า กลิ้งกลอก

โรคร้ายทั้ง ๘ นี้ ต่อภายนอกก็ก่อกวนคนอื่น ต่อภายในก็ทำร้ายตัวเอง ซึ่งผู้มีปัญญาจะมิยอมชิดใกล้เลย

ความทุกข์ ๔ ประการคืออย่างไรเล่า ?

คิดทำแต่เรื่องใหญ่ แสวงหาชื่อเสียง เรียกว่า มักใหญ่ อวดฉลาด ทำตามใจตน เอาแต่ความคิดของตน ไม่คำนึงการล่วงเกินผู้อื่น เรียกว่า ถือดี มองเห็นความผิดตนแต่ไม่ยอมแก้ไข ได้ยินคำตักเตือนกลับโมโห เรียกว่า ยโส ความเห็นตรงกับตนก็ว่าถูก ความเห็นไม่ตรงกับตน แม้จะดีก็ว่าไม่ดี เรียกว่า ทะนง

๘ โรคร้าย ๔ ความทุกข์นี้เป็นความผิดที่มักจะพบเห็นได้มากที่สุด ในหมู่คนในโลกมนุษย์

*-*
ดั่งเรือมิได้ผูก

คนเฉียบแหลมมักเหนื่อยยากลำบากกาย คนฉลากมักจะวิตกกังวล คนไร้ความสามารถไม่ต้องการอะไร กินอิ่มแล้วก็ท่องเที่ยวไปทุกแห่งหน ประดุจเรือเปล่าที่มิได้มีเชือกผูกติด เคลื่อนคล้อยโคลงเคลงไปบนสายน้ำ เป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง

ความฉลาดเฉียบแหลมมักจะนำมาซึ่งความยุ่งยากอันปราศจากที่สิ้นสุด เครื่องถ่วงเหล่านี้คนในโลกมักจะไม่สำนึก

*-*
เพื่อวัตถุนอกกายที่แปลกประหลาดพิสดาร คนในโลกนี้มักจะลืมอันตรายที่จะเกิดแก่ชีวิตตน นี่เป็นความหลงใหลอย่างหนึ่ง ถ้าหากต้องเสียชีวิตไปแล้ว จะมิใช่ไม่คุ้มดอกหรือ?

*-*
จวงจื๊อใกล้ตาย

จวงจื๊อใกล้ตายแล้ว ลูกศิษย์ของเขาชุมนุมปรึกษาหารือกัน เตรียมจะจัดการฝังศพเขาอย่างมโหฬาร เพื่อตอบแทนบุญคุณของเขา

จวงจื๊อหัวเราะกล่าวว่า “จำเป็นด้วยหรือ? เมื่อเราตายแล้ว ใช้ฟ้าดินเป็นเปลือกโลง ใช้ดวงเดือนดวงตะวันเป็นผนังโลง ใช้ดวงดาวเป็นไข่มุก ใช้สรรพสิ่งเป็นเครื่องเซ่นไหว้ ดังนี้ พิธีศพของเราก็มิใช่สมบูรณ์ที่สุดแล้วหรือ ? ยังจะมีพิธีฝังศพที่ดีกว่านี้ที่ใดเล่า ?

บรรดาลูกศิษย์กล่าวว่า “พวกเราเป็นห่วงว่าท่านอาจารย์จะถูกแร้งกาเอาไปกินหมด !”

จวงจื๊อกล่าวว่า “อยู่บนพื้นดินก็อาจจะถูกแร้งกากินหมด อยู่ใต้ดินก็อาจจะถูกมดปลวกกินหมด เหตุไฉนพวกเจ้าจึงต้องไปแย่งเรามาจากปากแร้งปากกา เอาไปให้มดปลวกกินเล่า ? ทำเช่นนี้จะมิเป็นการเลือกที่รักมักที่ชังไปหน่อยหรือ ?

ความตายเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง การสูญหายและการเปลี่ยนแปลงของเนื้อหนังมังสา ก็ปล่อยให้ธรรมชาติไปจัดการก็แล้วกัน !

*-*
คัดลอกจาก จวงจื๊อจอมปราชญ์

แปลโดย บุญศักดิ์ แสงระวี
7260
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.122.92.183 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:20:09 น.  

 
 
 
พูดถึง ๘ โรคร้าย ๔ ความทุกข์นี้เป็นความผิดที่มักจะพบเห็นได้มากที่สุด ในหมู่คนในโลกมนุษย์

ตรูมีครบเรย วุ้ย หุหุ
6974
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.122.92.183 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:26:45 น.  

 
 
 
"ยิ้มพันตำลึงทอง"
ราชวงศ์โจว เริ่มประมาณ 1123 ปีก่อนคริสต์ศักราช - 256 ปีก่อนคริสต์ศักราช
สมัยของโจวอิวหวาง กษัตริย์องค์ที่ 12 ซึ่งหลงใหลมเหสีมาก มเหสีมีนามว่า เปาสี กล่าวกันว่านางเป็นคนสวยมาก แต่เป็นคนยิ้มไม่เป็น ทำให้โจวอิวหวางกลุ้มใจมาก ถึงกับตั้งรางวัลไว้พันตำลึง สำหรับผู้ที่ออกอุบายให้นางยิ้มได้ วันหนึ่ง คิดอุบายได้ด้วยการจุดพลุให้อ๋องต่าง ๆ เข้าใจว่า ข้าศึกบุกเมืองหลวงแล้ว เมื่อยกทัพมาถึงกลับไม่มีอะไร ทำให้เปาสียิ้มหัวเราะออกมาได้ แต่อ๋องต่าง ๆ โกรธมาก แล้วในที่สุด ก็มีข้าศึกยกมาตีเมืองหลวงจริง ๆ โจวอิวหวางได้จุดพลุขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีอ๋องคนไหนเชื่อ เลยไม่มีใครยกทัพมาช่วย ข้าศึกจึงตีเมืองได้ โจวอิวหวางถูกฆ่าตาย นางเปาสีถูกจับตัวไป ยิ้มของนางต่อมาถูกเรียกว่า "ยิ้มพันตำลึงทอง" ซึ่งเป็นยิ้มที่นำความวิบัติ มาสู่ราชวงศ์โจวโดยแท้ ต่อมา พวกอ๋องต่าง ๆ ได้ยกทัพมาช่วยตีข้าศึก แล้วตั้งโจวผิงหวาง โอรสของโจวอิวหวาง เป็นกษัตริย์ต่อไป ราชวงศ์โจวจึงต้องย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่ลกเอี๋ยง (ลั่วหยาง ในปัจจุบัน) ซึ่งอยู่ทางตะวันออก เรียกว่า ราชวงศ์โจวตะวันออก หรือ ตงโจว (Eastern Zhou) หลังจากนั้น ราชวงศ์โจวก็บัญชาอ๋องต่าง ๆ ไม่ได้อีกต่อไป เนื่องจากอ๋องต่าง ๆ ต่างแข็งเมืองและรบกันเองระหว่างแว่นแคว้นเพื่อต้องการเป็นใหญ่

//th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B8%A7

2437
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.122.92.183 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:50:50 น.  

 
 
 
สำนวนโบราณ ซื้อรอยยิ้มพันตำลึงทอง
นี่เป็นสำนวนโบราณของจีน ซึ่งมีที่มาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ สมัยยุคราชวงศ์โจวตะวันตก โดยมีความหมายถึง การที่บุรุษได้ทุ่มเทความพยายามรวมทั้งทรัพย์สินเงินทองจำนวนมากเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับหญิงที่ตนรัก จนไม่สนใจว่า สุดท้ายแล้ว จะนำมาซึ่งผลดีหรือร้ายประการใดประมาณปีที่ 770 ก่อน คริสตกาล ประเทศจีนอยู่ในสมัยของราชวงศ์โจวตะวันตก ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว ถูกปกครองโดย พระเจ้าโจวอิ้วหวาง ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ พระองค์มีมเหสีชื่อ นางเป่าสื้อ ซึ่งเป็นสตรีที่งดงามมาก ทว่านับแต่นางเข้าวังมา นางไม่เคยแย้มยิ้มเลย แม้แต่ครั้งเดียว
พระเจ้าโจวอิ้วหวางเป็นกษัตริย์ที่ไร้สติปัญญา หลงเชื่อแต่ขุนนางสอพลอ และมักลงโทษขุนนางผู้ใหญ่ที่ไม่เห็นด้วยกับพระองค์ ครั้งหนึ่งพระองค์ได้มีรับสั่งให้ลงโทษประหารเสนาบดีผู้หนึ่ง ทว่าบรรดาญาติมิตรของเสนาบดีผู้นั้นได้ช่วยกันกราบทูลขออภัยโทษและได้ถวายหญิงงาม ผู้หนึ่งชื่อว่า เป่าสื้อ ให้มาเป็นสนมของพระองค์ โจวอิ้งหวางทรงหลงใหลนางตั้งแต่แรกเห็น ขึงละโทษตายแก่เสนาบดีผู้นั้น จากนั้นไม่นานก็ทรงเลื่อนตำแหน่งให้เป่าสื้อเป็นมเหสีโดยทรงถอดมเหสีองค์เดิมออกไป
ทว่านับแต่เข้าวังมา นางเป่าสื้อไม่เคยยิ้มเลยแม้แต่ครั้งเดียว โจวอิ้งหวางทรงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้นางยิ้มออกมาได้สักครั้ง ถึงกับประกาศไปว่า หากผู้ใด ทำให้มเหสีของพระองค์ยิ้มได้ พระองค์จะพระราชทานทองคำพันตำลึงเป็นรางวัล
ต่อมามีขุนนางสอพลอผู้หนึ่งเสนอ อุบายให้โจวอิ้งหวางไปสร้างพลับพลายังเขาหลีซานและจุดหอไฟแจ้งเหตุเรียกกองทัพหัวเมืองทั้งปวงให้มาชุมนุมที่นั่นโดยกราบทูลว่า หากพระมเหสีเห็นทัพหัวเมืองทั้งปวงถูกหลอกให้มาชุมนุมโดยไม่มีสาเหตุแล้ว น่าจะเกิดขบขันจนยิ้มออกมาได้
โจวอิ้วหวางเห็นด้วย จึงให้ทำการดังนั้น ครั้นเมื่อ นางเป่าสือ ได้เห็นทหารนับหมื่นนับแสนจากหัวเมืองทั้งปวงถูกหลอกให้มาชุมนุมพลยังเขาหลีซานจนเกิดชุลมุนวุ่นวายไปทั่วนั้น นางก็แย้มสรวลออกมาเล็กน้อยด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย แต่ก็ทำให้โจวอิ้วหวางทรงพอพระทัยและตบรางวัลขุนนางเจ้าความคิดถึงพันตำลึงทอง
ทว่าการจุดหอไฟแจ้งเหตุ หลอกกองทัพหัวเมืองมาในครั้งนั้น ทำให้เจ้าเมืองทั้งหลายไม่พอใจเป็นอันมาก ครั้นต่อมาไม่นาน เจ้าแคว้นเซินซึ่งเป็นบิดาของอดีตพระมเหสีที่ถูกถอดจากตำแหน่งได้หันไปสมคบกับชนเผ่าฉวนหรงที่อยู่นอกด่านยกทัพบุกเมืองหลวงของราชวงศ์โจวตะวันตก
เมื่อเกิดข้าศึกยกมารุกรานเมืองหลวงจริงๆ โจวอิ้วหวางก็สั่งให้จุดหอไฟแจ้งเหตุเพื่อเรียกบรรดาทัพจากหัวเมืองต่างๆมาช่วย ทว่าในครั้งนี้ หามีกองทัพใดยกมาไม่ ด้วยกลัวว่าจะถูกหลอกเป็นตัวตลกเช่นดังครั้งก่อน ทำให้ทัพข้าศึกตีเมืองหลวงแตกและปลงพระชนม์โจวอิ้วหวางลง ทำให้ราชวงศ์โจวตะวันตกตัองล่มสลาย

//www.komkid.com/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1/%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87/

6862 *-*
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.122.92.183 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:58:26 น.  

 
 
 
ประวัติฟ่านหลี่ จากหนังสือ 4 ยอดหญิงงามผู้พลิกประวัติศาสตร์จีน ของคุณถาวร สิกขโกศล

ฟ่านหลี่ เป็นบุคคลสมัยราชวงศ์โจวตะวันออก ซึ่งยุคนั้น อำนาจอ๋องแห่งราชวงศ์โจวเสื่อมถอยลง
ป้าจู่แห่งแคว้นใหญ่ 5 แคว้นต่างแย่งชิงอำนาจ และทำสงครามกันเนืองๆ

แคว้นหวู สมัยนั้น โดดเด่นเพราะมีเสนาธิการซุนวู เจ้าของตำราพิชัยสงครามซุนวูที่เรารู้จักกันดี และแม่ทัพหวู่จือซี
เมื่ออ๋องฟูไชแคว้นหวู ยกทัพตีแคว้นเยว่ จึงได้ชัยอย่างง่ายดาย

อ๋องโกวเจี้ยน แคว้นเยว่ ขอคำแนะนำจากฟ่านหลีและเหวินจ้ง สองขุนนางใหญ่
ฟ่านหลีเสนอว่า "ถ้าท่านอ๋องยอมทนอัปยศเพื่อเอาตัวรอดเฉพาะหน้า ยอมไปเป็นเชลยศึกสักระยะหนึ่ง ก็พอจะรักษาบ้านเมืองและประชาชนไว้ได้ ถ้าท่านอ๋องรักประชาชน ยอมทนทุกข์ยาก ผูกมิตรกับเพื่อนบ้าน บั้นปลายแคว้นเยว่จะรุ่งเรือง และแคว้นหวูจะเป็นฝ่ายพินาศ"

โกวเจี้ยนยอมทำตามแผนการของฟ่านหลี ให้เหวินจ้งนำหญิงงามและของกำนัลไปติดสินบนป๋อฝี่ ขุนนางคนโปรดของฟูไช ขอให้ช่วยสนับสนุนการเจรจรหย่าศึกของแคว้นเยว่ แม้หวู่จือซีจะคัดค้าน ขอให้ฟูไชฆ่าโกวเจี้ยน และผนวกเคว้นเยว่เข้ากับแคว้นหวูเสีย แต่ฟูไชก็ไม่เชื่อฟัง เพียงเอาตัวโกวเจี้ยนมาเป็นเชลยศึกอยู่ที่แควันหวู

โกวเจี้ยนมอบหมายให้เหวินจ้งเป็นผู้สำเร็จราชการแคว้นเยว่ ตนเองและชายาไปเป็นเชลยอยู่แคว้นหวู พร้อมด้วยฟ่านหลี่ซึ่งตามไปเป็นที่ปรึกษา

หลังจากนั้นหลายปี กว่าโกวเจี้ยนจะสามารถทำให้อ๋องฟูไชเชื่อใจและปล่อยตัวกลับไปครองแคว้นเยว่ในฐานะประเทศราชของแคว้นหวู เมื่อปี พ.ศ.52

พอกลับถึงแคว้นเยว่ โกวเจี้ยนสาบานกับตนเองว่าจะล้างอายที่ได้รับจากฟูไชให้จงได้ โกวเจี้ยนกินอยู่อย่างเรียบง่าย แต่งตัวด้วยผ้าฝ้ายธรรมดา จับจอบขุดดินด้วยตนเอง ออกตรวจเยี่ยมราษฎรอยู่เสมอ งดส่วนสาอากรให้ราษฎรถึงเจ็ดปี

เพื่อเสริมปณิธานตัวเองให้มั่นคง ไม่หลงติดความสุขสบาย โกวเจี้ยนไม่อยู่วัง กลับไปอยู่เรือนเล็กๆ หนุนท่อนฟืนต่างหมอน นอนบนเสื่อธรรมดา และในห้องพักนั้นแขวนดีสัตว์อันมีรสขมไว้ ก่อนกินอาหารทุกมื้อโกวเจี้ยนจะชมรสขมของดีนั้นก่อน เพื่อเตือนตนมิให้ลืมความอัปยศขมขื่นที่เคยได้รับจากฟูไช จนเป็นที่มาของสำนวนจีนว่า "หนุนฟืนแข็ง ชมดีขม" อันหมายถึงความอดทนมีปณิธานแน่วแน่

โกวเจี้ยนปฏิบัติตามแผนของฟ่านหลีและเหวินจ้ง คำบำรุงเศรษฐกิจให้มั่งคั่ง ฝึกกองทัพให้เข้มแข็ง เป็นการสร้างเสริมความแกร่งกล้าให้แคว้นเยว่ และใช้ "อุบายหญิงงาม" ทำลายฟูไช โดยมีเหวินจ้งเป็นผู้ดำเนินงานตามแผนแรก ฟ่านหลีเป็นผู้ดำเนินงานตามแผนหลัง

โกวเจี้ยนให้คนเสาะแสวงหาหญิงงาม ในที่สุดได้หญิงงามจาหหมูบ้านเชิงเขาจู้หลัวซานสองกัน คือไซซีและเจิ้งดั้น

จากนั้นโกวเจี้ยนก็มอบหมายให้ฟ่านหลีเป็นหัวหน้าฝึกหัดไซซีและเจิ้งตั้น ฟ่านหลีอบรมเรื่องความรักชาติ ยอมพลีชีพเพื่อมาตุภูมิก่อน จนนางทั้งสองเกิดุดมการณ์ เป็นผู้ร่วมปณิธานที่จะกอบกู้แคว้นเย่ว์ จากนั้นก็ฝึกอบรมกิริยามารยาทอย่างผู้ดี ศิลปการดนตรี กวีนิพนธ์ ฟ้อนรำ ตลอดจนจริตมารยาต่างๆ แม้กระทั่งการจารกรรมไซซีก็ทำได้อย่างหลักแหลมแยบยล ช่วงเวลาสามปีที่ฝึกหัดกันอยู่นี้ ฟ่านหลีกับไซซีเกิดความเห็นอกเห็นใจกันจนกลายเป็นความรัก แต่คนทั้งสองถืองานของประเทศชาตสำคัญกว่าจึงจำใจจากกัน เมื่อเวลาอันควรมาถึง ฟ่านหลีในฐานะอัครมหาเสนาบดีของแคว้นเยว่ในไซซีและเจิ้งตั้นไปถวายเป็นบรรณาการแก่หวูอ๋องฟูไช

ไซซีดำเนินแผนการต่างๆ นานา จนอ๋องฟูไชมอบกระบี่ให้หวู่จือซีฆ่าตัวตาย ซุนวูเห็นฟูไชลุ่มหลงไซซีไม่ลืมหูลืมตา จึงลาออกจากตำแหน่งไปใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่ในชนบท

หวู่จือซีตายเมื่อ พ.ศ.59 หลังจากนั้น ฟูไชก็ทำศึกสงครามเรื่อยมาจนกองทัพอ่อนแอ จน พ.ศ.67 เยว่อ๋องโกวเจี้ยนยกทัพตีแคว้นหวู รบกันอยู่สี่ปี จนถึงปี พ.ศ.70 ฟูไชถูกทัพเยว่ล้อมจนมุมอยู่ที่เมืองซูโจว เมืองหลวงของแค้วหวู ฟูไชจึงได้เชือดคอตาย หลังฟูไชตาย แคว้นหวูก็สิ้นชาติ โกวเจี้ยน ไม่ยอมปกครองแคว้นหวูอย่างเมืองขึ้น ได้ผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นเยว่

เมื่อเสร็จศึกพิชิตหวูแล้ว ฟ่านหลีก็รีบลาออกจากราชการ ไม่ยอมรับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีต่อไป เพราะรู้ดีว่านายอย่างโกวเจี้ยนนั้นขี้ระแวง เป็นนายที่ดีเฉพาะยามร่วมทุกข์ แต่ยามร่วมสุขจะมีอันตราย ฟ่านหลีมีจดหมายไปเตือนหวินเจ้งว่า "ล่ากระต่ายได้แล้วมักฆ่าหมาล่าเนื้อ ปรปักษ์พินาศมักพิฆาตผู้วางแผน ท่านรีบหนีไปจากแคว้นเยว่เถิด" ทว่าเหวินจ้งเชื่อมั่นในคุณงามความดีของตนและไม่รู้ธาตุแท้ของโกวเจี้ยนจึงไม่เชื่อคำฟ่านหลี ต่อมาจึงโดนโกวเจี้ยนสั่งให้ฆ่าตัวตาย

ส่วนฟ่านหลีได้พาไซซีไปใช้ชีวิตสามัญชนอยู่ที่ทะเลสาบไท่หู ต่อมามีคนจำได้ ข่าวรู้ไปถึงโกวเจี้ยน โกวเจี้ยนส่งคนมาตามหาตัว ฟ่านหลีจึงพาไซซีหนีไปอยู่แคว้นฉี เปลี่ยนชื่อเป็นหยีจื่อผี ประกอบอาชีพค้าขายจนมั่งคั่ง ขุนนางแคว้นฉีชื่นชมความสามารถของหยีจื่อผี เสนอฉีอ๋องให้เชิญตัวมาเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ฟ่านหลีทราบเรื่องก็รีบพาลูกเมียหนีไปอยู่เมืองเถาอี้ เปลี่ยนชื่อเป็นเถาจูกง และยังคงเป็นพ่อค้าท่องเที่ยวค้าขายไปทั่วจนร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสุขสงบ หลังจากเถาจูกงตายแล้ว คนทั้งหลายจึงรู้ว่าเขาคือฟ่านหลีปลอมตัวมา และหญิงที่เคยอยู่เคียงข้างกายเถาจูกงก็คือไซซี

เถาจูกงหรือฟ่านหลีนี้ คนจีนยกย่องว่าเป็นปรมาจารย์วิชาค้าขาย รอบรู้ศิลปศาสตร์หลายสาขา เขาเชื่อว่าโลกหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามความขัดแย้ง และความกลมกลืนของหยินและหยาง ไม่มีอะไรคงที่ การต่อสู้ศัตรูจึงไม่มีหลักตายตัว ต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับสภาวการณ์ ยามรุ่งเรืองต้องไม่ประมาทหลงระเริง ยามเสื่อมหรือพ่ายแพ้ก็ไม่ท้อแท้สิ้นหวัง ประคับประคองตนรอคอยจังหวะและโอกาสอันควร พยายามสร้างสภาวการณ์อันจะพลิกผันจากความเสียเปรียบให้เป็นความได้เปรียบ

ในด้านการค้า เถาจูกงถือหลักว่า ราคาสินค้าขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของปริมาณสินค้ากับความต้องการของผู้บริโภค ตรงกับ Demand&Supply ในปัจจุบัน คนสมัยราชวงศ์ฮั่นเคยรวบรวมงานเขียนของเขาไว้สองเล่ม แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเหลือต้นฉบับตกทอดมาถึงปัจจุบัน ความคิดความอ่านและหลักการต่างๆของเขาพอมีบันทึกอยู่บ้างในหนังสือ "สื่อจี้" และ "กว๋ออวี่" เท่านั้น

หนังสือสามสิบหกยอดกลยุทธ์ฉบับหนึ่งของไต้หวันมีเรื่องของเถาจูกงอยู่ในตัวอย่างกลยุทธ์ที่สามสิบหก (อ่านจาก 36 กลยุทธ์แห่งชับชนะในการสัประยุทธ์ทุกปริมณฑล ของบุญศักดิ์ แสงระวี)

กลยุทธ์อันดับสุดท้ายนี้ถือว่า "หนี" เป็นสุดยอดกลยุทธ์ หากไม่หนีในวาระอันควรอาจต้องแลกด้วยชีวิต ตัวอย่างหนึ่งคือเรื่องเถาจูกงเสียลูกชาย

เถาจูกงหรือฟ่านหลี มีลูกชายสามคน ครั้งหนึ่งลูกชายคนรองฆ่าคนตายที่แคว้นฉู่และถูกจับได้ มีโทษถึงประหาร ฟ่านหลีจะให้ลูกคนเล็กไปช่วยพี่ แต่ลูกคนโตขอไปเอง มิฉะนั้นจะฆ่าตัวตายประท้วงที่พ่อไม่เชื่อฝีมือ ฟ่านหลีจึงสั่งให้ลูกคนโตนำทองหนึ่งเล่มเกวียนไปมอบแก่จวงเซิงที่แคว้นฉู่แล้วรีบกลับทันที พอจวงเซิงได้รับทองก็กำชับให้ลูกชายฟ่านหลีรีบกลับเช่นกัน เรื่องทั้งหมดตนจะจัดการให้เรียบร้อยเอง เมื่อถึงเวลาลูกชายคนรองจะกลับไปอย่างปลอดภัย

จวงเซิงเป็นปราชญ์ซอมซ่อ แต่มีเกียรติภูมิสูงส่ง ฉู่อ๋องเชื่อถือมาก ฉะนั้นพอจวงเซิงไปบอกว่าฉู่ฮ่องมีเคราะห์ ควรปล่อยนักโทษสะเดาะเคราะห์ ฉู่อ๋องก็เชื่อทันที ก่อนปล่อยนักโทษทุกครั้ง ฉู่อ๋องจะสั่งให้ปิดพระคลังทั้งสามก่อน

ฝ่ายลูกชายคนโตของฟ่านหลีใจร้อน ต้องการช่วยน้องออกมาโดยเร็ว จึงเอาทองส่วนตัวไปติดสินบนฉู่กุ้ยเหญินขุนนางผู้ใหญ่ของแคว้นฉู่ หารู้ไม่ว่าจวงเซิงเป็นเพื่อนสนิทกับพ่อ รับทองไว้เพื่อรักษาน้ำใจเพื่อนเท่านั้น

ฉู่กุ้ยเหญินรับสินบนแล้วเข้าไปในวัง ทราบเรื่องฉู่อ๋องสั่งปิดพระคลังทั้งสามจึงรีบออกมาบอกลูกชายฟ่านหลีว่า "ท่านอ๋องจะสั่งอภัยโทษครั้งใหญ่แล้ว น้องชายท่านปลอดภัยแน่นอน"

ลูกชายฟ่านหลีสำคัญว่าเป็นผลงานของฉู่กุ้ยเหญิน รู้สึกเสียดายทองหนึ่งเล่มเกวียน จึงย้อนกลับไปพบจวงเซิง จวงเซิงเห็นหน้าก็แปลกใจถามว่า "เจ้ายังไม่กลับไปอีกหรือ"
"ยังเลย ข้าพเจ้าตั้งใจจะรอกลับพร้อมน้อง บัดนี้ได้ข่าวว่าจะมีการอภัยโทษครั้งใหญ่จึงมาลาท่าน"
จวงเซิงเข้าใจเจตนา จึงกล่าวว่า "ถ้าเช่นนั้น เจ้าเอาทองทั้งหมดกลับไปด้วย"
ลูกชายฟ่านหลีก็รับคำ นำทองทั้งหมดกลับไปด้วยความลิงโลดใจ

จวงเซิงโกรธมากที่ถูกหยามเกียรติ กลับเข้าไปพบฉู่อ๋องอีก แล้วบอกว่า "วันก่อนเสนอเรื่องสะเดาะเคราะห์ ท่านอ๋องก็ได้เตรียมการปล่อยนักโทษ ทว่าข้าพเจ้าได้บินประชาชนพูดกันว่า เจ้ามหาเศรษฐีเถาจูกงมีลูกชายต้องตองจำรอประหารอยู่ในคุก จึงใช้ทองจำนวนมากติดสินบนขุนนางของเรา เช่นนี้ทำให้กลายเป็นว่าการอภัยโทษครั้งนี้เพื่อลูกมันเป็นสำคัญ หาใช่เพื่อทวยราษฎร์ไม่"
"เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร จะปล่อยให้ราษฎรเข้าใจว่า คำสั่งของเราเป็นเพราะอิทธิพลเงินไม่ได้ ประหารไอ้ลูกเศรษฐีนั้นเสียก่อน พรุ่งนี้ค่อยปล่อยนักโทษอื่นทั้งหมด"
ลูกชายคนโตของฟ่านหลีจึงได้แต่ศพน้องกลับ

ฟ่านหลีอธิบายให้ภรรยาว่า ตนรู้แล้วว่าผลต้องออกมาเป็นอย่างนี้ ลูกคนโตเกิดเมื่อพ่อแม่จน ตระหนี่ถี่เหนียว ใจไม่กว้างจึงเสียดายทองจนเป็นเหตุให้น้องตาย น้องคนเล็กเกิดเมื่อพ่อแม่รวย กล้าใช้ใจกว้าง หากไปแทนพี่จะไม่มีเหตุผิดพลาดเช่นนี้ เพราะไม่หนีกลับเมื่อควรกลับ จึงต้องแลกด้วยชีวิตหนึ่งชีวิต

จากคุณ : จอมยุทธหญิง (magarita30)
//topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2006/12/A4951986/A4951986.html

9062 *-*
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 124.122.92.183 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2555 เวลา:15:32:37 น.  

 
 
 
นี่ ๆ แควนขับ เจ้าขราาาาาาาาาาาาาา
อาเหล่าม่า มันมีเรื่องจาฟ้อง ด้วยแหล่ะ
เนี่ย ตั้งแต่ ขอยึด เอ๊ย ขอยื้ม ล็อกอิน หม่ามี๊ แก้ว มาใช้ได้อ่ะนะ
อิทั่นด๊อกฯ มันก้อ แหกคุกขี้ไก่
แอบไป อาละวาด เอ๊ย ไปรับประทาน ดินเนอร์ กับ เพื่อนเก่า อีกแระ
เฮ้อออ สงสัย ไอ้ โปรเจคที่สัญญา
ว่า จะแพล่ม เรื่อง พุทธอวตาร แอนด์ สัมมาสไตล์
คงต้อง ขออนุยาด ผลัดวันประกันพรุ่ง ไปบิ้วอารมณ์ ก่อนอ่า
ถ้า องค์ไม่ลง มันก็คงเขียนออกมา ไม่ได้ อรรถรส น่ะ
( ซึ่ง ผิด มาตรฐาน และ รสนิยมอันวิไล ของทั่น ด๊อกฯ )

อีกอย่าง อาเหล่าม่า มัน ยึดถือ คำสอนของ ทั่น ขงจื้อ ที่ว่า

ผู้ที่มีเมตตาธรรมเท่านั้น เวลาพูด เขาพูดอย่างเชื่องช้า
ไม่พูดเชื่องช้าได้หรือ เพราะเมื่อพูดไปแล้ว ต้องทำตามที่พูดด้วยความลำบาก



อืม...ได้ที อิปลาไหลไฟฟ้า
ก็ขอ นุยาดเอา ทั่น ขงจื้อ มา แอบอ้าง ซะหน่อย แหะ...แหะ......
แต่ ไม่ต้อง เป็นห่วงน้าาาาา
ถึงจะ โลเล ลมเพลมพัด แค่ไหน
ถึงไง ก็จะถ่อสังขารมาแพล่ม ตามที่สัญญาไว้อ่ะ
ทว่า คงต้องขอเวลาไปหมักดองน้ำลาย ก่อนจร้าาาาาา
เพราะว่า ตอนนี้ ทั่นด๊อก มันกะลัง เห่อ ล็อกอินใหม่
หาเรื่อง จาแหกคุกขี้ไก่ ไป รับประทาน ดินเนอร์
ก๊ะ เพื่อนเก่า อยู่เรื่อยเรย


นี่ ด๊อกฯ ทั่น ก็ ขมีขมัน
เริ่มแจกบัตรคิว อีก แระว่ะ
ว่า มันควรจะให้เกียรติ ไป กินดินเนอร์ใต้แสงเทียน
กับ เพื่อนเก่า คนไหน ก่อนดี ?
แบบว่า โจทก์เก่า เอ๊ย เพื่อนเก่า ทั่นด็อกเค้าเยอะ
แถม ด๊อกเค้า กะว่า จา รีเทิร์น
มาล้างแค้นให้ อาเหล่าม่า ด้วย ว่ะเธอว์
ศึก ครั้งนี้ ใหญ่หลวงนัก หุหุ


ปอลิง
เอ้า เอา เดอะลิง อันนี้ มาฝากจร้าาาาาา

//search.pantip.com/cgi-bin/ss?query

อืม....ทายซิว่า ล็อกอิน หม่ามี๊แก้ว
จาโดนแบน ภายในกี่วัน ? ติ๊กต่อก ๆๆ อิอิ
 
 

โดย: ทั่นด็อกฯ มาแว้ววววววววววววว (นู๋บี ) วันที่: 11 พฤศจิกายน 2555 เวลา:18:19:20 น.  

 
 
 
อ้อ หลอยเอาหลังไมค์ ของทั่นผู้เฒ่าสุมาอี้ มาฝากคร้าาาา
เห็นมันเคยมาเมาส์ เอ๊ย มาเลคเชอร์ ให้ฟัง
ถึง คุณค่าความขลัง ของ ผังผืดพรหมจรรย์ ในมุมมองของมัน
ตะละแม่เทียวเสี้ยม อ่านแร้ว นึกครึ้ม
เก๊าะเรยเอามาหั้ย แควน ๆ ได้อ่านเล่น ๆเป็นอุทาหรณ์สอนใจ
เผื่อว่า สาว ๆ ทั้งหลาย อ่านแร้วจะได้ ตาสว่าง เสียที
ช่วงนี้ ยิ่งใกล้ เทศกาลเสียตัว เอ๊ย เทศกาล ลอยกระทง ซะด้วยดิ อิอิ














From : สุมาอี้ [6 พฤศจิกายน 2555 02:17]





เอ้? สงสัยอีกข้อ.

ศีลข้อ ๓ ที่อินางเตียวเสี้ยมคุยนักคุยหนาว่ารักษาได้บริสุทธิ์ดีนั่น มันคือ ศีลข้อ ๓ ของชุดไหนกัน ? ของชุดศีล ๕ หรือ ศีล ๘

ข้อ ๓ นี้ "กาเมสุมิจฉาจารา..ฯ"

หรือว่าข้อ ๓ นี้ "อพรฺหมจริยา..ฯ" ?

บอกมาชัดๆ อย่ากำกวม

รู้
ไหมละ เขาทำโพลสำรวจพวกตะเข้วัยรุ่นจนถึงวัยกลางคน ทั้งที่อเมริกา และ
เมืองไทย ได้ผลตรงกันอย่างแปลกประหลาดคือ มีจำนวน 67 % (ที่เมกา) 72 %
(ที่ไทย) อยากมีแฟนหรือภรรยาเป็นสาวบริสุทธิ์


สุมาอี้ก็อยู่ในกลุ่ม 72 % นั่นด้วยซี จึงยังขึ้นคานมาจนบัดนี้ไง เพราะ
เท่าที่เจาะๆไข่แดงมาหลายสิบราย กลายเป็นไข่ไม่บริสุทธิ์
โดนเจาะมาก่อนแล้วทั้งนั้น มีแค่ ๓ รายที่โชคดีได้เจาะเป็นคนแรก
รู้สึกภูมิใจสุดๆมาจนบัดนี้ แต่ไม่ได้เป็นตัวจริง
เพราะในสมัยนั้นยังเป็นหนุ่มกระทง เจาะมั่วเรื่อยๆไปไม่คิดจะจริงจังกับใคร
แต่ในใจจะระลึกถึง ๓ คนนี้อยู่เรื่อยๆ (แต่ชื่อไม่ได้ซะแล้ว
ตอนนี้คงมีลูกมีหลานไปหมดแล้ว กระมัง?
ไม่เคยติดต่อกันอีกเลย)ส่วนรายอื่นๆลืมหมด

เยื่อบางๆตรงหว่างขาของสาวนั่นแหละ คือสิ่งมีค่า สำคัญสุดๆเลยนะ อย่ามองข้ามเด็ดขาด


+++++++++++++++++++++++++++++++
จำนวนผู้ชม 15199 ครั้ง
จำนวนผู้ชม Profile 232 ครั้ง

+++++++++++++++++++++++++++


 
 

โดย: ตะละแม่เทียวเสี้ยม ก็มาโตยยยยยยยยยยยย อิอิ (นู๋บี ) วันที่: 11 พฤศจิกายน 2555 เวลา:18:22:52 น.  

 
 
 
มีคำสอนหลวงพ่อจรัลวัดอัมพวัน(สิงห์บุรี)มาฝาก
คัดย่อมาเฉพาะบางส่วน...
มาจากหนังสือสมุนไพรใช้เป็นยา สวดมนต์ไหว้พระวิปัสสนาแก้กรรม
หน้า 35
ขอเจริญพรว่า
กรรมฐาน สามารถรู้เหตุการณ์และโรคภัยไข้เจ็บได้
ใครเป็นอะไร ใจเข้มแข็ง
ตายให้ตาย หายทุกราย
*-*
_/\\_

หน้า16
การเจริญ สติปัฏฐาน4 ทางสายเอกของพระพุทธเจ้านี้ ถ้าทำได้
1.ระลึกชาติได้จริง ระลึกได้ว่าเคยทำอะไรดีอะไรชั่วมาก่อนไม่ใช่ระลึกว่าเคยเป็นผัวใครเมียใคร
2.รู้กฏแห่งกรรม จะได้ใช้หนี้เขาไปโดยไม่ปฏิเสธทุกข้อหา
3.มีปัญญาแก้ไขปัญหาชีวิต ไม่ใช่ไปหาพระรดน้ำมนต์ ไปหาหมอดู
ถ้าเจริญวิปัสสนาภาวนา สติพิจารณาตั้งมั่นในรูปนาม เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีอานิสงส์ให้บรรลุ มรรค ผล นิพพาน ฯ
*-*

หน้า19
บางคนเกิดมาแต่ชาติก่อนนิสัยดีมีปัญญาดี เกิดมาในโลกมนุษย์เขาจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ถึงแม้จะเกิดในบ้านยากจนก็สามารถเป็นรัฐมนตรีหรือเป็นใหญ่เป็นโตได้ เพราะสติปัญญาที่สร้างมาแต่ชาติก่อน

คนเรามีทั้งถูกทั้งแพง มีทั้งเก๊ทั้งดี มีทองคำก็มีทองชุบ มีหลวงพ่อทวดก็มีหลวงพ่อเทียบ คนดีหายากคนเก๊มีมาก

มีน้อยเหลือเกินที่จะดีเด่นเห็นชัดและเห็นไกล อย่างนี้หายากต้องอดทน ต้องฝึกฝน ท่านทั้งหลายเอ๋ย จิตนี้ฝึกให้ขยันก็ได้ ฝึกให้ทำงานก็ได้ ฝึกให้ขี้เกียจก็ได้

การเจริญวิปัสสนากรรมฐานจะระลึกชาิติได้ รู้กฏแห่งกรรมที่ผ่านมา จะแก้ปัญหากรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในกิจประจำวันของเราได้

ถ้าใครเจริญวิปัสสนากรรมฐานโดยต่อเนื่อง สร้างความดีให้ติดต่อกัน สร้างความดีถูกตัวบุคคล ถูกสถานที่ ถูกเวลา ต่อเนื่องกันเสมอต้นเสมอปลาย คนนั้นจะได้รับผลดี 100% และจะเอาดีในชาตินี้ได้แน่นอน ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า

สำคัญที่ทำความดีผิดสถานที่ ผิดตัวบุคคล และผิดกาลเวลา ด้วยไม่ใช่เวลาที่จะต้องทำแล้วไปทำ ไม่ใช่เวลาที่จะพูดแล้วไปพูด มันก็เสียหาย
*-*

หน้า 20-25
กรรมฐาน แปลว่า การกระทำให้ฐานกายนี้เป็นที่ตั้งของสติ พอท่านทั้งหลายทำจนได้ดวงตาเห็นธรรมวิเศษบางประการ ได้ศีล สมาธิ ลึกซึ้งในจิตใจ ท่านจะเห็นความดีในจิต

นักปราชญ์ท่านสอนว่า ถ้าเราให้อะไรใครจะไม่นับไม่จำ แต่ใครให้อะไรมา แม้น้ำถ้วยเดียวเราก็กำหนดจดจำไว้ เราจะไม่ลืมบุญคุณของเขา อย่างนี้จะเกิดขึ้นกับนักกรรมฐาน เพราะเหตุที่เราไม่หวังผลตอบแทน

อันนี้บางคนทำได้ยาก เพราะสันดานทำไม่ได้ นิสัยไม่ให้ รูปร่างก็ดีๆ นะ แต่นิสัยไม่ให้ บางคนเข้าใจว่าคนอื่นคงเหมือนเรา และเราเหมือนคนอื่น เหมือนไม่ได้ เพราะแตกต่างด้วยกฏแห่งกรรมเหมือนกันไม่ได้

การกระทำของแต่ละท่านนี้เราดูได้จากตัวเราสังเกตได้จากตัวเรา เจริญกุศลภาวนามีหน่วยกิตครบ เราจะรู้ได้เองว่าตัวเรามีปาณาติบาิตติดตัวมา 60% เราจะต้องรับใช้หนี้ในชาิตินี้แน่

รับใช้หนี้อะไร ก็หมายความว่าเราจะต้องโดนรถชน เราจะต้องโดนฆ่าตาย เราจะต้องโดนใส่ร้าย มันจะบอกเราเองก่อนที่ไปบอกคนอื่นเขา อันนี้อาตมาก็ได้ประสบมา เป็นต้น เช่น มีปาณาติบาตฆ่าสัตว์ติดตัวมา 60% เรารู้แจ้งแก่ใจ รู้วันตายว่าจะต้องตายอย่างไร รถชนตาย โดนยิงตาย โดนอุบัติเหตุตาย เป็นต้น

จะโดนง่อยเปลี้ยเสียขา โดนทรมาน โดนหนอนกินจนชีวิตหาไม่ มันจะบอกเหตุการณ์ชัดในตัวเราก่อน ในเมื่อบอกตัวเราได้ ดูคนอื่นมันก็บอกได้ เราจะรู้ได้ว่าเห็นหนอ คนนี้มีปาณาติบาตติดมาก็จะรู้ได้เลยว่ากฏแห่งกรรมคนนี้จะต้องเป็นอัมพาต คนนี้ต้องประสบอุบัติเหตุ คนนี้ต้องไปโดนรถชนตาย มันบอกชัดนะ มีประโยชน์มากสำหรับผู้ทำได้มันมีประโยชน์อย่างนี้นะ

ถ้าเราเจริญกรรมฐาน เราจะรู้กฏแห่งกรรมได้ตอนมีเวทนาคนไหนอดทนต่อเวทนาได้ กำหนดผ่านเวทนาได้ เราจะรู้ได้ว่าทุกข์ทรมานที่ผ่านนั้นไปทำกรรมอะไรไว้ มันจะมีกรรมอะไรมาแทรกซ้อนมันจะบอกเราเองอันนี้มีตัวอย่างที่อาตมาประสบมามากมาย เช่น อทินนาทานเบียดเบียนทรัพย์เขามานะ แล้วก็ไปเบียดเบียนสัตว์ด้วยทุกอย่างเอาหมด มักได้มักง่าย รุกหัวคันไร่คันนา ลักเงิน ลักทอง โจรกรรมเล็กๆน้อยๆ สะสมหน่วยกิต นิสัยไม่ดี นิสัยเคยชินในการลักโขมย ไปเบียดเบียนทรัพย์ เหมือนเศรษฐีมีเงินแล้วไปบ้านเหนือบ้านใต้ ก็ต้องหยิบมีดเขามาหยิบโน่นใส่พกใส่ห่อมาจนได้ คือนิสัยสันดาน มีเงินแล้วยังต้องไปลักของเขาอีก ไปเบียดเบียนคนจนอีก ทำนองนี้เป็นต้น

กฏแห่งกรรมจะบ่งบอกออกมาเป็นดุจเครื่องคอมพิวเตอร์ว่า คนนี้ได้เงินได้ทองมาแล้ว ต้องถูกโจรกรรม ต้องถูกคนลัก ตีชิงวิ่งราว มิแะนั้นไฟจะไหม้บ้าน ไม่เคยผิดแม่แต่รายเดียว อาตมาเคยทายไว้ คนนี้ระวังนะโยม เคยถูกโจรกรรมไหมโยม ไม่ถูกเลยค่ะ ระวังอันเดียวคือไฟไหม้บ้านหมดเนื้อประดาตัว แล้วก็จริงด้วย อันนี้เห็นชัด

นี่แหละท่านทั้งหลาย ทำให้มันจริงมันจะเห็นจริง ทำไม่จริงจะเห็นจริงได้อย่างไร ต้องเห็นจากตัวเราออกมาข้างนอก เรารู้ตัวว่าเรามีเวรมีกรรมประการใด ก็ใช้หนี้โดยไม่ปฏิเสธทุกข้อหา จิตอโหสิกรรมได้ ยินดีรับเวรรับกรรมได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ

กาเมสุมิจฉาจาร ถ้าเรารู้ตัวเอง นั่งเจริญกุศลภาวนา มันจะบอกว่าอดีตชาติไปปู้ยี่ปู้ยำเขามา ชู้สาวนานาประการ ผัวเขาเมียเขานานาชนิด มีข้อคิดหลายอย่าง มาในชาตินี้ เราก็มาลำบากลำบนในครอบครัวหาความสุขไม่ได้เลย มีสามีก็เป็นของเขาหมด มีภรรยามีชู้หมดและครอบครัวต้องหายนะทะเลาะวิวาทกัน ไม่ใช่คู่สร้างคู่สม กลายเป็นคู่วิวาทกัน และต้องแตกแยกหย่าร้างกันไป ถึงจะมีลูกด้วยกันแล้ว ก็มีทั้งเขยสะใภ้แล้วก็ตาม จะต้องแยกกันไปตามกาลเวลา จากกระทำของเราในที่สุด บางท่านเป็นผู้ชายแท้ๆ ปู้ยี่ปู้ยำผู้หยิงทำให้เขาช้ำอกช้ำใจหลายชาติที่ผ่านมา เกิดมาชาิตินี้ต้องมาเกิดเป็นผู้หญิงโสเภณี ก่อนจะตายต้องให้หนอนกินเสียก่อน มีจริงที่จดไว้หลายราย ถ้าท่านไม่เชื่อลองไปทำดูนะ มีความหมายอย่างนี้
*-*

นอกเหนือจากนั้น หลอกลวง โลภหวังเอาลาภเขา หลอกลวงเขาตลอดรายการ พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ เพ้อเจ้อ เลี้ยวลดคดเคี้ยวติดวิญญาณมาในชาตินี้ อย่าปฏิเสธ ไม่ช้าเราต้องโดนหลอกเอาเงินไป โดนหลอกเอาโน่นไป โดนหลอกเอานี่ไปอย่างแน่นอน ใครเป็นผู้หลอก ผู้ใกล้ชิด ญาติมิตรหรือเพื่อนฝูง เขามาเกิดจะต้องสนองงานในกฏแห่งกรรม ก็มาหลอกเอาของเราไป และเราไม่ต้องติดตามของนั้นแน่นอนที่สุด เพราะเราไปหลอกเขามาก่อน อย่างนี้เป็นต้น

สุราเมรัย เครื่องดองของเมานานาชนิดทุกประการ ถ้าเรานั่งภาวนาจะรู้ตัวเองว่า อดีตชาติเราเสพยานี้มาไหม ถ้าติดมา 60% รับรองว่า เรานี้จะไม่ต้องเรียนอะไรเลย เรียนไม่ไหวแล้วและเป็นโรคปัญญาอ่อน ไปเรียนอะไรก็ไม่จบหลักสูตรมัธยมศึกษาแน่นอน และเป็นความจริงด้วย

เราต้องแก้แกรรมของเราเสีย อ๋อ ปาณาติบาตเมื่อชาติก่อนติดมาเรายังไม่ง่อยเปลี้ยเสียขา ในขณะนี้เราจะต้องรับสนองผลงานในโอกาสหน้า เราก็รีบบำเพ็ญกุศลด้วยการแก้กรรมด้วยการปฏิบัติกรรมฐาน

เราก็มาบำเพ็ญทานศีลและภาวนา สวดมนต์เป็นนิจ อธิษฐานจิตเป็นประจำ อโหสิกรรมเสียก่อน และเราก็แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่เราไปสร้างกรรมมาครั้งในอดีต รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง รู้เท่าทันหรือไม่เท่าทันก็ตาม ถ้ารู้เท่าไม่ถึงการณ์เช่นนี้แล้ว ขอสรรพสัตว์ทั้งหลาย จงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า มันก็จะน้อยลงไป ยกตัวอย่างอาตมาเป็นต้น

อาตมารู้ตัว 6 เดือน ก็ขออโหสิกรรมทุกวัน ว่าเราก็ไปหักคอนกมาหลาย เราก็บอกว่า พ่อนกเอ๊ย ตอนที่ข้าพเจ้าเป็นเด็ก รู้เท่าไม่ถึงการณ์ อย่าเอาโทษเราเลย ขอให้โทษเราลดลงไป ให้อภัยโทษเถิดเหมือนให้การกับศาลรับสารภาพฉะนั้น ศาลจะเมตตาเราที่ให้ความสะดวกในการพิจารณาของศาล จึงลดโทษลงไปอีก 60% เราอาจจะรอดจากความตายได้เลย ก็เตรียมให้รถชนคอหักหมุนได้ แล้วก็กลับมาใช้เวรกรรมให้สิ้นสุดในชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น ผ่อนจากหนักเป็นเบาได้ คือไม่ได้ปฏิเสธทุกข้อหา ด้วยกรรมฐานแก้กรรมได้อย่างนี้ โดยรู้ตัวของเราเอง

ถ้ามีเวทนา ต้องสู้ กำหนดให้ได้ ปวดท้อง ปวดขา หรือปวดตรงไหน ปวดหนอ ตายให้ตาย เดี๋ยวท่านจะเห็นกรรมเมื่ออดีตชาติทำนทำอะไรไว้ ท่านจะโล่งใจนะ ท่านจะดีใจ เดี๋ยวท่านจะได้แก่กรรมด้วยการแผ่เมตตาอโหสิกรรม ข้าพเจ้าไม่ปฏิเสธกรรมทุกข้อหา นี่แหละกรรมฐานแก้กรรมอย่างนี้
*-*
_/\\_

3744
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 171.96.19.237 วันที่: 12 พฤศจิกายน 2555 เวลา:10:31:48 น.  

 
 
 
มาช่วยลุ้น ล๊อคอินของหม่ามิ๊แก้ว
ตามไปอ่านแระ แซ่บหลายเด๊อค่ะ
2852
 
 

โดย: อิอิ IP: 171.96.19.237 วันที่: 12 พฤศจิกายน 2555 เวลา:11:32:41 น.  

 
 
 
"บันไดหิน 6,000 ขั้น" ของ ซู กับหลิว
เอเยนซี - ชาวเน็ตฯ จีนประทับใจและอาลัยเรื่องราวความรักและ "บันไดหิน 6,000 ขั้น" ของ ซู กับหลิว ที่เป็นบทเรียนคติชีวิตคู่ อันหาได้ยากสำหรับหนุ่มสาวจีนยุคนี้

เซาท์ไชน่ามอร์นิง โพสต์ รายงาน (12 พ.ย.) พิธีศพของนาง ซู เฉาชิง หญิงชราอายุ 87 ปี ซึ่งทางการท้องถิ่นฉงชิง ได้จัดขึ้นที่บริเวณที่เรียกว่า "บันไดรักของหลิว กับซู" ในหมู่บ้านฉางเล่อ มณฑลฉงชิ่ง โดยมีครอบครัว มิตรสหาย สื่อมวลชน และผู้ชื่นชม ต่างมาร่วมพิธีเพื่อไว้อาลัยแด่เธอ

รายงานข่าวได้เผย เรื่องราวความรักของคุณยายซู กับบันไดหิน 6,000 ขั้น ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 50 ปีก่อน (ราวปีพ.ศ. 2505) ขณะนางมีอายุ 30 ปี เป็นแม่หม้าย และได้ตกหลุมรักกับ "หลิว กั่วเจียง" ชายหนุ่มที่อายุอ่อนกว่าเธอถึง 10 ปี ซึี่งแน่นอนว่าในสมัยนั้น มันเป็นความรักที่เป็นไปไม่ได้ ด้วยสถานะ และวัยที่ต่างกัน เพราะกฎเกณฑ์สังคมไม่ยอมรับหญิงหม้ายสมรสซ้ำสอง อันจะนำอัปมงคลสู่ครอบครัวสามี เช่นเดียวกับที่คนในหมู่บ้านฯ ก็ไม่ยอมรับที่คนหนุ่มจะอยู่กินกับสตรีที่อาวุโสกว่า

การถูกต่อต้านครหาจากสังคมรอบข้าง ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจเร้นหนีจากหมู่บ้าน ขึ้นไปอยู่ในกระท่อมบนภูเขา และใช้ชีวิตคู่อยู่บนนั้นตราบชั่วชีวิต

ความทุรกันดารและอันตรายของสภาพภูเขา ทำให้น้อยครั้งที่ ซู จะออกจากบ้านบนภูเขาลงมาที่ราบเพื่อเยี่ยมครอบครัว ดังนั้น เพื่อให้ซู ไม่ลำบาก หลิว ซึ่งในเวลานั้นอายุเพียง 20 ต้นๆ ได้เริ่มสกัดก้อนหินทำเป็นบันได 6,000 ขั้น ให้ภรรยาของตนใช้ไต่ลงและกลับขึ้นมาอย่างปลอดภัย โดยเรื่องราวของบันไดหินนี้ เพิ่งจะถูกเปิดเผยเมื่อราวปี พ.ศ. 2544 หลังจากที่สื่อจีน และนักท่องเที่ยวได้พบเห็นและบอกเล่ากัน จนกลายเป็นนิยามแห่งความรักและการอุทิศของคู่ชีวิต นอกจากนั้น ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับเพลงฮิต "Love Stairs" ของวงบอยแบนด์ C AllStar (พ.ศ. 2553) และภาพยนตร์เรื่อง Noble Love (2554)

เมื่อปี พ.ศ. 2550 "หลิว" เสียชีวิตในวัย 72 ปี และนางซู ต้องลงจากภูเขาเพื่อมาอยู่กับบุตรชายและหลานๆ ของเธอ จนที่สุดเมื่อวันที่ 30 ต.ค. ที่ผ่านมา นางซู ก็ได้เสียชีวิตตามไปในวัย 87 ปี โดยฉงชิ่ง อีฟนิง นิวส์ ได้รายงานว่าพิธีศพของเธอได้รับการจัดขึ้นอย่างพิเศษ และมีวัยรุ่นนิรนามคนหนึ่ง จัดดอกกุหลาบขาว 10,000 ดอกเพื่อตกแต่งตลอดบันไดทั้ง 6,000 ขั้นนั้น

รายงานข่าวกล่าวว่า การจากไปของซู ไม่เพียงเป็นข่าวเล่าเช้านี้สร้างความสนใจประเดี๋ยวประด๋าว แต่ยังเป็นประเด็นวิพากษ์ความรักของจีนยุคใหม่ ที่อาจจะกำลังหมกมุ่นถึงความร่ำรวย และวัตถุนิยม นอกจากนี้ ความรักของทั้งสองยังทำให้ชาวเน็ตฯ หลายคนหวนระลึกถึง เอี้ยก้วย กับเซียวเหล่งนึ่ง คู่รักตัวละครเอกในนิยาย "เอี้ยก้วยเจ้าอินทรี" (มังกรหยก ภาค 2 , 神雕侠侣) ของ จา เลี้ยงย้ง หรือกิมย้ง ที่แต่งขึ้ันในช่วงเวลาเดียวกันกับความรักของหลิว และซู เมื่อปี พ.ศ. 2502 อีกด้วย

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา บทความใน เป่ยจิง นิวส์ ได้ให้ความสำคัญและยกเรื่องราวความรักของสองตายาย หลิวและซู ว่าเป็นสิ่งที่สังคมยุคนี้ต้องเรียนรู้ ขณะที่สถิติการหย่าร้างเพิ่มขึ้น การนอกใจ และสมรสเพื่อหวังเพียงมรดกความร่ำรวยของคู่ชีวิต กำลังเป็นค่านิยมของคนยุคใหม่ บรรดาชายหนุ่มพึงใคร่ครวญถามตนเองว่า เขาจะยอมใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตเพื่อก่อขั้นบันไดหินให้คนรักได้ขนาด "หลิว" หรือไม่? และจะยืนหยัดสละทิ้งทุกสิ่งเพื่ออยู่กับเธอได้นานเพียงใด? เช่นเดียวกับที่ให้สติกับหญิงสาวได้หวนคิดว่า อะไรกันแน่คือ 'มงคลชีวิต' ที่พึงแสวงหาจากความรัก รักแท้ที่ไม่สามารถวัดได้ด้วยตารางวาของบ้าน หรือเสน่หาที่มาพร้อมราคาของรถยนต์ กับปริมาณเงินสดในสมุดบัญชีธนาคารของสามี?

//www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9550000137886

ปล.ไม่ต้องพึ่งเยื่อบางๆที่หว่างขา ก็เกิดเป็นรักแท้ได้ เนาะ
มงคลชีวิต ที่ไม่เกี่ยวกับเยื่อบางๆ ก็มีให้เห็นได้
ใครจะโชคดีได้เจอแบบนี้น้อ รักและซื่อสัตย์ต่อกันชั่วชีวิต
เอื้ออาทรต่อกัน มีทุกข์และสุขร่วมกัน
ที่แน่ๆ ทั่นสุมาอี้ สอบตก หุหุ (ยังหาคนร่วมทุกข์ไม่ได้ คิคิ)
จะว่าไปเยื่อบางๆที่หว่างขวามีชู้เป็นออปชั่นในภายหลังก็มี
เยื่อบางๆมันใช้ตัดสินการเป็นเมียเป็นแม่ไม่ได้ทุกกรณี
แต่การเป็นผู้หญิงสำส่อนไม่รักนวลสงวนตัวก็ไม่ใช่เรื่องดี
เรื่องสำส่อนมากรักหลายสามีก็ไม่ไเกี่ยวกับเยื่อบางๆนิ
คนที่ไม่ได้มีเยื่อบางๆแล้วแต่รักษาพรหมจรรย์โดยไม่
ข้องเกี่ยวกับกามหรือการร่วมประเวณีก็ได้นิ ตกลงสนใจ
แต่เยื่อบางๆนี่มันคนหลงรูปหลงติดแต่เปลือก รึป่าว วะคะ
หุหุ
4388
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 171.96.19.237 วันที่: 12 พฤศจิกายน 2555 เวลา:15:11:07 น.  

 
 
 
มาชวนดูหนัง เรื่อง "Salmon Fishing in The Yemen - คู่แท้หัวใจติดเบ็ด"
เปิดเรื่องที่ อัลเฟรด โจนส์ ( ยวน แม็คเกรเกอร์ ) ดอกเตอร์คนเก่ง ที่คิดมาตลอดว่า สำหรับเรื่องงานเขาคือเบอร์ 1 ไม่มีอะไรที่เขาจะทำไม่ได้ หากเพียงแต่เขาไม่เคยคิดนอกกรอบ แต่แล้ววันหนึ่งเจ้านายสุดป่วน แพทริเชีย แม๊กซ์เวลล์ (คริสติน สก็อตต์ โทมัส) โฆษกรัฐบาลอังกฤษ ก็มองเห็นช่องที่จะผูกมิตรกับท่านชีคผู้ร่ำรวยจากประเทศ

เยเมน อัลเฟรดเลยได้รับมอบภารกิจให้นำปลาแซลมอน 10,000 ตัว ไปเลี้ยงที่เยเมน เพื่อให้ ท่านชีคและสหายได้รื่นเริงกับการตกปลา... ฟังดูแสนง่ายแต่เป็นภารกิจที่แทบจะไม่มีทางเป็นไปได้ อัลเฟรด รับดูแลโปรเจกต์ อย่างไม่มีทางเลี่ยง ในระหว่างอยู่ที่เยเมน แฮเรียต (เอมิลี่ บลันท์) ผู้ช่วยของชีค แห่งเยเมน เป็นคนคอยประสานและเติมเต็มกำลังใจให้กับอัลเฟรด จนทำให้เขารู้สึกตัวขึ้นมาว่า บางครั้งเราก็ต้องลองเดินออกนอกกรอบบ้าง เพราะถ้าไม่เปิดใจกว้างในบางเรื่อง ก็จะไม่มีวันทำมันสำเร็จ
//www.nangdee.com/title/html/m3052.html
6941
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 171.96.19.237 วันที่: 12 พฤศจิกายน 2555 เวลา:16:35:55 น.  

 
 
 
มาดูกับมาดาม: ว่ายทวนกระแสกับ Salmon Fishing in the Yemen
Salmon Fishing in the Yemen (2011) หรือชื่อไทยว่า “คู่แท้หัวใจติดเบ็ด” เป็นเรื่องราวของคนกลุ่มหนึ่งที่พยายามจะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้...ให้เป็นไปได้ ชื่อเรื่องอาจจะฟังดูงงสักหน่อยนะคะ แต่ก็เพราะความงงๆ นี่แหละที่ทำให้เรื่องนี้น่าสนใจ บางทีเรื่องประหลาดๆ ก็ให้อะไรดีๆ กับเราได้เหมือนกัน

เรื่อง ‘เป็นไปไม่ได้’ ที่ว่าก็คือ ท่านชีคเศรษฐีน้ำมันตะวันออกกลางมีโครงการสร้างสถานที่ตกปลาในประเทศที่เต็มไปด้วยทะเลทรายอย่างเยเมน เรื่องคงไม่พิลึกถ้าปลาที่ท่านชีคอยากให้นำมาปล่อยจะไม่ใช่ ‘ปลาแซลมอน’ ที่โดยปกติแล้วจะอาศัยอยู่ในเขตน่านน้ำที่มีอากาศหนาวเย็นเท่านั้น ท่านชีคมอบหมายภารกิจสวนกระแสนี้ให้ แฮเรียต (นำแสดงโดย เอมิลี่ บลันท์) ตัวแทนในประเทศอังกฤษเป็นคนประสานงาน ประจวบเหมาะกับที่รัฐบาลอังกฤษต้องการสร้างภาพจากข่าวน่ายินดีจากประเทศในตะวันออกกลางเพื่อลดความรุนแรงจากกระแสสงคราม โครงการตกปลาแปลกประหลาดนี้จึงเตะตาเลขาธิการสำนักงานนายกฯ เข้าอย่างจัง ร้อนถึงผู้เชี่ยวชาญเรื่องปลาๆ อย่างด็อกเตอร์อัลเฟรด หรือ เฟร็ด (นำแสดงโดย อีวาน แมคเกรเกอร์) ที่โดนบังคับให้มาดูแลโครงการ

เมื่อท่านชีคพยายามเกลี้ยกล่อมด็อกเตอร์เฟร็ด
“If your sheikh wants to pour his money down the drain, why doesn’t he buy a football club like everyone else,”
“ถ้าท่านชีคของคุณอยากจะสูญเงินเปล่า ทำไมเขาไม่ซื้อสโมสรฟุตบอลเหมือนกับคนอื่นๆ ล่ะ”
ดร.อัลเฟรด โจนส์
แน่นอนว่าเฟร็ดปฏิเสธความเป็นไปได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้อ่านอีเมล์นำเสนอโครงการ...อะไรทำให้เขาเปลี่ยนใจและหันมาว่ายทวนกระแส...ฝูงปลาหรือว่าแฮเรียต?

(เฟร็ด) คุณว่าปลาแซลมอนจะอยู่ที่นี่ได้หรือแฮเรียต?
เสน่ห์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ อย่างแรกคงหนีไม่พ้นการแสดงของนักแสดงนำทั้งสอง อีวาน แมคเกรเกอร์ และ เอมิลี่ บลันท์ ที่โคจรมาพบกันเป็นครั้งแรกแต่ก็ดึงดูดเข้าหากันได้อย่างน่าประทับใจ เรื่องราวกุ๊กกิ๊กเกิดขึ้นเมื่อทั้งสองได้มีโอกาสทำงานด้วยกัน เหตุการณ์ระหว่างทางทำให้ทั้งคู่รู้จักกันมากขึ้น ความเห็นอกเห็นใจนำมาซึ่งความเข้าใจ ความปรารถนาดี และทำให้เกิดความรักขึ้นมาในที่สุด

(ท่านชีค) ถ้าคุณไม่มีใจ ผมคิดว่าเราคงไม่มีทางสำเร็จ
ถ้าใครเบื่อหนังรักเลี่ยนๆ หวานจนน้ำตาลเรียกพี่ก็ขอให้ลองดูเรื่องนี้ เพราะสารสร้างความหวานของเรื่องไม่ได้อยู่ที่ฉากสวีทหวานเวอร์แต่กลับเป็น ท่าทางการแสดงและปฏิกิริยาเคมีระหว่างนักแสดงนำทั้งสองรวมไปถึงบทสนทนาในหลายๆ ฉากที่สร้างทั้งเสียงหัวเราะและก่อให้เกิดความรู้สึกดีๆ ขึ้นมาได้อย่างประหลาด...เรียกได้ว่ามาเงียบๆ ง่ายๆ แต่ก็ลึกซึ้งไปอีกแบบ

(แฮเรียต) คุณว่ามันจะเป็นไปได้มั้ย?
อย่างที่สองและก็น่าจะเป็นสิ่งสวยงามที่สุดของเรื่องก็คือแนวคิดหลักที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของ “ศรัทธา” ที่ว่า ‘คนเราถ้ามีใจให้กับอะไร ต่อให้เรื่องนั้นจะยากแค่ไหนก็สามารถทำให้สำเร็จได้’ ฟังดูก็เหมือนๆ กับหนังสร้างแรงบันดาลใจหลายๆ เรื่องแต่ที่น่าสนใจก็คือวิธีการนำเสนอ

หลายคนอาจจะสงสัยว่าแล้วศรัทธาเกี่ยวอะไรกับแซลมอล แล้วทำไมจะต้องเป็นแซลมอน? ทำไมถึงเป็นปลาชนิดอื่นไม่ได้ ใบ้ให้นิดนึงว่าปลาแซลมอนเป็นปลาที่มีความพิเศษชอบว่ายทวนกระแสน้ำ แล้ว ‘อะไร’ ที่มันสวนกระแสก็มักจะน่าสนใจ ไม่ใช่หรือ?...เหมือนกระแสเด็กแนว หรือที่บุคคลสำคัญของโลกหลายๆ คนเคยสร้างเรื่องราวสวนกระแสเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกกันมาแล้วในอดีต

บรรดานักคิดสวนกระแสจากแขนงต่างๆ ที่กลายมาเป็นบุคคลสำคัญของโลก
Salmon Fishing in the Yemen ได้รับเสียงลือเสียงเล่าอ้างจากนักวิจารณ์ภาพยนตร์จากหลายสถาบันว่าเป็นหนังโรแมนติกคอมเมดี้ที่ดีที่สุดจากเกาะอังกฤษในปี 2011 กำกับโดย Lasse Hallstrom ผู้กำกับสัญชาติสวีเดนที่เคยฝากผลงานสร้างชื่อมาแล้วจากเรื่อง Chocolate (2000) และล่าสุด Dear John (2010) คงไม่ต้องบอกว่าหนังรักถือว่าเป็นแนวถนัดของเขาเลยทีเดียว ที่สำคัญหนังรักในแบบฉบับของเขาก็ไม่เหมือนใคร ถ้าใครเคยดู Dear John ก็คงจะพอนึกภาพออกว่าผู้กำกับคนนี้มีวิธีนำเสนอความโรแมนติกได้อย่างน่าสนใจทีเดียว นอกจากจะกำกับโดยผู้กำกับฝีมือดีแล้วบทภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับการ ดัดแปลงโดยนักเขียนบทเจ้าของรางวัลออสการ์จากการเขียนบทดัดแปลงภาพยนตร์ เรื่อง Slumdog Millionaire (2008) การันตีได้ว่าสร้างขึ้นด้วยองค์ประกอบคุณภาพแต่ว่าจะดีสมคำร่ำลือหรือเปล่า คุณๆ คงต้องไปลองชมและตัดสินกันเอง

ศรัทธาจงเจริญ!

“Faith is the cure that heals all troubles. Without faith there is no hope and no love,”
“ศรัทธาเป็นยารักษาได้ทุกปัญหา ถ้าไม่มีศรัทธาก็ไม่มีความหวังและความรัก”
ชีคมูฮัมหมัด

มาดามอองทัวร์
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
//forum.watkarn.org/read.php?tid-23354-fpage-77.html
6389
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 171.96.19.237 วันที่: 12 พฤศจิกายน 2555 เวลา:16:45:37 น.  

 
 
 
อิอิ วันนี้ขึ้นเวรอีกแระคร้าาาาา
นี่ก็เพิ่งจะโดน พณฯทั่นมอด มาบ่นออด ๆ ให้ฟังทางหลังไมค์
ทั่นด็อกก็เรยเกิดอารมณ์บ่ จอย พลอยหาเรื่องฟาดงวงฟาดงา
จัดหนัก หั้ย อิพวกพุทธมามกะจ๋า อีกจั๊กดอกส์ สองดอกส์
นี่ก็ไม่รู้ว่า อมยิ้มจะอยู่ได้ อีกกี่มื้อ
ฉงฉัยจะได้เวลา ถีบหัวส่ง ตาเฒ่าสุมาอี้
กลับไป อ๋อยอี๋เอี๋ยง ก๊ะ หนุ่ม ๆ ที่ เวบพังจิต ซะละมั้ง
แหม๊ ? ไม่ได้ โผล่หัว เข้าไปแถวนั้นตั้งนาน
ป่านนี้ แควนขับที่นั่น คง ชะเง้อคอยหา ซะละมั้ง อิอิ
 
 

โดย: นู๋บี วันที่: 12 พฤศจิกายน 2555 เวลา:22:48:59 น.  

 
 
 














From : ฝ่ายสื่อสารสมาชิก [12 พฤศจิกายน 2555 15:08]







สวัสดีค่ะ คุณ หม่ามี๊แก้ว

ทีมงานได้ทำการลบกระทู้ เช่น 12909430#10

++++++++++++++++++++++++++++
อืม...ในสายตาของอิพวกสังคมแสร้งจริต...เอ๊ย...ยึดติดก๊ะศรัทธาจริตจ๋านี่
อิพวกนั้นมันจะคิดไง ม่ะลู้นะ
แต่ในสายตาของคนที่ชอบเสพย์สิ่งรอบตัวเป็นงานศิลปะแนวอินดี้
ชิ้นงานนี้ มันก็แหวกแนว มีไอเดียสร้างสรรน์
แปลกใหม่ กิ๊บเก๋ ไม่ซ้ำซากจำเจ ดีนิ
แต่ อิฉันชอบ พระเครื่องรุ่นโคโยตี้รูดเสา มากกว่าว่ะ
ปอลิง
เอ ? แล้วเมื่อไร จะมีคนริเริ่ม
ทำ พระสีวลี ปางถือดูเร็กซ์ มั่งว้าาาาา

++++++++++++++++++++++++++++
(2)12909430#21 อืม...ขออนุยาด ยื้ม คำพูด คห.14 มาแพล่ม

เพื่อ ปลอบใจ อิพวกไฮโซไฮซ้อ

ที่อยู่ใน แวดวง สังคมแสร้งจริต หน่อยนะจ๊ะ
หลักธรรม คำสอน ของพระพุทธเจ้า ก็ยังคงเดิม
พระ ก็ยัง เป็น พระ
คนห่มผ้าเหลือง ก็ยังเป็นคนห่มผ้าเหลือง

แล ลิง ห่มผ้าเหลือง ก็ยังคง เป็น ลิงห่มผ้าเหลือง เช่นกัล คร้าา
++++++++++++++++++++++++++++++++


นั้นออกไปจากระบบ เนื่องจากท่านแสดงความคิดเห็นโดยใช้คำหยาบคายก้าวร้าว การลบความคิดเห็นออกไปนั้นเพื่อรักษาบรรยากาศการแลกเปลี่ยนความเห็นในเว็บบอร์ดให้กับเพื่อนสมาชิกอื่น ซึ่งทำให้บรรยากาศพูดคุยเสียไปถือเป็นการรบกวนการใช้งานของเพื่อนสมาชิก ตามที่ได้ประกาศไว้ในไกด์ไลน์ ทีมงานจึงทำการลบกระทู้ดังกล่าวออกไปนะคะ และเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการที่ท่านจะถูกระงับการใช้งานทีมงานจึงขอความร่วมมือจาก ท่านโปรดงดโพสต์กระทู้ที่มีเนื้อหาคำหยาบคายก้าวร้าวค่ะ

 
 

โดย: นู๋บี วันที่: 12 พฤศจิกายน 2555 เวลา:22:49:34 น.  

 
 
 
เอ้า เอามาฝากจร้าาาาาา
( คาดว่า อีกไม่นาน โพสคงโดนลบ
และ คงโดน เจี๋ยนอมยิ้ม สมใจ อิตั้วเจ้นู๋บี มันละ
จะไดกลับไปจำศีล ในกะลา ซะที อิอิ

ช่วยกันลงชื่อยับยั้งการทำลายโบราณสถานพระพุทธศาสนา อายุกว่า2600ปี ในอัฟกานิสถาน

//www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12891118/Y12891118.html#71

ความคิดเห็นที่ 71 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน

อืม...เข้ามาหั้ยกิ๊บบังจิม เพราะโดนใจ กับ คำว่า

คนที่เช่า มัน ทุบศาลพระภูมิ แล้ว คุณจะไปคุยกับผู้ให้เช่า ทำไม ครับ
คุณก็ต้องไปคุยกับผู้เช่า สิครับ ถูกต้องไหมละครับ

อ่ะเจ้าค่ะ อืม...อ่าน ความเห็นของบังจิม ในกาทู้นี้
แล้ว ก็เห็นด้วย มากมาย นั่นสินะ คนเช่าเขาจะ ทุบศาลพระภูมิ
ในที่ อันเป็นกรรมสิทธิ ของเขา จะไปเต้นแร้งเต้นกาทำไม ?
กับสิ่งที่ มิใช่ กรรมสิทธิ ของตน ?

แหม ? อ่าน กาทู้นี้ แร้ว
นึกถึง คำพังเพยโบราณ ที่ว่า

เอากุ้งฝอยไปตก ปลากระพง จัง

พวกพุทธมามกะจ๋า น่ะ ชอบอ้างกันจริ๊ง
ว่า สิ่งที่ กำลัง รณรงค์ล่าแต้ม เอ๊ย สะสมรายชื่ออยู่นี้
คือการ ปกป้อง พระพุทธศาสนา ?
เฮ้ออ อิฉันว่า นะ ถ้าจะรักษา พุทธศานา จริง ๆ น่ะ
หัดไปศึกษา เรื่อง โลกธรรม 8 ให้มันเกิด อนิจจังลงใจ ได้ซะก่อนเหอะ
มัวแต่มาร้องแรกแหกกระเชอ งี้
ระวังจะขายขี้หน้าไปถึงสมณะโคดมน้าาา


เฮ้ออ แต่ก็นั่นแหล่ะนะ เรื่องนี้ มันก็เป็น ปกติ วิสัย
ของ พวกพุทธแท้แบบไทย ๆ นั่นแหล่ะ
ชอบเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ ปล่อยให้ อคติ 4 มาบังตา
จนลืม นึกถึงคำว่า การเคารพสิทธิอันชอบธรรมโดยสมมุติบัญญัติ


มิหนำซ้ำ ก็ยังชอบเอา กุ้งฝอยไปตกปลากระพง
คิดแต่จะไป ล่ารายชื่อ มากดดันเจ้าของกรรมสิทธิ
โดย ไม่คิดเลยว่า สิ่งที่พวกเขากำลังทำนั้น
มันส่งผลเสียหาย ถึง ผู้ถือครองสิทธิโดยชอบธรรม ยังไงบ้าง
คิดจะเอาแต่ได้ ฝ่ายเดียว โถ ๆ ช่างไม่คิดจะลงทุนเอาเสียเลย


นี่ ๆ เคยได้ยิน คำพูดนี้ มั่งไหม There is no Free Lunch. น่ะ
เด็กเศษสาด เคยสอนไว้ ของฟรี ไม่เคยมี ของดีไม่เคยถูกอ่ะ
ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนต้องมีต้นทุน ด้วยกันทั้งนั้น
และ ถ้า คุณอยากจะได้ สิ่งของที่หมายปอง
คุณก็ต้อง รู้จัก ที่จะลงทุนจ่ายค่าต๋ง ให้ผู้ที่เป็นเจ้าของ
ตามมูลค่า ที่ควรจะเป็นด้วย ไม่ใช่ ไปกระโดดเย้ว ๆ
ไปหักคอ ให้ เจ้าของกรรมสิทธิโดยชอบธรรม
เขาต้องยอมทำตามศรัทธาอันหน้ามืดของพวกคุณ งี้น่ะ

จะยกตัวอย่าง ต่อจากบังจิม ให้เห็นภาพ นะ
บังแก คงจะเกรงใจ เหล่าพุทธมามกะจ๋า
เรยไม่กล้าพูดรุนแรง เพราะแกเป็นคนนอก
แต่อิฉัน ไม่มีอะไรที่จะต้องเกรงใจพวกคุณนี่หว่า
ดังนั้น ขออนุยาด จัดหนัก จัดเต็ม !


อนึ่ง ถ้า ผู้เช่า เค้าได้รับ สิทธิโดยชอบธรรม ตามสมมุติบัญญัติ
ให้ สามารถเข้าไปหาประโยชน์ และ กระทำการต่าง ๆ ใน ที่ดินที่เช่าได้
ถ้า เค้าจะ รื้อศาลพระภูมิ ในที่อันเป็น กรรมสิทธิ นั้น ๆ
เพราะมันเกะกะ ขวางทาง ทำให้เขา เสียประโยชน์
จากการใช้ที่ดิน ตามสิทธิอันชอบธรรม


ถามหน่อยสิ พวกคุณมีสิทธิอะไร ที่จะไป ห้ามเขา
ในเมื่อ เขาได้กระทำ ในของเขต ของสิทธิ อันพึงมีพึงได้
สำหรับโลกของธุรกิจน่ะ เวลามันเป็นเงินเป็นทองนะคุณ
แล้ว ที่พวกคุณไปขอร้องให้ เขายับยั้งการดำเนืนการต่าง ๆ แบบนี้
เคยคิดบ้างไหม ว่า ไอ้ฉันทาคติ ที่ พวกคุณแบกไว้
มันไปทำให้ เขาเดือดร้อนสูญเสียรายได้ แล้ว เจ๊งบ๊ง ไปตั้งเท่าไร


อย่าเอา คำว่า ศรัทธา กับ คำว่า เหยียบย่ำหัวใจชาวพุทธ
และ คำว่า ปกป้องพุทธศาสนา มาเอ่ยอ้างหน่อยเลย
พวกคุณ มันก็แค่ กะสันอยากจะปกป้องกิเลสตัณหา
และ อัตตาตัวเองเท่านั้นแหล่ะนะ เหอะ ๆ


นี่ ๆ จะแนะนำอะไร ให้นะ
ถ้าคุณอยากจะ ปกป้องสิ่งที่คุณ เคารพบูชา
คุณก็ต้อง กล้าที่จะสละบางสิ่งเพื่อมันด้วย
ไม่ใช่ว่า สละได้แค่น้ำลาย ออกไปร้อง เย้ว ๆ งี้
เรื่องนี้ มันต่างกับ เคส พระพุทธรูปแห่ง บามิยัน นะ
เพราะมัน ไม่ได้มีพวก ตาลีบัน เข้ามาเกี่ยวข้อง
แต่ มันเป็น เรื่อง ของ ผลประโยชน์ล้วน ๆ


หากอยากจะ รักษาพระอิฐพระปูน พวกนี้ไว้
คุณ ก็ต้องระดมทุน ไปเจรจา
เสนอราคาซื้อขายแลกเปลี่ยน พระอิฐพระปูนนั่น กับ พวกเขาสิ
หมูไปไก่มา มันก็แฟร์ดีออกนิ
อย่าทำตัวเป็นพวกอุบาสิกาตัวอย่าง
ที่มีแต่ศรัทธา แต่ไม่รู้จักควักกระเป๋า ลงทุน ไปหน่อยเรย


สิ่งที่พวกคุณทำ มันก็ไม่ต่างอะไรกับ เรื่อง การดีดลูกคิดรางแก้ว
แล้ว พยามเอา กุ้งฝอยไปตกปลากระพง อย่างที่ อิฉันบอกนั่นแหล่ะ
อยากจะเรียกร้อง อยากจะได้ ของที่เป็นสิทธิโดยชอบธรรมของเขา
แต่ก็ไม่กล้าเอา อะไรไปแลกเปลี่ยน สิ
บริษัทพวกนั้นเขาไม่ได้เล่นของของนะเจ้าคะ
เขาเสียเงินลงทุนลงแรงไปตั้งเท่าไร
แล้วทำไม ต้องมายอมเดือดร้อน จนเจ๊งบ๊ง
ให้พวกคุณ มาชุบมือเปิบ กับทรัพย์สินที่เขาลงทุนลงแรงไปด้วย


ไหนลองตอบมาดิ คุณคิดว่า
ไอ้พระอิฐพระปูน ที่คุณเทิดทูนเอาไว้เหนือเกล้าเนี่ย
มันมีมูลค่าทางจิตใจ ที่ ตีเป็น เม็ดเงิน ได้เท่าไร
ถ้าไง ก็ลอง ไปตั้งกองกฐินกองผ้าป่า มาระดมทุน
ไปซื้อพระอิฐพระปูน พวกนั้น ต่อจากเขาสิ
ไม่แน่นะ ถ้า ราคาที่คุณเสนอไป มันมีมูลค่าเพียงพอ
เขาอาจจะใจอ่อน ยอมทำตามคำขอร้องของพวกคุณก็ได้นะ


แต่ไม่ใช่ มาเรียกร้องด้วยน้ำลายแบบนี้
เคยได้ยินไหม ฝากลมได้ลม น่ะ
การไปทวงคืน พระอิฐพระปูนของพวกคุณน่ะ ครั้งนี้น่ะ
มันก็เหมือนกับการทำบุญแบบมักง่าย
ของพวกพุทธแท้แบบไทย ๆ นั่นแหล่ะ
ควักเหรียญ 10 บาท มาทำบุญ
แต่ อธิษฐาน ขอให้รวย 100 ล้าน
คุณคิดว่า มันจะเป็นไปได้ไหมล่ะ ?


และถ้าพวกคุณ คิดว่า พระอิฐพระปูนพวกนั้น มันมีค่านักหนา
ก็ จงเอาทรัพย์สินและสิ่งของมีค่าของพวกคุณ มาแลกเปลี่ยน สิ
อยากรู้เหมือนกันว่า ถ้าเปลี่ยนจาก การล่ารายชื่อเฉย ๆ
มาเป็น การเรี่ยไร สักคนละล้านสองล้าน
เพื่อเอามาเป็น ค่าจ้างขนย้าย ตัวพระอิฐพระปูนพวกนั้น
ไอ้ ห้าหมื่น รายชื่อ ที่เพิ่มกระฉูดภายในพริบตา นั่น น่ะ
จะยัง มีคนยอมเฉือนเนื้อ เพื่อไปสังเวยศรัทธาอันมืดบอดของตัวเอง อยู่ไหม


ปอลิง
เฮ้อออ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า
การพูดจาโดยใช้ ข้อเท็จจริงมาพูดในครั้งนี้
มันจะทำให้ อิฉันโดนเจี๋ยน อมยิ้มไหมนะ
เฮ้ออ ป๊ะป๋าหมานเองก็เคยสอนไว้ เสมอนะ
ว่า ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่คนพูดความจริงน่ะ ตายทุกราย
แต่ไม่เป็นไร หรอกนะ ถ้าอมยิ้ม ของอิหม่ามี๊ ต้องล้มหายตายจากไป
เพราะ หลาย ๆ คนทนรับความจริง ไม่ได้ ก็คงต้องทำใจ


อ้อ และ เพื่อ ไม่ให้ บังจิม ต้องมาโดนหมั่นไส้
และ โดนเพ่งเล็ง ว่า เป็นคนจุดประเด็น
ให้อิฉัน เอาไปต่อ ความยาวสาวความยืด ในเรื่องนี้
ขอบอกว่า ทุก ๆ คำพูด ทุก ๆ ตัวอักษร ที่อิฉันเขียนนั้น
มันกลั่นมาจาก ความรู้สึกของตัวเองล้วน ๆ เจ้าค่ะ
ไม่ได้มีใครมาชักใยอยู่เบื้องหลัง
หรือ แอบเป็นไอ้โม่ง ปลอมตัวเป็นสปาย
เพื่อมาบ่อนทำลายศาสนาของพวกคุณ หรอกนะ
ยังไงซะ สนิมมันก็ เกิดแต่เนื้อในตน อยู่แล้วนิ
ไม่เห็นจะต้องเสียเวลา ไปบ่อนทำลาย อะไรเลย อิอิ

จากคุณ : ยื้มล็อกอินหม่ามี๊มาใช้เจ้าค่ะ (หม่ามี๊แก้ว) [Bloggang]
เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 22:05:57 [แก้ไข]

+++++++++++++++++++++++++++
จำนวนผู้ชม 15285 ครั้ง
จำนวนผู้ชม Profile 233 ครั้ง

+++++++++++++++++++++++++++
 
 

โดย: ทั่นด็อกฯ จัดหนัก หุหุ (นู๋บี ) วันที่: 12 พฤศจิกายน 2555 เวลา:22:53:21 น.  

 
 
 
นี นู๋ม่เคยคิดจะเปลียนอะไรเลยหรอ กี่ครั้งก็ยังเหมือนเดิม

เมือไม่อยากหลิวตาตาม ก็อย่าเข้าไปสิ กฏเขาก็มี ไม่ใช่เพื่อให้เป้นคนดี แต่ให้อยู่กันได้โดยไม่เบียดเบียนกัน
ความคิดที่นู๋ใส่เข้าไปมันเบียดเบียนความคิดคนอื่นรู้มัย

ไอเห็นต่างมันก็ดี มันจะดีกว่านี้ถ้าลดคำเสียดสีลง. เช่นพวกนั้นนี่

รู้ว่าฉลาดก็ปล่อยให้คนอื่นเขาโง่บางเถอะ อย่าให้ฉลาดเหมือนนู๋ทุกคนเลย
 
 

โดย: สอนคนเก่งจากคนโง้ IP: 171.5.72.98 วันที่: 12 พฤศจิกายน 2555 เวลา:23:46:59 น.  

 
 
 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไชย ณ พล ผู้เขียนหนังสือ คนโง่ คนฉลาด คนเจ้าปัญญา

คน...แบ่งอย่างหยาบๆ ได้ 2 ประเภท คือคนทุกข์ กับคนสุข แต่แบ่งให้ละเอียดขึ้นอีกนิด จะได้ 3 ประเภท คือคนโง่ คนฉลาด และคนเจ้าปัญญา

คนทั้ง 3 ประเภทนี้จะคิด เห็น และทำ ในสิ่งที่ต่างกันไป จึงได้รับผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน

คนโง่ ชอบเข้าสู่สถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ นำชีวิตไปสู่ความเสี่ยง ความสำเร็จจึงแขวนอยู่บนความประมาท

คนฉลาด ชอบเข้าสู่เฉพาะสถานการณ์ที่ควบคุมได้ จึงมีสถานการณ์เพียงน้อยนิดที่เหมาะสม ชีวิตมีความเสี่ยงต่ำ แต่สำเร็จเพียงเล็กน้อย

คนเจ้าปัญญา บริหารความเสี่ยง ควบคุม ปรับจุดหมุน กระจาย และสลายความเสี่ยง บริโภคคุณค่าแล้วคายกากภัยทิ้ง จึงสำเร็จได้ง่ายแม้ในความยากยิ่ง

คนโง่ รอให้ความสำเร็จมาหา อาจต้องรอหลายชาติกว่าจะพบสักครั้ง

คนฉลาด เดินไปหาความสำเร็จ จึงมีโอกาสพบบ้าง แม้ต้องเหนื่อยยาก

คนเจ้าปัญญา ปักหลักสร้างความสำเร็จ หากสร้างเป็นย่อมสำเร็จแน่ และเหนื่อยน้อยกว่า

คนโง่ ปล่อยใจตนเอง จึงไหลไปตามสิ่งเร้า กลายเป็นทาสของสถานการณ์

คนฉลาด ขังใจตนเอง ไม่ไหลไปตามสิ่งเร้า จึงเป็นอิสระจากสถานการณ์ แต่เป็นทาสตัวเอง

คนเจ้าปัญญา ชำระใจตนเอง บริสุทธิ์กว่าสิ่งเร้าและตนผู้ถูกเร้า จึงเป็นอิสระเหนือสิ่งทั้งปวง

คนโง่ ชอบทำชีวิตให้ยุ่งยาก ด้วยการประกอบตัวแปรที่ไม่จำเป็นมากมาย กว่าจะสำเร็จได้ แต่ละอย่างจึงแสนเข็ญ

คนฉลาด ชอบทำชีวิตให้เรียบง่าย ด้วยการผสานเฉพาะตัวแปรที่สำคัญและจำเป็น จึงสำเร็จง่าย สบายๆ

คนเจ้าปัญญา ชอบทำชีวิตให้อยู่เหนือเงื่อนไข ด้วยการสลายอิทธิพลของตัวแปร แล้วใช้อำนาจในการสร้างความสำเร็จโดยตรง ทุกอย่างจึงเป็นไปดังใจหมาย

คนโง่ ดิ้นรนเพื่อการดำรงอยู่ จึงอยู่ต่อไปแม้โง่งมและบรมทุกข์

คนฉลาด ดิ้นรนเพื่อการพัฒนา จึงมีชีวิตเจริญก้าวหน้าโดยลำดับ

คนเจ้าปัญญา ดิ้นรนเพื่อความเป็นอิสระ บริสุทธิ์ จึงหลุดพ้นโดยลำดับ

คนโง่ งุ่มง่ามแสวงหาคุณค่าภายนอกตน ยิ่งพบมากก็ยิ่งเห็นว่าตนด้อยค่า จึงยอมตนเป็นทาสสิ่งต่างๆ ภายนอก

คนฉลาด งุ่นง่านแสวงหาคุณค่าในตน ยิ่งพบมากก็ยิ่งเห็นว่าตนล้ำค่า จึงหลงตน กลายเป็นทาสตัวเอง

คนเจ้าปัญญา ย่อมแสวงหาคุณค่าสากล ยิ่งพบมากก็ยิ่งเห็นความธรรมดาในทุกสิ่ง จึงมี เป็น และบริโภคทุกสิ่งเหมือนไม่มี ไม่เป็น

คนโง่ เพราะเลี้ยงความประมาท ด้วยคิดว่า "ช่างมัน" จึงพลาดซ้ำซากอยู่เรื่อย

คนฉลาด บ่มเพาะความรอบคอบด้วยคติที่ว่า "คิดให้ดีก่อนทำ" จึงพลาดน้อย แต่ก็ชักช้าอย่างยิ่ง และบ่อยครั้งคิดมากจนไม่กล้าทำอะไรเลย

คนเจ้าปัญญา ปลูกฝังสติ "รู้ รู้ชัด" ในจิตสำนึก แล้วรู้ลึกความเหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ จึงสำเร็จอย่างพอดีกับภาวะตามเวลาอันเหมาะสม

คนโง่ เห็นทุกข์เป็นสุข จึงรักษาทุกข์ไว้ ด้วยสำคัญว่าเป็นสุขหรือน่าจะนำสุขมาให้ ยิ่งรักษาก็ยิ่งทุกข์ และระทมร่ำไห้

คนฉลาด เห็นทุกข์เป็นทุกข์ แล้วต่อสู้อยู่ในท่ามกลางความทุกข์ ยิ่งพยายามก็ยิ่งพบความไม่น่าพึงพอใจ และท้อแท้เรื่อยไป

คนเจ้าปัญญา เห็นทุกข์เป็นของไร้สาระ จึงโยนทิ้งไปเสีย จึงเป็นอิสระ โปร่ง เบาสบายยิ่งนัก

//hilight.kapook.com/view/29917
4762

 
 

โดย: อิอ่อน IP: 110.169.205.198 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:28:47 น.  

 
 
 
คำพูดของขงจื่อ เมื่อ 2000 กว่าปีก่อน

คนฉลาดและขยัน ควรส่งเสริมให้เป็นใหญ่

คนฉลาดและขี้เกียจ ควรเลี้ยงไว้เป็นที่ปรึกษา

คนโง่และขี้เกียจ ยังพอบังคับให้ทำงานได้

คนโง่และขยัน ต้องเอาไปตัดหัวทิ้ง เพราะจะทำให้งานเสีย

- ขงจื๊อ

//www.oknation.net/blog/chineseclub/2012/01/12/entry-1
1991
 
 

โดย: อิอ่อนสอนขัน IP: 110.169.205.198 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:32:01 น.  

 
 
 
ขงจื้อ พบ เหลาจื้อ
ครั้งหนึ่ง มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินทางมาจากรัฐลู่ ( หลู่ ) เพื่อมาขอคำแนะนำจากเหลาจื้อ ชายหนุ่มผู้นี้คือขงจื้อ เหลาจื้อเห็นว่าขงจื้อเป็นคนหนุ่มที่อายุน้อยแต่มีความรู้ลึกซึ้ง จึงยินดีที่จะให้คำแนะนำ

ขงจื้อถามเหลาจื้อเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมของราชวงศ์จิว เหลาจื้อรู็สึกว่าขงจื้อเป็นคนหนุ่มที่มีความมุ่งมั่นจะช่วยมวลชน แต่จากประสบการณ์ของตนเองรู้ว่าคนที่มีลักษณะนี้จะต้องพบอุปสรรคมากมาย ดังนั้นเหลาจื้อจึงกล่าวเตือนสติขงจื้อว่า... " เจ้าเดินทางมาจากแดนไกลเพื่อมาถามข้าเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมของคนโบราณ ซึ่งผู้คนเหล่านั้นล้วนตายไปนมนาน แม้แต่กระดูกก็เน่าเปื่อยสิ้น เหลือเพียงถ้อยคำที่บันทึกไว้ คนรู้จักคิดนั้นในยามที่พบว่าสามารถทำ
อุดมการณ์ของตนให้ปรากฏเป็นความจริง ก็ควรมุ่งหน้าทำไป หากไม่สบโอกาสก็ควรค่อยๆ เดินไป ไม่ควรใจร้อน ข้าเคยได้ยินผู้คนกล่าวว่า... " พ่อค้าที่เชี่ยวชาญจะนำสินค้าเก็บซ่อนไว้ เขาคือผุ้รู้วิถีทางที่ถูกต้องและเป็นสุภาพชน แต่มองจากภายนอก ดูประหนึ่งเป็นคนโง่เขลา " เจ้าควรทำใจว่างสักหน่อย ไม่ควรเกิดความหยิ่งทะนง ควรทำใจให้ผ่องใสและเงียบสงบ จงเลิกความอยากทั้งปวง ไม่ควรมีอุดมการณ์มากเกินไปเพราะจะไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวเจ้าเอง สิ่งที่ข้าสามารถจะเตือนสติเจ้าได้ ก็เพียงเท่านี้ "

ขงจื้อพักอาศัยในเมืองหลวงของราชวงศ์จิวเป็นเวลานานจนกระทั่งเรียนรู้สิ่งที่ต้องการรู้ เมื่อเรียนจบจึงมาอำลาเหลาจื้อ เหลาจื้อจึงกล่าวว่า... " ผู้มีเงินทองมากมายนั้น ยามจะจากกันจะมอบเงินทองเป็นของขวัญ ส่วนผู้ที่เป็นคนรักคนและเป็นคนดี ยามจะส่งคนจากไป จะมอบถ้อยคำเป็นของขวัญข้าไม่มีเงินทอง ฉะนั้น จึงขออุปโลกน์ตนเป็นคนรักคนไปก่อน โดยมอบถ้อยคำเป็นของขวัญว่า ผู้มีสติปัญญาแต่ทำการมากเกินไปกระทั่งไม่เกิดผลดี ล้วนเป็นเพราะชอบวิจารณ์เรื่องคนอื่น ส่วนคนฉลาดที่ฝีปากดีแต่กลับพบอันตรายแทบเอาชีวิตไม่รอด เป็นเพราะชอบเปิดเผยเรื่องแผนการลับของคนอื่น ผู้เป็นบุตรคนไม่ควรทำเช่นนี้ ผู้เป็นขุนนางไม่ควรทำเช่นนี้ "
//pumalone.blogspot.com/2012/09/blog-post_12.html
2819
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 110.169.205.198 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:35:35 น.  

 
 
 
คำสอนของขงจื๊อ

ความจนและขาดการศึกษา เป็นสาเหตุก่ออาชญากรรม

เจ้าผู้ครองรัฐถามว่า

"จะปกครองรัฐด้วยวิธีเดียวกับที่ท่านปกครองนคร ได้หรือไม่"

ขงจื๊อตอบว่า "วิธีการนี้ แม้จะใช้ปกครองทั้งประเทศก็ได้"

เจ้าผู้ปกครองรัฐลู่ จึงตั้งให้ขงจื๊อเป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมของรัฐลู่

เมื่อได้รับตำแหน่งขงจื๊อก็เริ่มศึกษาคุกตะรางก่อนอื่น

หลังจากศึกษาข้อเท็จจริงทุกอย่างกระจ่างแล้ว
ขงจื๊อจึงเรียกประชุมผู้พิพากษา นักกฎหมาย
และพัสดีทั้งหลาย แล้วกล่าวต่อที่ประชุมว่า

"ข้าพเจ้าได้ศึกษาข้อเท็จจริงอย่างถี่ถ้วนแล้ว ได้ความว่า
นักโทษเกือบทั้งหมดเป็นคนจน ไร้การศึกษา
ความจนและขาดการศึกษา เป็นสาเหตุก่ออาชญากรรม
ถ้าเรากำจัดความโง่เขลาและความจนได้
บ้านเมืองก็เจริญและสงบสุข

วิธีการกำจัดความโง่เขลาก็คือ
ให้การศึกษาแก่ประชาชนโดยทั่วถึง

และวิธีการกำจัดความจนก็คือ
สนับสนุนให้ประชาชนประกอบอาชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
เป็นพลเมืองดีของชาติ"

*+* *+* *+*

ถ้าผู้ปกครองเลว ประชาชนก็เลวตาม
ถ้าผู้ปกครองดี ประชาชนก็ดีตาม

ผู้พิพากษาคนหนึ่งถามว่า

"เราจะเริ่มต้นตรงไหน ด้วยวิธีใด ที่จะให้ประชาชนซื่อสัตย์สุจริต เป็นพลเมืองดี"

ขงจื๊อตอบว่า

"เริ่มต้นที่ตัวท่านทั้งหลายนี่แหละ ท่านทั้งหลายเป็นผู้ปกครอง
ถ้าผู้ปกครองเลว ประชาชนก็เลวตาม
ถ้าผู้ปกครองดี ประชาชนก็ดีตาม"

กฎเกณฑ์หรือวิธีการข้อแรกของการเป็นคนดี ก็คือ

"อยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อตนอย่างไร จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างนั้น
และอย่าปฏิบัติต่อผู้อื่นในสิ่งที่ตนเองก็ไม่ต้องการ"

อมตพจน์ของขงจื๊อ

"ยามพบคนดี จงพยายามเอาเป็นตัวอย่าง
ยามพบคนชั่ว จงวิจัยความผิดพลาดของเขา"
"จงอย่ากังวลว่า คนเขาจะไม่รู้ความสามารถของท่าน
แต่จงกังวลให้มาก ถ้าตัวท่านไม่มีความสามารถเลย"

"การศึกษาโดยไม่คิด ไร้ประโยชน์
การคิดโดยไม่ศึกษา เป็นอันตราย"

"จงกล่าวว่า รู้ เมื่อท่านรู้จริง ๆ
จงยอมรับว่า ไม่รู้ ในสิ่งที่ท่านไม่รู้
นี้คือหนทางไปสู่ความรู้"

//www.arunsawat.com/board/index.php?topic=11659.0;wap2

9878
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 110.169.205.198 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:52:06 น.  

 
 
 
ฉลาดอย่างไม่ซื่อ ก็ คือฉลาดไปเข้าคุก เข้าตะราง สุดปลายทางก็คือ…..นรก
ถ้าซื่ออย่างไม่ฉลาด ก็คือ เซ่อ เหมือนคนละเมอเดินไปตกบันได…ตาย
ผู้กินอยู่เกินพอดี จงเตรียมตัวไว้ให้เต็มที่ เพื่อพบกับความไม่มีอะไรจะกิน…
พุทธทาสภิกขุ
สำนักสวนโมกขพลาราม
อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี

" สูงส่งแต่ไม่เย่อหยิ่ง ชนะแต่ไม่ลำพอง
ปราดเปรื่องแต่รู้จักลงเวที เข้มแข็งแต่มีความอดกลั้น…"
ขงเบ้ง

" เชื่อหนังสือจนหมด สู้อย่ารู้หนังสือเลยยังจะดีกว่า.."
เม่งจื้อ

" น้ำใสสะอาดเกินไป…..ย่อมไร้ซึ่งมัจฉา
คนที่เข้มงวดเกินไป…..ย่อมไร้ซึ่งบริวาร.."
ปันกู้

ลูกหมาไม่มีโอกาสตอบแทนคุณพ่อแม่
แต่ลูกหมาไม่เคยทำให้พ่อแม่น้ำตาตก
พุทธทาสภิกขุ..

" พึงระลึกไว้ว่าบางอย่างที่ถูกต้องตามกฎหมายไม่ได้แปลว่า ถูกต้องตามศีลธรรม "
อับราฮัม ลินคอล์น
รัฐบุรุษแห่งสหรัฐอเมริกา
(1809-1865)

คนหล๊วกอยู่ตี้เก่า บ่าเต้าคนง่าวตี้เตียวตาง
(คนฉลาดอยู่แต่ที่เก่า ไม่เท่าคนโง่ที่เดินทาง)
หลวงปู่หล้า ตาทิพย์
วัดป่าตึง

//www.rmutphysics.com/charud/speak/speak4/philo.htm

1671
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 110.169.205.198 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:57:54 น.  

 
 
 
อะโหลลลลลลลลลลลล แควน ๆ เจ้าขราาาา
ตะละแม่มาแล่ เอ๊ย น้องพจมาน มันแวะเอากาทู้

แอบจับตรูด คุณหญิงแม่ ( และ บักสุมาอี้ )
มาให้ อ่านเล่น ๆ อ่ะ อ่ะคร้าาาาาาาา

//www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12926336/Y12926336.html


อ้อ แล้วเด๋ว ครึ้ม ๆ จา โพส กาทู้ ตลบหลังสุมาอี้
มาให้ ทัศนานะเจ้าคะ หุหุ




จำนวนผู้ชม 15355 ครั้ง
จำนวนผู้ชม Profile 235 ครั้ง

 
 

โดย: ตะละแม่ มาแล่ เอ๊ย แมรี่ หุหุ (นู๋บี ) วันที่: 13 พฤศจิกายน 2555 เวลา:23:58:57 น.  

 
 
 
ก๊อปมาฝากเน้อ...

สติปัญญามาก
ถ้าสวยหล่อแล้วหลอกง่าย ถ้าขยันจนร่ำรวยแล้วใช้เงินแบบโง่ๆจนหมดตัว ชีวิตก็ไม่ต้องได้มีความสุขกัน ฉะนั้น ปัญญาจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญของชีวิตดีๆ ปัญหาคือทุกวันนี้บรรดาผู้เชี่ยวชาญยังคงงงงวยกันไม่เลิกว่าสติปัญญามาจากไหนกันแน่ จะว่าเป็นเชื้อที่ถ่ายทอดมาจากพ่อแม่หรือปู่ย่าตายาย ก็คงพูดไม่ได้เต็มปากเต็มคำ เพราะบางคนฉลาดระดับอัจฉริยะในขณะที่พ่อแม่มีสติปัญญาปานกลางหรือค่อนข้างต่ำ ตรงข้าม บางคนพ่อแม่เป็นถึงอาจารย์มหาวิทยาลัยมีผลงานวิจัยดีเด่น แต่ลูกกลับหัวช้า สอบเข้าเรียนที่ไหนก็ไม่ติด เป็นต้น

พุทธพจน์

ให้ปฏิภาณย่อมได้ปฏิภาณ
(โภชนทานสูตร)

การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทานทั้งปวง
(คาถาพระธรรมบท)

ปัญญามีศีลเป็นเครื่องชำระให้บริสุทธิ์ และในทางกลับกัน ศีลก็มีปัญญาเป็นเครื่องชำระให้บริสุทธิ์ด้วย ศีลมีในบุคคลใด ปัญญาก็มีในบุคคลนั้น ปัญญามีในบุคคลใด ศีลก็มีในบุคคลนั้น ปัญญาเป็นของบุคคลผู้มีศีล ศีลเป็นของบุคคลผู้มีปัญญา และนักปราชญ์ย่อมกล่าวศีลกับปัญญาว่าเป็นยอดในโลก เหมือนบุคคลล้างมือด้วยมือ หรือล้างเท้าด้วยเท้าฉะนั้น
(โสณทัณฑสูตร)

คนในโลกนี้ จะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม ถ้าเข้าหาสมณะหรือพราหมณ์แล้วสอบถามว่า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ อะไรเมื่อทำแล้วเปล่าประโยชน์ ทำแล้วให้ผลเป็นทุกข์ตลอดไป อะไรเมื่อทำแล้วเกิดประโยชน์ ทำแล้วให้ผลเป็นสุขตลอดไป เมื่อเขาได้คำตอบแล้วรับเอาเป็นข้อปฏิบัติจนชั่วชีวิต เมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกในภายหลัง เขาจะเป็นคนมีปัญญามาก
(จูฬกัมมวิภังคสูตร)

มีธรรมอยู่ข้อหนึ่ง ที่ใครก็ตามทำให้เจริญขึ้นในตนเป็นอันมากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ปัญญาเจริญ ปัญญาไพบูลย์ ปัญญาใหญ่ ปัญญามาก ปัญญาลึกซึ้ง ปัญญาแก่กล้า ปัญญากว้างขวาง ปัญญาว่องไว ปัญญาเร็ว ปัญญาร่าเริง ปัญญาแล่น ปัญญาคม ปัญญาชำแรกกิเลส ธรรมข้อนั้นคืออะไร? คือ กายคตาสติ คือการเอากายนี้เป็นที่ตั้งของการเจริญสติ
(ปสาทกรธัมมาทิบาลี)

กรรมในการให้ทาน

การให้ทานจะทำให้เราหายโง่ในขั้นพื้นฐาน นั่นเพราะอะไร? เพราะปกติคนทั่วไปจะหลงเชื่อกิเลส นึกว่าหวงไว้ เอาเข้าตัวท่าเดียว นับว่าได้เปรียบ ได้เป็นสุข ความจริงก็คือยิ่งเอาเข้าตัวเท่าไร ยิ่งอึดอัดคัดแน่นในอกขึ้นเท่านั้น แต่ทั้งที่กระวนกระวายไม่เป็นสุขอยู่เห็นๆ คนเรายังกลับเข้าข้างกิเลส หลงเชื่อมันอยู่ปีแล้วปีเล่า

เมื่อฝึกให้ คุณจะพบจากประสบการณ์จริงว่าทานทำให้ฉลาดขึ้น แบ่งตามชนิดได้ คือ

๑) ทรัพยทาน

เมื่อรู้จักแบ่งปันทรัพย์ส่วนเกิน กระทั่งให้ได้ไม่เสียดาย ให้ได้ทุกครั้งที่มีโอกาส คุณจะเกิดความฉลาดทางจิต เห็นว่าอะไรที่พะรุงพะรัง อะไรที่ไม่จำเป็นต้องแบก จะทิ้งเสียก็ได้ หากปราศจากความฉลาดทางจิตแบบนี้แล้ว คุณจะพร้อมหวงไปทุกอย่าง อยากได้ไปทุกสิ่ง จนไม่มีที่ว่างให้สติปัญญาเกิดขึ้นเลย

ความโง่ทำให้เราเสียไม่เป็น ถ้าของหายหรือเสียของไป ใจจะทิ้งไม่ลง ทั้งที่รู้แก่ใจว่าอย่างไรก็ไม่ได้คืน ทางเดียวที่คุณจะรับมือกับเงินหาย ๕๐๐ บาท คือ ต้องเคยทำบุญ ๕๐๐ บาทมาก่อน ความฉลาดระดับ ๕๐๐ จึงจะเกิดขึ้นและปล่อยวางเงินที่หายไป ๕๐๐ เสียได้

๒) อภัยทาน

เมื่อรู้จักอภัยในความผิดพลาดของคนอื่น กระทั่งเป็นคนโกรธได้แต่หายเร็ว คุณจะเกิดความฉลาดทางจิต เห็นความเย็นดีกว่าความร้อน เห็นการนอนหลับสนิทหรือฝันดี ประเสริฐกว่าการนอนดิ้นไปกับฝันร้าย หากปราศจากความฉลาดทางจิตแบบนี้แล้ว คุณจะมัวคิดถึงแต่คำว่าตาต่อตา ฟันต่อฟัน ฆ่าได้หยามไม่ได้ ฝ่ายคุณเอาเปรียบได้แต่ไม่มีทางเสียเปรียบใคร ใจก็ผูกเวรอยู่ได้แม้ด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆตามถนนหนทาง หลายต่อหลายคนบาดเจ็บ พิการ หรือกระทั่งล้มตาย เพียงเพราะฉลาดไม่พอจะระงับอารมณ์โง่ชั่ววูบเท่านั้น

๓) ธรรมทาน

เมื่อรู้จักช่วยส่งเสริมให้ใครต่อใครได้คิด ได้เอาตัวออกจากความโง่ประการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของความตระหนี่ และในแง่ของความพยาบาท คุณเองย่อมฉลาดขึ้นไปอีก

แต่หากคุณคิดอยากใหญ่ สั่งสอนคนอื่นด้วยอาการยกตนข่มท่าน จาระไนเรื่องทานราวกับผู้มีทานบารมี ทั้งที่ยังตระหนี่เงินทอง หรือยังผูกพยาบาทอาฆาตเก่ง อย่างนี้นอกจากไม่ทำให้ฉลาดขึ้น ยังกดตัวเองให้โง่หนักเข้าไปอีก ค่าที่รู้แล้วไม่ทำ หนำซ้ำยังจะหลอกคนอื่นให้เข้าใจว่าตัวเองสูงส่งอีก

เมื่อให้ธรรมทานเป็น กระทั่งมีแก่ใจอยากให้ธรรมทานมากๆ คุณจะฉลาดทางความคิดและทางจิตไปพร้อมๆกัน เพราะการพูดโน้มน้าวให้คนอื่นได้ดีตามคุณนั้น ต้องฝึกกลั่นคำพูดออกมาจากใจที่เป็นกุศล จนเกิดศิลปะในการเลือกคำ ผูกคำ ด้วยศิลปะแห่งการตัดตรงเข้าสู่ตัวปัญหาทางใจ ตรงไหนเป็นปมทุกข์ ตรงไหนเป็นวิธีแก้ปมทุกข์

การเห็นวิธีแก้ทุกข์ให้คนอื่น แต่กลับไม่เห็นวิธีแก้ทุกข์ให้ตนเอง เป็นหลักฐานอย่างหนึ่งที่จะแสดงให้คุณเองรู้และฉลาดขึ้นได้ว่า ธรรมที่ให้คนอื่นเป็นทานนั้น ใช่ของที่มีในตนจริง หรือสักแต่ไปลักขโมยคำของผู้มีธรรมจริงมาพูดกันแน่

พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้อะไรได้อย่างนั้น ไม่ใช่ให้จานได้จานคืน ให้ตู้เย็นเขาแล้วเราจะได้ตู้เย็นใหม่จากคนอื่น แต่เป็นภาวะที่เสมอกัน เช่น ให้สุขย่อมได้สุข ให้ความฉลาดย่อมได้ความฉลาด ให้ธรรมะย่อมเพิ่มพูนธรรมะ แต่ถ้าให้แต่ลมปาก ก็จะได้แค่ลมแล้งกลับคืนมานั่นเอง

ชาวพุทธส่วนใหญ่เข้าใจว่าธรรมทานคือการแจกหนังสือหรือสื่อธรรมะทั้งหลาย ความจริงก็คือถ้าคุณแจกมั่ว ผลดีผลร้ายก็กลับมามั่วเช่นกัน ทางที่ปลอดภัยคือต้องอ่านหรือฟังเองจนรู้ชัดว่าเป็นธรรมะดี ธรรมะที่ไม่พาหลงทาง ธรรมะที่ก่อให้เกิดศรัทธาในพระพุทธเจ้า ธรรมะที่ก่อให้เกิดความเชื่อในผลแห่งกรรมว่ามีจริง ธรรมะที่ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจให้เพียรเพื่อพ้นทุกข์ แล้วจึงค่อยแจกจ่ายธรรมะนั้น ใจถึงจะอิ่มเอิบ เบิกบานกว้างขวางจริงๆ

กรรมในการรักษาศีล

บางคนรู้สึกอยู่ลึกๆว่าตัวเองก็ฉลาดไม่แพ้ใครอื่น แต่น่าเจ็บใจที่มีข้อติดขัดบางประการ หลายครั้งเมื่อจะต้องตัดสินใจครั้งสำคัญดันไม่มีสมาธิ จู่ๆก็หนักหัวขึ้นมาเฉยๆ หรือช่วงต้นวัย พอใกล้สอบไม่อยากอ่านหนังสือ ถึงเวลาสอบจริงยิ่งรู้สึกเหมือนคนไม่มีแรงว่ายน้ำไปให้ถึงฝั่ง ราวกับมีอะไรมาดึงแขนดึงขาไว้

เหล่านั้นเป็นตัวอย่างของ "คลื่นรบกวนความฉลาด" ซึ่งมีอยู่หลายแบบ อาจจะเป็นการสั่งสมนิสัยทอดธุระ ผัดวันประกันพรุ่งจนเคยตัว หรือไม่ก็เป็นผลของบาปเก่าๆที่ตามมาเล่นงาน แกล้งบดบังไม่ให้ทำการอันเป็นไปเพื่อความก้าวหน้าได้ถนัดนัก

//www.dungtrin.com/siadai/pages/25.html
7836
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 110.168.110.130 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:01:56 น.  

 
 
 
สุภาษิตจีน...

กระจกไว้ดูหน้า ปัญญาไว้ดูใจ

กลิ่นหอมที่รุนแรง ดึงดูดภุมรินที่น่าเกลียด

แกล้งโง่ให้ถูกเวลาเป็นยอดฉลาด

ขลาดนักเสียการ กล้านักเสียกาย

คนชอบเขาว่าเราดี คนชังเขาว่าเราชั่ว

คนฉลาดต้องรู้ว่าตนเองโง่

คนฉลาดไม่พูดมาก คนโง่พูดเป็นฉากๆ

คนใจแคบกังวลทุกเรื่อง คนใจกว้างยอมรับไปทั่ว

งาช้างที่ไหนจะงอกจากปากหนูนา

ง่ายตอนที่คิด พอทำกับมาติด

งูพิษที่เลวร้ายมีค่ามากกว่าเพื่อนเลวที่หักหลัง

จงเข้มงวดกับตนเอง แต่ให้ผ่อนปรนกับคนอื่น

จงเรียนให้ชัด จงดูให้เห็น จงทำให้จริง

จงรู้ว่าตัวเราเป็นใคร และเป็นตัวของตัวเอง

ฉลาดหรือโง่วัดกันที่วาจา

ฉากแรกที่มีรัก เป็นบทจบของสติปัญญา

เฉพาะคนที่ขี้เกียจ ถึงจะเชื่อเรื่องโชคชะตา

เฉพาะคนที่ไม่ลดละ ผู้นำรออยู่ข้างหน้า

ฉิบหายตอนต้น ดีกว่าเสียหายตอนปลาย

ชัยชนะที่สูงค่า คือชนะใจตนเอง

ชมด้วยคำหลอกไม่สำเร็จเท่าด่าด้วยคำจริง

ชีวิตคือความเศร้าในคนทุกข์ คือความสนุกในยามฝัน

ดินไม่อวดว่ากว้าง ฟ้าไม่อวดว่าสูง

ดูด้วยตาหนึ่งครั้ง ดีกว่าฟังมาร้อยหน

เดินด้วยขาตนเอง ดีกว่ารอคนมาพยุง

ท้อแท้จะผิดหวัง ลังเลจะแพ้พ่าย

ทองคำถ้าอยู่ ผ้าขี้ริ้วก็ไร้ค่า คนถ้ามีวิชาก็สูงส่ง

ทุกคนล้วนซึ้ง ในวจีที่ออกมาจากใจ

ธรรมใดก็ไม่เกิดถ้าไม่ทำ

บุคคลใดไม่มีเพื่อน บุคคลนั้นไม่มีสังคม

พรุ่งนี้ไม่มืด มะรืนก็ไม่สว่าง

พูดคนฉลาดหนึ่งคำ พูดคนโง่ร้อยคำ

ไฟพิสูจน์ทอง ความอดทนพิสูจน์คน

ภัยที่น่ากลัวคือการกระทำที่ไม่รู้จักคิด

มองสูงได้ ก็อย่าหาที่ต่ำ

รอบคอบแต่ขาดปัญญา ดีกว่ามีปัญญาแต่ไม่รอบคอบ

รักที่จะสู้ ต้องพร้อมอยู่เมื่อแพ้

ระหว่างเพื่อน คำเท็จไม่กล่าว

รักแท้หายาก แต่มิตรแท้กับยากกว่า

ลิงน่าเกลียด แต่ก็กระเดียดมาทางเรา

วาจาถ้าหวานนัก ความหมายมักจะขมขื่น

ศัตรูที่ร้ายกาจของมนุษย์คือตัวเอง

ศาสนาพูดไม่ได้ แต่เข้าถึงใจได้ลึกที่สุด

สอนใครก็สอนได้ แต่สอนตนสอนไม่ได้

สัจจะไม่มีคำอธิบาย ก็เข้าใจได้โดยง่าย

อวดรู้เพราะไม่รู้ อวดรวยเพราะไม่มี

อวดสวยเพราะไม่งาม

อย่าเปิดความในใจ หากยังไม่ถึงเวลา

อย่าหลงงมงายกับคำยอ อย่าท้อแท้กับคำหยาบ

อยู่ในเรือนกระจก อย่าคิดขว้างก้อนหิน

ข้อมูลจาก //www.baanjomyut.com
//www.nabia10.com/sara/supasitjeen.html

2446
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 110.168.110.130 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:37:08 น.  

 
 
 
พระพุทธองค์ท่านสอนว่า อัตตาหรืออนัตตา ถ้าเป็นอัตตาก็เป็นตัวตน ถ้าเป็นอนัตตาไม่ได้อาศัยตัวตน อันนี้เป็นคนละเรื่องกัน ให้แก้ไขสิ่งที่พอจะแก้ไขได้ ถ้าสิ่งที่แก้ไม่ได้ก็ปล่อยไปไม่เคยสอนให้อยู่นอกข้อประพฤติปฏิบัติ ถึงจะมีปัญญามากก็ตาม ถ้าเอาตัวเองพ้นทุกข์ไม่ได้ก็ไม่เรียกว่าคนมีปัญญา

ถ้าคนมีปัญญา พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า คนอันธพาลถึงจะมีปัญญามากก็ตาม แต่ก็เป็นปัญญาทราม ปัญญาดีไม่มีเลยพวกโจรมันมีปัญญาในการปล้น พวกนักรบมีปัญญามาก มีไหวพริบดีในการสร้างศาตราอาวุธ สร้างระเบิดสารพัดอย่าง มีความเก่งกล้าสามารถ มีปัญญามากก็จริง แต่เป็นปัญญาทรามปัญญาดีไม่มีเหมือนมะม่วงเน่าให้ประโยชน์ไม่ได้

ปัญญาทราม
มีปัญญามากอยู่ แต่ตัวเองได้รับความทุกข์ ถึงมีมากก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย มีปัญญาทางสร้างอาวุธมารบยิงฆ่าฟันกันอย่างนี้มันไม่เกิดประโยชน์ เหมือนคนผู้มีปัญญาปรุงยาพิษมากิน คนกินก็ตาย ไก่หรือสุนัขกินก็ตาย มันดีหรือปัญญาอย่างนั้นปัญญาปรุงยาพิษให้คนกินแล้วตาย ในใบสลากยาก็ว่ายาดี ดีอย่างนั้น ดีที่เป็นโทษเป็นภัยต่อชีวิตของคนและสัตว์ในโลก ท่านเรียกปัญญาทราม

เมื่อมองเห็นโทษก็เห็นประโยชน์
พวกเราก็เหมือนกัน จะไปอยู่ที่ไหนก็ตามถ้าไม่มีปัญญาเอาตัวไม่รอด อยู่ที่นี้ก็เหมือนกัน ถ้าสิ่งใดที่เรามองไม่เห็นโทษของมันอย่างชัดเจน ก็จะเลิกได้ยาก อยากจะเลิกก็เลิกไม่ได้ ถ้าเรามองเห็นโทษก็จะมองเห็นประโยชน์ขึ้นมาพร้อมกัน มันก็เลิกได้ถึงจะจมอยู่ในน้ำหรืออยู่บนพื้นดิน มันก็จะผุดขึ้นมาจนได้ จิตใจของผู้ปฏิบัติอย่างนั้นหาได้ยาก จะมีแต่คำพูดออกมาหลายๆ อย่างแต่ความคิดเห็นจริงๆ นั้นจะไม่มี สิ่งใดที่มาผ่านจะเอาให้หมด ตั้งไว้ไม่อยู่ ครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน ไปที่ไหนท่านก็ไปให้ความรู้ความเห็นสารพัดอย่าง จะรวมลงคือ "ทุกข์"

//www.isangate.com/dhamma/thinking_right.html

3287
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 110.168.110.130 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:46:57 น.  

 
 
 
คัดลอกมาบางส่วนจากบทความ...
ชัยชนะอยู่เหนือความโกรธ โดย นคร เวชสุภาพร

สุภาษิต 14:17
“คนโมโหร้ายประพฤติโง่เขลา แต่คนเฉลียวฉลาดนั้นอดทน”

สุภาษิต 14:29
“บุคคลที่โกรธช้า ก็มีความเข้าใจมาก แต่บุคคลที่โมโหเร็ว ก็ยกย่องความโง่”

สุภาษิต 27:3
“หินก็หนัก และทรายก็มีน้ำหนัก แต่การยั่วเย้าของคนโง่ ก็หนักยิ่งกว่าทั้งสองอย่างนั้น”

สุภาษิต 29:11 ก็บอกไว้อย่างนี้ว่า
“คนโง่ย่อมให้ความโกรธของเขา พลุ่งออกมาเต็มที่ แต่ปราชญ์ย่อมยับยั้งโทสะไว้เงียบๆ”

ปัญญาจารย์ 7:9 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า
“อย่าให้ใจของเจ้าโกรธเร็ว เพราะความโกรธมีประจำอยู่ในทรวงอกของคนเขลา”

ความโกรธเป็นนิสัย หรือเป็นลักษณะของคนโง่

มีสุภาษิตจีนกล่าวไว้ว่า “เมื่ออารมณ์โกรธเข้าประตูหน้า สติปัญญาก็โผล่ออกที่ประตูหลัง”

“ผู้ที่สามารถควบคุมอารมณ์โกรธไว้ได้ คือผู้มีปัญญายอดเยี่ยม”

หนังสือเอเฟซัส 4:26-27 จึงได้บันทึกอย่างนี้ว่า
“จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่ และอย่าให้โอกาสแก่มาร”

//www.holyofholies.net/sermons09/06_jun_21.html

3957
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 110.168.110.130 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:57:02 น.  

 
 
 
ออมสิน:
ลีลากรรมของสตรีสมัยพุทธกาล
อ.วศิน อินทสระ

วิสาขามหาอุบาสิกา
(สตรีผู้งามพร้อม)

มหาสมุทรย่อมไม่อิ่มด้วยน้ำ
บัณฑิตและปราชญ์ย่อมไม่อิ่มด้วยคำสุภาษิต
ผู้มีศรัทธาเชื่อกรรมและผลของกรรม
ย่อมไม่อิ่มด้วยการทำบุญ
นางวิสาขาเป็นผู้มีศรัทธา
จะให้นางอิ่มด้วยบุญได้ไฉน

----------------------

ที่มาของข้อมูล
.
//larndham.net/index.php?showtopic=33489&st=0


มนุษย์จะเป็นอย่างไรก็ช่างเถิด แต่ขอให้เป็นตัวของตัวเอง คนที่ไม่เป็นตัวของตัวเองเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้

ตอนแรกพระพุทธองค์ทรงย้ำว่า บุคคลไม่ควรพยายามไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง นั้นหมายความว่า ก่อนจะใช้ความพยายามในสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ควรจะสำรวจเสียให้ดีก่อนว่า ความพยายามที่ทำไปนั้นจะได้ผลคุ้มค่าเหนื่อยหรือไม่ อุปมาเหมือนนักสำรวจทอง ก่อนที่จะลงมือขุดก็ควรจะใช้เครื่องมือสำรวจเสียก่อนว่าที่ที่ตนจะขุดนั้นมีทองอยู่หรือไม่ มิใช่ว่าพอจะขุดทองก็เริ่มขุดไปแต่บันไดบ้านทีเดียว ถ้าทำอย่างนั้นก็เป็นการเสียแรงเปล่า ได้ประโยชน์ไม่คุ้มค่า เป็นการลงทุนมากแต่ได้ผลน้อย

ส่วนเรื่องเป็นตัวของตัวเองก็มีความสำคัญมาก มนุษย์จะเป็นอย่างไรก็ช่างเถิด แต่ขอให้เป็นตัวของตัวเอง คนที่ไม่เป็นตัวของตัวเองเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้

ส่วนข้อที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ให้เป็นคนเลี้ยงตัวได้ ไม่ควรอาศัยผู้อื่นเลี้ยงชีพนั้น หมายความว่า บุคคลเมื่อมีอายุพอสมควรจะเลี้ยงตัวได้แล้วก็ควรประกอบอาชีพอย่างใดอย่างหนึ่งเลี้ยงตน มิใช่คอยแต่จะพึ่งพาอาศัยผู้อื่นอยู่อย่างเดียว เพราะการอาศัยผู้อื่นในวันที่ไม่ควรอาศัยเป็นการแสดงถึงความเป็นผู้ไร้ความสามารถ ส่วนสมณะผู้อาศัยอาหารจากเรือนของผู้อื่นแล้วยังชีพให้เป็นไปนั้น ก็เป็นเพราะสมณะเหล่านั้นอาศัยศีลของตน ถ้าประชาชนรู้ว่าเป็นผู้ไม่มีศีลไม่มีกัลยาณธรรม เขาย่อมไม่เลี้ยง ไม่ถวายอาหาร เพราะฉะนั้น สมณะก็ชื่อว่าเป็นผู้พึ่งตนเองกล่าวคือ อาศัยศีลและสัมมาจารของตนเป็นอยู่

ข้อต่อมาที่พระพุทธองค์ตรัสว่า บุคคลไม่ควรมีแผลประพฤติธรรมนั้นหมายความว่า ให้ประพฤติธรรมด้วยความสุจริตใจ มิใช่ประพฤติธรรมด้วยเจตนาที่จะหลอกลวงให้คนมานับถือ ดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงโปรดพระพุทธบิดา ณ กรุงกบิลพัสดุ์ว่า ควรประพฤติธรรมให้สุจริต อย่าประพฤติธรรมให้ทุจริต ผู้ประพฤติสุจริตย่อมมีความสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า นอกจากนี้พระพุทธองค์เคยตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายอยู่เสมอ ในเรื่องนี้ และทรงแนะให้ถือพระองค์เป็นเนติ ดังพระพุทธภาษิตต่อไปนี้

“ ภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์นี้เราประพฤติมิใช่เพื่อหลอกลวงคน มิใช่เพื่อให้คนทั้งหลายมานับถือ มิใช่เพื่อให้อานิสงส์สักการะและความสรรเสริญ มิใช่จุดมุ่งหมายเพื่อเป็นเจ้าลัทธิและแก้ลัทธิอย่างนั้นอย่างนี้ มิใช่เพื่อให้ใครรู้จักตัวว่าเป็นอย่างนี้ ที่แท้พรหมจรรย์นี้เราประพฤติเพื่อสังวระ คือความสำรวม เพื่อปานะ คือความละ เพื่อวิราคะ คือความคลายกำหนัดยินดี และเพื่อนิโรธะ คือความดับทุกข์ ”

ในตอนท้ายพระพุทธองค์ทรงย้ำว่า บุคคลจะเป็นคนดีเพราะชาติหรือผิวพรรณก็หามิได้ แต่จะเป็นคนดีก็เพราะความประพฤติดี คนชั่วเป็นอันมากปกปิดความชั่วของตัวไว้ เหมือนหม้อดินที่ฉาบทาด้วยทองแวววาวแต่เพียงภายนอกเท่านั้น ไม่แสดงอาการลวงผู้อื่นให้หลงเข้าใจผิดหรือหลงเคารพนับถือทั้ง ๆ ที่ตนเองเป็นคนเลว

//www.dhammakid.com/board/acaaaxeiaeeaaa/aoaoaaaieaoeanaooa-(-i-ceo1-io1ead-)/15/?wap2
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 58.11.141.31 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2555 เวลา:12:34:19 น.  

 
 
 
ออมสิน:
พระอานนท์กล่าวว่า : นางวิสาขามหาอุบาสิกานั้น มีเรื่องค่อนข้างจะมากอยู่ เป็นสตรีที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในพุทธจักร เป็นผู้มีบุญ และรูปงามสมบูรณ์ด้วยลักษณะเบญจกัลยาณี ๕ คือ ผมงาม หมายถึงผมซึ่งยาวสลวยลงมาแล้วมีปลายช้อนขึ้นเองโดยธรรมชาติ ฟันงาม หมายถึง ฟันขาวสะอาดเป็นระเบียบเรียงรายประดุจไข่มุกที่นายช่างจัดเข้าระเบียบแล้ว ริมฝีปากงาม หมายถึงริมฝีปากบางโค้งเป็นรูปกระจับสีชมพูเรื่อคล้ายผลตำลึงสุก เป็นเองโดยธรรมชาติ มิใช่เพราะตกแต่งแต้มทา ผิวงาม ลักษณะนี้มี ๒ อย่าง คือ ถ้าผิวขาวก็ขาวละเอียด อ่อนเหมือนสีดอกกรรณิการ์ ถ้าผิวดำก็ดำอย่างดอกอุบลเขียว อมเลือดอมฝาด เปล่งปลั่งคล้ายสำน้ำผึ้งซึ่งนำมาจากรังผึ้งใหม่ ๆ วัยงาม หมายถึง เป็นคนงามตามวัย งามทุกวัย เมื่ออยู่ในวัยเด็กก็งามอย่างเด็ก เมื่ออยู่ในวัยสาวก็งามอย่างหญิงสาว เมื่ออยู่ในวัยชราก็งามอย่างคนชรา

นางวิสาขามิใช่ชาวสาวัตถีโดยกำเนิด แต่เป็นชาวสาเกต ต้นตระกูลดั้งเดิมของนางอยู่เมืองภัททิยะ แคว้นอังคะ (สมัยนั้นอังคะและมคธรวมอยู่ในปกครองของพระเจ้าพิมพิสาร เมืองหลวงของแคว้นอังคะชื่อจัมปา ภัททิยะเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งของแคว้นอังคะ) สมัยเมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปขอเศรษฐีจากกรุงราชคฤห์นั้น จอมเสนาแห่งแคว้นได้มอบธนัญชัยเศรษฐีบิดาวิสาขาให้มา เมื่อเดินทางมาถึงเขตแคว้นโกศล ธนัญชัยเห็นสถานที่แห่งหนึ่งมีทำเลเหมาะที่จะสร้างเมืองได้ จึงทูลขอพระเจ้ากรุงสาวัตถีที่จะพักอยู่ที่นั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงอนุญาต ต่อมาจึงสร้างเป็นเมืองให้ชื่อว่า “สาเกต” เพราะนิมิตที่มาถึงตรงนั้นเมื่อตะวันรอน

วิสาขาเจริญเติบโตขึ้นที่กรุงสาวัตถีนั้นเอง เจริญวัยขึ้นด้วยความงาม งามอย่างจะหาหญิงใดเสมอเหมือนได้ยาก แต่เป็นผู้ไม่หยิ่งทะนงในความงาม มีความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นนิสัย มีกิริยาวาจาสุภาพเรียบร้อยสมเป็นกุลสตรีที่ได้รับการอบรมดี จนกระทั่งมีอายุพอสมควรจะแต่งงานแล้ว บิดาแห่งปุณณวัฒนกุมารในกรุงสาวัตถี จึงส่งทูตไปขอนางเพื่อบุตรของตน

การแต่งงานของนางวิสาขาเป็นเรื่องมโหฬารยิ่ง

ออมสิน:
ธนัญชัยเศรษฐีให้นายช่างทำเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์ เป็นชุดวิวาห์แห่งธิดา เครื่องประดับนี้แพรวพราวไปด้วยเพชรนิลจินดามากหลาย ไม่มีผ้าด้าย ผ้าไหม หรือผ้าใด ๆ เจือปนเลย ที่ ๆ ควรจะใช้ผ้า เขาก็ใช้แผ่นเงินแทน ในเครื่องประดับนี้ต้องใช้เพชร ๔ ทะนาน แก้วมุกดา ๑๑ ทะนาน แก้วประพาฬ ๒๐ ทะนาน แก้วมณี ๓๓ ทะนาน

ลูกดุมทำด้วยทอง ห่วงทำด้วยเงิน เครื่องประดับนี้คลุมตั้งแต่ศีรษะจรดหลังเท้า บนศีรษะทำเป็นรูปนกยูงรำแพน ขนปีกทั้งสองข้างทำด้วยทองข้างละ ๕๐๐ ขน จะงอยปากทำด้วยแก้วประพาฬ นัยน์ตาทำด้วยแก้วมณี ก้านขนและขาทำด้วยเงิน นกยูงประดิษฐ์อยู่เหนือเศียร เครื่องประดับนี้มีราคา ๙๐ ล้านกหาปณะ ค่าจ้างทำหนึ่งแสนกหาปณะและทำอยู่ถึง ๔ เดือน โดยนายช่างจำนวนร้อย จึงสำเร็จลง

คืนสุดท้ายที่วิสาขาจะจากไปสู่ตระกูลสามีนั่นเอง ธนัญชัยเศรษฐีผู้บิดาได้ให้โอวาทแก่นางเป็นที่ประทับใจและเป็นประโยชน์ในการครองเรือนยิ่งนัก โอวาทนั้นมี ๑๐ ข้อดังนี้

วิสาขา! เมื่อลูกไปสู่ตระกูลสามีชื่อว่าอยู่ไกลหูไกลตาพ่อ ลูกจงจำโอวาทของพ่อไว้เพื่อเป็นตัวแทนของพ่อ เป็นเกราะป้องกันภยันตรายสำหรับลูก

๑. จงอย่านำไฟในออก
๒. จงอย่านำไฟนอกเข้า
๓. จงให้แก่คนที่ให้
๔. จงอย่าให้แก่คนที่ไม่ให้
๕. จงให้แก่คนที่ทั้งให้และไม่ให้
๖. จงนั่งให้เป็น
๗. จงนอนให้เป็น
๘. จงบริโภคให้เป็น
๙. จงบูชาเทวดา
๑๐. จงบูชาไฟ

นางวิสาขาเข้าสู่พิธีอาวาหมงคลด้วยเกียรติอันยิ่งใหญ่ การต้อนรับทางกรุงสาวัตถีนั้นมโหฬารเหลือคณนา แต่บังเอิญตระกูลของปุณณวัฒนกุมารนั้นมิได้นับถือพระพุทธศาสนาแต่นับถือศาสนาของนิครนถ์นาฎบุตรหรือศานาเชน มักจะเชิญนักบวชผู้ไม่นุ่มห่มอะไรมาเลี้ยงเสมอ นางวิสาขามีความละอายเป็นพ้นที่ จนไม่สามารถออกมากราบไหว้และเลี้ยงสมณะที่มิคารเศรษฐีบิดาแห่งสามีเลื่อมใสได้ จึงเป็นที่ตำหนิของมิคารเศรษฐี นางวิสาขาเลื่อมใสพระรัตนตรัยตั่งแต่สมัยอยู่เมืองภัททิยะแล้ว เรื่องนี้เป็นข้อยุ่งยากในครอบครัวประการเดียวที่ยังแก้ไม่ตก

ออมสิน:
วันหนึ่งเวลาเช้า พระภิกษุรูปหนึ่งออกบิณฑบาตผ่านมาทางเรือนของมิคารเศรษฐี เวลานั้นนางวิสาขากำลังปฏิบัติบิดาแห่งสามีซึ่งบริโภคอาหารอยู่ เมื่อพระมายืนอยู่ที่ประตูเรือนตามอริยตันติ เศรษฐีมองเห็นแล้วแต่ทำเฉยเสีย และหันหน้าเข้าฝา บริโภคอย่างไม่สนใจ นางวิสาขาหาอุบายให้พ่อผัวมองไปทางประตูเรือนด้วยวิธีต่างๆ โดยวาจาเช่นว่า

“ท่านบิดา ดูที่ซุ้มประตูนั้นซิ เถาวัลย์มันเลื้อยรุงรังเหลือเกินแล้วยังไม่มีเวลาให้คนใช้ทำให้เรียบร้อยเลย”

“ช่างมันเถิด ไว้อย่างนั้นก็สวยดี” เศรษฐีพูดโดยมิได้มองหน้านางวิสาขาและมิได้เหลียวไปดูที่ซุ้มประตูเลย

“ท่านบิดา ดูนกตัวนั้นซิ สีมันสวยเหลือเกิน เกาะอยู่ที่ริมรั้วใกล้ซุ้มประตูนั่นแน่ะ”

“เออ พ่อเห็นแล้ว เห็นมันมาจับอยู่เสมอจนพ่อเบื่อจะดูมัน” เศรษฐียังคงก้มหน้าบริโภคต่อไป

เมื่อนางเห็นว่าหมดหนทางที่จะให้บิดาของสามีเห็นพระภิกษุอย่างถนัดได้จึงกล่าวขึ้นว่า

“นิมนต์โปรดข้างหน้าเถิดพระคุณเจ้า ท่านมิคารกำลังบริโภคของเก่า”

เพียงเท่านี้เอง เรื่องได้ลุกลามไปอย่างใหญ่หลวง เศรษฐีหยุดรับประทานอาหารทันที ตวาดนางวิสาขาด้วยอารมณ์โกรธ

“วิสาขา เธออวดดีอย่างไร จึงบังอาจพูดว่า เรากินของเก่าไม่สะอาด มีเรื่องหลายเรื่องที่เราเห็นเธอและบิดาของเธอทำไม่สมควร ต่อแต่นี้ไปเธออย่าได้อาศัยอยู่ในบ้านของเราอีกเลย ขอให้เตรียมตัวกลับไปบ้านของเธอได้” เศรษฐีพูดเท่านี้แล้วก็ลุกขึ้นให้คนไปตามพราหมณ์พี่เลี้ยงของนางมาแล้วบอกให้พราหมณ์นำนางวิสาขากลับไป

พราหมณ์ทราบความแล้วเดือดร้อนใจเป็นนักหนา รีบเข้าพบนางวิสาขาและถามด้วยจิตกังวลว่า

“แม่เจ้า มีเรื่องอะไรรุนแรงนักหรือ ท่านมิคารจึงให้ส่งแม่เจ้ากลับเมืองสาเกต”

“ดูก่อนพราหมณ์” นางพูดอย่างเยือกเย็นปราศจากความสะทกสะท้านใดๆ ทั้งสิ้น “เมื่อข้าพเจ้ามาก็มาด้วยเกียรติยศอันใหญ่หลวง มีข้าทาสบริวารเป็นจำนวนร้อย เมื่อถึงคราวกลับไปจะกลับอย่างไร้ญาติขาดที่พึ่งหาควรแก่ข้าพเจ้าไม่ เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้นแล้ว ข้าพเจ้าอยากให้เรื่องนี้ได้รับการพิจารณาเสียก่อน เมื่อเป็นที่แน่นอนว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ถูกหรือผิดก็ตาม ข้าพเจ้าก็จะขอลาไป และไปอย่างมีเกียรติอย่างคราวที่มา”

พราหมณ์ได้นำนางวิสาขาเข้าหาท่านเศรษฐีเพื่อซักฟอกความผิดให้เห็นแจ้ง มิคารเศรษฐีนั่งหน้าถมึงทึงมีอาการเกรี้ยวกราดฉายอยู่ทั้งใบหน้าและแววตา

“มีอะไรอีก พราหมณ์” เศรษฐีตั้งคำถามกระชากๆ

“ข้าแต่ท่านเศรษฐี แม่เจ้ายังไม่ทราบความผิดของตนว่ากระทำผิดประการใดจึงต้องถูกไล่กลับ” พราหมณ์ตอบ

“ความผิดประการใด” เศรษฐีทวนคำ “ก็การที่เธอบังอาจว่าเรากินของเก่าของสกปรกน่ะ ยังไม่พออีกหรือ”

ออมสิน:
“ข้าแต่ท่านบิดา” นางวิสาขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเป็นปกติ “คำที่ลูกพูดนั้นมิได้หมายความว่าท่านบิดาบริโภคของสกปรก แต่ลูกหมายความ ท่านบิดากำลังกินบุญเก่า ลูกคิดว่าการที่ท่านบิดามั่งมีศรีสุข มีเงินทองล้นเหลืออยู่ในปัจจุบันชาตินี้โดยที่ท่านบิดามิได้ลงทุนลงแรงทำอะไรมากนัก ทรัพย์สมบัติล้วนแต่เป็นมรดกตกทอดมาทั้งสิ้นนั้น เป็นเพราะบุญเก่าของท่านบิดาอำนวยผลให้ ถ้าท่านบิดาไม่สั่งสมบุญใหม่ให้เกิดขึ้น บุญเก่านั้นก็จะต้องหมดไปสักวันหนึ่ง ลูกหมายถึงบุญเก่านี่เองจึงพูดว่า บิดากำลังบริโภคของเก่า”

“ข้าแต่ท่านเศรษฐี ข้อนี้หาเป็นความผิดแห่งแม่เจ้าไม่” พราหมณ์พูดขึ้น

“เอาเถิด แม้นางจะไม่ผิดในข้อนี้ แต่เมื่อคืนก่อนนางก็ได้ทำสิ่งที่น่ารังเกียจ คือเราเห็นนางลงไปที่คอกลาเวลาดึกดื่นเที่ยงคืน นางลงไปทำไม เพราะนั่นเป็นกิจที่กุลสตรีไม่พึงทำ”

“ข้าแต่ท่านบิดา คืนนั้นลามันออกลูกและออกด้วยความลำบากทรมาน ลูกเพียงแต่ลงไปดูมันและช่วยมันเท่าที่ลูกจะช่วยได้ ในการลงไปลูกก็มิได้ลงไปเพียงคนเดียว มีหญิงคนใช้ไปด้วยหลายคน และนำประทีปโคมไฟสว่างไสวลงไปด้วย”

“ข้าแต่ท่านเศรษฐี แม้ข้อนี้ก็จะถือเป็นความผิดของนางหาได้ไม่” พราหมณ์กล่าว

“เอาเถิด แม้นางจะไม่ผิดในข้อนี้ แต่เมื่อคืนสุดท้ายที่นางจะมาสู่ตระกูลเรา เราได้ยินบิดาของนางพูดสั่งเสียข้อความถึง ๑๐ ข้อซึ่งเราไม่พอใจ เราไม่ต้องการสตรีที่พยายามปฏิบัติอย่างนั้นอยู่ในบ้านเรือนของเรา เพราะจะนำภัยพิบัติมาสู่ตระกูลอย่างแน่แท้ เป็นไปได้หรือที่จะห้ามมิให้เรานำไฟภายนอก เมื่อเพื่อนบ้านมาขอจุดไฟ และเมื่อไฟในบ้านดับ เราก็ต้องไปขอจุดไฟภายนอกเข้ามาในบ้าน บิดาของนางห้ามนางมิให้นำไฟในออกและไฟนอกเข้า เราทนไม่ได้ที่จะให้นางปฏิบัติเช่นนั้น เป็นการใจแคบเกินไป”

นางวิสาขายิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวว่า

“ข้าแต่ท่านบิดา ข้อนี้บิดาของลูกหมายความว่า ถ้าหากมีเรื่องยุ่งยากในครอบครัวหรือจะเกิดระหองระแหงกับสามีหรือบิดาแห่งสามีหรืออันโตชนใดๆ ก็อย่านำเรื่องเหล่านั้นไปเที่ยวเล่าให้ชาวบ้านฟัง เพราะเป็นเรื่องประจานตัวเอง ส่วนข้อที่ไม่ให้นำไฟนอกเข้านั้น หมายความว่า อย่าได้นำเรื่องยุ่งๆ ภายนอกบ้านมาก่อความรำคาญแก่สามี หรือบิดามารดาแห่งสามี”

“แล้วข้ออื่นๆ อีกล่ะ” เศรษฐีถามโดยมิได้เงยหน้า

นางวิสาขาชี้แจงให้ฟังตามลำดับดังนี้
ออมสิน:
“ข้อว่า จงให้แก่คนที่ให้ นั้นหมายความว่า เมื่อมีผู้มายืมของใช้หรือเงินทอง ถ้าเขาใช้คืนก็ควรจะให้เขายืมต่อไปในคราวหน้า”

“ข้อว่า จงอย่าให้แก่คนที่ไม่ให้ นั้นหมายความว่า ถ้าใครยืมเงินทองของใช้ไปแล้วไม่ใช้คืน นำไปแล้วเฉยเสีย แสดงถึงความเป็นคนมีนิสัยไม่สะอาด คราวต่อไปอย่าให้ยืมอีก โดยเฉพาะเงินทองเป็นของที่ทำให้มิตรรักกันได้ แตกกันก็ได้”

“ข้อว่า จงให้แก่คนที่ทั้งให้และไม่ให้ นั้นหมายความว่า เมื่อญาติพี่น้องประสบความทุกข์ยากบากหน้ามาพึ่ง จะเป็นการกู้ยืมหรือขอก็ตาม ควรให้แก่ญาติพี่น้องนั้น เขาจะใช้คืนหรือไม่ก็ช่างเถิด เพราะเป็นญาติพี่น้อง ต้องสงเคราะห์เขาตามควรแก่ฐานะ”

“ข้อว่า จงนั่งให้เป็น นั้นหมายความว่า เมื่อสามีหรือบิดามารดาของสามี หรือผู้ใหญ่อันเป็นที่เคารพนับถือนั่งอยู่ในที่ต่ำ ก็อย่าให้นั่งบนที่สูงกว่า เพราะเป็นกิริยาที่ไม่งาม ไม่สมเป็นกุลสตรี”

“ข้อว่า จงนอนให้เป็น นั้นหมายความว่า เมื่อบิดามารดาของสามีหรือสามียังไม่นอน ก็ยังไม่ควรนอน ควรปฏิบัติท่านเหล่านั้นให้มีความสุข เมื่อท่านนอนแล้วจึงค่อยนอนทีหลังและนอนวางมือวางเท้าให้เรียบร้อย พยายามตื่นก่อนสามี และบิดามารดาของสามี จัดแจงน้ำและไม้ชำระฟันไว้คอยท่าน เสร็จแล้วดูแลเรื่องอาหารเครื่องบริโภคไว้สำหรับท่าน”

“ข้อว่า จงบริโภคให้เป็น นั้นหมายความว่า อย่าบริโภคก่อนสามีหรือบิดามารดาของสามี คอยดูแลท่านให้ท่านบริโภคแล้วจึงค่อยบริโภคทีหลัง หรืออย่างน้อยก็บริโภคพร้อมกัน ในการบริโภคนั้นควรสำรวมกิริยาให้เรียบร้อยไม่มูมมาม ไม่บริโภคเสียงจั๊บๆ เหมือนอาการแห่งสุกร ไม่บริโภคให้เมล็ดข้าวตกเรี่ยราดดังอาการแห่งเป็ด”

“ข้อว่า จงบูชาเทวดา นั้นหมายความว่า ให้บูชาสามีทั้งกายและใจ มีความเคารพและจงรักในสามีเหมือนเทวดา จึงมีคำพูดติดปากกันมานานแล้วว่า สตรีที่แต่งงานแล้วและสามีรักนั้นชื่อว่าเทวดารักษาคุ้มครอง ตรงกันข้ามถ้าสามีไม่รักก็ชื่อว่าเทวดาไม่คุ้มครอง”

“ข้อว่า จงบูชาไฟ นั้นหมายความว่า ให้บูชาบิดามารดาของสามี ท่านทั้งสองเปรียบเหมือนไฟ มีทั้งคุณและโทษ อาจจะให้คุณให้โทษได้ ถ้าปฏิบัติดีก็จะให้คุณ ถ้าปฏิบัติไม่ดีก็ให้โทษมาก เพราะฉะนั้น จึงควรปฏิบัติต่อท่านด้วยดี มีสัมมาคารวะไม่ดูหมิ่น”

ออมสิน:
เมื่อนางวิสาขากล่าวจบลง ท่านมิคารเศรษฐีก็ก้มหน้านิ่ง ไม่รู้จะตอบนางประการใด พราหมณ์ชำระความระหว่างสะใภ้และพ่อผัวจึงกล่าวว่า “ข้าแต่ท่านเศรษฐี เรื่องทั้งหมดนี้นางหามีความผิดไม่เลย นางเป็นผู้บริสุทธิ์” เศรษฐีจึงกล่าวขอโทษนางวิสาขาที่ท่านเข้าใจผิดไป นางวิสาขาคงกล่าวว่า

“ข้าแต่ท่านบิดา บัดนี้ข้าพเจ้าพ้นความผิดทั้งปวงแล้ว จึงสมควรจะกลับไปสู่เรือนแห่งบิดาตน”

“อย่าเลยลูกรัก” มิคารเศรษฐีพูดกับสะใภ้ด้วยสายตาวิงวอน นางวิสาขาจึงกล่าวว่าเมื่อนางอยู่เรือนตน ณ นครสาเกตได้มีโอกาสทำบุญและฟังธรรมตามโอกาสที่ควร เมื่อนางมาอยู่ที่นี่แล้วนางไม่มีโอกาสทำได้เลย จิตใจกระวนกระวายใคร่จะทำบุญกุศลตลอดเวลา แต่หาได้กระทำไม่ ถ้าบิดาอนุญาตให้นางทำกุศลตามต้องการของนางก็จะดี แต่ถ้าบิดาไม่อนุญาตนางก็จะขอลากลับไปสู่นครสาเกตตามเดิม เศรษฐีจึงกล่าวว่า

“ลูกรัก ทำเถิด ทำบุญได้ตามปรารถนา พ่อไม่ขัดข้อง และปุณณวัฒนกุมารสามีของเจ้าก็คงไม่ขัดข้องเช่นกัน”

เมื่อเศรษฐีกล่าวอนุญาตเช่นนี้ หัวใจของนางวิสาขาที่เคยเหี่ยวแห้งก็กลับชุ่มชื้นเบิกบานประหนึ่งติณชาติซึ่งขาดน้ำมาเป็นเวลานาน และแล้วกลับได้อุทกธารา เพราะพระพิรุณหลั่งในต้นวัสสานฤดู หรือประดุจปทุมมาลย์เบ่งบานขยายกลีบ เมื่อต้องแสงระวีแรกรุ่งอรุณ ความสุขใดเล่าสำหรับผู้ใคร่บุญจะเสมอเหมือนการมีโอกาสได้ทำบุญหรือเพียงแต่ได้ฟังข่าวว่าจะได้ทำบุญ เฉกนักเลงสุราบานซึ่งชื่นชมยินดีต่อข่าวแห่งการดื่มสุราเมื่อทราบว่ามีผู้เชื้อเชิญ

(มีต่อ)

ออมสิน:
วันรุ่งขึ้นนางวิสาขาได้ทูลอาราธนาพระผู้มีภาคเจ้า และพระภิกษุสาวกเพื่อเสวยภัตตาหารที่บ้านตน พระพุทธองค์ทรงรับอาราธนาแล้วเสด็จสู่บ้านของนางวิสาขา เมื่อเสวยเสร็จแล้วมีพระพุทธประสงค์จะทรงอนุโมทนา และแสดงธรรมพอเป็นเครื่องปลื้มใจแห่งผู้ถวาย นางวิสาขาจึงให้คนไปเชิญบิดาสามีมา เพื่อร่วมฟังอนุโมทนาด้วย

ตามปกติเศรษฐีไม่เลื่อมใสในพุทธศาสนา เวลานั้นยังศรัทธาคำสอนของนิครนถ์นาฎบุตรอยู่ ไม่ปรารถนาจะมาเฝ้าพระศาสดาเลย แต่ด้วยความเกรงใจลูกสะใภ้จึงมา จึงทรงหลั่งพระธรรมเทศนาอันประกอบด้วยเหตุผลแพรวพราวไปด้วยเทศนาโวหารและอุทาหรณ์ พระองค์ตรัสว่า

“ข้าวเปลือก ทรัพย์ เงินทอง หรือของที่บุคคลหวงแหน อย่างใดอย่างหนึ่ง รวมทั้งทาส กรรมกร คนใช้ และผู้อาศัยอื่นๆ ทั้งหมดนี้บุคคลนำไปไม่ได้ ต้องทอดทิ้งไว้ทั้งหมด แต่สิ่งที่บุคคลทำด้วยกาย วาจา หรือด้วยใจ นั้นแหละที่จะเป็นของเขา เป็นสิ่งที่เขาต้องนำไปเหมือนเงาตามตัว เพราะฉะนั้นผู้ฉลาดพึงสั่งสมกัลยาณกรรมอันจะนำติดตัวไปสู่สัมปรายภพได้ เพราะบุญย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งปวง ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า”

พระองค์ตรัสว่าทรงเห็นด้วยกับคำกล่าวของบัณฑิตผู้หนึ่งว่า

“เมื่อไฟไหม้บ้าน ภารชนะเครื่องใช้อันใดที่เจ้าของนำออกไปได้ ของนั้นก็เป็นประโยชน์แก่เจ้าของ ที่นำออกไม่ได้ก็ถูกไฟไหม้วอดวายอยู่ ณ ที่นั้นเอง ฉันใด เมื่อโลกนี้ถูกไฟคือความแก่ ความตายไหม้อยู่ ก็ฉันนั้น คือ ผู้ฉลาดย่อมนำออกด้วยการให้ทาน ของที่บุคคลให้แล้วชื่อว่านำออกดีแล้ว มีความสุขเป็นผล ส่วนของที่ยังไม่ได้ให้หาเป็นเช่นนั้นไม่ แต่โจรอาจขโมยเสียบ้าง ไฟอาจจะไหม้เสียบ้าง อีกอย่างหนึ่งเมื่อความตายมาถึงเข้า บุคคลย่อมละทรัพย์สมบัติและแม้สรีระของตนไว้ นำไปไม่ได้เลย

ผู้มีปัญญารู้ความจริงข้อนี้แล้วพึงบริโภคใช้สอย พึงให้เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น เมื่อได้ให้ ได้บริโภคตามสมควรแล้ว เป็นผู้ไม่ถูกติเตียน ย่อมเข้าสู่ฐานะอันประเสริฐ”

พระพุทธองค์ตรัสต่อไปว่า “ความตระหนี่ลาภ เป็นความโง่เขลา เหมือนชาวนาผู้ไม่ฉลาดไม่ยอมหว่านพันธุ์ข้าวลงในนา เขาเก็บพันธุ์ข้าวปลูกไว้จนเน่าและเสียไม่สามารถจะปลูกได้อีก ข้าวเปลือกที่หว่านลงแล้ว ๑ เมล็ด ย่อมได้ผล ๑ รวง ฉันใด ทานที่บุคคลทำแล้วก็ฉันนั้น ย่อมมีผลมากผลไพศาล การรวบรวมทรัพย์สินไว้โดยมิได้ใช้สอยให้เป็นประโยชน์ ทรัพย์นั้นจะมีคุณแก่ตนอย่างไร เหมือนผู้มีเครื่องประดับอันวิจิตรตระการตา แต่หาได้ประดับไม่ เครื่องประดับนั้นจะมีประโยชน์อะไร รังแต่จะก่อความหนักใจในการเก็บรักษา

ออมสิน:
“นกชื่อมัยหกะชอบเที่ยวไปตามซอกเขา และที่ต่างๆ มาจับต้นเลียบที่มีผลสุกแล้วร้องว่า “ของกู ของกู” ในขณะที่มันร้องอยู่นั้นเอง หมู่นกเหล่าอื่นมากินผลเลียบตามต้องการแล้วจากไป นกมัยหกะก็ยังคงร้องว่า “ของกู ของกู” อยู่นั่นเอง ข้อนี้ฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้น รวมรวบสะสมทรัพย์ไว้มากมาย แต่ไม่สงเคราะห์ญาติตามที่ควร ทั้งมิได้ใช้สอยเองให้ผาสุก มัวแต่เฝ้ารักษาและภูมิใจว่า “ของเรามี ของเรามี” ดังนี้

เมื่อเขาประพฤติอยู่เช่นนี้ทรัพย์สมบัติย่อมเสียหายไป ทรุดโทรมไปด้วยเหตุต่างๆ มากมาย เขาก็คงคร่ำครวญอยู่อย่างเดิมนั่นเอง และต้องเสียใจในของที่เสียไปแล้ว เพราะฉะนั้นผู้ฉลาดหาทรัพย์ได้แล้ว พึงสงเคราะห์คนที่ควรสงเคราะห์ มีญาติ เป็นต้น

“ดูก่อนท่านทั้งหลาย” พระศาสดาตรัสต่อไป

“ทรัพย์ของคนไม่ดีนั้นไม่สู้อำนวยประโยชน์แก่ใคร เหมือนสระโบกขรณีอันตั้งอยู่ในที่ไม่มีมนุษย์ แม้จะใสสะอาดจืดสนิท เย็นดี มีท่าลง สะดวกน่ารื่นรมย์ แต่มหาชนก็หาได้ดื่มได้อาบหรือใช้สอยตามต้องการไม่ น้ำนั้นก็อยู่อย่างไร้ประโยชน์ ทรัพย์ของคนตระหนี่ก็ฉันนั้น ไม่อำนวยประโยชน์สุขแก่ใครๆ เลย รวมทั้งตัวเขาเอง”

“ส่วนคนดีมีทรัพย์แล้ว ย่อมบำรุงมารดา บิดา บุตร ภรรยา บ่าวไพร่ให้เป็นสุข บำรุงสมณพราหมณ์ให้เป็นสุข เปรียบเหมือนสระโบกขรณีอันอยู่ไม่ไกลหมู่บ้านหรือนิคม มีท่าลงเรียบร้อยสะอาดเยือกเย็นน่ารื่นรมย์ มหาชนย่อมได้อาศัยนำไปอาบดื่มและใช้สอยตามต้องการ โภคะของคนดีย่อมเป็นดังนี้ หาหมดไปโดยเปล่าประโยชน์ไม่

“ดูก่อนท่านทั้งหลาย นักกายกรรมผู้มีกำลังมากหรือนักมวยปล้ำซึ่งมีพลังมหาศาลนั้น ก่อนที่จะได้กำลังมาเขาก็ต้องออกกำลังไปก่อน การเสียสละนั้น คือการได้มาซึ่งผลอันเลิศในบั้นปลาย ผู้ไม่ยอมเสียสละอะไรย่อมไม่ได้อะไร จงดูเถิดมนุษย์ทั้งหลายรดน้ำต้นไม้ที่โคนแต่ไม้นั้นย่อมให้ผลที่ปลาย ท่านทั้งหลายจงพิจารณาดูความจริงตามธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งเถิด คือแม่น้ำสายใดเป็นแม่น้ำตาย ไม่ไหลไม่ถ่ายเทไปสู่ที่อื่น หยุดนิ่ง ขังอยู่ที่เดียว แม่น้ำสายนั้นย่อมพลันตื้นเขินและสกปรกเน่าเหม็นเพราะสิ่งสกปรกลงมา มิได้ถ่ายเท

นอกจากนี้บริเวณใกล้ๆ แม่น้ำสายนั้นจะหาพืชพันธุ์ธัญญาหารที่สวยสดก็หายาก แต่แม่น้ำสายใดไหลเอื่อยลงสู่ทะเล หรือแตกสาขาออกไปไหลเรื่อยไป มันไม่รู้จักหมดสิ้น คนทั้งหลายด้อาศัย อาบดื่ม และใช้สอยตามปรารถนา มันจะใสสะอาดอยู่เสมอไม่มีวันเหม็นเน่าหรือสกปรกได้เลย พืชพันธุ์ธัญญาหาร ณ บริเวณใกล้เคียงก็เขียวสดสวยงาม ”

ออมสิน:
“ บุคคลผู้ตระหนี่ เมื่อได้ทรัพย์แล้วก็เก็บตุนไว้ไม่ถ่ายเทให้ผู้อื่นบ้าง ก็เหมือนแม่น้ำตายไม่มีประโยชน์อะไรแก่ใคร ส่วนผู้ไม่ตระหนี่เป็นเหมือนน้ำที่ไหลเอื่อยอยู่เสมอ กระแสไม่ขาด ทั้งยังเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นสาธุชนได้ทรัพย์แล้วพึงบำเพ็ญตนเสมือนแม่น้ำซึ่งไหลใสสะอาด ไม่พึงเป็นเช่นแม่น้ำตาย ”

“ ยัญญสัมปทา หรือ ทาน จะมีผลมากอานิสงส์ไพศาล ถ้าประกอบด้วยองค์ ๖ กล่าวคือ

๑. ก่อนให้ ผู้ให้มีจิตผ่องใส ชื่นบาน
๒. เมื่อกำลังให้ จิตใจก็ผ่องใส
๓. เมื่อให้แล้ว ก็มีความยินดี ไม่เสียดาย
๔. ผู้รับเป็นผู้ปราศจากราคะ หรือปฏิบัติเพื่อปราศจากราคะ
๕. ผู้รับเป็นผู้ปราศจากโทสะ หรือปฏิบัติเพื่อปราศจากโทสะ
๖. ผู้รับเป็นผู้ปราศจากโมหะ หรือปฏิบัติเพื่อปราศจากโมหะ

“ ทานที่ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล เป็นการยากที่จะกำหนดผลแห่งบุญว่ามีประมาณเท่านั้นเท่านี้ อันที่จริงเป็นกองบุญใหญ่ที่นับไม่ได้ ไม่มีประมาณเหลือที่จะกำหนด เหมือนน้ำในมหาสมุทรย่อมกำหนดได้โดยยากว่ามีประมาณเท่านั้นเท่านี้ ”

“ ดูก่อนท่านทั้งหลาย คราวหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศล ราชาแห่งแคว้นนี้เข้าไปหาตถาคตและถามว่า บุคคลควรจะให้ทานในที่ใด เราตอบว่า ควรให้ในที่ที่เลื่อมใส คือเลื่อมใสบุคคลใด คณะใด ก็ควรให้แก่บุคคลนั้น ในคณะนั้น พระองค์ถามต่อไปว่า ให้ทานในที่ใดจึงจะมีผลมาก เราตถาคตตอบว่า ถ้าต้องการผลมากกันแล้วละก็ ควรจะให้ในท่านผู้มีศีล การให้แก่บุคคลผู้ทุศีล หามีผลมากอย่างนั้นไม่ ”

“ สถานที่ทำบุญเปรียบเหมือนเนื้อนา เจตนาและไทยธรรมของทายกเปรียบเหมือนเมล็ดพืช ถ้าเนื้อนาบุญคือบุคคลผู้รับเป็นคนดีมีศีลธรรมและประกอบด้วยเมล็ดพืช คือเจตนาและไทยธรรมของทายกบริสุทธิ์ ทานนั้นย่อมมีผลมาก การหว่านข้าวลงในนาที่เต็มไปด้วยหญ้าแฝกและหญ้าคา ต้นข้าวย่อมขึ้นได้โดยยากฉันใด การทำบุญในคณะบุคคลผู้มีศีลน้อย มีธรรมน้อยฉันนั้น คือย่อมได้บุญน้อย ส่วนการทำบุญในคณะบุคคลซึ่งมีศีลมีธรรมดีงาม ย่อมจะมีผลมาก เป็นภาวะอันตรงกันข้ามอยู่ดังนี้ ”

พระศาสนายังพระธรรมเทศนาให้จบลงด้วยปัจฉิมพจน์ว่า

“ เพราะฉะนั้นบุคคลไม่ควรประมาทว่า บุญหรือบาปเพียงเล็กน้อยจะไม่ให้ผล หยาดน้ำไหลลงทีละหยดยังทำให้หม้อน้ำเต็มได้ การสั่งสมบุญหรือบาปแม้ทีละน้อยก็ฉันนั้น ผู้สั่งสมบุญย่อมเปี่ยมล้นไปด้วยบุญ ผู้สั่งสมบาปย่อมเพรียบแปล้ไปด้วยบาป ”

//www.dhammakid.com/board/acaaaxeiaeeaaa/aoaoaaaieaoeanaooa-(-i-ceo1-io1ead-)/15/?wap2
8480
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 58.11.141.31 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2555 เวลา:12:53:52 น.  

 
 
 
ออมสิน:
ขอวกกล่าวถึงเรื่องของนางวิสาขาต่อไป วันหนึ่งนางวิสาขามีผ้าเปียกปอนผมเปียก เดินร้องไห้ไปเฝ้าพระพุทธองค์ เมื่อพระตถาคตถามก็ได้ความว่า นางวิสาขาเสียใจเพราะหลานสาวอันเป็นที่รักคนหนึ่งตายลง นางรักเธอมากเพราะเธอเป็นคนดี ช่วยงานทุกอย่าง รวมทั้งงานที่เกี่ยวกับการบุญการกุศลด้วย

“ ข้าแต่พระผู้เป็นดวงตาของโลก ” นางวิสาขาทูล “ ข้าพระพุทธเจ้าเสียใจในมรณกรรมของหลานสาวคนนี้เหลือเกิน เธอเป็นคนดีอย่างจะหาใครเสมอเหมือนได้ยาก ”

พระตถาคตเจ้าทรงดุษณีอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอื้อนพระโอษฐ์ว่า
“ ดูก่อนวิสาขา คนในเมืองสาวัตถีนี้มีประมาณเท่าใด ”
“ มีหลายสิบล้านพระพุทธเจ้าข้า ” นางตอบ
“ ถ้าคนเหล่านั้นดีเช่นสุทัตตีหลานของเธอ เธอจะรักเขาเหล่านั้นหรือไม่ ”
“ รักพระเจ้าข้า ”
“ แล้วคนในเมืองสาวัตถีนี้ตายวันละเท่าไร ”
“ วันหนึ่งหลายๆ คนพระเจ้าข้า ”
“ ดูก่อนวิสาขา ถ้าอย่างนั้นเธอก็ต้องมีผมเปียกมีผ้าเปียกอยู่อย่างนี้ทุกวันละซี เธอต้องร้องไห้คร่ำครวญมีใบหน้าอาบน้ำตาอยู่เสมอ เพราะมีคนตายกันอยู่ทุกวัน วิสาขาเอย ตถาคตกล่าวว่า ความรักความอาลัยเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ เพราะฉะนั้นคนมีรักมากเท่าใดย่อมมีทุกข์มากเท่านั้น รักหนึ่งมีทุกข์หนึ่ง มีรักสิบมีทุกข์สิบ มีรักร้อยมีทุกข์ร้อย ความทุกข์ย่อมเพิ่มขึ้นตามปริมาณแห่งความรัก เหมือนไฟย่อมเพิ่มขึ้นตามจำนวนเชื้อที่เพิ่มขึ้น ”

นางวิสาขาได้ฟังพระพุทธโอวาทแล้วสร่างความโศกลงไปได้บ้าง นางเป็นโสดาบันก็จริงอยู่ แต่พระโสดาบันนั้นเพียงทำให้บริบูรณ์ในศีลเท่านั้น หามีสมาธิและปัญญาสมบูรณ์ไม่ จึงมีบางครั้งมีเผลอสติไป แสดงอาการเยี่ยงชนทั้งหลาย พระอรหันต์เท่านั้นที่สติสมบูรณ์

สิ่งอันเป็นที่รักย่อมทำให้จิตใจกระเพื่อมและกระทบกระเทือนอยู่เสมอ เมื่อความรักเกิดขึ้น ความราบเรียบของดวงใจย่อมปลาสนาการไป ยิ่งความรักอันเจือด้วยนันทิราคะด้วยแล้ว ยิ่งทำให้จิตใจอ่อนไหวและเสียสมาธิเป็นที่สุด ความรักนั้นเปรียบด้วยพายุ เมื่อมีพายุพัดผ่านความราบเรียบของน้ำก็หมดไป เหลือไว้แต่รอยกระแทกกระทั้นกระทบกระเทือนอยู่ตลอดเวลา มนุษย์จะมีความสุขอย่างสงบประณีต ถ้าเราสามารถทำใจให้ยินดีรับความขมขื่นและไม่เพลิดเพลินในความชื่นสุขให้มากนัก อย่างน้อยก็ทำใจให้ปฏิเสธความขมขื่นที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว

ออมสิน:
นางวิสาขาได้ฟังพระพุทธโอวาทแล้วสร่างความโศกลงไปได้บ้าง นางเป็นโสดาบันก็จริงอยู่ แต่พระโสดาบันนั้นเพียงทำให้บริบูรณ์ในศีลเท่านั้น หามีสมาธิและปัญญาสมบูรณ์ไม่ จึงมีบางครั้งมีเผลอสติไป แสดงอาการเยี่ยงชนทั้งหลาย พระอรหันต์เท่านั้นที่สติสมบูรณ์

สิ่งอันเป็นที่รักย่อมทำให้จิตใจกระเพื่อมและกระทบกระเทือนอยู่เสมอ เมื่อความรักเกิดขึ้น ความราบเรียบของดวงใจย่อมปลาสนาการไป ยิ่งความรักอันเจือด้วยนันทิราคะด้วยแล้ว ยิ่งทำให้จิตใจอ่อนไหวและเสียสมาธิเป็นที่สุด ความรักนั้นเปรียบด้วยพายุ เมื่อมีพายุพัดผ่านความราบเรียบของน้ำก็หมดไป เหลือไว้แต่รอยกระแทกกระทั้นกระทบกระเทือนอยู่ตลอดเวลา มนุษย์จะมีความสุขอย่างสงบประณีต ถ้าเราสามารถทำใจให้ยินดีรับความขมขื่นและไม่เพลิดเพลินในความชื่นสุขให้มากนัก อย่างน้อยก็ทำใจให้ปฏิเสธความขมขื่นที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว

//www.dhammakid.com/board/acaaaxeiaeeaaa/aoaoaaaieaoeanaooa-(-i-ceo1-io1ead-)/15/?wap2

1599
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 58.11.141.31 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2555 เวลา:12:56:02 น.  

 
 
 
นางวิสาขามีสหายที่รักมากอยู่ ๒ คน คือ นางสุปปิยา และ นางสุปปวาสา เมื่อฟังพระธรรมเทศนาจบแล้วเธอทั้งสามมักจะเที่ยวเดินเยี่ยมภิกษุทั้งหลาย ถามถึงสิ่งที่ต้องการและยังขาด เมื่อภิกษุรูปใดบอกว่าต้องการอะไร นางจะจัดถวายเสมอ นอกจากนี้ยังได้ถวายอาหารสำหรับภิกษุป่วยและผู้เตรียมจะเดินทางเป็นประจำอีกด้วย

วันหนึ่งนางสุปปิยาเดินเยี่ยมภิกษุอย่างเคยไปถึงกุฏิภิกษุรูปหนึ่งซึ่งป่วยอยู่ เมื่อนางถามถึงความต้องการว่าท่านปรารถนาสิ่งใดบ้าง ภิกษุรูปนั้นบอกว่าอยากได้น้ำต้มเนื้อ

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตน้ำข้าวและน้ำเนื้อต้มซึ่งกรองดีแล้ว ไม่มีเมล็ดข้าวหรือกากเนื้อติดอยู่เพื่อภิกษุอาพาธ เธอสามาถฉันได้แม้ในเวลาวิกาล คือหลังเที่ยงวัน

นางสุปปิยาดีใจเหลือเกินที่จะได้ถวายอาหารแก่พระภิกษุอาพาธ พระพุทธภาษิตก้องอยู่ในโสตของนางนานแล้ว “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดปรารถนาจะบำรุงตถาคต ขอให้ผู้นั้นบำรุงภิกษุไข้เถิด ” แต่บังเอิญวันนั้นเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ นางหาเนื้อไม่ได้เลย จึงเข้าห้องตัดสินใจตัดเนื้อขาของตนด้วยมีดอันคมกริบ สั่งให้คนใช้จัดการต้ม แล้วขอให้นำน้ำเนื้อต้มนั้นไปถวายภิกษุชื่อโน้นซึ่งอาพาธอยู่ แล้วใช้ผ้าพันแผลที่ขาของตน นอนซมเป็นไข้เพราะพิษบาดแผลนั้น

สามีของนางสุปปิยากลับมาไม่เห็นภรรยาอย่างเคยจึงถามคนใช้ทราบว่านางป่วยจึงเข้าไปเยี่ยมในห้องนอน เมื่อทราบเรื่องโดยตลอดแล้วแทนที่จะโกรธพระและภรรยา กลับแสดงความชื่นชมโสมนัสที่ภรรยาของตนมีศรัทธาแรงกล้าในศาสนา ถึงกับยอมสละเนื้อขาเพื่อต้มเอาน้ำถวายภิกษุอาพาธ จึงรีบไปสู่วัดเชตวัน ทูลอาราธนาพระศาสดาและภิกษุสงฆ์เพื่อรับภัตตาหารที่บ้านตนในวันรุ่งขึ้น พระศาสดาทรงรับด้วยอาการดุษณี

วันรุ่งขึ้นพระพุทธองค์มีพระสงฆ์เป็นบริวารจำนวนมากเสด็จสู่บ้านของนางสุปปิยา เมื่อไม่ทอดพระเนตรเห็นนางสุปปิยาจึงถามสุปปิยะอุบาสกผู้สามี ทราบแล้วจึงรับสั่งให้คนช่วยกันพยุงคลอเคลียนางสุปปิยาเข้าเฝ้า เมื่อนางถวายบังคมพระตถาคตเจ้าตรัสว่า “ จงมีความสุขเถิดอุบาสิกา ” เท่านั้น แผลใหญ่ที่ขาของนางก็หายสนิท และมีผิวผ่องยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

เรื่องนี้เป็นเพราะพุทธานุภาพโดยแท้ พุทธานุภาพนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงและเป็นได้จริง พระจอมมุนีศาสดาแห่งพวกเรานั้นเป็นผู้มีบารมีอันทรงกระทำมาแล้วอย่างมากล้น เคยตัดศีรษะอันประดับแล้วด้วยมงกุฎที่เพริศพราย เคยควักนัยน์ตาซึ่งดำเหมือนตาเนื้อทราย เคยสละเลือดเนื้อและอวัยวะมากหลายตลอดถึงบุตรภรรยาเพื่อเป็นทานแก่ผู้ต้องการ จะกล่าวไปไยถึงการสละทรัพย์สมบัติภายนอก มหาบริจาคทั้งหลายที่พระองค์ทรงกระทำมาทั้งหมดนั้น โดยมีจุดมุ่งหมายอย่างเดียวคืออนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ กล่าวคือความรู้อันเป็นเหตุให้กิเลสสิ้นไปโดยชอบอันยอดเยี่ยม ไม่มีอะไรเทียมถึง เพื่อจะปลดเปลื้องความทุกข์ขอเวไนยนิกรทั้งหลายทั้งทางกายและทางใจ ก็ความรู้อันใดเล่าในโลกนี้จะประเสริฐยิ่งไปกว่าความรู้อันเป็นเหตุให้กิเลสสิ้นไป เพราะเป็นการดับความกระวนกระวายทั้งมวล เหมือนคนหายโรคไม่ต้องกินยา

บุคคลผู้เปี่ยมล้นด้วยบารมีนั้นย่อมเป็นผู้มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ พระศาสดาเป็นผู้มีพระบารมีธรรมที่ได้สั่งสอนมานานตลอดเวลาที่ท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏ เมื่อพระองค์จะทรงอยู่ในชาตินี้เป็นปัจฉิมชาติและในปัจฉิมภพแล้ว บารมีธรรมทั้งมวลหลั่งไหลมาให้ผลในชาติเดียว ท่านลองคิดดูเถิดจะคณนาได้อย่างไร อุปมาเหมือนน้ำซึ่งหลั่งจากยอดเขาและถูกกักไว้ด้วยทำนบอันหนาแน่นจนเต็มเปี่ยมแล้วและบังเอิญทำนบนั้นพังลง น้ำมันจะไหลหลากท่วมท้นเพียงใด

ออมสิน:
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยพระกระยาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงทรงอนุโมทนาให้นางสุปปิยาและสุปปิยะอุบาสกสมาทานอาจหาญร่าเริงในกุศลจริยาสัมมาปฏิบัติเพิ่มพูนศรัทธาปสาทะ แล้วก็เสด็จกลับสู่วัดเชตวัน ทรงให้ประชุมสงฆ์และตรัสถามภิกษุอาพาธรูปนั้นว่า

“ ดูก่อนภิกษุ เธอขอน้ำเนื้อต้มจากอุบาสิกาสุปปิยาหรือ ”
“ อย่างนั้น พระเจ้าข้า ” พระรูปนั้นตอบ
“ เมื่อเธอฉัน เธอพิจารณาหรือเปล่า ”
“ มิได้พิจารณาเลย พระเจ้าข้า ”
“ ดูก่อนภิกษุ เธอได้ฉันเนื้อมนุษย์แล้ว เธอทำสิ่งที่น่าติเตียน ”

ตรัสดังนี้แล้วทรงตำหนิภิกษุนั้นอีกเป็นอเนกปริยาย แล้วทรงบัญญัติสิกขาบทว่า

“ ภิกษุใดฉันเนื้อโดยมิได้พิจารณา ภิกษุนั้นเป็นอาบัติทุกกฎ ถ้าเนื้อนั้นเป็นเนื้อมนุษย์ เธอต้องอาบัติถุลลัจจัย ดังนี้ ”

(อาบัติ คือ โทษที่เกิดจากการละเมิดสิกขาบท อาบัติ ๗ เรียงจากหนักไปหาเบา คือ ปาราชิก สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิต)


มีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งแสดงถึงพุทธานุภาพอันน่าพิศวงแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า นั่นคือเรื่อง นางสุปปวาสา โกลิยธิดา นางมีครรภ์อยู่ถึง ๗ ปี และเมื่อจะคลอดบุตรก็ปวดครรภ์อยู่ตั้ง ๗ วัน ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส นางครวญครางด้วยความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา แต่เนื่องจากนางมีศรัทธาเลื่อมใสมั่นคงในพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อรู้สึกว่าชีวิตของตัวอยู่ในระหว่างอันตราย เหมือนศิลาที่แขวนอยู่ด้วยเส้นด้ายเส้นน้อย ๆ จึงขอร้องให้สามีให้ไปเฝ้าพระตถาคตเจ้า และกราบพระยุคลบาทแล้วให้ทูลว่า

“ ข้าแต่พระมหาสมณะ บัดนี้นางสุปปวาสา โกลิยธิดา มีครรภ์มา ๗ ปีและปวดครรภ์อยู่ ๗ วันแล้ว นางได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัสอันตรายแห่งชีวิตอาจมาถึงนางในไม่ช้า นางระลึกถึงพระผู้มีพระภาค และขอถวายบังคมพระบาทด้วยเศียรเกล้า ”

สามีของนางได้ไปเฝ้าพระพุทธองค์และกราบทูลให้ทรงทราบตามคำของนางนั้น พระผู้เป็นนาถะของโลกทราบแล้วจึงตรัสว่า “ ขอนางสุปปวาสา โกลิยธิดา จงมีความสุขหาโรคมิได้เถิด ”

ทันทีที่พระจอมมุนีตรัสจบลง บุตรของนางก็คลอดโดยง่าย เมื่อสามีกลับมาถึงบ้าน นางสุปปวาสาก็คลอดเรียบร้อยแล้ว ทั้งบุตรและมารดาปลอดภัยเกษมสำราญดี นางและสามีต่างชื่นชมโสมนัสในพระพุทธานุภาพ กล่าวออกมาพร้อมๆ กันว่า พระพุทธเจ้ามีคุณหาประมาณมิได้ พระธรรมมีคุณหาประมาณมิได้ และพระสงฆ์มีคุณหาประมาณมิได้

ออมสิน:
วันต่อมา นางให้สามีไปอาราธนาพระพุทธองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เพื่อรับภัตตาหารเป็นเวลา ๑ สัปดาห์ ณ เคหะของนาง พอดีเวลานั้นพระองค์ก็ได้รับอาราธนาของอุบาสกผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นอุปฐากของพระมหาโมคคัลลานะไว้เสียก่อนแล้ว พระตถาคตจึงให้พระมหาโมคคัลลานะเข้าเฝ้า ทรงเล่าเรื่องให้ฟัง แล้วตรัสว่า

“ ดูก่อนโมคคัลลานะ เธอพึงไปยังบ้านของอุบาสกผู้นั้น แล้วกล่าวขอเลื่อนการนิมนต์ของเขาไปสัปดาห์หน้าเขาจะขัดข้องหรือไม่ ถ้าเขาขัดข้องก็จะได้ไม่ต้องรับอาราธนาของนางสุปปวาสา ”

อัครสาวกเบื้องซ้ายรับพุทธบัญชาเหนือเศียรเกล้าแล้วไปหาอุบาสกผู้นั้น แล้วบอกเขาตามพุทธบัญชา อุบาสกทราบแล้วกล่าวว่า

“ ข้าแต่พระคุณเจ้า ถ้าท่านจะรับรองได้ว่า โภคทรัพย์ของข้าพเจ้าจะไม่เสื่อมสิ้นพินาศไปด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง นี้เป็นประการที่หนึ่ง ประการที่สองคือชีวิตของข้าพเจ้าจะไม่มีอันตรายเกิดขึ้น และประการที่สามคือศรัทธาของข้าพเจ้าจะไม่หมด คงมีอยู่อย่างเดิม ถ้าพระคุณเจ้าสามารถเป็นผู้ประกันเหตุทั้งสามประการนี้ว่าจะไม่เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าภายใน ๗ วันนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ยินยอม ”

พระมหาเถระผู้เลิศทางฤทธิ์นั่งสงบอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า

“ ดูก่อนอุบาสก อาตมาเป็นปาฏิโภคให้ท่านได้สองประการ คือขอรับรองว่าโภคทรัพย์ของท่านจะไม่เสื่อม และชีวิตของท่านจะไม่สิ้นไปหรือเป็นอันตรายใดๆ ภายใน ๗ วันนี้ ส่วนศรัทธาขอให้ท่านรับรองตัวท่านเอง อาตมารับรองให้ไม่ได้ ”

อุบาสกผู้นั้นรับรองศรัทธาของตน และยินยอมเลื่อนการนิมนต์ของตนไปสัปดาห์หน้า

พระศาสดามีพระสงฆ์ขีณาสพเป็นบริวาร เสด็จเสวยภัตตาหาร ณ บ้านของนางสุปปวาสา เป็นเวลา ๗ วัน วันหนึ่งพระพุทธองค์ตรัสถามนางว่า

“ สุปปวาสา เธออุ้มครรภ์อยู่ ๗ ปี และปวดครรภ์อยู่ ๗ วัน ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัสอย่างนี้แล้ว เธอยังจะปรารถนามีบุตรอีกหรือไม่ ”

“ ข้าพระองค์ยังปรารถนามีได้อีกถึง ๗ ครั้งพระเจ้าข้า ” นางสุปปวาสาตอบ

พระตถาคตเจ้าทรงเปล่งอุทานในเวลานั้นว่า

“ สุปปวาสาเอย มักจะเป็นอย่างนี้แหละ สิ่งที่ไม่น่ายินดีมักจะปลอมมาในรูปที่น่ายินดี สิ่งที่ไม่น่ารักมักจะมาในรูปแห่งสิ่งที่น่ารัก ความทุกข์มักจะมาในรูปแห่งความสุข เพราะดังนี้คนจึงประมาทมัวเมากันนัก ”

ขอย้อนกล่าวถึงพุทธานุภาพอีกสักเล็กน้อย เพื่อบรรเทาความสงสัยของท่าน ท่านจะเห็นได้ว่า อานุภาพของคนนั้นมักจะเป็นผลแห่งบารมีธรรมหรือคุณความดีที่สั่งสมอบรมมา ก็พระศาสดาของเรานั้นเคยสละชีวิตเลือดเนื้อมากมาย จุดมุ่งหมายก็เพื่อพระโพธิญาณอันประเสริฐ พระพุทธานุภาพหรือลาภสักการะที่หลั่งไหลนั้นเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้นเอง พระองค์เคยสละชีพไม่เพียงแต่แก่มนุษย์เท่านั้น แม้สัตว์ผู้หิวโหยก็ทรงเคยกระทำ

ครั้งหนึ่งพระองค์เป็นหัวหน้าดาบสบำเพ็ญตบะอยู่บนภูเขา เวลาเย็นวันหนึ่ง พระองค์ประทับรับลมเย็นอยู่ ณ ชะง่อนผา มองลงมาเบื้องล่างเห็นแม่เสือตัวหนึ่งเพิ่งคลอดลูกใหม่ยังออกจับเนื้อกินไม่ได้ มันจึงหิวโหยสุดประมาณ กำลังงุ่นง่านจะกินเนื้อลูกของมัน ดาบสเห็นดังนั้นจึงให้ดาบสผู้เป็นบริวารรีบไปเที่ยวแสวงหาสัตว์ที่ตายแล้วมาเพื่อโยนให้แม่เสือตัวนั้นกิน แต่เมื่อเห็นแม่เสืองุ่นง่านมากขึ้นทุกที ดาบสบริวารคงหาเนื้อมาไม่ทันเป็นแน่ เนื้อสัตว์ที่ตายเองในป่ามิใช่หาได้ง่าย พระดาบสโพธิสัตว์จึงตัดสินใจช่วยชีวิตลูกเสือไว้ โดยกระโดดจากเชิงผาลงตรงหน้าแม่เสือพอดี พระดาบสตาย เป็นการสละชีพเพื่อช่วยเหลือสัตว์อื่น ข้อมุ่งหมายสูงสุดก็คือพระโพธิญาณ

//www.dhammakid.com/board/acaaaxeiaeeaaa/aoaoaaaieaoeanaooa-(-i-ceo1-io1ead-)/15/?wap2

3781
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 58.11.141.31 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2555 เวลา:12:57:30 น.  

 
 
 
ออมสิน:
นางวิสาขาได้ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขตลอดเวลา ๔ เดือน ในวันสุดท้ายได้ถวายจีวรเนื้อดีมีราคามาก เฉพาะจีวรที่ถวายแก่พระซึ่งอ่อนพรรษาที่สุดก็มีราคาถึง ๑,๐๐๐ กหาปณะ ในสมัยเมื่อพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ไม่มีสตรีใดทำบุญเกิน หรือแม้แต่เพียงเท่านางวิสาขาเลย

ในวันที่ฉลองปราสาทเสร็จนั่นเอง เวลาบ่ายนางวิสาขาผู้อันบุตรและหลานแวดล้อมแล้วเดินเวียนรอบปราสาท เปล่งถ้อยคำออกมาด้วยความเบิกบานในใจว่า

“ บัดนี้ ความปรารถนาของเราที่จะถวายวิหารทานเป็นปราสาทใหม่มีเครื่องฉาบทาอย่างดีสำเร็จแล้ว

บัดนี้ ความปรารถนาของเราที่จะถวายเสนาสนภัณฑ์ มีเตียงตั่งและหมอน เป็นต้น สำเร็จบริบูรณ์แล้ว

บัดนี้ ความปรารถนาของเราที่จะถวายสลากภัตด้วยอาหารที่สะอาดประณีตสำเร็จบริบูรณ์แล้ว

บัดนี้ ความปรารถนาของเราที่จะถวายจีวรทานด้วยผ้าที่ทำจากแคว้นกาสี ผ้าเปลือกไม้และผ้าฝ้าย เป็นต้น สำเร็จบริบูรณ์แล้ว

บัดนี้ ความปรารถนาของเราที่จะถวายเภสัชทาน มีเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้งและน้ำอ้อย เป็นต้น ก็สำเร็จบริบูรณ์แล้ว ”

ภิกษุทั้งหลายได้ฟังเสียงของนาง แล้วกราบทูลพระศาสดาว่า

“ พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่เคยได้ยินหรือได้เห็นนางวิสาขาขับร้องเลย มาวันนี้นางพร้อมด้วยบุตรและหลานเดินเวียนปราสาทขับร้องอยู่ ดีของนางกำเริบหรือเป็นบ้าประการใด ”

พระศาสดาตรัสว่า “ ภิกษุทั้งหลาย ธิดาของเราหาได้ขับร้องไม่ แต่เพราะอัธยาศัยในการที่จะบริจาคของนางเต็มบริบูรณ์แล้ว จึงเปล่งอุทานด้วยความเบิกบานใจ ” พระธรรมราชาผู้ฉลาดในการแสดงธรรมเพื่อจะทรงแสดงธรรมให้พิสดารออกไปจึงตรัสว่า

“ ภิกษุทั้งหลาย วิสาขาธิดาของเราน้อมจิตไปเพื่อทำกุศลต่างๆ เมื่อทำได้สำเร็จสมปรารถนาก็ย่อมบันเทิงเบิกบานประหนึ่งนายมาลาการผู้ฉลาดรวบรวมดอกไม้นานาพันธุ์ไว้ แล้วร้อยเป็นพวงมาลัยให้สวยงามฉะนั้น ”

แล้วพระจอมมุนีทรงย้ำอีกว่า

“ นายมาลาการผู้ฉลาดย่อมทำพวงดอกไม้เป็นอันมากจากกองดอกไม้ที่เก็บรวบรวมไว้ฉันใด สัตว์ผู้เกิดมาแล้วจะต้องตายก็ควรสั่งสมบุญกุศลไว้ให้มากฉันนั้น ”

บุคคลผู้มั่งคั่งด้วยทรัพย์และสมบูรณ์ด้วยศรัทธานั้นค่อนข้างจะหาได้ยาก ผู้มีศรัทธามักจะมีทรัพย์น้อย ส่วนผู้มีทรัพย์มากมักจะขาดแคลนศรัทธา อุปมาเหมือนนายช่างผู้ฉลาดแต่ขาดดอกไม้ ส่วนผู้มีดอกไม้มากมูล แต่ขาดความสามารถในการจัดเสียอีก ส่วนนางวิสาขาพรั่งพร้อมสมบูรณ์ทั้งศรัทธาและทรัพย์ จึงมีทั้งทรัพย์ภายนอกและทรัพย์ภายในบริบูรณ์

วันหนึ่ง นางวิสาขาได้อาราธนาพระภิกษุสงฆ์ไว้เพื่อรับภัตตาหารที่บ้านของนาง เมื่อถึงเวลาแล้วนางจึงให้หญิงคนใช้ไปนิมนต์พระ แต่หญิงคนใช้มารายงานว่า ในวัดเชตวันไม่มีพระสงฆ์อยู่เลย มีแต่นัคคบรรพชิต (นักบวชเปลือย) ทั้งสิ้นกำลังอาบน้ำฝนอยู่ วันนั้นฝนตกหนักมาก

เวลานั้นพระศาสดายังมิได้ทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามพระเปลือยกายอาบน้ำ เมื่อฝนตกใหญ่ภิกษุทั้งหลายก็ดีใจกันใหญ่ และเปลือยกายอาบน้ำกันเกลื่อนเชตวนาราม หญิงคนใช้ไม่รู้จึงเข้าใจว่าภิกษุเหล่านั้นล้วนเป็นนักบวชเปลือยสาวกของนิครนถ์นาฏบุตร (พระในศาสนาเชน)

นางวิสาขาเป็นผู้ฉลาด เมื่อได้ฟังดังนั้นก็เข้าใจเรื่องโดยตลอด จึงให้คนรับใช้ไปนิมนต์ภิกษุอีกครั้งหนึ่ง นางกลับไปครั้งนี้ภิกษุได้อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วและครองจีวรแล้ว คนรับใช้จึงเห็นภิกษุอยู่เต็มเชตวนารามและอาราธนาว่าถึงเวลาภัตกิจแล้ว

วันนั้นเองนางวิสาขาปรารภเรื่องนี้ ทูลขอพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าเมื่อถึงฤดูฝนเข้าพรรษานางขอถวายผ้าอาบน้ำฝนแด่ภิกษุทั้งหลายเพื่อใช้อาบน้ำ พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ถวายได้ ประชาชนทั้งหลายพากันเอาอย่าง ประเพณีการถวายผ้าอาบน้ำฝนจึงมีมาจนกระทั่งหลังพุทธปรินิพพานและจนกระทั่งบัดนี้

ผู้ฉลาดย่อมหาโอกาสทำความดีได้เสมอ พุทธบริษัทในรุ่นหลังเป็นหนี้ความดีของนางวิสาขาในฐานะเป็นผู้ริเริ่มสิ่งที่ดีงามไว้ให้คนทั้งหลายถือเป็นเยี่ยงอย่างดำเนินตามมากหลาย ด้วยประการฉะนี้

//www.dhammakid.com/board/acaaaxeiaeeaaa/aoaoaaaieaoeanaooa-(-i-ceo1-io1ead-)/10/?wap2
5392
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 58.11.141.31 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2555 เวลา:13:06:37 น.  

 
 
 
ออมสิน:
พระนางสามาวดี
(ผู้ไม่ตาย)

พระนางสามาวดี
จะมีชีวิตอยู่ก็ตาม
ตายไปแล้วก็ตาม
ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ตาย
เพราะเป็นผู้ไม่ประมาท

เดิมเมื่ออยู่ในโลกมนุษย์ พระนางมีนามว่า สามา บุตรีแห่งภัททิยเศรษฐีในนครชื่อภัททวดี ท่านคงทราบแล้วว่า เศรษฐีในชมพูทวีปหรือภารตประเทศนั่นมั่งคั่งเพียงใด ในประเทศนั้นคนชั้นกลางมีน้อย ส่วนใหญ่เป็นคนชั้นสูง มั่งคั่ง กับคนชั้นต่ำยากจนหาข้าวและน้ำได้ยาก ขาดแคลนเครื่องนุ่งห่ม มีความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้น ส่วนคนมั่งคั่งเล่า ก็มั่งมีเสียจริงๆ มีความเป็นอยู่อย่างฟุ่มเฟือย กินทิ้ง กินเท พร้อมพรั่งไปด้วยเสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัยอันโอ่อ่า แวดล้อมด้วยสตรีที่ล้วนแต่สรรแล้วว่ารูปเลิศ

เมื่อนางเกิดในตระกูลเศรษฐี อันเกือบจะเป็นชื่อเดียวกันกับชื่อนครแล้ว ท่านก็ควรจะทายได้ทันทีว่า บิดาของนางจะต้องเป็นเศรษฐีใหญ่แห่งนครนั้น

ดังนั้น ชีวิตของนางจึงมีความสุข ความรื่นรมย์ เพราะนางถึงพร้อมด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และวัยสมบัติ ตามประสาเด็กสาว นางย่อมจะมีความภาคภูมิใจในสิ่งเหล่านี้อยู่บ้าง ใครๆ ก็ชมว่านางสวย มีเสน่ห์ แต่สิ่งเหล่านี้เองหากเด็กสาวหลงใหลเพลิดเพลินเกินไป ก็เป็นบันไดทอดสู่หายนะ สำหรับนางเอกนั้น บิดาและมารดาคอยเตือนอยู่เสมอว่า

“ลูกรัก รูปสมบัติ และทรัพย์สมบัตินั้นเป็นของไม่จีรังยั่งยืน อาจพินาศลงด้วยภัยพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น อัคคีภัย อุทกภัย และอุปัทวเหตุนานาประการ จึงไม่ควรประมาท คุณธรรมต่างหากเล่าที่เราควรสั่งสมเพิ่มพูนให้เจริญงอกงามขึ้นเรื่อยๆ”

เพราะการอบรมตักเตือนของบิดามารดาอยู่เสมอ นางจึงประพฤติตัวดี เป็นที่รักอย่างยิ่งของท่านทั้งสอง เป็นที่เคารพของข้าทาสบริวาร นางมีความสุขอยู่ท่ามกลางหมู่ญาติและเพื่อนฝูง เสมือนกุหลาบเพียงดอกเดียวเริ่มจะเบ่งบานอยู่ท่ามกลางสวนกุหลาบใหญ่ ท่านลองนึกดูเถิดว่า นางจะเด่นสักเพียงใด

ควรจะเล่าเสียเดี๋ยวนี้ว่า ภัททวดีนครกับมหานครโกสัมพีของอุเทนราชนั้น มีความติดต่อเกี่ยวข้องกันทางการค้าอย่างใกล้ชิด มีพ่อค้าเดินทางโดยเกวียนไปมาค้าขายระหว่างสองนครนี้ไม่ขาดสาย พ่อค้าจากโกสัมพีก็นำเกียรติคุณของโฆสกเศรษฐีมาสรรเสริญให้บิดาของนางฟัง เขาพรรณนาคุณงามความดีความเอื้ออารีของเศรษฐีโฆสกะอย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย จนบิดาของนางรู้สึกชอบพอโฆสกเศรษฐีโดยที่ท่านไม่เคยเห็นตัวเลย ส่วนพ่อค้าจากภัททวดีนครก็เช่นกัน นำเอาคุณงามความดีความเมตตาอัธยาศัยอันงามของบิดาแห่งนางไปสรรเสริญในนครโกสัมพี จนโฆสกเศรษฐีรู้สึกรักใคร่บิดาของนางไปด้วย ท่านทั้งสองจึงเริ่มติดต่อกันโดยการส่งเครื่องบรรณาการให้กันผ่านทางพ่อค้าเกวียนนั่นเอง

ของหอมตั้งอยู่ที่เดียว แต่กลิ่นหอมย่อมขจรไปได้ทั่วทิศฉันใด ท่านเอยคุณงามความดีของบุคคลก็ฉันนั้น แม้เขาจะอยู่ที่เดียวแต่เกียรติคุณอันดีงามย่อมฟุ้งไปทั้งตามลมและทวนลม

ดังนั้น พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า

“สัตบุรุษย่อมปรากฎไปได้ไกล เสมือนหิมวันตบรรพต ส่วนอสัตบุรุษแม้จะอยู่ในที่ใกล้ก็หาปรากฏไม่ เหมือนลูกศรที่บุคคลยิงไปในราตรีอันมืดมิด”

เป็นอันรู้ทั่วกันทั้งสองนครว่า ภัททิยเศรษฐีกับโฆสกเศรษฐีเป็นสหายรักใคร่กัน ท่านเรียกว่า “อทิฏฐปุพพสหาย – สหายซึ่งไม่เคยเห็นกัน”

ชีวิตของนางราบรื่นไปได้ไม่ตลอด ไม่มีดอกท่าน ไม่มีชีวิตใครเลบในโลกนี้ที่จะราบรื่นโดยตลอด จะต้องมีหลุมของชีวิตบ้าง ตราบใดที่โลกนี้ยังมีที่ลุ่มที่ดอน มีภูเขามีทะเล ชีวิตของมนุษย์ก็จะต้องมีลุ่มๆ ดอนๆ สูงบ้าง ต่ำบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง คละเคล้ากันไป เสียงหัวเราะและเสียงสะอื้นสลับกันอยู่เสมอในชีวิตมนุษย์ โรคภัยไข้เจ็บเป็นมารร้ายผู้ทำลายความสุขของมนุษย์ ชีวิตของนางเปลี่ยนแปลงไปเพราะโรคภัยนี้เอง
ออมสิน:
อหิวาตกโรคระบาดอย่างหนักในภัททวดีนคร สัตว์เล็กๆ เริ่มตายก่อน ต่อมาเป็นสัตว์ใหญ่และคน ในหมู่มนุษย์ด้วยกัน คนยากจนล้มเจ็บและตายไปก่อน ทำไมจะไม่ตายไปก่อนเล่าในเมื่อพวกเขาเหล่านั้นไม่สามารถเลือกอาหารได้ มีอย่างไรก็กินอย่างนั้น ไม่สามารถบำรุงสุขภาพอนามัยให้สมแก่ความต้องการของร่างกาย พวกที่ต้องตายเพราะขาดอาหารก็มีอยู่เสมอๆ คนยากจนในประเทศภารตะเป็นบุคคลที่น่าสงสารยิ่งนัก

ต่อมาอหิวาตกโรคก็ระบาดมาถึงคนมั่งมีและล้มตายกันเป็นอันมาก สมจริงดังที่พระบรมศาสดาตรัสไว้ว่า

“ไม่ว่าคนหนุ่มหรือคนแก่ ไม่ว่าพาลหรือบัณฑิต คนยากจนหรือคนมั่งมี ล้วนแต่กำลังบ่ายหน้าไปสู่ความตายด้วยกันทั้งนั้น ความตายนั้นย่อมย่ำยีห้ำหั่นบุคคลทั้งหลายไม่เลือกว่าจะเป็นกษัตริย์ พราหมณ์ ไวศยะ ศูทร จัณฑาล หรือคนกวาดถนนขนขยะ มนุษย์ไม่สามารถต่อสู้กับความตายได้ ไม่ว่าด้วยกองทัพช้าง ม้า รถ พลเดินเท้า หรือด้วยเวทมนตร์คาถาวิชาใดๆ ในที่สุดทุกคนจะต้องตาย จะต่างกันแต่เพียงเร็วหรือช้าเท่านั้น ต่างกันโดยโรคและสถานที่ เพราะฉะนั้นบุคคลจึงควรสั่งสมความดี เมื่ออยู่ในโลกมนุษย์ก็จะได้รับสรรเสริญ ล่วงลับไปแล้วก็จะได้บันเทิงในสวรรค์”

มารดาบิดาของนางปรึกษากันว่าควรจะหนี หรือจะยอมตายอยู่ในภัททวดีนคร ในที่สุดก็ตกลงกันว่าจะละทิ้งเรือนไป ท่านว่าการหนีอหิวาตกโรค มีเคล็ดลับอยู่อย่างหนึ่ง คือต้องทำลายฝาเรือนหนีไป ท่านทั้งสองได้พานางหนีโดยอาการนั้น

ทั้งสาม คือ บิดา มารดา และนางสามา มุ่งหน้าสู่นครโกสัมพี เมืองอันเป็นที่อยู่แห่งโฆสกเศรษฐี สหายของภัททิยะ เพื่อหวังพึ่งในยามยาก แต่เสบียงอาหารซึ่งเอาไปได้เท่าที่กำลังของพวกเขาจะพอถือไปไหวนั้นได้หมดลงในระหว่างทาง

ผู้ที่เคยมั่งมีศรีสุข ไม่เคยรู้จักกับความโหดร้ายของความหิว เมื่อต้องมาขาดอาหารในระหว่างทางจะลำบากสักเพียงใด แต่พวกเขาก็อดทนต่อความหิวกระหายที่บีบคั้นอย่างหนักนั้น มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไปให้ถึงโกสัมพีให้ได้ แรงใจเท่านั้นที่ช่วยผลักดันและจูงให้เขาเดินทางต่อไป บางคราวพวกเขาได้ระลึกถึงปฏิปทาแห่งพระบรมศาสดาที่เคยอดอาหารถึงนานวัน เพื่อทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์สุขุมาลชาติ เคยเสวยความสุขสบายยิ่งกว่าพวกเขา ไฉนพระองค์จึงทรงทำได้ เมื่อระลึกดังนี้ กำลังใจก็เกิดขึ้นแก่พวกเขาอีก

ด้วยการเดินบ้าง พักผ่อนบ้าง ในที่สุดทั้งสามก็มาถึงเขตโกสัมพี บังเอิญได้พบที่อันมีน้ำใสสะอาดควรดื่มและอาบแห่งหนึ่ง จึงได้ลงดื่มและอาบตามปรารถนาพอบรรเทาความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าไปได้บ้างและเดินต่อไปอีกเล็กน้อยก็ถึงศาลาหน้าเมือง พวกเขาเข้าพักผ่อนที่นั่น ความหิวได้บีบคั้นอย่างหนัก แต่เมื่อไม่มีความเหน็ดเหนื่อยอยู่ด้วย ก็พอทนความหิวนั้นได้ โดยดื่มน้ำแทนบ้าง เอาน้ำลูบท้องบ้าง

ผู้เป็นบิดาได้กล่าวขึ้นว่า “ลูกรัก ธรรมดาคนที่อยู่ในสภาพสิ้นเนื้อประดาตัวเช่นเรานี้ เมื่อบากหน้าไปหาย่อมไม่เป็นที่พอใจแม้ของมารดาบังเกิดเกล้า จะป่วยกล่าวไปไยถึงสหายผู้ไม่เคยเห็นกัน ฉะนั้นเราควรพักอยู่ที่นี่จนกว่าจะมีกำลัง และมีสรีระกระปรี้กระเปร่าขึ้นแล้ว จึงค่อยไปหาสหายโฆสกะ พ่อได้ทราบว่าสหายของเราเป็นคนมีน้ำใจเผื่อแผ่บริจาคทานแก่คนกำพร้า คนเดินทางไกลและคนยากจน หากลูกจะปะปนไปกับคนเหล่านั้น ขออาหารมาเลี้ยงกันอีกสัก ๒ – ๓ วันแล้วค่อยไปหาสหายของพ่อก็จะเหมาสมมาก”

และแล้วบิดาก็หันมาถามมารดาของนางว่า “ญาณีมีความเห็นอย่างไรในเรื่องนี้”

มารดากล่าวว่า “เรื่องที่จะพักอยู่ที่นี่สัก ๒ – ๓ วันนั้น ข้าพเจ้าเห็นชอบด้วย แต่การที่จะให้ลูกสามาไปขอทานที่โรงทานนั้น ข้าพเจ้ามองไม่เห็นงาม ลูกของเราเป็นสาว เกิดในตระกูลที่เคยแต่การเชื้อเชิญให้บริโภคอาหารอันประณีต มีข้าวสาลีที่คลุกด้วยเนื้ออย่างดีเป็นต้น เมื่อจะต้องถือภาชนะไปขออาหารปะปนไปกับขอทานลูกจะทำได้อย่างไร ข้าพเจ้าเองแก่แล้ว หากจะมีความละอายอยู่บ้างก็ไม่มากเหมือนลูก หนึ่งชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในอดีตเสียมากแล้ว ที่มีเหลืออยู่ในอนาคตนั้นน้อย ส่วนลูกสามาชีวิตอนาคตมีอีกยาวนาน ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ ข้าพเจ้าขอรับอาสาไปขออาหารมาเอง ขอให้ท่านและลูกอยู่ที่ศาลานี้”

นางได้ฟังมารดากล่าวเช่นนั้นแล้วน้ำตาไหล ทั้งน้ำตาของนางและมารดาดูเหมือนมันไหลออกมาพร้อมๆ กัน นางรับอาสากับท่านว่า “ข้อที่มารดากล่าวนั้นเป็นเพราะอำนาจแห่งกรุณาของท่านที่มีต่อลูก แต่มารดาได้เคยสอนลูกมาเสมอว่า เมื่อถึงคราวลำบากลูกจะต้องหาทางช่วยเหลือมารดาบิดา แสดงความกตัญญูกตเวทีให้ปรากฏ ควรรับใช้ ไม่ทอดทิ้งมารดาบิดาผู้ทุรพล ลูกได้เรี่ยวแรงกำลังมาจากมารดาบิดาโดยการถนอมกล่อมเกลี้ยงให้ข้าวให้น้ำของท่าน เมื่อถึงคราวท่านถอยกำลังลงลูกจึงควรทำหน้าที่เลี้ยงท่านตอบ คราวนี้เป็นโอกาสที่ลูกควรจะปฏิบัติตามโอวาทที่มารดาเคยสั่งสอนอบรมมา ขอให้ลูกได้เป็นผู้ไปขออาหารจากโรงทานมาบำรุงท่านทั้งสองเถิด”

มารดายังคงน้ำตาไหลน้อยๆ อยู่ ท่านโอบนางและกดให้ซบหน้าลงบนไหล่ของท่าน พลางกล่าวว่า “ช่างน่ารักอะไรอย่างนี้ แม่ขอขอบใจลูกแต่แม่อยากทำเองเพื่ออนาคตของลูก”

“ให้เขาทำเถิด ญาณี” บิดาเอ่ยสนับสนุนบุตรี

ญาณีนั้นเป็นผู้เกรงใจสามีแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว สิ่งใดเป็นคำขาดของสามี ญาณีไม่เคยกล้าขัดแย้งอีกเลย ดังนั้นจึงเป็นอันว่านางสามาจะเป็นผู้ไปขออาหารจากโรงทานของท่านโฆสกเศรษฐี

เรื่องความละอายนั้น ไม่ต้องสงสัย นางละอายเป็นอันมาก แต่ความหิวและความเห็นแก่ชีวิตของมารดาบิดาทั้งสอง ได้ข่มความละอายของนางไว้ นางถือภาชนะเก่าๆ เดินก้มหน้าไปสู่โรงทาน มีคนกำพร้าเข็ญใจ คนทุพพลภาพ คนชรา ลักษณะต่างๆ ออกันอยู่เป็นอันมากคอยเวลารับบริจาค คนเหล่านั้นยากจนจริงๆ บางคนมีอาการแสดงว่าได้อดอาหารมาเป็นเวลาหลายวัน ผอมโซร่างกายสั่น บางคนผมยาวรุงรังปราศจากการหวีหรือสาง บางคนถัดมาบนไม้กระดาน นางเห็นแล้วสังเวชยิ่งนัก ความทุกข์ยากของชาวโลกมีมากมายถึงปานนี้เทียวหรือ

เมื่อถึงเวลาบริจาคทาน มีคนรับใช้ของท่านเศรษฐียกของที่จะบริจาคออกมาวาง อีกสักครู่หนึ่งจึงเห็นชายวัยกลางคนร่างกายสูงใหญ่เกศาหงอกเป็นดอกเลาอยู่ทั่วศีรษะออกมา เขาเป็นคนเงียบขรึม

ออมสิน:
เสียงอื้ออึงดังขึ้นในหมู่คนขอทาน พวกเขาแย่งกันเข้าไปรับ นางยืนคอยอยู่นานจนคนเหล่านั้นไปหมดแล้วจึงค่อยๆ เดินเข้าไปรับเป็นคนสุดท้าย

“ต้องการเท่าไรจ๊ะ” ชายผู้แจกทานถาม

“สามส่วนค่ะ สำหรับสามคน” นางตอบอ้อมค้อม ไม่ค่อยกล้าสู้ตาเขา

ชายผู้นั้นได้มอบอาหารให้นางสำหรับเพียงพอแก่คนสามคน โดยมิได้ปริปากพูดอะไรเลย แต่รู้สึกเขามองนางอย่างสนใจกว่าคนขอทานอื่นๆ เป็นอันมาก

นางได้นำอาหารนั้นมายังศาลาอันเป็นที่พัก นางและมารดาได้ขอร้องวิงวอนให้บิดาบริโภคอาหารให้อิ่มเต็มที่ก่อน แล้วนางและมารดาจะบริโภคภายหลัง มารดาของนางปลอบใจบิดาว่าธรรมดาความวิบัตินั้นย่อมมีได้แม้แก่ตระกูลใหญ่โดยมิได้บอกล่วงหน้าให้รู้ตัว อย่าคิดอะไรมากมาย ขอให้บริโภคอาหารเพื่อให้มีชีวิตต่อไป เพราะชีวิตของบิดามีค่าเท่าหรือมากกว่าชีวิตของสองคน การไปหาโฆสกเศรษฐีนั้นเกี่ยวเนื่องอยู่ด้วยบิดาอย่างใกล้ชิด

เมื่อถูกอ้อนวอนมากเข้า ภัททิยะจึงได้บริโภคอาหาร แต่เนื่องจากอดอาหารมาเป็นเวลานานท่านจึงบริโภคมากเกินไป ในวันรุ่งขึ้นจึงเสียชีวิต นางและมารดาเศร้าเสียใจเป็นอันมาก เมื่อถึงคราวจะสูญเสีย ดูอะไรๆ ก็จะสูญเสียไปหมดสิ้น ชะตาชีวิตของมนุษย์ไม่แน่นอนเลย หวังอะไรแน่นักไม่ได้

ในวันรุ่งขึ้น นางไปขออาหารที่โรงทานอีก เมื่อเขาถามถึงความต้องการ นางก็บอกว่าต้องการสองส่วน เขาให้โดยมิได้พูดอะไร นางนำอาหารมาให้มารดา ท่านบริโภคจนอิ่มเต็มที่ แต่ได้เสียชีวิตลงอีกในวันนั้นเอง วันรุ่งขึ้นนางไปขออาหารแสดงความจำนงต้องการเพียงส่วนเดียว นางตกใจเป็นอันมากเมื่อได้ยินเขาพูดด้วยอารมณ์โทสะว่า

“ฉิบหายเสียเถิด หญิงถ่อย เพิ่งจะรู้จักประมาณท้องของตัวในวันนี้เองหรือ”

นางเป็นกุลธิดาที่เต็มไปด้วยความละอาย ความละเอียดอ่อน เมื่อได้ยินคำนั้น จึงรู้สึกเหมือนมีหอกปลายแหลมพุ่งมาปักที่อุรประเทศ หรือเจ็บปวดเหมือนแผลที่ถูกราดรดด้วยน้ำเกลือ ท่านลองนึกดูเถิดคำพูดเช่นนั้น แม้หญิงที่เกิดในตระกูลทาสก็ยังรู้สึกเจ็บอาย แล้วนางเล่าผู้เกิดในตระกูลเศรษฐีมหาศาล จะมิเจ็บอายเพิ่มขึ้นอีกสักร้อยเท่าหรือ

กระนั้นก็ตามนางยังแข็งใจถามเขาว่า

“ไฉนท่านจึงกล่าวเช่นนั้นแก่ข้าพเจ้า”

“หญิงถ่อย แกคิดว่าเราจำแกไม่ได้หรือ เมื่อวานซืนมาขอสามส่วน เมื่อวานมาขอสองส่วน วันนี้ขอเพียงส่วนเดียว คงจะเพิ่งรู้ประมาณท้องของตัวในวันนี้กระมัง” เขาพูดเร็วและแสดงอารมณ์โกรธ

“ข้าแต่นาย อย่าตำหนิข้าพเจ้าอย่างนั้นเลย เพราะความจำเป็นดอก ข้าพเจ้าจึงทำอย่างนั้น”

“ความจำเป็นอะไรของแก ความละโมบใช่ไหม”

นางกลืนน้ำลายอยู่หลายครั้งจึงพูดออกกมาได้ มันเหมือนมีอะไรติดอยู่ที่คอ นางได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง เล่าถึงความประสงค์ในการเดินทางมาโกสัมพี เขาฟังอย่างตั้งใจ

อารมณ์สะเทือนใจที่ทวีขึ้นโดยลำดับนั้นได้กระตุ้นให้น้ำตาของเขาไหลออกมา เขาเศร้าไปตามที่นางเล่า เมื่อฟังจบเขาได้เอามือลูบศีรษะของนาง พลางกล่าวว่า

“ขอโทษด้วย ที่ข้าพเจ้ากล่าวคำรุนแรงไปเพราะไม่รู้ เมื่อท่านเป็นธิดาของภัททิยเศรษฐีก็เหมือนเป็นธิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปขอให้เป็นลูกของเรา อย่าคิดอะไรมากเลย ลูกรัก”

และแล้วบิดาคนใหม่ของนางก็ได้จุมพิตนางที่ศีรษะด้วยความรักอย่างลูก นำนางไปยังเรือน ปฏิบัติตนต่อนางเสมือนเป็นลูกหญิงคนโต ชีวิตของนางค่อยสบายขึ้น แต่ความระลึกถึงมารดาบิดายังคงรบกวนจิตใจของนางอยู่เสมอ

ท่านเชื่อหรือไม่ว่า สัจจะที่จะไม่เบียดเบียนใครนั้น ย่อมสามารถคุ้มครองรักษาบุคคลผู้ประพฤติให้พบกับความสุขได้ ตัวอย่างจากชีวิตของนางสามาเอง เป็นสิ่งแจ่มแจ้งพอแล้ว หากนางจะอายในฐานะอันเปลี่ยนแปลงไปของตน ไม่ยอมเล่าความจริงให้ท่านมิตตกุฎุมพีฟังแล้ว ไหนเลยเขาจะรักนางอย่างลูก นำไปเลี้ยงที่บ้านอย่างดี ไหนเลยชีวิตของนางจะได้พบกับความสุขอีก ในเมื่อดวงเทียนแห่งชีวิตริบหรี่เต็มทีแล้วกำลังจะดับอยู่แล้ว

จึงใคร่ขอร้องวิงวอนให้เพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายทั้งหลาย ได้ยึดมั่นในสัจจะให้มั่นคง พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า

“สัจจะเป็นวาจาที่ไม่ตาย นี่เป็นธรรมเก่า สัตบุรุษทั้งหลายย่อมยึดมั่นในสัจจะที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม”

ออมสิน:
เมื่อนางได้มาอยู่ในบ้านของท่านมิตตกุฎุมพีแล้ว นางก็ยังได้ยินเสียงโกลาหลของผู้ที่มารับแจกทานอยู่ทุกวัน

วันหนึ่ง นางถามบิดาว่า

“พ่อ ทำไมคนที่มารับทานจึงส่งเสียงดังอยู่เสมอ เราไม่มีทางทำให้สงบกว่านี้ดอกหรือ”

“ไม่มีทางดอกลูก” บิดาตอบ “พวกนี้ส่วนใหญ่เป็นคนตระกูลต่ำมากจน ขาดการอบรมในมารยาท เมื่อมารับทานก็แย่งกัน จึงโกลาหลอยู่อย่างนี้มานานแล้ว”

“ลูกคิดว่า น่าจะมีวิธีนะคะพ่อ”

“มีวิธีอย่างไร พ่อยังมองไม่เห็น”

“เอาอย่างนี้ซิคะ” นางหยุดครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบิดาตั้งใจฟังจึงพูดต่อ

“ทำรั้วเข้าให้มีขนาดกว้างพอคนเข้าได้คนเดียว แล้วให้เข้าทางหนึ่งออกทางหนึ่ง โดยวิธีนี้คนพวกนั้นจะแย่งกันรับไม่ได้ เสียงเอะอะโวยวายก็จะไม่มี”

“เข้าทีดีที่ลูก” บิดาว่า “แต่เกรงจะแย่งกันเข้าอีกละซี”

“เรื่องนี้ไม่เป็นไรค่ะ ใครมาก่อนก็ให้มายืนใกล้ทางเข้า คนมาทีหลังก็ยืนต่อๆ กันไป”

“ดีมากลูก เรื่องนี้พ่อเองก็รำคาญมานานแล้ว อุบายของลูกคงช่วยพ่อได้ในเรื่องนี้” และแล้วบิดาก็ให้ทำรั้วตามที่นางบอกนั้น

เสียงเอะอะโวยวายเงียบหายไป ๒ – ๓ วัน โฆสกเศรษฐีประหลาดใจ ความจริงการได้ยินเสียงในโรงทานนั้น เป็นความปลาบปลื้มประการหนึ่งของท่านเศรษฐี เศรษฐีได้เรียกบิดาของนางไปหาแล้วถาม บิดาจึงเล่าความทั้งปวงให้ทราบเกี่ยวกับการทำรั้ว

“แล้วเมื่อก่อนทำไมไม่ทำ” เศรษฐีถาม

“เมื่อก่อนไม่มีใครคิด นาย” บิดาตอบ

“แล้วเดี๋ยวนี้ใครเป็นคนคิดล่ะ”

“ลูกสาวของข้าพเจ้าคิด”

“ท่านมีลูกสาวด้วยหรือ ทำไมเราไม่รู้”

มิตตกุฎุมพีเล่าให้ท่านเศรษฐีทราบตามความเป็นจริงเกี่ยวกับเรื่องของสามาทุกประการ และบอกให้ทราบว่าบัดนี้บุตรสาวของตนชื่อ สามาวดี

“เป็นเด็กฉลาด ท่านน่าจะบอกเราตั้งแต่วันแรก” เศรษฐีพูดเป็นเชิงตำหนิเล็กน้อย “อีกประการหนึ่งที่สำคัญคือภัททิยเศรษฐีนั้นเป็นสหายรักของเรา ลูกสาวเขาเหมือนลูกสาวเรา น่าสงสารเหลือเกิน ท่านรีบกลับไปนำลูกสาวของเรามาให้เรา”

ท่านมิตตกุฎุมพีจึงรีบกลับบ้านเล่าให้สามาฟังแล้วกล่าวว่า

“ลูกรัก ความเป็นจริงแล้ว แม้ลูกจะมิใช่ลูกของพ่อโดยสายเลือด แต่พ่อก็รักลูกเหมือนลูกของพ่อจริงๆ หรืออาจยิ่งกว่าเสียอีก ทั้งนี้ก็เพราะความดีของลูก คนดีย่อมตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ อยู่ที่ไหนมีแต่คนรัก พ่อไม่อยากให้ลูกแก่ท่านเศรษฐีเลย แต่ประการหนึ่งเขาเป็นนายเรา ประการที่สอง พ่อคิดว่าเขาคงรักลูกมากเหมือนพ่อ เพราะภัททิยเศรษฐีบิดาเดิมของลูกเป็นเพื่อนรักของท่าน ประการที่สามซึ่งสำคัญคือพ่อรักลูก อยากให้ลูกมีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป พ่อเชื่อว่าลูกเป็นลูกของท่านเศรษฐี อยู่กับท่านเศรษฐีจะมีความสุขมากกว่าอยู่กับพ่อ ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้พ่อจึงยินยอมให้ลูกอยู่กับท่านเศรษฐี”

นางปลื้มใจในคำพูดของท่านบิดาจนน้ำตาไหล ลงกราบท่านด้วยความเคารพรักแล้วกล่าวว่า “การที่ท่านบิดาให้รับลูกไว้ ในการอุปการะแม้มิใช่ลูกแท้ แต่ก็เลี้ยงเสมอลูกนั้นเป็นพระคุณที่สูงสุดแล้ว ลูกไม่อาจลืมคุณความดีข้อนี้ของบิดาได้ ลูกเข้าใจในความรู้สึกของบิดาทุกประการ อนึ่งเล่า การไปครั้งนี้ก็มิใช่ไปไกลจนไม่อาจพบกันได้ ที่แท้ก็อยู่ในบริเวณเดียว จะห่างกันก็แต่เพียงเป็นบ้านคนละห้องเท่านั้น ยังพอกู่กันได้ยิน หากท่านบิดาจะกังวลอยู่ด้วยธุระมากไปเยี่ยมลูกไม่ได้ ลูกก็จะมาเยี่ยมบิดาเสมอ ความจริงลูกเองก็ไม่ปรารถนาจากบิดาไป แต่รู้ว่าความปรารถนานั้นไม่อาจให้สมใจได้ ก็ต้องทำใจให้นิยมในสิ่งที่จะได้รับใหม่ซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยง ลูกจะขอปฏิญาณว่า บิดานั้นเป็นเสมอผู้บังเกิดเกล้าคนที่สองของลูก”

รู้สึกว่า ท่านมิตตกุฎุมพีจะเพิ่มความรักในตัวนางมากขึ้น จึงเฝ้าลูบศีรษะของนางอยู่ไปมา ปากก็พร่ำบ่นว่าระลึกถึง ขอให้นางระลึกถึงท่านบ้าง

ออมสิน:
การย้ายไปอยู่บ้านโฆสกเศรษฐีนั้น สมจริงดังที่ท่านมิตตกุฎุมพีพูดไว้ คือทำให้นางมีความสุขขึ้น ท่านให้นางเรียกท่านว่าบิดา และท่านเรียกสามาว่าลูกทุกคำไป ตั้งแต่สามาออกความเห็นให้สร้างรั้วเพื่อให้คนรับทานรับสะดวกแล้ว ชื่อ “สามา” ของนางก็ถูกเพิ่มคำว่า “วดี” เข้าด้วยคำหนึ่ง จึงรวมเป็นชื่อ “สามาวดี” ความรักของบิดาคนใหม่ที่มีต่อนางนั้นสะอาดบริสุทธิ์ประดุจบิดาจริงๆ

มีต่อ..
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 58.11.141.31 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2555 เวลา:13:57:49 น.  

 
 
 
มีสิ่งน่าประหลาดอยู่อย่างหนึ่งในชีวิตมนุษย์คือ เด็กกำพร้าพ่อแม่มาแต่เยาว์นั้น มักมีเสน่ห์ในตัว ใครเห็นใครรักหรืออย่างน้อยก็มีความปรารถนาดีพอใจช่วยเหลือ ข้อนี้อาจเป็นกฎธรรมชาติ หรือเป็นเพราะเด็กกำพร้ามักมีกิริยาเสงี่ยมเจียมตัว จึงทำให้เป็นที่รักของผู้อื่น

นางอยู่กับท่านโฆสกเศรษฐีไม่นานนักชีวิตก็ต้องเปลี่ยนแปลงอีก แต่เป็นความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น สูงส่งขึ้น และก็เพราะความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เหมือนกันที่ทำให้ชีวิตของนางต้องพบกับความยุ่งยากมากมาย ในที่สุดได้ประสบมรณกรรมอย่างทารุณจากผู้ซึ่งริษยานาง

วันหนึ่งมีมหรสพใหญ่ในกรุงโกสัมพี สามาและบริวารจำนวนร้อยได้ไปอาบน้ำที่ท่าน้ำ บังเอิญพระเจ้าอุเทนประทับอยู่ที่ช่องพระแกลทอดพระเนตรเห็นสามาวดี จึงตรัสถามราชบุรุษผู้สนิทว่า

“เหล่านักฟ้อนของใคร”
“มิใช่นักฟ้อน พะย่ะค่ะ” ราชบุรุษทูล
“แล้วใครล่ะ”
“นางสามาวดี บุตรีของโฆสกเศรษฐี พร้อมด้วยบริวาร พะย่ะค่ะ”

เนื่องจากสามาวดีเป็นหญิงสวยมีเสน่ห์ ใครเห็นมักรักดังกล่าวแล้ว เมื่อพระเจ้าอุเทนทอดพระเนตรเห็น ความรักก็อุบัติขึ้นในพระทัย จึงรับสั่งราชบุรุษให้ไปหาโฆสกเศรษฐีให้นำสามาวดีไปถวาย โฆสกเศรษฐีทราบเรื่องแล้วไม่ยอมถวาย ราชบุรุษกลับมากราบทูลให้ทรงทราบ

“ทำไมให้เราไม่ได้ เรามีอะไรน่ารังเกียจหรือ” ตรัสถามพระทัยขุ่นเล็กน้อย
“เศรษฐีเกรงแต่บุตรีจะได้รับราชภัยในราชสกุลพะย่ะค่ะ” ราชบุรุษทูล

“เอ โฆสกะเห็นเราเป็นอะไรไป เราเป็นยักษ์เป็นมารมาจากไหน อย่าว่าแต่สามาวดีเลย แม้ตัวโฆสกะเองหากเราต้องการหัว ยังเอาได้ กลับไปบอกโฆสกะอีกครั้งว่า ให้ส่งบุตรีมาให้เรา เราชอบ”

ราชบุรุษนำความนั้นไปแจ้งแก่โฆสกเศรษฐี แม้ในครั้งที่ ๒ โฆสกะก็ยังยืนยันอย่างเดิม

พระราชาสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ต้องประสงค์สิ่งใดย่อมจะต้องได้สิ่งนั้น ใครขวางไม่ได้ ต้องรับอันตราย ดังนั้น พระเจ้าอุเทนจึงกริ้วในความอวดดีของโฆสกะมาก รับสั่งให้นำพระราชลัญจกรไปตีฝาเรือนของเศรษฐีห้ามเข้าบ้าน ให้เศรษฐีและภริยาออกไปอยู่ข้างนอก เศรษฐีก็ยอมออกแต่ไม่ยอมยกบุตรีให้

เมื่อสามาวดีและหญิงบริวารอาบน้ำเสร็จจึงกลับบ้านมาเห็นเหตุการณ์นั้น จึงกล่าวว่า

“อะไรกันนี่ พ่อ”
“พระราชาต้องการลูก พ่อไม่ยอมถวาย จึงกริ้วรับสั่งให้ตีตราบ้าน ห้ามมิให้พ่อเข้าไป”
“โอ กรรมหนักแล้วละพ่อ” นางพูด “ธรรมดาพระราชาเมื่อทรงพระประสงค์สิ่งใดในแว่นแคว้นของพระองค์ เราต้องถวาย ขัดขืนไม่ได้”
“ลูกพอใจหรือลูก” เศรษฐีถาม
“จะพอใจหรือไม่พอใจก็ต้องถวายตัวแก่พระราชา”
“หากลูกไม่ขัดข้อง พ่อก็ไม่ขัดข้อง” เศรษฐีย้ำ

คนรักลูกเป็นอย่างนี้เอง เรื่องทั้งหลายจึงสงบระงับลง พระเจ้าอุเทนได้นางสามาวดีไปแล้ว ได้ทรงอภิเษกให้ดำรงอยู่ในตำแหน่งอัครมเหสี

ออมสิน:
พระเจ้าอุเทนนั้นจะมีพระมเหสีเพียงพระองค์เดียวเฉพาะพระนางสามาวดีก็หามิได้ พระมเหสีที่มีอยู่ก่อนแล้วที่ขึ้นชื่อลือชาก็มีอยู่ถึง ๒ พระองค์คือ พระนางวาสุลทัตตา ราชธิดาแห่งพระเจ้าจัณฑปัชโชต แห่งอุชเชนี และ พระนางมาคัณฑิยา อดีตหญิงงามแห่งมาคัณฑยคามแคว้นกุรุ มีเรื่องโดยย่อดังนี้

พระเจ้าจัณฑปัชโชต เดิมมีพระนามว่า “ปัชโชต” แต่เพราะทรงเป็นพระราชาที่โหดร้าย ชนทั้งหลายถึงถวายพระนามนำหน้าอีกว่า “จัณฑปัชโชต” มีความหมายว่า “ปัชโชตผู้ดุร้าย” พระองค์ครองแคว้นอวันตี ซึ่งมีอุชเชนีเป็นเมืองหลวง วันหนึ่งเสด็จกลับจากพระราชอุทยาน ทรงมองดูราชสมบัติแล้วทรงภาคภูมิพระทัย ตรัสเปรยขึ้นท่ามกลางข้าราชบริพารว่า “ใครหนอจักมีสมบัติเสมอด้วยเรา ใครหนอจักมีสมบัติเสมอด้วยเรา”

ขณะนั้นข้าราชบริพารผู้หนึ่งทูลว่า “มหาราช ณ แคว้นอังสะ อันมีโกสัมพีเป็นราชธานีนั้น มีพระราชาพระนามว่า อุเทนราช พระองค์ทรงมีสมบัติล้นเหลือ ยิ่งกว่าที่พระองค์มีพระเจ้าข้า”

พระเจ้าจัณฑปัชโชตทรงสดับดังนั้น ไม่พอพระทัยตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นเราจะจับพระเจ้าอุเทนมาเป็นบริวารของเรา”

“คงไม่อาจจับได้ พะย่ะค่ะ” ข้าราชบริพารทูล
“เพราะเหตุไร”
“เพราะพระเจ้าอุเทนทรงเลิศด้วยศิลปศาสตร์หลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิลปะอันมีนามว่า “หัตถิกันตะ” พะย่ะค่ะ”

พระเจ้าจัณฑปัชโชตทรงวางอุบายให้ทำช้างไม้ แล้วให้คนของพระองค์อยู่ในช้างนั้น เพราะทรงทราบว่าพระเจ้าอุเทนทรงพอพระทัยในการจับช้างมาก เพราะทรงเชื่อมั่นในมนต์อันมีนามว่าหัตถิกันตะของพระองค์ที่สามารถเรียกช้างได้ จะให้วิ่งหรือให้หยุดให้นอนลงได้สมตามพระประสงค์

เมื่อทำช้างไม้เสร็จแล้ว พระเจ้าจัณฑปัชโชตจึงให้คนไปกุข่าวที่ชายแดนแคว้นวังสะของพระเจ้าอุเทนว่ามีช้างเผือกเกิดขึ้น นายพรานของแคว้นวังสะเห็นช้างท่องเที่ยวอยู่เป็นช้างเผือกตามข่าวลือ จึงนำความกราบบังคมทูลให้พระเจ้าอุเทนทรงทราบ

ราชาแห่งแคว้นวังสะจึงเสด็จออกเพื่อจับช้าง แต่ไม่อาจไล่ให้ทันช้างซึ่งมีคนอยู่ภายในได้ จึงเปลี่ยนเป็นทรงม้า ข้าราชบริพารของพระองค์จึงตามไม่ทัน พระเจ้าอุเทนได้เข้าไปในวงล้อมที่พระเจ้าจัณฑปัชโชตทรงวางไว้ และถูกจับได้
มนุษย์เรามันจะเหมือนๆ กันคือ เมื่ออารณ์ยั่วยวนมาตรงกับจุดอ่อนเข้า ย่อมจะพ่ายแพ้ต่ออารมณ์นั้นแล้วภัยพิบัติก็ตามมา อย่างเช่นพระเจ้าอุเทน บางคนมีจุดอ่อนเรื่องเงินทอง บางคนเรื่องอำนาจ บางคนเรื่องสตรี หากจะให้คนพวกนี้ทำอะไร ต้องนำเอาสิ่งยั่วยวนอันตรงกับจุดอ่อนของเขาเข้าล่อจึงจะสำเร็จได้โดยง่าย

พระเจ้าจัณฑปัชโชตจับพระเจ้าอุเทนขังไว้ แล้วดื่มชัยบานกันอย่างสนุกสนาน เป็นการฉลองชัยชนะอยู่ถึง ๓ วัน ในวันที่ ๓ นั่นเอง พระเจ้าอุเทนได้ตรัสถามคนเฝ้าว่า พระราชาของแกอยู่ไหน

“กำลังดื่มฉลองชัยชนะ พะย่ะค่ะ” คนเฝ้าตอบ
“ทำไม”
“เพราะทรงปลาบปลื้มพระทัยที่ทรงจับปัจจามิตรได้ พะย่ะค่ะ”
“การกระทำแห่งพระราชาของท่านเหมือนมาตุคาม” พระเจ้าอุเทนตรัส “เราเป็นราชา เมื่อเขาจับได้แล้วไม่ฆ่าเราก็ควรปล่อยเราไป นี่จับขังแล้วนั่งดื่มชัยบานอยู่ได้ถึง ๓ วัน ให้เรานั่งเป็นทุกข์อยู่คนเดียว”

ออมสิน:
คนเฝ้าได้นำความนั่นกราบทูลพระเจ้าจัณฑปัชโชต ราชาแห่งแคว้นอวันตีไม่พอพระทัย จึงเสด็จไปถาม

“จริงหรืออุเทนที่ท่านว่า ข้าพเจ้าทำกิริยาเหมือนมาตุคาม ไม่ฆ่าท่านหรือไม่ปล่อยท่าน”

“จริง” พระเจ้าอุเทนตรัสตอบ

“ข้าพเจ้าทราบว่า ท่านมีมนต์ชื่อหัตถิกันตะ ถ้าท่านบอกมนต์นั้นแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะปล่อยท่าน”

“ข้าพเจ้าบอกให้ได้ ก่อนเรียนมนต์ท่านต้องไหว้ข้าพเจ้าก่อน” พระเจ้าอุเทนตรัสอย่างทรนง

“ข้าพเจ้าจะไหว้ท่านทำไม ท่านเป็นเชลยของข้าพเจ้า” พระเจ้าจัณฑปัชโชตเถียง

“ถ้าไม่ไหว้ ข้าพเจ้าก็ไม่บอกมนต์ให้”

“ไม่บอกข้าพเจ้าจะใช้ราชอาญาแก่ท่าน”

“เชิญซิท่าน เชิญ เวลานี้ท่านเป็นใหญ่ในร่างกายของข้าพเจ้า แต่หาเป็นใหญ่ในจิตใจของข้าพเจ้าไม่”

พระเจ้าจัณฑปัชโชตทรงอึ้งไปครู่หนึ่ง ขณะนั้นทรงดำริว่าจะให้พระราชธิดา พระนามว่า “วาสุลทัตตา” เรียนมนต์จากพระเจ้าอุเทน แต่จะให้เห็นกันไม่ได้ จะบอกพระเจ้าอุเทนว่าจะให้หญิงค่อมเรียน และจะบอกพระราชธิดาว่าจะให้เรียนมนต์กับคนโรคเรื้อน แล้วกั้นม่านให้อยู่คนละด้าน ทรงดำริดังนี้แล้ว พระเจ้าจัณฑปัชโชตจึงตรัสว่า

“ให้คนอื่นเรียนจะได้ไหม”
“ได้” พระเจ้าอุเทนตอบ
“ข้าพเจ้าจะให้หญิงค่อมคนหนึ่งเรียน”
“ค่อม หญิงง่อยเปลี้ยเสียขาอย่างไรก็เรียนได้ ถ้าไหว้ข้าพเจ้าได้”

พระเจ้าจัณฑปัชโชตทรงบอกอุบายทั้งปวงให้พระราชธิดาทรงทราบแล้วให้เรียนมนต์กับพระเจ้าอุเทน พระราชธิดาวาสุลทัตตานั้นไม่สู้พอพระทัยนัก เพราะทรงทราบว่าไปเรียนมนต์กับชายที่เป็นโรคเรื้อนแม้จะอยู่ภายในม่านก็ตาม แต่เพราะเกรงพระทัยพระราชบิดา จึงต้องทรงยินยอม

เนื่องด้วยพระนางไม่พอพระทัยจะเรียนมนต์กับชายโรคเรื้อน จึงไม่อาจจำอะไรได้เลย พระเจ้าอุเทนพิโรธมาก เพราะบอกมนต์มาหลายวันแล้วนางไม่อาจจำได้เลย จึงทรงตวาดว่า

“อีค่อม ปากของเอ็งเป็นอย่างไร สมองของเอ็งเป็นอย่างไร จึงจำอะไรไม่ได้เลย กูบอกจนเสียน้ำลายได้สักตุ่ม เอ็งก็ยังจำอะไรไม่ได้”

พระราชธิดาวาสุลทัตตาพิโรธมากเหมือนกัน เพราะไม่เคยเลยในชีวิตที่ผ่านมาที่ใครจะมากล้าล่วงเกินถึงปานนี้ พระราชบิดาเองก็ยังไม่เคยด่าพระนาง บุรุษขี้เรื้อนผู้นี้อวดวิเศษอย่างไร จึงคิดว่าพระนางเป็นหญิงค่อม จึงตรัสไปอย่างโกรธจัดว่า

“อ้ายคนขี้เรื้อน ใครบอกว่าข้าเป็นคนค่อม แกพูดมากเกินไป ข้าไม่อยากเรียนมนต์บ้าๆ กับแกคนขี้เรื้อน”

ทั้งสองประหลาดใจจึงเปิดม่านออก ได้เห็นกันและกันแล้วตกตะลึงอยู่ขณะหนึ่ง

“ท่านคือใคร” พระเจ้าอุเทนตรัสถามขึ้นก่อน
“แล้วท่านล่ะ คือใคร” พระนางตรัสถามย้อน
“ข้าพเจ้าคือ ราชาอุเทนแห่งโกสัมพี”

“ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่”
“พระเจ้าจัณฑปัชโชตจับมา”

พระราชธิดานิ่ง ทอดพระเนตรบุรุษอยู่เฉพาะพระพักตร์อย่างพินิจพิเคราะห์ รู้สึกพอพระทัยในบุคลิกของบุรุษผู้นั้น

“ท่านคือใคร” พระเจ้าอุเทนตรัสถามอีก
“ข้าพเจ้าคือ วาสุลทัตตา ราชธิดาของพระเจ้าจัณฑปัชโชต”

ทั้งสองได้เข้าพระทัยถึงอุบายของพระเจ้าจัณฑปัชโชตว่าเพราะเหตุใดจึงทรงตรัสบอกฝ่ายหนึ่งว่าเป็นโรคเรื้อนและอีกฝ่ายหนึ่งว่าเป็นหญิงค่อม คงเกรงว่าทั้งสองจะมีสันถวะต่อกันนั่นเอง

และแล้วสิ่งที่พระเจ้าจัณฑปัชโชตทรงเกรงก็เกิดขึ้นภายในม่านนั่นเอง เป็นการยินยอมพร้อมใจกันทั้งสองฝ่าย

ตั้งแต่บัดนั้นมาการเรียนมนต์ก็เป็นอันหยุดชะงักลง ถึงเวลาเรียนมนต์ทีไร ก็เปลี่ยนเป็นการทำสันถวะกัน เมื่อพระเจ้าจัณฑปัชโชตตรัสถามถึงการเรียนมนต์ พระราชธิดาก็ทูลว่ายังเรียนไม่จบทุกครั้งไป

พระเจ้าอุเทนออกอุบายให้พระนางวาสุลทัตตาขอช้างเผือกเชือกหนึ่งและขอให้เข้าออกทางประตูด้านหนึ่งได้เสมอทุกเวลา อ้างว่าเพื่อประกอบการเรียนมนต์ บางทีต้องออกในเวลาราตรีเพื่อหายาชนิดหนึ่งตามสัญญาณของดวงดาว พระเจ้าจัณฑปัชโชตทรงยินยอม

พระเจ้าอุเทนให้รวบรวมกระสอบกหาปณะ เงิน และกระสอบทองไว้มากพอควรแล้ว จึงชวนพระนางวาสุลทัตตาหนี เมื่อถูกติดตามจึงทรงหว่านกหาปณะและทองให้พวกติดตาม คนพวกนั้นเห็นแก่กหาปณะและทองจึงมัวเก็บอยู่ไม่อาจตามให้ทันได้ เมื่อถูกติดตามใกล้เข้าไปอีก พระเจ้าอุเทนก็ทรงเหกระสอบทองลงมา คนติดตามจึงวุ่นอยู่กับการเก็บทองไม่อาจตามพระเจ้าอุเทนทันได้

เงินทองเป็นสิ่งยั่วยวนใจ คนส่วนใหญ่รักเงินทองมากกว่าหน้าที่ เงินง้างแล้วสิ่งที่แข็งก็อ่อนลง คนที่ทำหน้าที่เพื่อเงินเขาย่อมละเลยหน้าที่ก็เพราะเงินทองอีกเหมือนกัน ดูตัวอย่างราชบุรุษของพระเจ้าจัณฑปัชโชตนั่นเถิด

ในที่สุดพระเจ้าอุเทนก็เสด็จถึงนครโกสัมพีโดยปลอดภัย ได้ทรงแต่งตั้งพระนางวาสุลทัตตาราชธิดาแห่งพระเจ้าจัณฑปัชโชตไว้ในตำแหน่งอัครมเหสีด้วยประการฉะนี้

ออมสิน:
อีกนางหนึ่งซึ่งเป็นมเหสีของพระเจ้าอุเทนคือ พระนางมาคัณฑิยา เดิมทีเป็นธิดาของพราหมณ์ชื่อมาคัณฑิยะ ณ มาคัณฑิยคาม แคว้นกุรุ ปรากฏเป็นผู้มีรูปงามปานเทพอักษรจึงเป็นที่ต้องการของเศรษฐี คหบดีหนุ่มๆ เป็นอันมาก แต่พราหมณ์ผู้เป็นบิดาไม่ยอมให้ใคร เพราะเห็นว่าคนเหล่านั้นไม่คู่ควรแก่บุตรีตน

วันหนึ่ง พระบรมศาสดาทรงตรวจอุปนิสัยแห่งเวไนยสัตว์ที่พระองค์จะควรโปรด ได้ทรงเห็นอุปนิสัยของมาคัณฑิยพราหมณ์และพราหมณีผู้เป็นบิดามารดาของนางมาคัณฑิยา จึงเสด็จสู่มาคัณฑิยคาม พราหมณ์มาคัณฑิยะบูชาไฟอยู่นอกบ้าน ได้เห็นพระศาสดาแล้วเกิดความพอใจว่าบุรุษนี้เหมาะแก่บุตรีของตน จึงกราบทูลว่า

“สมณะ ข้าพเจ้ามีบุตรีอยู่คนหนึ่งสวยงามปานเทพอักษร ชายอื่นข้าพเจ้าไม่เห็นควรเลย เห็นแต่ท่านนี่แหละที่เหมาะแก่บุตรีของข้าพเจ้า ท่านกรุณายืนคอยอยู่ที่นี่แหละ ข้าพเจ้าจะไปนำบุตรีมาให้ท่าน”

พระศาสดาประทับนิ่ง มิได้ตรัสอะไรเลย พราหมณ์รีบกลับไปในบ้านโดยเร็ว บอกภรรยาให้ทราบแล้วให้แต่งตัวลูกสาวอย่างดีแล้วนำออกไปเพื่อถวายพระศาสดา

ชาวบ้านแตกตื่นกันมาก ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วไม่เคยได้ยินพราหมณ์พูดว่าใครเหมาะสมแก่ธิดาของตน ใครมาขอก็ไม่ให้ วันนี้เป็นบุคคลที่เหมาะสมถึงกับจะยกให้เขา พวกชาวบ้านมาคัณฑิยะจึงพากันออกไปดูกันเป็นอันมาก

พราหมณ์พาภรรยาและธิดาออกมาแล้ว ไม่เห็นพระบรมศาสดาจึงเที่ยวเดินตามหา นางพราหมณ์ได้เห็นรอยพระบาทที่พระผู้มีพระภาคทรงอธิษฐานเหยียบไว้แล้ว กล่าวกับพราหมณ์ว่า

“นี่รอยเท้าของท่านผู้นั้นหรือ”

“ใช่แล้ว พราหมณี รอยเท้าของเขา เพราะเขายืนตรงนี้เมื่อสักครู่นี้เอง”

นางพราหมณ์เป็นผู้ชำนาญในการดูลักษณะได้เห็นแล้วกล่าวว่า

“พราหมณ์เอย รอยเท้าเช่นนี้หาใช่รอยเท้าของผู้ครองเรือนไม่ แต่เป็นลักษณะรอยเท้าของผู้สลัดกิเลสแล้ว ตำราท่านกล่าวว่า บุคคลเจ้าราคะ รอยเท้าเว้ากลางมาก บุคคลเจ้าโทสะหนักส้น บุคคลเจ้าโมหะจิกปลาย แต่รอยเท้าของท่านผู้นี้เป็นรอยเท้าของผู้ไม่มีกิเลสใดๆ เลย”

พราหมณ์กล่าวว่า “นิ่งเสียเถิด อย่าพูดมาก เธอนั้นเหมือนจระเข้ในตุ่ม ไหวตัวหน่อยน้ำก็กระเพื่อม”

“พราหมณ์ท่านจะว่าข้าพเจ้าอย่างไรก็เชิญเถิด แต่ข้าพเจ้าขอยืนยันเรื่องรอยเท้านี้”

ในที่สุดพราหมณ์ก็เที่ยวพาธิดาตามหาพระพุทธเจ้า ไปพบเข้าที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง จึงทูลถวายธิดาของตนเพื่อครองคู่เป็นสามีภริยากัน

พระศาสดามิได้ทรงรับหรือปฏิเสธในทันที แต่ทรงเล่าให้พราหมณ์ฟังถึงประวัติของพระองค์ตั้งแต่ต้นจนได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แม้นางตัณหา ราคา และอรดีจะยั่วยวนเพียงใด ก็หาไยดีไม่ แล้วทรงย้ำว่า

“พราหมณ์เอย เมื่อเราได้เห็นนางตัณหา ราคา อรดี เรามิได้พอใจในเมถุนเลยแม้แต่น้อย ก็ไฉนเล่า เราจักพอใจธิดาของท่านซึ่งมีร่างกายเต็มไปด้วยมูตรและกรีส เราไม่ปรารถนาจะถูกต้องสรีระแห่งธิดาของท่านแม้ด้วยเท้า”

พระศาสดาได้ทรงประทานเทศนาอื่นๆ อีกแก่พราหมณ์และพราหมณี จนทั้งสองได้บรรลุอนาคามิผล ได้ขอบรรพชาอุปสมบทต่อพระศาสดาและได้สำเร็จอรหัตตผลในไม่ช้า

พระธรรมเทศนาครั้งนั้นมีผลมากแก่พราหมณ์และพราหมณี แต่กลายเป็นยาพิษสำหรับนางมาคัณฑิยาผู้บุตรี นางผูกใจเจ็บในพระดำรัสของพระผู้มีพระภาค คิดว่าจะหาทางแก้แค้นให้ได้

เมื่อมารดาบิดาของนางสำเร็จอนาคามิผลแล้ว ก่อนบวชได้นำนางไปฝากไว้กับอาชื่อ จูฬมาคัณฑิยะ เขามองดูความงามแห่งหลานสาวแล้วรู้สึกว่าหลานของตนควรแก่พระราชา หาควรแก่ใครอื่นไม่ จึงนำนางมาคัณฑิยาไปสู่นครโกสัมพีถวายแก่พระเจ้าอุเทน พระเจ้าอุเทนทรงตั้งนางไว้ในตำแหน่งอัครมเหสีเช่นเดียวกับพระนางวาสุลทัตตา


ออมสิน:
ในสมัยนั้น ณ กรุงโกสัมพี มีเศรษฐีใหญ่อยู่ ๓ ท่าน คือ โฆสิตเศรษฐี กุกกุฏเศรษฐี ปาวาริกเศรษฐี ท่านเหล่านี้ได้ทราบข่าวการเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า และพระองค์กำลังประทับอยู่ ณ เชตวนาราม กรุงสาวัตถี จึงชวนกันไปเฝ้า ได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้วบรรลุโสดาปัตติผลด้วยกัน ทุกคนเลื่อมใสในพระศาสดาและพระภิกษุสงฆ์เป็นอย่างยิ่ง จึงทูลอาราธนาพระศาสดาให้เสด็จไปประทับ ณ กรุงโกสัมพีบ้าง เมื่อพระศาสดาทรงรับแล้ว จึงกลับมาโกสัมพี รีบสร้างอารามเพื่อต้อนรับพระพุทธองค์

โฆสิตเศรษฐี สร้างอารามให้ชื่อว่า โฆสิตาราม
กุกกุฏเศรษฐี สร้างอารามให้ชื่อว่า กุกกุฏาราม
ปาวาริกเศรษฐี สร้างอารามให้ชื่อว่า ปาวาริการาม

เมื่อสร้างเสร็จแล้วได้ส่งคนไปอาราธนาพระศาสดาเพื่อเสด็จสู่โกสัมพี พระพุทธองค์พร้อมด้วยสาวกได้เสด็จสู่โกสัมพีเป็นครั้งแรก เศรษฐีทั้ง ๓ ได้ถวายอารามแก่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ได้ฟังธรรม ถวายทานอยู่เป็นนิตย์

พระศาสดาประทับ ณ อารามของเศรษฐีคนใด เมื่อออกจากอารามก็เสด็จบิณฑบาต ณ บ้านของเศรษฐีคนนั้น ผลัดเปลี่ยนกันไปแห่งละวัน

เศรษฐีทั้ง ๓ นั้นมีช่างทำดอกไม้ร่วมกันอยู่คนหนึ่ง เขาชื่อสุมนะ วันหนึ่งได้ขออนุญาตเศรษฐีว่าได้ทำดอกไม้มานานแล้ว ยังไม่เคยได้ถวายบิณฑบาตแก่พระพุทธเจ้าด้วยตนเองเลย ใคร่ขออนุญาตเลี้ยงพระพุทธเจ้าสักวันหนึ่ง เศรษฐีทั้ง ๓ ก็อนุญาต เขานิมนต์พระศาสดาและพระภิกษุสงฆ์ได้ถวายอาหารแล้วชื่นใจยิ่งนักสมกับที่มีความปรารถนามานาน

ในครั้งนั้น พระเจ้าอุเทนได้พระราชทานกหาปณะ วันละ ๘ กหาปณะแก่พระนางสามาวดีเป็นค่าดอกไม้ประดับในพระราชวัง พระนางสามาวดีให้หญิงคนใช้ชื่อขุชชุตตราไปซื้อดอกไม้ที่บ้านของนายสุมนะเป็นประจำ วันที่นายมาลาการเลี้ยงพระพุทธเจ้านั้น นางขุชชุตตราก็มาซื้อดอกไม้เช่นเคย นายมาลาการบอกว่า วันนี้นิมนต์พระพุทธเจ้ามา ดอกไม้ดีๆ ได้บูชาพระพุทธเจ้าหมดแล้ว ขอให้นางขุชชุตตราอยู่ฟังธรรมด้วยกัน เมื่อเสร็จแล้วจะให้ดอกไม้ที่เหลือไป

เมื่อพระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จ ทรงกระทำอนุโมทนาและแสดงธรรม นางขุชชุตตราฟังแล้วได้บรรลุโสดาปัตติผลเป็นโสดาบัน มีความละอายต่อบาปและทุจริตเต็มที่ ในวันอื่นๆ เมื่อได้รับเงิน ๘ กหาปณะแล้ว ยักเอาไว้ส่วนตัวเสีย ๔ กหาปณะ อีก ๔ กหาปณะเอาซื้อดอกไม้ แต่วันนั้นซื้อดอกไม้ไปหมดทั้ง ๘ กหาปณะ ก็ได้ดอกไม้มาก

พระนางสามาวดีสงสัยจึงตรัสถาม นางได้เล่าความจริงทั้งปวงถวายมิได้ปิดบังแม้เรื่องที่ตนเคยยักยอกเงินไว้ ๔ กหาปณะตลอดมา เพราะธรรมดาพระโสดาบันไม่พูดมุสา แทนที่พระนางสามาวดีจะกริ้ว ขู่ตะคอกตามแบบของนายทั่วไปที่จับได้ว่าคนใช้ของตนไม่ซื่อ พระนางกลับขอฟังธรรมจากนางขุชชุตตราอีกต่อหนึ่ง นางขุชชุตตราจึงแสดงธรรมให้ฟัง พระนางสามาวดีและหญิงบริวารจำนวนร้อยพลอยได้สำเร็จโสดาปัตติผลไปด้วย ยกมือไหว้นางขุชชุตตรา แล้วตรัสว่า

“ข้าแต่แม่ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอแม่อย่าได้ทำงานเยี่ยงคนรับใช้อีกเลย ขอให้ดำรงอยู่ในตำแหน่งแห่งมารดาและอาจารย์ของข้าพเจ้า ไปสู่สำนักพระศาสดาทุกวัน ฟังพระธรรมเทศนาจากพระองค์แล้วมาแสดงให้ข้าพเจ้าฟังอีกครั้งหนึ่ง”

พระนางสามาวดีทรงเป็นบัณฑิต ซาบซึ้งดีว่าผู้รู้ธรรมนั้นมีค่าแก่ชุมนุมมนุษย์เพียงใด จึงไม่กล้าให้สอนธรรมไปด้วย รับใช้ตนไปด้วยไม่เหมือนคนพาลบางพวกเห็นผู้รู้ธรรมเป็นคนคร่ำครึควรดูหมิ่น มีกิริยาล้อเลียนเพื่อความสนุกสนานแห่งตน

ออมสิน:
นางขุชชุตตรานั้น ทำตามพระเสาวณีย์ของพระนางสามาวดี คือไปฟังธรรมจากสำนักพระสุคตแล้วก็กลับมาแสดงธรรมแก่พระนางและบริวารแห่งพระนาง เมื่อทำอยู่เช่นนี้นานวันเข้า นางก็ได้กลายเป็นผู้รอบรู้ในพระพุทธพจน์ เป็นพหูสูตร เป็นผู้ฉลาดในการแสดงธรรม พระผู้มีพระภาคได้ตรัสยกย่องนางเป็นเอตทัคคะในฝ่ายธรรมกถึก มีพระพุทธพจน์ว่า

“ภิกษุทั้งหลาย บรรดาอุบาสิกาผู้เป็นสาวกของเราซึ่งเป็นธรรมกถึก นางขุชชุตตราเป็นเลิศ”

ต่อมาพระนางสามาวดีและบริวารใคร่จะได้เฝ้าพระศาสดา จึงอ้อนวอนนางขุชชุตตราให้ทูลอาราธนาพระศาสดาเข้ามาในวัง หรือนำพวกตนออกไปเฝ้า นางขุชชุตตราทูลว่า

“ข้าแต่พระแม่เจ้า ราชสกุลเป็นเรื่องลำบาก ข้าพเจ้าไม่สามารถพาพระแม่เจ้าออกไปข้างนอกได้”

“ท่านอย่าทำให้พวกเราผิดหวังในเรื่องนี้เลย ทำอย่างไรจึงได้เฝ้าพระบรมศาสดา” พระนางสามาวดีทรงอ้อนวอน

เมื่อถูกอ้อนวอนหนักเข้า นางขุชชุตตราจึงออกอุบายให้พระนางเจาะรูที่ฝาห้องขนาดพอมองเห็นพระศาสดาเสด็จผ่านมาแล้วนำดอกไม้ ธูป เทียน มายืนสักการะในขณะพระผู้มีพระภาคเสด็จไปและกลับยังบ้านเศรษฐีทั้งสาม คนใดคนหนึ่ง

พระนางสามาวดีได้ทรงกระทำตามคำแนะนำของนางขุชชุตตรา ได้ทอดพระเนตรพระศาสดาโดยวิธีนั้น เพิ่มพูนศรัทธาปสาทะและนำมาซึ่งปราโมทย์ทุกๆ วัน

และแล้วเรื่องที่จะทำให้ลุกลามไปใหญ่โตก็เกิดขึ้น คือวันหนึ่งพระนางมาคัณฑิยาได้เสด็จไปยังปราสาทของพระนางสามาวดี ได้เห็นช่องที่ฝาจึงตรัสถาม พระนางสามาวดีและบริวารมิได้ทรงทราบเรื่องเบื้องหลังที่พระนางมาคัณฑิยาผูกอาฆาตในพระศาสดาอยู่ จึงทูลให้ทรงทราบตามความจริงว่า เจาะฝาเพื่อจะได้มองเห็นพระศาสดาและบูชาพระองค์ด้วยดอกไม้และของหอม

มีต่อ..
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 58.11.141.31 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:00:38 น.  

 
 
 
พระนางมาคัณฑิยาทรงทราบดังนั้น เพลิงแค้นก็คุขึ้นมาอีก ทรงดำริว่า “บัดนี้พระสมณโคดมมาสู่นครแห่งเรา เราจะต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่งซึ่งแสดงถึงความยิ่งใหญ่แห่งเรา อนึ่ง สตรีเหล่านี้เป็นสาวิกาของพระสมณโคดม เราจะต้องจัดการเสียด้วย” ดำริเช่นนี้แล้วเสด็จกลับไปเฝ้าพระเจ้าอุเทนทูลว่า

“ข้าแต่มหาราช หม่อมฉันขอทูลความจริงอะไรอย่างหนึ่ง พระองค์จะทรงเชื่อหรือไม่”

“ความจริงอะไร บอกมาก่อนซิ ควรเชื่อก็เชื่อ” พระเจ้าอุเทนตรัส

“เรื่องพระนางสามาวดี เพคะ”

“เรื่องเป็นอย่างไร เล่าไปซิ”

พระนางมาคัณฑิยาทูลเล่าเรื่องที่ได้เห็นช่องที่ฝาห้องของพระนางสามาวดีเพื่อทอดพระเนตรและบูชาพระศาสดาแล้วเสริมว่า

“หม่อมฉันเข้าใจว่าพระนางสามาวดีจะเอาพระทัยออกห่างจากพระองค์ไปฝักใฝ่กับพระสมณโคดมเพคะ”

“ขอบใจมาคัณฑิยาที่นำเรื่องนี้มาบอก เราจะไปดูด้วยตัวเอง”

เมื่อว่างราชกิจ พระเจ้าอุเทนก็เสด็จไปสู่ปราสาทของพระนางสามาวดี พระองค์มิได้ทรงเชื่อคำทูลของพระนางมาคัณฑิยาเลย พระองค์ทรงสอบถามเรื่องที่เจาะฝาก็ได้รับคำตอบตรงตามที่พระนางมาคัณฑิยาทูล จึงรับสั่งให้อุดรูนั้นเสีย แล้วรับสั่งให้ทำหน้าต่างแทน เพื่อพระนางสามาวดีและบริวารจะได้บูชาพระศาสดาสะดวกขึ้น

พระนางมาคัณฑิยาประสงค์อย่างหนึ่ง แต่เรื่องกลับเป็นเสียอีกอย่างหนึ่ง เหมือนยิ่งยุให้พระนางหาทางแก้แค้นต่อไปอีก

เมื่อไม่สามารถทำร้ายพระนางสามาวดีได้ในครั้งนั้น พระนางมาคัณฑิยาก็หาลู่ทางต่อไป เมื่อยังไม่พบช่องทางก็หยุดเรื่องทางพระนางสามาวดีไว้ก่อนแล้วเบนเข็มมาทางพระศาสดา พระนางได้พระราชทานรางวัลแก่คนพาลผู้ไม่เลื่อมใสพระรัตนตรัยให้ด่าพระผู้มีพระภาคเจ้า คนพวกนี้ก็เที่ยวตามด่าด้วย อักโกสวัตถุ ๑๐ ประการ คือท่านเป็นโจร เป็นคนพาล เป็นคนหลง เป็นอูฐ เป็นโค เป็นลา เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์เดรัจฉาน สุคติไม่มีแก่ท่าน ท่านหวังได้แต่ทุคติเท่านั้น

พระศาสดาเสด็จไปที่ไหนคนพวกนั้นก็ตามด่า ความจริงเขาไม่ได้เกลียดชังพระศาสดาแต่ประการใดเลย แต่เขาต้องการสินจ้างที่พระนางมาคัณฑิยาจะให้เท่านั้น จึงรับจ้างด่าคน

เมื่อหลายวันเข้า พระอานนท์พุทธอนุชาก็ทนไม่ไหวจึงกราบทูลพระศาสดาให้เสด็จออกจากเมืองโกสัมพี

“จะไปไหนล่ะ อานนท์” พระศาสดาตรัสถาม

“ไปเมืองอื่น พระเจ้าข้า” พระอานนท์ทูล

“ถ้าที่เมืองนั้น เขาด่าเราอีกล่ะ”

“ไปเมืองอื่นต่อไปอีก พระเจ้าข้า”

“อย่าเลยอานนท์ อย่าพอใจให้ตถาคตทำอย่างนั้นเลย ทำอย่างนั้นจะไม่มีแผ่นดินอยู่ เรื่องเกิดขึ้นที่ใด ต้องให้ระงับเสียก่อนแล้วจึงค่อยไป อนึ่ง เรื่องที่เกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลายนั้นไม่เกิน ๗ วัน คนพวกนี้จะด่าอยู่อย่างมากเพียง ๗ วันเท่านั้น พอวันที่ ๘ ก็จะหยุดไปเอง”

ทรงดุษณีอยู่ครู่หนึ่งแล้วตรัสต่อไปว่า

“อานนท์ เราจะอดกลั้นต่อคำล่วงเกินของผู้อื่น เหมือนช้างศึกก้าวลงสู่สนาม อดทนต่อลูกศรที่มาจากทิศทั้ง ๔ เพราะคนส่วนมากเป็นคนชั่ว คนที่ฝึกตนให้อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้อื่นได้ จัดว่าประเสริฐที่สุดในหมู่มนุษย์ และประเสริฐกว่าสัตว์ทุกประเภทที่ฝึกแล้ว เช่นม้าอาชาไนยเป็นต้น”

ส่วนพระนางมาคัณฑิยา เมื่อไม่สามารถไล่พระศาสดาออกจากนครโกสัมพีได้โดยวิธีจ้างคนด่า ก็ยิ่งเดือดร้อนพระทัยมากขึ้น หันไปประทุษร้ายใครก็ไม่ได้ดังใจ จึงคิดว่าการที่พระศาสดายังประทับอยู่โกสัมพีได้ก็เพราะมีพระนางสามาวดีอุปถัมภ์บำรุงอยู่ หากทำลายพระนางเสียแล้ว พระศาสดาคงจะต้องจากไปอย่างแน่นอน จะต้องทำความย่อยยับให้เกิดแก่คนพวกนี้เสียก่อน
ออมสิน:
วันหนึ่ง ขณะที่พระราชาอุเทนเสวยน้ำจัณฑ์ และพระนางก็อยู่ในที่เฝ้า พระนางแอบให้คนไปส่งข่าวถึงอา ให้นำไก่เป็นมาให้ ๘ ตัว และไก่ตายอีก ๘ ตัว และให้ส่งเข้าไปคนละครั้ง คือให้ส่งไก่เป็นไปก่อนชุดหนึ่ง แล้วส่งไก่ตายไปภายหลังเมื่อพระนางสั่ง

เมื่อได้ไก่มาแล้ว พระนางได้นำถวายพระราชา กราบทูลว่าเป็นบรรณาการซึ่งปุโรหิตส่งมาถวาย

“โอ วิเศษมาก ขอให้ปุโรหิตจงเจริญ” พระราชารับสั่งด้วยความปลาบปลื้มพระทัย “ใครจะทำไก่นี้ให้เราบริโภคได้”

“พระนางสามาวดีเพคะ” พระนางมาคัณฑิยาทูล “พระนางสามาวดีพร้อมด้วยบริวาร ไม่มีอะไรทำเที่ยวไปอยู่เพคะ หากทรงส่งไก่พวกนี้ไปเขาคงจะทำส่งมาถวายตามพระประสงค์”

พระราชารับสั่งให้ราชบุรุษนำไก่ไปมอบให้พระนางสามาวดี พร้อมทรงกำชับว่าต้องให้พระนางสามาวดีทำด้วยพระหัตถ์เองแล้วส่งมาถวายตามปกติ พระนางสามาวดีเป็นพุทธสาวิกาได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วย่อมไม่ฆ่าสัตว์ เมื่อทรงเห็นไก่เป็นเช่นนั้นจึงรับสั่งกับราชบุรุษว่า พระนางทำถวายไม่ได้ เพราะพระนางไม่อาจฆ่าสัตว์ได้ ราชบุรุษนำความนั้นมากราบทูลพระราชา

“ทรงเห็นหรือยังเพคะ” พระนางมาคัณฑิยาทูล “พระนางสามาวดีมิได้เกรงพระราชอาญาเลย กล้าขัดพระบรมราชโองการของพระองค์ ลองใหม่ซิเพคะ ลองรับสั่งว่าให้แกงไก่ไปถวายพระสมณโคดม ลองดูว่าพระนางจะทำหรือไม่”

พระราชารับสั่งให้กระทำเช่นนั้น พระนางมาคัณฑิยาแอบให้ราชบุรุษนำไก่ตายจำนวน ๘ ตัวไปให้พระนางสามาวดี และว่าให้แกงถวายพระพุทธเจ้า พระนางสามาวดีทราบเช่นนั้นดีพระทัยรีบรับไก่ไปทันที พร้อมรับสั่งว่า

“เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของเราทั้งหลายอยู่แล้ว”

ราชบุรุษนำความนั้นกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ พระนางมาคัณฑิยาได้ทีจึงตรัสย้ำอีกว่า “ดูซิเพคะ พอรับสั่งว่าให้แกงถวายพระสมณโคดมเท่านั้นรับปากรับคำทันที ถือเป็นหน้าที่เสียอีก ส่วนที่จะแกงถวายพระองค์นั้นไม่ใช่หน้าที่ทำไม่ได้ อย่างนี้จะไม่ให้เรียกว่าเอาใจออกห่างจากพระองค์แล้วจะให้เรียกอะไร ใจของพระนางสามาวดีไปพัวพันกับพระสมณโคดมเสียแล้ว”

พระราชามิได้ตรัสคำใด ทรงดุษฎีอยู่ ฝ่ายนางมาคัณฑิยาดำริว่าจะทำอย่างไรต่อไป เมื่อแสวงหาทางไม่ว่าทางดีหรือทางร้ายย่อมจะต้องพบทางเสมอ

ตามปกติพระเจ้าอุเทนจะเสด็จประทับที่ปราสาทของอัครมเหสีทั้งสามผลัดเปลี่ยนกันไปแห่งละ ๗ วัน เมื่อพระนางมาคัณฑิยาทรงทราบว่าเหลือเวลาอีก ๒ – ๓ วัน พระราชาจะเสด็จประทับ ณ ปราสาทของพระนางสามาวดี พระนางก็ส่งข่าวไปบอกอาให้นำงูพิษมาให้ตัวหนึ่ง ให้ถอดเขี้ยวเสียด้วย เมื่อได้มาแล้วพระนางก็เอางูพิษใส่ไว้ในรางพิณ ซึ่งพระราชาโปรดใช้คือ “หัตถิกันตวีณา” แล้วเอาดอกไม้แห้งกลบไว้

เมื่อถึงโอกาสที่พระราชาจะเสด็จประทับ ณ ปราสาทของพระนางสามาวดี พระนางมาคัณฑิยาก็แสร้งพิลาปรำพันว่า พระนางทรงสุบินร้ายอาจมีอันตรายแก่พระราชาอย่างใดอย่างหนึ่ง ขออย่าได้เสด็จไปปราสาทของพระนางสามาวดีเลย แต่พระราชาไม่ทรงเชื่อจะเสด็จไปให้ได้ พระนางมาคัณฑิยาจึงขออนุญาตตามเสด็จด้วย พระราชามิได้ขัดขวาง

พระราชาเสด็จไปปราสาทของพระนางสามาวดี ให้ราชบุรุษนำพิณไปด้วย ได้ทรงพระภูษาใหม่ ทรงของหอมและอาภรณ์ที่พระนางสามาวดีจัดไว้ถวาย แล้วเสวยสุธารส ทรงวางพิณไว้เหนือพระเศียร บรรทมบนพระยี่ภู่อันมีสิริ ส่วนพระนางมาคัณฑิยาเสด็จดำเนินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องบรรทมนั้น เป็นทำนองคอยระแวดระวังอันตรายอันอาจเกิดขึ้นแก่พระราชา ครู่หนึ่ง ทรงทำทีเหมือนจะไปหยิบพิณมาถวายและตรวจพิณ ได้นำเอากลุ่มดอกไม้ออก ทันใดนั้นงูซึ่งอดอาหารมา ๒ – ๓ วันแล้วก็ออกมาจากรางพิณ ทำเสียงฟู่ๆ แผ่พังพาน

พระนางมาคัณฑิยาเห็นดังนั้น จึงร้องเสียงดังขึ้นว่า “งูเพคะ งู”

พระเจ้าอุเทนทะลึ่งพรวดขึ้นจากที่บรรทม ทอดพระเนตรงูนั้นนิ่งอยู่ พระนางมาคัณฑิยาตรัสบริภาสพระเจ้าอุเทนและพระนางสามาวดีว่า

“พระราชาช่างโง่เขลาอะไรอย่างนี้ เป็นคนโชคร้ายไม่เชื่อฟังคำเตือนของเราผู้หวังดี เกือบจะเอาชีวิตมาทิ้งเสีย บอกแล้วว่าเราฝันร้าย ไม่ควรมาปราสาทของนางสามาวดี แต่ก็หาเชื่อไม่ ส่วนหญิงใจร้ายนั้นเล่าก็เป็นคนไม่มีสิริ ดื้อด้านเหมือนไม่ได้รับอะไรจากพระราชา เมื่อพระราชาสิ้นพระชนม์คงจะมีความสุข พระราชามีพระชนม์อยู่คงมีความทุกข์ เพราะไม่อาจนอกใจได้ตามต้องการ หญิงชั่วร้าย อกตัญญู”

พระราชาทรงละอายพระทัยต่อคำบริภาสของพระนางมาคัณฑิยาประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งทรงเจ็บพระทัย เพราะทรงเชื่อแล้วว่า พระนางสามาวดีวางแผนปลงพระชนม์พระองค์จริง ทรงพิโรธประดุจเพลิงได้เชื้อถูกแรงลม ตรัสว่า

“สามาวดีและบริวารทำกับเราถึงขนาดนี้ เราหรือก็ช่างโง่เขลาเสียจริง เมื่อมาคัณฑิยาบอกถึงความลามกของสามาวดีอยู่แล้วๆ เล่าๆ ก็หาเชื่อไม่”

มาคัณฑิยาลอบยิ้มอยู่ในพระพักตร์

“ครั้งแรกเจาะห้องดูพระสมณโคดม” พระราชาตรัสต่อไป “ครั้งที่สองให้แกงไก่ถวายเรา ไม่ยอมทำ แต่พอทำถวายพระโคดม รีบกุลีกุจอทำ มาครั้งที่สามนี้เอางูพิษใส่ไว้ในรางพิณมุ่งประหารเรา ช่างเลวทรามต่ำช้าอะไรเช่นนี้”

ด้วยความพิโรธจัด พระเจ้าอุเทนรับสั่งให้นำพระนางสามาวดีและบริวารไปประหารชีวิตเสีย โดยพระองค์จะประหารเองด้วยสิงคธนู

ออมสิน:
พระนางสามาวดีมิได้ทูลแก้ตัวแต่ประการใด มิได้ทรงรับหรือปฏิเสธ เพียงแต่ทรงให้โอวาทแก่หญิงบริวารว่า “ท่านทั้งหลายจงแผ่เมตตาจิตไปยังพระราชา พระนางมาคัณฑิยาอัครมเหสีและในตน อย่าได้มีความโกรธ ที่พึ่งอย่างอื่นของเราไม่มีแล้วนอกจากเมตตาจิตเท่านั้น”

พระนางสามาวดีและบริวารซึ่งได้รับการอบรมทางธรรมอยู่เสมอ ได้ฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่เป็นประจำโดยผ่านทางนางขุชชุตตรา จึงมีพระทัยสงบไม่หวั่นไหว แผ่เมตตาแก่พระราชาผู้กำลังโก่งธนูเพื่อประหารตน

ด้วยอำนาจแห่งเมตตานุภาพ ธนูที่พระราชาทรงยิงไปไม่อาจทำร้ายพระนางได้ แต่กลับหมุนกลับมาพุ่งตรงเหมือนจะเจาะพระอุระของพระราชาเอง

พระเจ้าอุเทนทรงประหลาดพระทัย ทรงดำริว่า “ลูกศรของเรานี้เคยแม้แต่เจาะแผ่นศิลาอันหนาทึบ สิ่งขัดขวางในอากาศก็มิได้มี ไฉนจึงกลับมาเหมือนจะเจาะอกเรา โอ เราทำกรรมหนักเสียแล้ว ลูกศรนี้ไม่มีจิต ไม่ใช่สัตว์ เป็นสิ่งหาชีวิตมิได้ ยังรู้จักคุณของสามาวดี ก็เราเล่า”

ทรงดำริดังนี้แล้ว จึงทรงนั่งกระโหย่งลงแทบพระบาทของพระนางสามาวดี ทรงประคองอัญชลีแล้วตรัสว่า

“สามาวดีเอย เป็นที่พึ่งของเราด้วยเถิด เรามืดไปหมดแล้ว ทิศทุกทิศมืดแก่เรา ขอจงเป็นที่พึ่งแก่เรา”

พระนางสามาวดีมิได้ตรัสว่า “เทวะ ขอพระองค์จงถึงหม่อมฉันเป็นที่พึ่งเถิด” แต่กลับตรัสว่า

“พระองค์อย่าได้ถึงหม่อมฉันเป็นที่พึ่งเลย หม่อมฉันถึงท่านผู้ใดว่าเป็นที่พึ่ง ขอพระองค์จงถึงผู้นั้นว่าเป็นที่พึ่งด้วยเถิด ท่านผู้นั้นคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน ขอพระองค์จงถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง และจงเป็นที่พึ่งของหม่อมฉันด้วย”

พระราชาทรงสดับฟังคำนั้นแล้วตรัสว่า

“สามาวดี เรายิ่งกลัวมากขึ้น เธอจงเป็นที่พึ่งของเราเถิด”

เมื่อพระนางสามาวดีทรงปฏิเสธโดยนัยก่อน พระราชาจึงตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นเราขอถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่งและขอถึงเธอว่าเป็นที่พึ่งด้วย เราขอให้พรแก่เธอ ประสงค์สิ่งใดจงขอเถิด”

เมื่อพระนางสามาวดีนำพระราชาไปเฝ้าพระศาสดา พระราชาทูลอาราธนาพระศาสดาและพระสงฆ์สาวกถวายทานตลอด ๗ วัน แล้วตรัสกับพระนางสามาวดี

“สามาวดีจงขอพรเถิด เธอต้องการสิ่งใดจงขอสิ่งนั้น”

“เทวะ หม่อมฉันไม่ต้องการเงินทองหรืออำนาจเหนือผู้อื่นแต่ประการใด หากพระองค์จะทรงพระราชทานพรแล้ว หม่อมฉันต้องการเพียงได้เลี้ยงอาหารแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ ได้ฟังธรรมเป็นเนืองนิตย์เท่านั้น”

พระราชาทูลอาราธนาพระศาสดาและภิกษุสงฆ์ เมื่อเสวยภัตตาหาร ณ นิเวศน์ของพระนางสามาวดีเป็นเนืองนิตย์ แต่พระศาสดาตรัสตอบว่า

“มหาบพิตร มหาชนย่อมหวังให้พระพุทธเจ้าไปโปรดเขาบ้าง เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรที่อาตมภาพจะมาในราชนิเวศน์เป็นประจำ”

“ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะทรงมอบให้ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเป็นหัวหน้ามาฉันอาหาร แสดงธรรมเป็นประจำ จะทรงขัดข้องประการใดหรือไม่”

พระผู้มีพระภาคทรงเหลียวดูพระอานนท์แล้วตรัสว่า “อานนท์ เธอจงรับภาระพระราชศรัทธานี้ด้วยเถิด”

ตั้งแต่บัดนั้นมาประตูแห่งพระราชนิเวศน์ก็เปิดออกต้อนรับพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค

สตรีเหล่านั้นซึ่งมีพระนางสามาวดีเป็นประธานฟังธรรมของพระอานนท์เถระเสมอ แล้วเกิดความเลื่อมใส วันหนึ่งได้ถวายจีวรจำนวน ๕๐๐ ผืนแก่พระเถระ จีวรผืนหนึ่งๆ มีค่าถึง ๕๐๐ กหาปณะ

พระเจ้าอุเทนทรงทราบเรื่องนั้นแล้วตรัสถามพระนางสามาวดีว่า พระคุณเจ้าอานนท์รับไว้ทั้งหมดหรือ เมื่อได้รับคำตอบว่ารับไว้ทั้งหมด พระราชาจึงเข้าไปหาพระอานนท์ ตรัสถามว่ารับจีวรไปทำไมมากมายอย่างนั้น ใช้หมดหรือ

“ขอถวายพระพร” พระอานนท์ตอบ “อาตมภาพจะเก็บไว้เพียงพอใช้ นอกนั้นจะเอาถวายแก่พระที่จีวรเก่าแล้ว”
“แล้วจะเอาจีวรเก่าไปทำอะไร” พระราชาตรัสถามอีก
“เอาไปปูที่นอน” พระอานนท์ตอบ
“เอาที่นอนเก่าไปทำอะไร”
“ทำเพดานกันหยากเยื่อ”
“เพดานเก่าเอาไปทำอะไร”
“ทำผ้าเช็ดเท้า”
“เอาผ้าเช็ดเท้าเก่าไปทำอะไร”
“เอาไปโขลกให้ละเอียด แล้วขยำกับดินเหนียวฉาบฝาก็ได้มหาบพิตร”
“แปลว่าพระคุณเจ้าไม่ยอมให้ผ้านี้เสียเปล่าเลยแม้แต่น้อย”
“ถูกแล้วมหาบพิตร”

พระราชาอุเทนทรงสดับฟังเช่นนั้นมีความเลื่อมใสยิ่งขึ้นจึงให้ถวายผ้าจีวรแก่พระอานนท์อีกจำนวน ๕๐๐ ผืน เพราะเห็นความประหยัดของท่าน การประหยัดนั้นคือการใช้ของไม่ให้เสียเปล่า

ได้ทราบว่าพระอานนท์เคยได้ผ้าซึ่งมีค่า ๕๐๐ ถึง ๕๐๐ ครั้ง ได้ผ้ามีค่าหนึ่งพันถึงหนึ่งพันครั้ง และได้ผ้ามีค่าเป็นแสนถึงแสนครั้ง ส่วนที่มีค่าน้อยกว่านี้ คือมีค่าเพียง ๕ หรือ ๑๐ นั้นไม่อาจนับได้

ดังนั้น เมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว พระเถระจึงเที่ยวจาริกไปในชมพูทวีป ได้แจกบาตรและจีวรแก่ภิกษุทั้งหลายในวิหารทั้งปวง

ออมสิน:
ฝ่ายพระนางมาคัณฑิยาทรงรุ่มร้อนเป็นกำลัง ความริษยาพระนางสามาวดีนั้นรุนแรงขึ้นจนไม่อาจดับได้ ทรงกระทำสิ่งใดเพื่อให้เป็นอย่างหนึ่งแต่กลับไปเป็นเสียอีกอย่างหนึ่ง

ในที่สุดทรงได้รับความร่วมมือจากอาผู้เคยร่วมแผนการกันมาโดยตลอด ลอบเปิดคลังน้ำมันและคลังผ้า แล้วเอาผ้าจุ่มน้ำมันพันเสาปราสาทของพระนางสามาวดี เขาอ้างกับพระนางว่าเป็นพระราชโองการของพระราชาเพื่อทำเสาให้มั่นคง ปิดประตูห้องของพระนางสามาวดีและบริวาร แล้วขัดกลอนข้างนอกให้คนภายในออกไม่ได้ แล้วเผาปราสาทนั้น

เมื่อไฟเริงแรงขึ้น พระนางสามาวดีทรงทราบว่า บัดนี้พระนางและบริวารถูกหลอกและถูกเผาทั้งเป็นเสียแล้ว ไม่มีทางหลีกเลี่ยง จึงทรงให้โอวาทหญิงบริวารทั้งหลายว่า “ในสังสารวัฏอันตามหาเบื้องต้นและเบื้องปลายไม่พบ ซึ่งพวกเราท่องเที่ยวอยู่นี้ อัตภาพของพวกเราคงเคยถูกเผามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เพราะฉะนั้นอย่าคิดอะไรมากเลย จงไม่ประมาท ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเจริญมรณัสสติภาวนาเถิด”

หญิงเหล่านั้นทำมนสิการในกรรมฐานเกี่ยวกับการกำหนดเวทนา บางพวกได้บรรลุสกทาคามิผล บางพวกได้บรรลุอนาคามิผลสมจริงดังคำที่ท่านกล่าวว่า

ครั้งนั้นพระภิกษุเป็นอันมาก กลับจากบิณฑบาตแล้วฉันอาหารเสร็จแล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพระเจ้าอุเทนเสด็จอยู่ ณ พระราชอุทยานภายในบุรี ไฟได้ไหม้ปราสาทของพระนางสามาวดี สตรี ๕๐๐ มีพระนางสามาวดีทรงเป็นประมุขได้ทำกาละแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คติสัมปรายภพของสตรีเหล่านั้นเป็นอย่างไร”

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย สตรีเหล่านั้นที่เป็นโสดาบันก็มี ที่เป็นสกทามีก็มี เป็นอนาคามีก็มี ภิกษุทั้งหลาย อุบาสิกาเหล่านั้นเป็นผู้ไม่ปราศจากผล ทำกาละแล้ว”

พระพุทธองค์ทรงเปล่งอุทานในเวลานั้นว่า

“โลกอันโมหะผูกพันไว้ จึงปรากฏเสมือนมีรูปร่างอันควรยึดมั่นถือมั่น คนพาลถูกกิเลสผูกพันไว้ ถูกความมืดแวดล้อมไว้ จึงปรากฏประดุจว่าโลกเป็นของเที่ยง แต่ความกังวลย่อมไม่มีแก่ผู้เห็นแจ้ง”

“ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ผู้ท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏะ ผู้ไม่ประมาทอยู่ตลอดกาล ย่อมทำแต่บุญกรรมเท่านั้น ส่วนผู้ประมาท ย่อมทำบาปกรรมบ้าง เพราะฉะนั้น เมื่อท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏะจึงได้เสวยความสุขบ้าง ความทุกข์บ้าง”

ในขณะนี้ที่ไฟไหม้ปราสาทของพระนางสามาวดีนั้น พระเจ้าอุเทนกำลังประทับสำราญอยู่ในพระราชอุทยาน มีราชบุรุษไปกราบทูลว่า พระราชวังของพระนางสามาวดีถูกไฟไหม้ พระองค์เสด็จกลับเข้าพระราชวังโดยเร็ว แต่ไม่อาจสั่งให้ดับไฟทันได้ เพราะไฟได้ลุกลามโหมแรงมาก

พระองค์ทรงมองดูปราสาทและสรีระแห่งพระอัครมเหสีอันเป็นที่รักยิ่งแล้ว ทรงมีความโทมนัสเป็นอย่างยิ่ง เพลิงโทสะได้เกิดขึ้นในพระทัยแทนไฟที่ดับไป พระองค์ทรงแน่พระทัยว่ากรรมนี้จะต้องเป็นการกระทำของพระนางมาคัณฑิยาอย่างแน่นอน แต่หากจะปรักปรำอย่างรุนแรง พระนางมาคัณฑิยาจะไม่รับ ควรจะต้องหาอุบายอย่างใดอย่างหนึ่งล้วงเอาความลับนี้ให้ได้

ประทับยืนท่ามกลางอำมาตย์ราชบริพาร ตรัสออกมาอย่างดังว่า

“ท่านทั้งหลาย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจักลุกและนั่งหรือนอนด้วยความสงบสุขเป็นแน่แท้ เพราะพระนางสามาวดีผู้คอยจ้องทำลายล้างเราได้ถูกทำลายไปแล้ว จิตของเรามีความสุขสงบ ใครหนอทำการนี้ คงจักต้องเป็นผู้ที่รักเราอย่างยิ่งแล้ว”

ขณะนั้น พระนางมาคัณฑิยา ประทับยืนอยู่ไม่ห่างจากพระราชานัก ทรงสดับกระแสพระราชดำรัสนั้นแล้ว ปลื้มพระทัยยิ่งนัก มองเห็นการกระทำของตนเองเป็นความชอบอย่างใหญ่หลวง จึงกราบทูลขึ้นว่า

“เทวะ ใครๆ ในโลกนี้ที่จะมีความรักภักดีในพระองค์เสมอด้วยหม่อมฉันมิได้มี และใครจะทำการนี้มิได้ นอกจากหม่อมฉัน หม่อมฉันได้สั่งให้อาเป็นคนทำทั้งสิ้น โอ พระองค์ หม่อมฉันมีความสุขเหลือเกินเมื่อทราบว่าพระองค์ทรงมีความเบิกบานพระทัย”

พระราชาทรงเบิกบานพระทัยที่สามารถจับผู้ร้ายได้ในระยะเวลาอันสั้น อาการของพระองค์จึงปรากฏแก่พระนางมาคัณฑิยาอย่างนั้นจริงๆ พระนางมาคัณฑิยาจึงเข้าพระทัยไปอีกทางหนึ่งว่า พระราชาทรงเบิกบานพระทัยเพราะทรงยินดีต่อการกระทำของตน

“โอ มาคัณฑิยา” พระราชาตรัส “คนอื่นที่จะรักและภักดีต่อเราเสมอด้วยเธอนั้นเรายังหามองเห็นไม่ เป็นลาภของเราแล้วที่ได้มเหสีอย่างเธอ เราขอให้พรเธอและญาติ ประสงค์สิ่งใดก็ขอเถิด และให้ป่าวร้องญาติของเธอมาด้วย”

พระนางมาคัณฑิยาจึงส่งข่าวไปให้หมู่ญาติบอกว่าให้รีบมาโดยเร็ว พระราชาจะพระราชทานรางวัลแก่ญาติทุกคนของพระนางมาคัณฑิยา และทรงพระราชทานรางวัลให้อย่างดี เมื่อเป็นดังนี้ผู้แม้ที่มิใช่ญาติก็ตกรางวัลให้แก่ญาติของพระนางมาคัณฑิยา เพื่อให้รับตนเข้าเป็นญาติด้วย พระราชาก็พระราชทานรางวัลให้ด้วยกันทุกคน แล้วรับสั่งให้นำคนพวกนั้นไปรวมตัวกันที่พระลานหลวงแล้วให้ขุดหลุมลึกประมาณแค่สะดือ นำคนพวกนั้นฝังลงแล้วเอาดินกลบเหมือนกลบเสา แล้วเอาฟางและเชื้อเพลิงอื่นๆ กลบลงอีก แล้วให้จุดไฟเผาคนเหล่านั้น เมื่อเห็นว่าไฟไหม้หนังแล้วจึงรับสั่งให้เอาผาลเหล็กไถให้สรีระเป็นท่อน แล้วเผาอีก เป็นการฝังและเผากันทั้งเป็น

ส่วนพระนางมาคัณฑิยานั้น พระราชารับสั่งให้ตัดเนื้อออกทีละชิ้นแล้วทอดในกระทะน้ำมัน ให้เสวยเนื้อของพระนางเองจนกระทั่งสิ้นพระชนม์

เป็นการแก้แค้นเพื่อให้สมแค้น แสดงให้เห็นกฎ “ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว” อย่างแท้จริง

ออมสิน:
ตอนเย็นวันหนึ่งภิกษุทั้งหลายนั่งประชุมกันในธรรมสภา สนทนาเรื่องพระนางสามาวดีว่า “การสิ้นพระชนม์แบบนี้ ไม่สมควรแก่พระนางผู้เป็นอุบาสิกาเพียบพร้อมด้วยศรัทธาเห็นปานนี้”

พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสว่า

“ภิกษุทั้งหลาย มรณกรรมของพระนางสามาวดีและบริวารไม่สมควรแก่พวกเธอในบัดนี้ก็จริง แต่สมควรแก่กรรมที่เธอทั้งหลายเคยร่วมทำกันไว้ในอัตภาพอันเป็นอดีต”

เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลถามถึงอดีตกรรม พระศาสดาจึงตรัสว่า

“ภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาลมีพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์ ได้ไปฉันอาหารเนืองนิตย์ในพระราชวังแห่งพระเจ้าพรหมทัต ในกรุงพาราณสี มีหญิงจำนวน ๕๐๐ คนอุปัฏฐากบำรุงท่าน ในจำนวน ๘ องค์นั้น เมื่อฉันเสร็จแล้ว ๗ องค์ได้ไปสู่หิมวันบรรพต ส่วนอีกองค์หนึ่งนั่งเข้าฌานอยู่ ณ ริมฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง”

“ในเวลาเย็น พระราชาได้นำหญิงเหล่านั้นไปเล่นน้ำที่ท่าน้ำ หญิงเหล่านั้นนานเข้ารู้สึกหนาวมากจึงปรารถนาจะจุดไฟผิง เที่ยวหาที่จุดไฟอยู่ ก็เห็นกองหญ้าแห้งซึ่งพระปัจเจกพุทธเจ้าอาศัยนั่งอยู่ หญิงเหล่านั้นมิได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงจุดไฟขึ้นเพื่อผิง เมื่อไฟเผาหญ้ามอดลง พวกเธอจึงเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงตกใจมากเพราะจำได้ว่าเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าที่พระราชาทรงเคารพเลื่อมใส พวกเธอกลัวแต่พระราชอาญาจึงหาฟืนมาเป็นกองใหญ่ตั้งใจเผาให้สิ้นไปเลย เพื่อจักไม่มีร่องรอยปรากฏ แล้วพวกเธอก็จากไป

“แต่ธรรมดาพระปัจเจกพุทธเจ้าซึ่งกำลังเข้าฌานนั้น ใครจะนำฟืนประมาณหนึ่งพันเล่มเกวียนก็หาเผาให้มอดได้ไม่ ทั้งนี้ด้วยอำนาจแห่งฌานคุ้มครองไว้ ในวันที่ ๗ พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น จึงออกจากฌานลุกขึ้นได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

“ในเบื้องแรก นางทั้งหลายเหล่านั้นกระทำกรรมโดยไม่เจตนา แต่ภายหลังทำด้วยเจตนาเต็มที่ ด้วยวิบากแห่งกรรมชั่วนั้น พวกเธอต้องตกนรกเป็นเวลานานหลายพันปี เมื่อขึ้นจากนรกแล้ว เศษแห่งวิบากนั้นยังเหลืออยู่ พวกเธอจึงถูกเผาทั้งเป็นมาเป็นเวลาหลายร้อยอัตภาพแล้ว นี่คือบุพกรรมของหญิงเหล่านั้นซึ่งมีพระนางสามาวดีเป็นประมุข”

มีต่อ..
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 58.11.141.31 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:02:28 น.  

 
 
 
เมื่อพระศาสดาตรัสเรื่องพระนางสามาวดีจบลง ภิกษุทั้งหลายทูลถามอีกว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็นางขุชชุตตราเล่า มีกรรมอย่างใดจึงเกิดมาเป็นหญิงค่อมเล็กน้อย หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นอุปัฏฐากท่านได้ห่มผ้ากัมพลแล้วถือขันทองคำทำอาการเลียนท่านว่า “พระปัจเจกพุทธเจ้าของเราเดินอย่างนี้ เที่ยวไปอย่างนี้” ด้วยวิบากกรรมคือการล้อเลียนพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น เธอจึงเกิดมาเป็นหญิงค่อม

“ส่วนที่เธอมีปัญญามาก ทรงพระพุทธพจน์ได้มาก เพราะได้ถวายวลัยงาเป็นที่รองบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งเมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าไปสู่ราชนิเวศน์ พระราชาได้บรรจุข้าวปายาสร้อนเต็มบาตรแล้วถวายท่าน เพราะความร้อนพระปัจเจกพุทธเจ้าจึงเปลี่ยนมือบ่อยๆ สตรีผู้นั้นได้เห็นอาการของท่านแล้วจึงได้ถวายวลัยงา ๘ อันสำหรับให้ท่านรองบาตร เมื่อบาตรเย็นลงแล้ว พระปัจเจกพุทธเจ้ามองดูหญิงนั้นเป็นเชิงถามว่า “วลัยงานี้ถวายหรือเพียงให้รองใช้ชั่วคราว” นางทราบอาการของท่านแล้วจึงกล่าวว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้า วลัยงานี้ข้าพเจ้าขอถวายแก่ท่าน ขอท่านนำไปด้วยเถิด” เพราะบุพพกรรมนั้นเมื่อมาเกิดเป็นนางขุชชุตตราจึงเป็นผู้มีปัญญามาก ทรงพระพุทธพจน์ และเพราะกุศลกรรมที่นางอุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้าจึงได้บรรลุโสดาปัตติผล

“อีกรายหนึ่ง นางขุชชุตตรานี้เกิดเป็นธิดาเศรษฐีในเมืองพาราณสีในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกัสสป เวลาเย็นกำลังนั่งอยู่หน้ากระจกแต่งตัวอยู่ ขณะนั้นมีภิกษุณีรูปหนึ่งซึ่งเป็นอรหันต์และคุ้นเคยกับนางในฐานะตระกูลอุปัฏฐากมาเยี่ยมนาง”

“จริงอยู่ภิกษุณีทั้งหลายแม้เป็นอรหันต์สิ้นอาสวะแล้วในเวลาเย็นก็นิยมไปเยี่ยมเยียนตระกูลอุปัฏฐาก พอดีขณะนั้นหญิงคนใช้ของธิดาเศรษฐีไม่อยู่ นางจึงขอร้องให้ภิกษุณีนั้นหยิบเครื่องประดับอย่างหนึ่งให้นาง

“ฝ่ายภิกษุณีคิดว่า หากไม่หยิบให้ ธิดาเศรษฐีจักโกรธผูกอาฆาตในตนจะทำให้นางต้องตกนรก หากหยิบให้ ชาติต่อไปธิดาเศรษฐีจะต้องเกิดเป็นคนรับใช้ผู้อื่น การเป็นคนรับใช้ย่อมดีกว่าต้องหมกไหม้ในนรก ภิกษุณีคิดดังนั้นจึงหยิบเครื่องประดับให้นาง เพื่ออนุเคราะห์นางนั่นเอง

“ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ธิดาเศรษฐีในครั้งนั้นจึงมาเกิดเป็นคนรับใช้เขา คือนางขุชชุตตรา ภิกษุทั้งหลาย กรรมที่บุคคลทำแล้วไม่สูญหายย่อมคอยโอกาสให้ผลตามกาล ตามความเหมาะสมอยู่เสมอ”

เย็นวันหนึ่งภิกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรมสภาถึงเรื่องพระนางสามาวดี และพระนางมาคัณฑิยา ภิกษุรูปหนึ่งกล่าวขึ้นว่า พระนางใดหนอชื่อว่าเป็นผู้ตาย พระนางใดชื่อว่าเป็นผู้ไม่ตาย พระศาสดาเสด็จมาแล้วทรงทราบความที่ภิกษุทั้งหลายสนทนากันแล้ว จึงตรัสว่า

“ภิกษุทั้งหลาย ความไม่ประมาทเป็นทางแห่งผู้ไม่ตาย ความประมาทเป็นทางแห่งผู้ตาย ผู้ไม่ประมาทชื่อว่าไม่ตาย ส่วนผู้ประมาทเหมือนผู้ตายแล้ว บัณฑิตรู้ความแตกต่างอย่างนี้จึงเป็นผู้พอใจในความไม่ประมาท บัณฑิตทั้งหลายย่อมพอใจยินดีในธรรมแห่งพระอริยะ คือความไม่ประมาท บัณฑิตเหล่านั้นเป็นผู้มีญาณ มีความเพียรติดต่อ มีความบากบั่นมั่นคง ย่อมได้รับรสแห่งพระนิพพานอันประเสริฐเกษมจากโยคะ”

พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์จบลงเพียงเท่านั้น

//www.dhammakid.com/board/acaaaxeiaeeaaa/aoaoaaaieaoeanaooa-(-i-ceo1-io1ead-)/40/?wap2

1398
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 58.11.141.31 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:02:53 น.  

 
 
 
ออมสิน:

ปุณณทาสี
(ผู้มีโชค)

บัดนี้ไทยธรรมของเราก็มีอยู่
พระผู้มีพระภาคก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
หากพระองค์พึงรับไทยธรรมโดยไม่ทรงดำริว่า
เราก็ขอถวายขนมนี้แด่พระองค์


.
ขนมจาปาตี ทำด้วยแป้ง ขยำด้วยมือ และปิ้งบนถ่านเพลิง
.
ณ นครราชคฤห์พระพุทธองค์ได้โปรดหญิงคนใช้ของเศรษฐีคนหนึ่งให้ดำรงอยู่ในคุณธรรมอันไม่เปลี่ยนแปลง ดำรงอยู่ในศรัทธาอันไม่หวั่นไหวเรื่องมีว่า

คืนหนึ่งเศรษฐีผู้เป็นนายได้มอบข้าวเปลือกเป็นอันมากให้หญิงคนใช้คนหนึ่งชื่อปุณณาตำ นางได้จุดประทีปตำข้าวเปลือกอยู่เป็นเวลานาน กายของนางชุ่มอยู่ด้วยเหงื่อจึงหยุดพักยืนตากลมอยู่ ณ ที่นั้น

สมัยนั้นพระทัพพมัลลบุตร ได้รับหน้าที่เป็นเสนาสนปัญญาปกะ (ผู้แจกเสนาสนะแก่ภิกษุทั้งหลาย ว่ารูปไหนควรจะอยู่ ณ เสนาสนะใด) พระเถระและภิกษุทั้งหลายฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาในราตรีแล้ว จึงมอบดวงไฟให้ภิกษุทั้งหลายถือไปคนละดวงเพื่อกลับสู่เสนาสนะของตน มีภิกษุชำนาญทางเป็นผู้นำทาง

สภาพแห่งภูเขาคิชฌกูฏเวลานั้น จึงมีแสงสว่างโชติช่วงเป็นระยะๆ มองจากตัวเมืองเห็นคล้ายดวงดาวเปล่งแสงย้ายตามกันจำนวนมากดวง

นางปุณณาหยุดพักเหนื่อยรับลมอยู่ มองขึ้นไปทางภูเขาคิชฌกูฏได้เห็นแสงสว่างนั้น จึงคิดในใจว่า “เวลานี้เราไม่อาจก้าวลงสู่ความหลับได้เพราะการงานบังคับ ถูกความทุกข์จากความเหน็ดเหนื่อยในการซ้อมข้าวเปลือกเบียดเบียนอยู่ แต่พระคุณเจ้าทั้งหลายไม่ก้าวลงสู่ความหลับเพราะอะไรหนอ ชะรอยจักมีความไม่ผาสุกอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแก่ท่านเป็นแน่แท้ หรืออาจมีภิกษุบางรูปถูกงูกัดกระมัง”

เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะนำหม้อไปตักน้ำที่ท่า พอดีนางนำขนมที่ทำด้วยแป้ง ขยำด้วยมือ และปิ้งบนถ่านเพลิงแล้ว (ขนมชนิดนี้ เรียกในอินเดียปัจจุบันว่า “จาปาตี” นิยมรับประทานกันทั่วอินเดีย) ใส่พกติดตัวไปด้วย ตั้งใจว่าจะเดินกินไปในระหว่างทางก่อนถึงท่าน้ำ พอดีนางได้เดินสวนทางกับพระผู้มีพระภาค ซึ่งกำลังเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ นางคิดว่า “ในวันอื่นๆ ที่ได้เห็นพระศาสดา ไทยธรรมของเราไม่มี บางวันไทยธรรมมีแต่ไม่ได้พบพระผู้มีพระภาค บัดนี้ไทยธรรมของเรามีอยู่ พระผู้มีพระภาคก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า หากพระองค์พึงรับไทยธรรมโดยไม่ทรงดำริว่า สิ่งนี้เศร้าหมองหรือประณีตแล้ว เราก็ขอถวายขนมนี้แด่พระองค์” จึงได้วางหม้อน้ำไว้ข้างหนึ่งแล้วถวายบังคมพระศาสดาพลางกราบทูลว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอพระองค์ได้โปรดรับไทยธรรมอันเศร้าหมองนี้ เพื่ออนุเคราะห์แก่หม่อมฉันด้วยเถิดพระเจ้าข้า”

พระศาสดาทรงเหลียวมองพระอานนท์ เป็นเชิงให้นำบาตรมาถวายพระองค์ พระอานนท์รู้ในพระอาการนั้นจึงน้อมบาตรเข้าไปถวาย พระผู้มีพระภาคทรงรับขนมด้วยบาตรนั้น

นางปุณณาวางขนมลงในบาตรแล้วถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์และกราบทูลว่า “ธรรมใดที่พระองค์ได้ทรงรู้ทรงเห็นแล้ว ขอธรรมนั้นจงสำเร็จแก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิดพระเจ้าข้า”

พระศาสดาประทับยืนอนุโมทนาอยู่ ณ ที่นั้นเองว่า “ขอเธอจงสำเร็จตามความประสงค์เถิด” และแล้วพระพุทธองค์ก็มีอาการว่าจะเสด็จพุทธดำเนินต่อไป แต่กระแสความคิดของนางปุณณาได้หยุดพระองค์ไว้นางคิดว่า “พระศาสดาทรงสงเคราะห์เราโดยการรับขนมอันเศร้าหมองก็จริง แต่คงไม่เสวยเป็นแน่แท้ คงจะทิ้งให้กาหรือสุนัขข้างหน้าอย่างแน่นอน แล้วเสด็จไปเสวยโภชนะอันประณีต ณ เรือนของมหาอำมาตย์หรือพระราชวังแห่งพระราชา”
ออมสิน:
นางปุณณาก็คิดเหมือนอย่างที่คนทั้งหลายคิด คือชอบคิดว่าจะต้องทำอาหารดีๆ ประณีตที่สุดถวายพระ อาหารพื้นๆ ไม่ปรารถนาทำถวายเพราะเกรงจะไม่สมเกียรติของท่านนั้นประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งต้องการให้ท่านฉันมากๆ จึงพยายามปรุงอาหารดี ทำยาก แต่ผู้ที่ทำเช่นนั้นมักผิดหวังในเรื่องนี้เสมอ เพราะความเป็นจริงแล้ว พระมักชอบฉันอาหารพื้นๆ เช่น น้ำพริกปลาทู แกงเลียง ยอดสะเดา ยำอย่างง่ายๆ เหล่านี้ เป็นต้น ทั้งนี้ไม่เลือกว่าเป็นพระชั้นใด ยิ่งเป็นพระผู้ใหญ่มากยิ่งชอบของพื้นๆ มากขึ้น

พระศาสดาทรงทราบวารจิตของนางปุณณาแล้ว จึงทรงเหลียวดูพระอานนท์ ทรงแสดงนิสีทนาการ (แสดงความประสงค์จะประทับนั่ง) พระอานนท์จึงปูจีวรลงถวาย พระจอมมุนีประทับนั่ง ณ ที่นั้นเอง แล้วเสวยขนมแป้งของนางทาสผู้นั้นด้วยพระทัยกรุณา

นางปุณณาได้ยืนมองดูพระตถาคตเจ้าเสวยขนมแป้งของตนด้วยความปราโมทย์เป็นล้นพ้น ในชีวิตของนางไม่เคยเลย ไม่เคยที่จะได้รับความสุขใจเท่านี้ ก็ใครเล่าจะไม่มีความสุขใจเมื่อจอมมุนีแห่งสังฆมณฑลอันบริสุทธิ์ ผู้ปราศจากบาปมลทินทั้งปวง ผู้ทรงเป็นนาถะแห่งโลก เป็นที่เคารพสักการะแม้แห่งภูมิบดีทุกแว่นแคว้นตลอดไปถึงพระปชาบดีจอมสวรรค์ ได้ประทับนั่งลงเสวยขนมทำด้วยแป้งอันผู้ถวายเข้าใจว่าเป็นของเศร้าหมองเหลือเกิน

แต่พระตถาคตเจ้าผู้มีอาชีวะบริสุทธิ์หาได้ทรงคิดอย่างที่นางดำริไม่ พระองค์ทรงสอนสาวกอยู่เสมอว่า อาหารที่ได้มาจากบิฑบาต ซึ่งชาวเมืองถวายด้วนศรัทธานั้นเป็นโภชนียะอันบริสุทธิ์ยิ่ง พระองค์จึงมิได้ทรงถือว่าอาหารนั้นเศร้าหมองเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้พระองค์ยังทรงพร่ำสอนอยู่เสมออีกว่า ชีวิตของบรรพชิตนั้นเนื่องอยู่ด้วยการสงเคราะห์ของคฤหัสถ์ บรรพชิตจึงควรพอใจในปัจจัยสี่ตามมีตามได้ ไม่ควรทำตนให้เป็นคนเลี้ยงยาก

เมื่อเป็นดังนี้ ไฉนเล่าพระองค์จะเสวยขนมแป้งซึ่งทำขึ้นอย่างง่ายๆ ของนางปุณณามิได้ พระองค์ทรงกระทำเช่นนั้นเพราะทรงเห็นว่าอาหารนั้นบริสุทธิ์ ไม่มีความเศร้าหมองทางอาชีวะ ทรงกระทำพระองค์ให้เป็นผู้เลี้ยงง่ายเพื่อดำเนินตามพระพุทธโอวาทที่ทรงสอนสาวกอยู่เสมอ เพื่อทรงเป็นทิฏฐานุคติคือตัวอย่างแก่พระสาวกทั้งหลาย และเพื่อทรงอนุเคราะห์นางปุณณาผู้มีศรัทธาเต็มเปี่ยมในพระองค์ เพื่อจักได้ประสบบุญเป็นอันมากจากไทยธรรมนั้น

เมื่อพระศาสดาเสวยเสร็จแล้ว พระอานนท์ก็นำน้ำมาถวายเพื่อล้างพระหัตถ์และบ้วนพระโอษฐ์ พระศาสดาผู้ทรงทำภัตกิจเสร็จแล้ว จึงตรัสกับนางปุณณาว่า

“ปุณณา ไฉนเธอจึงนึกดูหมิ่นสาวกของเรา”

“เรื่องอะไรพระเจ้าข้า” นางทูลถาม

“เมื่อคืนนี้ เธอเห็นสาวกของเรามีดวงไฟในมือเดินอยู่บนภูเขาคิชฌกูฏมิใช่หรือ”

“อย่างนั้นพระเจ้าข้า”

“แล้วเธอคิดอย่างไร”

“ข้าพระพุทธเจ้ามิได้คิดไปในทางดูหมิ่นเลยพระเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าเพียงแต่คิดว่า เหตุไรหนอพระคุณเจ้าทั้งหลายจึงมิได้หลับนอน อุปัทวะเป็นต้นว่างูร้ายอาจกัดท่านหรือไฉน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดเพียงเท่านี้พระพุทธเจ้าข้า”

“ปุณณา เธอมิได้หลับนอน เพราะความต้องทำงานเหน็ดเหนื่อยมีเหงื่อชุ่มไปทั่วกาย เธอได้ประกอบความเพียรฉันใด สาวกของเราก็ประกอบความเพียรฉันนั้น เธอมิได้หลับนอนเพราะประกอบความเพียรแห่งมุนีผู้ตื่นอยู่

“ปุณณาเอย อาสวะคือกิเลสเครื่องหมักดองในสันดานทั้งหลายย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในใจของบุคคลผู้มีความเพียรเป็นเครื่องตื่นอยู่ ผู้ตั้งใจศึกษาทั้งกลางวันและกลางคืน ผู้น้อมไปในนิพพานอันเป็นธรรมชาติอันสงบระงับความทุกข์ความดิ้นรนทั้งปวง”

พระตถาคตเจ้าทรงแสดงธรรมอื่นอีกเป็นอเนกปริยายอันสมควรแก่อัธยาศัยแห่งนางนั้น เมื่อจบลงนางได้สำเร็จโสดาปัตติผล เป็นโสดาบัน ณ ที่นั้นเอง

นี่คือพุทธจริยาที่ทรงอนุเคราะห์เกื้อกูลแก่บุคคล ไม่เลือกเพศ วัย ชั้น วรรณะ ทรงมุ่งประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น ทุกคนที่เข้าใกล้พระองค์หากเขามีความเลื่อมใส ใคร่ความบริสุทธิ์แก่ตน และปฏิบัติตามโดยชอบแล้ว ย่อมได้รับผลประโยชน์อันควรแก่อุปนิสัยเสมอ พระองค์ทรงอุบัติมาเพื่อประโยชน์แก่โลก เพื่อทรงผดุงธรรมให้มีอยู่ในโลก

ใครเล่าในโลกนี้จะมีน้ำใจเสมอเหมือนพระตถาคตเจ้าพระองค์นั้น
//www.dhammakid.com/board/acaaaxeiaeeaaa/aoaoaaaieaoeanaooa-(-i-ceo1-io1ead-)/50/?wap2
9385
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 58.11.141.31 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:19:05 น.  

 
 
 
ออมสิน:

อุตตราอุบาสิกา
ผู้ใช้เมตตาเป็นอาวุธ
ถ้าเรามีความโกรธ
ความคิดประทุษร้ายตอบต่อเธอ
ก็ขอให้เนยใสจงลวกเรา
ถ้าเราไม่มีความโกรธ
ไม่มีความพยาบาทต่อเธอเลย
ขอให้เนยใสนั้นเย็นเหมือนน้ำธรรมดา
ในเมืองราชคฤห์ มีคนยากจนคนหนึ่งชื่อปุณณะ เขาอาศัยงานจ้างในบ้านของสุมนเศรษฐีอยู่ ครอบครัวนายปุณณะมีอยู่ด้วยกัน ๓ คน คือ นายปุณณะเอง ภรรยาและลูกสาวคนหนึ่งชื่อ อุตตรา

วันหนึ่งเป็นวันนักขัตฤกษ์ใหญ่ ประชาชนชาวนครราชคฤห์ต่างประดับตกแต่งร่างกายอย่างสวยงาม แล้วเล่นนักขัตกีฬาต่างๆ สนุกสนานกันอย่างเต็มที่ ประกอบด้วยนครราชคฤห์เป็นนครใหญ่มีพลเมืองคับคั่ง ตั้งแต่เช้าจึงเห็นประชาชนเดินเป็นกลุ่มๆ สรวลเสเฮฮา ที่นั่งจิบสุราแต่เช้าก็มี คนพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นประเภทมือสั่นเพราะพิษสุราเรื้อรัง ไม่ดื่มแล้วทำงานไม่ได้ จึงต้องดื่มเพื่อ “ให้มือมันเที่ยง”

เศรษฐีชื่อสุมนะ ได้พูดกับนายปุณณะคนรับจ้างว่า

“ปุณณะ เธอจะสนุกสนานในการเล่นนักขัตกีฬาหรือจะทำงานจ้างหาเงิน ตามใจจะไม่บังคับ เลือกเอา ถ้าพอใจจะเล่นสนุกสนานสัก ๗ วันก็ได้”

“ข้าแต่นาย” ปุณณะพูดอย่างเรียบร้อย “การเล่นสนุกในงานนักขัตฤกษ์ ๗ วันนี้ เป็นเรื่องของคนมีเงิน คนอย่างข้าพเจ้าจะหาเช้ากินค่ำก็ลำบาก ประโยชน์อะไรด้วยการสนุกในการเล่นนั้น ข้าพเจ้าสมัครใจทำงานจ้าง”

“ก็ได้” เศรษฐีว่า

นายปุณณะพูดถูก ไม่ว่าในเมืองราชคฤห์หรือเมืองไหน ไม่ว่าในอดีตกาลนานไกลหรือบัดนี้ การมหกรรมเฉลิมฉลองอะไรต่าง ๆ แล้วเที่ยวเตร่ดูสิ่งสวยงามต่างๆ นั้นเป็นเรื่องของคนมีทรัพย์ มีเวลาว่างพอ ส่วนคนยากจนหาเช้ากินค่ำ มีภาระต้องส่งเสียเลี้ยงดูบุตรภรรยาอย่างหนักอกหนักใจนั้นต้องทำงาน ยิ่งวันที่คนมีทรัพย์สนุกสนานกันมาก คนยากจนก็ยิ่งต้องทำงานหนักเพื่อแสวงหาทรัพย์

วันหนึ่งพระสารีบุตรอัครสาวกเบื้องขวาของพระศาสดาออกจากนิโรธสมบัติหลังจากท่านได้เข้ามาถึง ๗ วัน เป็นธรรมดาที่ท่านจะต้องพิจารณาดูว่าจะไปโปรดใคร บุคคลที่ท่านจะไปโปรดในโอกาสที่ออกจากนิโรธสมาบัตินั้น จะต้องเป็นบุคคลที่ควร มีอัธยาศัย และอุปนิสัยดี ท่านได้มองเห็นนายปุณณว่าเป็นผู้มีศรัทธา ท่านอาจสงเคราะห์ได้ เมื่อท่านโปรดแล้วเขาจะได้สมบัติใหญ่ ประสบความสุขความเจริญต่อไปในภายหน้า

พระเถระตกลงใจอย่างนั้นแล้ว จึงถือเอาบาตรและจีวรไปสู่สถานที่ที่นายปุณณะกำลังไถนาอยู่ เพราะปุณณะเป็นคนฉลาดมีไหวพริบจึงเข้าใจว่าท่านคงต้องการไม้สำหรับเคี้ยวชำระฟัน จึงได้ใช้มีดตัดไม้นั้นมาทำให้สมควรที่ท่านจะใช้ได้แล้วถวายท่าน

พระเถระนำบาตรและหม้อกรองน้ำออกมา นายปุณณะทราบว่าท่านต้องการน้ำ จึงตักน้ำในบ่อถวาย พระเถระรับน้ำมาล้างหน้าบ้วนปากเรียบร้อยแล้วคิดว่า นายปุณณะนี้อาศัยอยู่ในกระท่อมน้อยหลังคฤหาสน์ของสุมนเศรษฐี หากท่านจะไปโปรดเขาที่บ้าน ภรรยาของเขาก็ไม่อาจเห็นท่านได้ ควรจะยืนอยู่ที่นั้นก่อนจนกว่าภรรยาของเขาจะนำอาหารมา

พระเถระให้เวลาล่วงไปครู่หนึ่ง ณ ที่นั้นด้วยการสนทนาเล็กๆ น้อยๆ กับนายปุณณะ พอทราบว่าภรรยาของเขากำลังเดินทางมาส่งอาหาร พระเถระก็ออกเดินสวนทางไป

นางเห็นพระเถระแล้วคิดว่า บางคราวเราได้เห็นพระเถระแต่ไทยธรรมไม่มี บางคราวไทยธรรมมี แต่ไม่ได้พบพระเถระ แต่บัดนี้ประจวบเหมาะทั้งสองอย่าง ไทยธรรมก็มีอยู่ พระเถระเราก็ได้พบแล้ว แต่นางสงสัยอยู่ในใจว่าคนยากจนหาเช้ากินค่ำอย่างเรานี้ พระเถระจะทำการอนุเคราะห์โดยรับไทยธรรมของนางหรือ

นางได้วางโภชนะลงข้าง ๆ กายแล้วนมัสการพระเถระด้วยเบญจางคประดิษฐ์พลางกล่าวว่า

“พระคุณเจ้าโปรดอย่าได้คิดว่าอาหารนี้เลวหรือประณีตเลย ขอได้โปรดรับเพื่อสงเคราะห์พวกเราด้วยเถิด”

พระเถระน้อมบาตรเข้าไป นางเทอาหารลงในบาตร เมื่อได้ครึ่งหนึ่งพระเถระจึงปิดบาตรเสียพร้อมกล่าวว่า “พอละ อุบาสิกา”

นางกล่าวว่า “อาหารนี้พอสำหรับคนๆ เดียวเท่านั้น สองคนไม่พอ ขอพระคุณเจ้าโปรดรับไว้ทั้งหมดเถิด ขอได้สงเคราะห์ยพวกข้าพเจ้าในโลกหน้าเถิด อย่าสงเคราะห์ในโลกนี้เลย” ว่าแล้วก็เกลี่ยอาหารลงจนหมดและตั้งความปรารถนาว่า “ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้มีส่วนแห่งโลกุตรธรรมที่ท่านได้เห็นแล้วเถิด”

พระเถระยืนอนุโมทนาอยู่ตรงนั้นเองว่า “ขอจงเป็นอย่างนั้นเถิดอุบาสิกา” แล้วนั่งลงในที่ ๆ มีน้ำสะดวกแห่งหนึ่ง กระทำภัตกิจ (ฉัน)

นางรีบกลับบ้านเพื่อหุงอาหารใหม่ให้สามี

ออมสิน:
ฝ่ายนายปุณณะไถนาอยู่จนสายมาก ภรรยาหรือบุตรยังไม่มาส่งอาหาร ถูกความหิวบีบคั้นจึงปลดแอกและไถปล่อยโคคู่ให้และเล็มหญ้า ตนเองมานั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้ต้นหนึ่ง เอามือป้องมองทางที่ภรรยาจะมามองแล้วมองอีกอยู่เป็นเวลานาน ภรรยาของเขาเมื่อหุงข้าวเสร็จแล้วก็รีบเดินทางมา เห็นอาการของสามีแล้วรู้ได้ทันทีว่า เขาคงกำลังหิว จึงพูดเอาใจว่า

“นาย ที่ข้าพเจ้ามาช้านี้ หาใช่เพราะเหลวไหลประการใดไม่ แต่เพราะได้ถวายอาหารที่นำมาครั้งก่อนแก่พระคุณเจ้าสารีบุตรจนหมดสิ้นแล้วข้าพเจ้าไปหุงใหม่ นายจงทำใจให้เลื่อมใสเถิด”

พระเถระน้อมบาตรเข้าไป นางเทอาหารลงในบาตร เมื่อได้ครึ่งหนึ่งพระเถระจึงปิดบาตรเสียพร้อมกล่าวว่า “พอละ อุบาสิกา”

นางกล่าวว่า “อาหารนี้พอสำหรับคนๆ เดียวเท่านั้น สองคนไม่พอ ขอพระคุณเจ้าโปรดรับไว้ทั้งหมดเถิด ขอได้สงเคราะห์พวกข้าพเจ้าในโลกหน้าเถิด อย่าสงเคราห์ในโลกนี้เลย” ว่าแล้วก็เกลี่ยอาหารลงจนหมดและตั้งความปรารถนาว่า “ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้มีส่วนแห่งโลกุตรธรรมที่ท่านได้เห็นแล้วเถิด”

พระเถระยืนอนุโมทนาอยู่ตรงนั้นเองว่า “ขอจงเป็นอย่างนั้นเถิดอุบาสิกา” แล้วนั่งลงในที่ ๆ มีน้ำสะดวกแห่งหนึ่ง กระทำภัตกิจ (ฉัน)

นางรีบกลับบ้านเพื่อหุงอาหารให้สามี

ฝ่ายนายปุณณะไถนาอยู่จนสายมาก ภรรยาหรือบุตรียังไม่มาส่งอาหาร ถูกความหิวบีบคั้นจึงปลดแอกและไถปล่อยโคคู่ให้และเล็มหญ้าตนเองมานั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้ต้นหนึ่ง เอามือป้องมองทางที่ภรรยาจะมา มองแล้วมองอีกอยู่เป็นเวลานาน ภรรยาของเขาเมื่อหุงข้าวเสร็จแล้วก็รีบเดินทางมา เห็นอาการของสามีแล้วรู้ได้ทันทีว่า เขาคงกำลังหิว จึงพูดเอาใจว่า

“นาย ที่ข้าพเจ้ามาช้านี้ หาใช่เพราะเหลวไหลประการใดไม่ แต่เพราะได้ถวายอาหารที่นำมาครั้งก่อนแก่พระคุณเจ้าสารีบุตรจนหมดสิ้น แล้วข้าพเจ้ากลับไปหุงใหม่ นายจงทำให้เลื่อมใสเถิด”

เพราะความหิวมาก นายปุณณะฟังไม่ถนัด จึงถามซ้ำอีกครั้งหนึ่งว่า “เธอพูดอะไรนะ”

นางเล่าให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง

นายปุณณะฟังความนั้นแล้ว ปลื้มใจ บอกภรรยาว่านางทำชอบแล้ว วันนี้เขาเองก็ได้ถวายไม้ชำระฟันและน้ำล้างหน้าแก่พระเถระเหมือนกัน ทั้งสองมีใจเลื่อมใสชื่นบาน เป็นผู้มีศีลเสมอกัน มีศรัทธาเสมอกันจึงอยู่ร่วมกันโดยปกติสุข และมีบุตรีที่ดี เมื่อบริโภคอาหารเสร็จกิจ นายปุณณะก็เอาศีรษะพาดตักของภรรยานอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

เขาตื่นขึ้น มองไปทางแปลงนาที่ไถไว้เห็นก้อนดินสุกปลั่งเป็นทองแท่งทั้งหมด เขาขยี้ตาเพราะไม่เชื่อตาตนเอง แต่มองกี่ครั้งกี่หนก็เห็นเป็นทองกระทบแสดงอาทิตย์แวววาวอยู่นั่นเอง จึงบอกให้ภรรยาช่วยดู ภรรยามองไปก็เห็นเป็นทองเหมือนกัน ทั้งสองจึงลุกขึ้นลองไปจับดูก็ยังเห็นเป็นทองอยู่นั่นเอง ลองเอาฟาดกับคันไถ จึงแน่ใจยิ่งขึ้นว่าเป็นทองอย่างแน่นอน เขาอุทานออกมาพร้อมหน้ากันว่า “โอ้ ทานที่เราถวายแก่พระคุณเจ้าธรรมเสนาบดสารีบุตรให้ผลในวันนี้ทีเดียว เราไม่อาจปกปิดทรัพย์เห็นปานนี้ได้อย่างแน่นอน” จึงหยิบใส่ถาดจนเต็มแล้วนำไปสู่ราชตระกูลเข้าเฝ้าพระราชาแล้วทูลเหตุทั้งปวงให้ทรงทราบ และขอให้พระราชารับสั่งให้ราชบุรุษทั้งหลายไปขนทองเหล่านั้นสู่พระคลังหลวง

เมื่อราชบุรุษไปหยิบทอง ทองนั้นก็กลายเป็นดินอย่างเดิม จึงกลับมากราบทูลพระราชา

“ขณะหยิบนึกอย่างไรล่ะ” พระราชาตรัสถาม

“นึกว่าทองทั้งหมดนี้เป็นของพระองค์ พระเจ้าข้า”

“นึกเสียใหม่” พระราชารับสั่ง “ต้องนึกว่า ทองนี้เป็นของนายปุณณะ”

ราชบุรุษกลับไปทำตามกระแสรับสั่ง ทองทั้งหลายก็เป็นทองอย่างเดิมนำมากองไว้ที่หน้าพระลานหลวงสูงถึง ๘๐ ศอก พระราชารับสั่งให้ประชุมชาวพระนครแล้วตรัสถามว่า ในเมืองนี้มีใครบ้างที่มีทองเท่านี้ เมื่อทรงทราบว่าไม่มีใคร ก็ทรงแต่งตั้งนายปุณณะให้เป็นเศรษฐีตั้งแต่นั้นมา

แต่นายปุณณะเป็นเศรษฐีที่ยังไม่มีบ้าน เขาได้ทูลความทั้งปวงให้พระราชาทรงทราบว่าบัดนี้เขาอาศัยสุมนเศรษฐีอยู่ หากจะทรงพระกรุณาแล้วขอให้พระราชทานที่และบ้านสักแห่งหนึ่ง พระราชาพระราชทานที่ทางทิศใต้แห่งพระนครให้ปุณณเศรษฐีนั้น และพระราชทานทรัพย์เป็นอันมากให้ปลูกบ้านและอาศัยเลี้ยงชีพต่อไปให้สมศักดิ์ศรีแห่งตำแหน่งเศรษฐีที่พระองค์ทรงแต่งตั้งให้

ในการทำมงคลขึ้นบ้านใหม่ปุณณเศรษฐีได้นิมนต์พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขมาฉันและเสวยเป็นเวลา ๗ วัน พระศาสนาทรงอนุโมทนาทานด้วยการแสดงอนุปุพพิกถา โปรดให้เศรษฐีนั้นพร้อมทั้งภรรยาและบุตรีได้ดวงตาเห็นธรรม เป็นโสดาบันทั้งหมด

ต่อมาเศรษฐีใหม่คนหนึ่งในเมืองราชคฤห์นั่นเอง ได้สู่ขอนางอุตตราธิดาของปุณณเศรษฐีให้แก่บุตรของตน แต่ปุณณเศรษฐีไม่ยอมให้ ฝ่ายชายจะอ้อนวอนเท่าไรๆ ก็ไม่ยอม ในที่สุดก็บอกเหตุผลว่า ที่ไม่ยอมนั้นเพราะตระกูลฝ่ายชายมิได้เลื่อมใสพระพุทธศาสนา ธิดาของตนเลื่อมใสพระรัตนตรัยเป็นอย่างยิ่ง เว้นจากพระรัตนตรัยแล้วก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่โดยผาสุกได้ จึงไม่ยอมให้ธิดาของตน

คราวนี้เดือดร้อนไปถึงพวกเศรษฐีและคหบดีเป็นอันมาก ซึ่งก็น่าจะเป็นเพื่อนของเศรษฐีใหญ่ฝ่ายชายนั่นเองต้องพากันมาอ้อนวอนขอร้องว่าอย่าให้ตระกูลใหญ่ๆ ต้องแตกกันเลย

ในที่สุด ปุณณเศรษฐีขัดอ้อนวอนไม่ได้ จึงยินยอมและกำหนดแต่งงานบุตรีในวันเพ็ญกลางเดือน ๘ (อาสาฆฬปุณณมี)

และความลำบากใจก็ได้เกิดขึ้นจริงแก่นางอุตตรานั่นเอง ความขัดแย้งในเรื่องศาสนาเป็นปัญหาสำคัญประการหนึ่งในการสมรส เมื่อคนหนึ่งเลื่อมใส อีกคนหนึ่งไม่เลื่อมใส ความขัดแย้งและความดูหมิ่นก็จะต้องมีขึ้นเป็นของธรรมดา ตั้งแต่แต่งงานแล้ว นางอุตตราไม่เคยได้พบปะกับภิกษุหรือภิกษุณีเลย ไม่ต้องพูดถึงการทำบุญหรือฟังธรรม

เหลือเวลาอีกครึ่งเดือนจะออกพรรษา นางอุตตราได้ส่งสารไปถึงพ่อว่า เหตุไฉนจึงนำนางให้มาอยู่ในเรือนจำเช่นนี้ จะให้นางเป็นอัมพาตหรือเสียโฉม หรือให้เป็นทาสเสียยังดีกว่าไปอยู่ในตระกูลที่เป็นมิจฉาทิฏฐิเช่นนั้น ตั้งแต่ล่วงประตูบ้านสามีเข้าไปแล้ว ไม่เคยได้เห็นภิกษุ ภิกษุณี ไม่เคยได้ทำบุญให้ทานเลย
____________________________________

ออมสิน:
ปุณณเศรษฐีได้รับสารลูกสาวแล้ว เกิดเมตตาว่าบุตรีไปอยู่ได้รับทุกข์ทรมาน จึงบอกลูกสาวไปว่าตนเองก็ไม่สบายใจเหมือนกันที่ทราบว่าลูกไม่มีความสุข พร้อมกันนั้นได้ส่งเงินไปให้หมื่นห้าพันกหาปณะและแนะนำว่า

“ลูกรัก ในนครราชคฤห์นี้ มีหญิงนครโสเภณีอยู่คนหนึ่งชื่อสิริมา ขอให้ลูกส่งคนไปติดต่อขอมาเป็นหญิงบำเรอสามีและมอบเงินให้นางวันละ ๑ พันกหาปณะ ส่วนตัวลูกเองจะได้มีโอกาสทำบุญทำทาน สดับธรรมเทศนาจากภิกษุสงฆ์ ลูกรัก พ่อนั้นหวังดีต่อลูก รักลูกเพียงไร ปรากฎแก่ลูกแล้วทั้งสิ้น ความสุขของลูกก็คือความสุขของพ่อ หากทราบว่าลูกมีความทุกข์อย่างใด พึงทราบเถิดว่าพ่อย่อมมีความทุกข์อย่างนั้นที่เหนือกว่า การแต่งงานครั้งนี้ หากล้มเหลวและผิดพลาดก็เป็นความบกพร่องของพ่อที่ผิดพลาดใจอ่อนทนต่อการวิงวอนไม่ได้ ลูกไม่มีส่วนผิดพลาดด้วยเลยเพราะลูกมิใช่ผู้ตกลงใจ แม่ของเจ้าก็มีความห่วงใยและทุกข์ร้อนยิ่งกว่าพ่อเสียอีก ขอให้ลูกอดทนไปอีกหน่อย อาจแก้ปัญหาได้โดยการให้เวลาช่วย”

อุตตราได้รับสารของพ่อแล้วดีใจเป็นนักหนา นอกจากซึ้งในถ้อยคำปลอบประโลมของพ่อแล้ว ยังได้มองเห็นทางออกซึ่งพ่อแนะไปให้ด้วย

นางได้ดำเนินการตามคำแนะนำของพ่อทุกประการ และทุกอย่างก็เรียบร้อย นางสิริมารับจ้างในเรื่องนี้ด้วยความเต็มใจ

อุตตราได้พาสิริมาเข้าพบสามีของตน เล่าเรื่องให้ฟังโดยตลอดมิได้อำพรางเลยแม้แต่น้อย ฝ่ายสามีมองดูอุตตราอย่างแปลกใจ เขาเห็นเป็นเรื่องแปลกมากที่หญิงหนึ่งผู้เป็นภรรยาโดยถูกต้องได้นำหญิงอื่นมามอบให้สามีตน เพื่อตนจักได้ปลีกตัวไปทำบุญ

ความจริงก็เป็นเรื่องแปลกมาก ธรรมดาที่เคยมีก็คือสตรีผู้พอใจขวนขวายการบุญกุศลเมื่อรู้ว่าสามีตนไปเกี่ยวข้องกับหญิงอื่นก็เลิกทำบุญเพื่อมาเฝ้าสามีมิให้สตรีอื่นมีโอกาสเกี่ยวข้อง แต่อุตตรากลับตรงกันข้าม นางจ้างสิริมาสตรีผู้โสภาคย์มาเป็นบาทบริจาริกาของสามี เพื่อตนจักได้มีโอกาสทำบุญ

แต่จะแปลกประหลาดอะไรมากนักเล่า ในเมื่ออุตตราตีค่าแห่งการทำบุญสูงกว่าความหมกมุ่นในกามารมณ์ สูงกว่าการเอาอกเอาใจชายหนึ่งผู้ไม่เคยสนใจไยดีในเรื่องบุญกุศลและเรื่องการอบรมจิตใจให้สูงขึ้นด้วยคุณธรรมต่าง ๆ เขามุ่งมั่นแต่ความสุขสำราญทางเนื้อหนังและทางอวัยวะสัมผัสอื่นๆ อันส่อไปแต่ในทางโลกีย์ทางของปุถุชนทั้งหลายที่มองเห็นแต่ความสุขทำนองนั้น ไม่เคยถอยกายและใจออกห่างเพื่อรับความสุขอันสงบกว่า ประณีตกว่า

อุตตราสาวสวยผู้มีอัธยาศัยงามได้ประจักษ์ชัดแล้วว่า ความสุขของคนคู่นั้นเป็นความสุขเพียงชั่วแล่น ไม่ยั่งยืน เปรียบไปก็เหมือนความสุขในฝัน เมื่อตื่นขึ้นก็พลันหายไป แต่ความสุขใจอันเกิดจากการได้ทำความดีเป็นความสุขที่ยั่งยืน บางเรื่องบางอย่างให้ความสุขไปตลอดชีวิต และทุกครั้งที่ระลึกถึง

สามีของอุตตราได้เพ่งมองสิริมาอยู่นาน ยิ่งมองไปก็ยิ่งเห็นความงามของเธอผุดเด่นยิ่งขึ้น สิริมาเป็นหญิงงามจริงๆ คนหนึ่ง มิฉะนั้นแล้วไฉนจะได้รับเลือกเป็น “นครโสเภณี – หญิงประดับนคร” เล่า

สามีของอุตตรายอมรับเงื่อนไขของอุตตรา เพราะติดใจในความงามของสิริมา และเป็นโอกาสที่จะได้เปลี่ยนสตรีชม

ผู้ชายก็มักเป็นอย่างนี้ ใครจะว่าอย่างไรก็ช่างเถิดเขาจะหาความสุขของเขาก่อน เขามิค่อยได้คำนึงว่า หัวใจของสตรีจะเป็นอย่างไร เขาอภัยให้ตัวเองได้เสมอ แต่ความผิดพลาดของสตรีเป็นเรื่องใหญ่โตเสมอสำหรับเขา แม้ความผิดพลาดนั้นจะเพียงเล็กน้อยก็ตาม

อุตตราดีใจเป็นล้นพ้นเสมือนหลุดออกมาได้จากเรือนจำ นางได้อาราธนาพระศาสดาและภิกษุสงฆ์บริวารให้รับภัตตาหารที่บ้านของนางเป็นเวลา ๑๕ วันติดต่อกัน ได้ถวายอาหารและปัจจัยอื่นๆ ได้ฟังธรรมจากพระศาสดา ช่างเป็นความสุขเสียนี่กระไร

ทุก ๆ วันนางจะง่วนอยู่ในครัวใหญ่คอยสั่งคนใช้ให้ต้มนั่นแกงนี่อยู่ตลอดเวลา หน้าตาเปรอะด้วยเขม่าไฟ แต่นางก็มีความสุขความแจ่มใสร่าเริงอยู่ตลอดวัน

วันหนึ่งสามีของนางได้มองดูทางหน้าต่าง เห็นอุตตราง่วนอยู่ในครัวสรีระขะมุกขะมอมด้วยเขม่าไฟ ขี้เถ้า กายนางโซมด้วยเหงื่อ เห็นดังนั้นแล้วจึงพูดออกมาคนเดียวว่า

“ดูเถิด หญิงโง่ อยู่สบาย ๆ ไม่ชอบ ชอบทำอะไรให้เหนื่อย เลี้ยงดูสมณะหัวโล้นทั้งหลายให้ฉันแล้วก็กลับไปนอน”

พูดเท่านี้แล้วก็หัวเราะเยาะแล้วหลบเข้าห้องไป

นางสิริมายืนอยู่ไม่ไกลนัก เห็นอาการแห่งสามีชั่วคราวของตัวแปลกอยู่ จึงไปยืนทางช่องหน้าต่างมองดูเห็นนางอุตตรา สิริมาเข้าใจว่าบุตรเศรษฐีหัวเราะกับนางอุตตราในเชิงเสน่หาจึงโกรธมาก นางลืมนึกไปว่าอุตตรานั้นเป็นภรรยาโดยชอบธรรมของบุตรเศรษฐี นางได้ยึดมั่นถือมั่นในสามีชั่วคราวของตนจนลืมความเป็นจริง ระยะเวลาเพียง ๑๔ วันเท่านั้นยังทำให้นางเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ เข้าใจว่าตนเป็นเจ้าของบ้าน คงทำนองเดียวกับผู้ครองเมืองบางพวก เมื่อขึ้นมาเสวยอำนาจชั่วคราวแล้วก็ลืมตัวเข้าใจว่าประเทศนั้นเป็นของตนทั้งหมด

นางสิริมาได้ลงจากปราสาทชั้นบนอย่างรวดเร็ว ลงมายังห้องโรงครัวใหญ่ เอาทัพพีตักเนยใสในกระทะที่กำลังเดือดจัดเดินไปหานางอุตตรา สิริมาตั้งใจเต็มที่ในการทำร้ายอุตตราให้เสียโฉมด้วยการเอาเนยใสสาดหน้าหรือรดบนศีรษะ

ฝ่ายนางอุตตราเห็นอาการดังนั้นรู้ได้ด้วยปัญญาไวว่าอะไรจะเกิดขึ้นและเกิดขึ้นเพราะเหตุใด จึงคิดว่า “สหายหญิงของเรานี้มีอุปการะต่อเรามาก เมื่อคิดถึงบุญคุณของเธอแล้ว จักรวาลก็แคบไป พรหมโลกก็ต่ำไป เพราะเราได้อาศัยเธอแล้วได้ถวายทาน ได้ฟังธรรม เราขอตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าเรามีความโกรธความคิดประทุษร้ายตอบต่อเธอ ก็ขอให้เนยใสจงลวกเรา ถ้าเราไม่มีความโกรธไม่มีความพยาบาทต่อเธอเลย ขอให้เนยใสนั้นเย็นเหมือนน้ำธรรมดา” นางคิดดังนี้แล้วตั้งใจแผ่เมตตาให้แก่นางสิริมา

มีต่อ...
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 58.11.141.31 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:27:59 น.  

 
 
 
ออมสิน:
“ทำตัวเป็นนักบุญ” นางสิริมาแย้มด้วยเสียงเยาะ “อุตส่าห์เสียเงินวันละพันกหาปณะเพื่อเรา แต่แล้วก็ลอบแสดงอาการเสน่หากับชายที่มอบหมายให้เราแล้ว อย่างนี้ไม่เรียกว่ามือถือสากปากถือศีลจะให้เรียกว่าอย่างไร” ว่าแล้วนางสิริมาก็สาดเนยใสเข้าตรงหน้านางอุตตรา แต่ด้วยเมตตานุภาพซึ่งให้ผลทันที เนยใสที่เดือดจัดอยู่ในกระทะเมื่อครู่นี่เองกลับกลายเป็นเย็นสนิท เหมือนน้ำที่ตักขึ้นมาจากบ่อ สิริมาคิดว่าเนยใสนั้นเย็นเสียแล้ว จึงรีบตักมาอีกทัพพีหนึ่งสาดเข้าไป แต่ได้ผลเท่าเดิม อุตตราคงยิ้มระรื่นไม่มีอาการของผู้เจ็บปวดทุกข์ทรมานเลย

พอดีคนใช้ของนางอุตตราซึ่งเพิ่งตื่นจากอาการตกตะลึงเห็นดังนั้นจึงช่วยกันทุบตีนางสิริมาจนล้มราบลงกับพื้น หญิงคนใช้มีหลายคนด้วยกันเขากำลังโกรธจัด นางอุตตราห้ามไม่ไหว จึงขอให้หญิงคนใช้ที่ยืนอยู่บนตึกลงมาห้าม ดึงตัวหญิงคนใช้เหล่านั้นออกไป แล้วเธอมาประคบนางสิริมาด้วยน้ำอุ่น ทาด้วยน้ำมันช่วยบำบัดอาการช้ำ พลางกล่าวว่า

“สหาย ไฉนท่านจึงทำกรรมหนักอย่างนี้เล่า”

ขณะนั้นเองสิริมาจึงสำนึกตัวได้ว่าตนเป็นคนภายนอกมารับจ้างเขาเพียงชั่ว ๑๕ วันเท่านั้น ตัวทำร้ายเขาโดยเขาไม่มีความผิด แต่เมื่อตนถูกทำร้ายบ้าง เขายังช่วยเหลือ เขาดีเหลือเกิน แต่ตนเลวเหลือเกิน คิดดังนี้แล้วจึงขอโทษนางอุตตรา หมอบลงที่แทบเท้าแล้วกล่าวว่า

“อุตตรา โปรดยกโทษให้ข้าพเจ้าถ้วยเถิด ข้าพเจ้าทำกรรมหนักไปแล้วโดยความผลุนผลันไม่ทันคิดให้รอบคอบ ข้าพเจ้าเสียใจ อุตตรา ข้าพเจ้าเสียใจเหลือเกิน”

“สิริมา ข้าพเจ้าเป็นคนมีบิดา ถ้าบิดาของข้าพเจ้ายกโทษให้ท่านได้ ข้าพเจ้าก็ยกโทษให้”

“บิดาที่ท่านพูดถึงนี้คือปุณณเศรษฐีใช่ไหม”

“ท่านปุณณเศรษฐีนั้นเป็นบิดาของข้าพเจ้าในวัฏฏะ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นบิดาของข้าพเจ้าในวิวัฏฏะ ถ้าท่านสามารถให้บิดาในวิวัฏฏะของข้าพเจ้ายกโทษให้ได้ แล้วข้าพเจ้าก็ไม่มีอะไร” อุตตราตอบ

“แต่ข้าพเจ้ามิได้คุ้นเคยกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” สิริมาว่า

“ไม่เป็นไร” อุตตราปลอบ “พรุ่งนี้พระองค์ก็จะเสด็จมาเสวยที่นี่ ท่านเตรียมเครื่องสักการะมาขอขมาพระองค์ท่านก็แล้วกัน ข้าพเจ้าจะนำเอง”

นางสิริมากลับไปสู่บ้านของตน ในวันรุ่งขึ้นจึงจัดเครื่องสักการะต่างๆ เช่น ดอกไม้ ของหอม ขาทนียโภชนียาหารอันประณีต มาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าที่บ้านของนางอุตตรา แต่เนื่องจากไม่เคยเข้าใกล้พระสงฆ์ไม่เคยทำบุญอย่างนี้จึงทำอะไรไม่ถูก แม้แต่จะใส่อาหารลงบาตรของพระศาสดาและพระสาวกนางก็ทำไม่เป็น นางอุตตราต้องช่วยเหลือจัดแจงให้ทุกอย่าง

เมื่อพระศาสดาเสวยเสร็จแล้ว นางสิริมาและบริวารของตนหมอบลงใกล้พระบาทของพระพุทธองค์ เมื่อพระองค์ตรัสถามว่าเป็นความผิดเรื่องอะไร นางก็เล่าเรื่องทั้งปวงถวายให้ทรงทราบ พระพุทธองค์ตรัสถามนางอุตตราว่าจริงอย่างนั้นหรือ นางอุตตรารับสนองพระพุทธดำรัสแล้วเล่าเรื่องการแผ่เมตตาของตนในขณะที่ถูกราดรดด้วยเนยในที่กำลังเดือดพล่าน

พระศาสดาทรงประทานสาธุการแก่นางอุตตรา แล้วตรัสว่า

“อุตตรา ถูกแล้ว เธอทำอย่างนั้นถูกต้องแล้ว สมเป็นบุตรีของตถาคตผู้สรรเสริญการไม่จองเวร อุตตรา บุคคลพึงเอาชนะคนโกรธด้วยความไม่โกรธตอบ (พึงเอาชนะคนด่าด้วยการไม่ด่าตอบ) พึงเอาชนะคนไม่ดีด้วยการทำดีให้ พึงเอาชนะคนตระหนี่ด้วยการแบ่งปัน พึงเอาชนะคนพูดเหลาะแหละสับปรับด้วยการพูดคำจริง”

//www.dhammakid.com/board/acaaaxeiaeeaaa/aoaoaaaieaoeanaooa-(-i-ceo1-io1ead-)/55/?wap2
1838
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 58.11.141.31 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:28:49 น.  

 
 
 
ออมสิน:

สิริมา
ผู้ต้นร้ายปลายดี

รูปที่มีความงามถึงปานนี้ถึงแล้วซึ่งความสิ้น
และความเสื่อมไปตามธรรมดาของรูปทั้งหลาย
รูปนี้เป็นอย่างไร รูปอื่นก็อย่างนั้น
รูปอื่นเป็นอย่างไร รูปนี้ก็อย่างนั้น


นางสิริมาหลังจากได้สำเร็จโสดาปัตติผลเป็นโสดาบันแล้ว ได้ทูลอาราธนาพระทศพลเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เพื่อเสวยพระกระยาหารในวันรุ่งขึ้น ได้ถวายมหาทานอันโอฬารและประณีต ตั้งแต่นั้นมาได้ถวายอาหารแก่ภิกษุวันละ ๘ รูปเป็นประจำ

นางได้เอาใจใส่สั่งคนรับใช้ให้ไปทำของประณีตถวายสงฆ์ใส่ให้จนเต็มบาตรทุกรูป อาหารที่พระรูปเดียวรับไปจากบ้านของนางพอเลี้ยงพระถึง ๓ หรือ ๔ รูป

ต่อมาวันหนึ่งภิกษุรูปหนึ่งไปรับอาหารที่บ้านของนางสิริมาแล้วกลับมา ตกตอนเย็นนั่งสนทนากับเพื่อนภิกษุด้วยกัน รูปหนึ่งถามขึ้นว่า

“อาวุโส วันนี้ ท่านไปรับอาหารบิณฑบาตที่ใด”

“ที่บ้านของนางสิริมา” ท่านตอบ

“อาหารดีไหม”

“ดีไหม ดีจนพูดไม่ถูก ปริมาณก็มากด้วย อาหารที่นางถวายแก่ข้าพเจ้านั้นแจกจ่ายแก่เพื่อน ๆ ได้ถึง ๓ หรือ ๔ รูป แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ นางสวยเหลือเกิน การได้มองดูนางดีกว่าไทยธรรมของนางเสียอีก ท่านลองคิดดูเถิดว่าจะเลิศปานใด ปาก จมูก คอ มือ เท้าของนางดูงามละเมียดละไมไปหมด”

ภิกษุรูปนั้นได้ฟังเพื่อนเล่าดังนี้กระหายใคร่ได้เห็นนางสิริมาบ้าง จึงถามถึงลำดับของตนว่าจะได้ไปเมื่อใด ก็ทราบว่าวันพรุ่งนี้เป็นลำดับของตน ดีใจเป็นนักหนา

วันรุ่งขึ้น เมื่ออรุณยังไม่ทันเบิกฟ้าก็รีบเข้าไปที่โรงสลาก ได้เป็นหัวหน้าพระอีก ๗ รูป ไปสู่บ้านของนางสิริมาเพื่อรับอาหาร บังเอิญนางสิริมาล้มป่วยลงโดยกะทันหันตั้งแต่วันวาน จึงเปลื้องเครื่องอาภรณ์ที่สวยงามออกแล้วนอนซมอยู่

เมื่อเวลาพระมาถึง นางได้สั่งสาวใช้ให้จัดแจงให้เรียบร้อยเหมือนอย่างที่นางเคยทำเอง คือนิมนต์ให้พระคุณเจ้านั่งแล้วเอาบาตรไปบรรจุโภชนะให้เต็มแล้วถวายข้าวยาคูหรือข้าวสวยแก่พระคุณเจ้า

หญิงรับใช้ได้ทำตามที่นางสั่งทุกประการ เสร็จแล้วบอกให้นางทราบ นางจึงขอให้หญิงรับใช้ช่วยกันประคองนางออกไปเพื่อไหว้พระคุณเจ้าทั้ง ๆ ที่กำลังจับไข้อยู่ ตัวของนางจึงสั่นน้อย ๆ

ภิกษุรูปนั้นเห็นนางสิริมาแล้ว ตะลึงในความงาม พลางคิดว่า

“โอ กำลังจับไข้อยู่ยังงามถึงปานนี้ ในเวลาไม่เจ็บป่วย ประดับประดาด้วยสรีราภรณ์อลังการอันสวยงามนางนี้จะมีรูปสมบัติเลิศปานใดหนอ”

ขณะนั้นเอง กิเลสที่ท่านเคยสั่งสมไว้หลายโกฏิปีก็ฟูขึ้นประหนึ่งถูกแรงลม ท่านนั้นมีใจจดจ่ออยู่แต่นางสิริมา ไม่สามารถฉันอาหารใด ๆ ได้เลย กลับสู่วิหารแล้วปิดบาตรไว้โดยมิได้แตะต้อง เอาจีวรคลุมศีรษะนอนรำถึงสิริมาด้วยความหลงใหล

ภิกษุผู้เป็นสหายกันทราบความนั้น พยายามชี้แจงและอ้อนวอนให้ท่านฉันอาหาร แต่ก็ไร้ผล

และเย็นวันนั้นเอง นางสิริมาก็ตาย

พระเจ้าพิมพิสารให้ราชบุรุษไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า บัดนี้นางสิริมาน้องสาวของหมอชีวกตายเสียแล้ว

พระศาสดาทรงทราบเรื่องการตายของนางสิริมา และทรงทราบเรื่องภิกษุผู้หลงใหลในรูปของนางสิริมานั้นด้วย ทรงเห็นเป็นโอกาสที่จักแสดงสัจธรรมบางประการ และทรงเห็นอุบายที่จะสอนภิกษุรูปนั้นและประชาชนทั้งหลายให้ทราบถึงความเป็นไปแห่งชีวิต จึงทรงรับสั่งถึงพระราชาพิมพิสารว่า ขอให้รักษาศพของนางสิริมาไว้ในป่าช้าผีดิบ อย่าให้กาและสุนัขเป็นต้นกัดกิน

พระราชาทรงทราบแล้วทรงทำตามพุทธบัญชา เพราะทรงแน่พระทัยว่าพระศาสดาจะต้องทรงมีพระอุบายอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน

สามวันล่วงไปตามลำดับ ในวันที่สี่สรีระนั้นขึ้นพอง น้ำเน่าไหลเยิ้มไปทั่วทั้งร่าง สรีระทั้งสิ้นแตกออกเปื่อยเน่าและผุพัง พระราชาให้ราชบุรุษเที่ยวตีกลองประกาศทั่วพระนครว่า เว้นแต่เด็กหรือคนชราเฝ้าเรือนแล้ว ใครไม่ไปดูนางสิริมาจะถูกปรับ ๘ กหาปณะ แล้วทรงส่งข่าวไปถึงพระผู้มีพระภาค หากพระพุทธองค์และภิกษุสงฆ์จะดูนางสิริมาด้วยก็จะเป็นการดี

พระศาสดาตรัสบอกภิกษุทั้งหลายว่า จะเสด็จไปดูศพนางสิริมาพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก ภิกษุรูปนั้นพอทราบว่าพระศาสดาและภิกษุสงฆ์จะไปดูนางสิริมาเท่านั้น แม้จะอดอาหารมาตั้ง ๔ วันแล้วก็รีบลุกขึ้นทันที เอาอาหารที่บูดเน่าในบาตรนั้นทิ้ง เช็ดบาตรเรียบร้อยแล้วเอาใส่ถุงบาตร ไปกับหมู่ภิกษุ
____________________________________

ออมสิน:
พระศาสดาผู้อันภิกษุสงฆ์แวดล้อมแล้ว ประทับยืนอยู่ข้างหนึ่ง แม้ภิกษุณีสงฆ์ ราชาบริษัท อุบาสกบริษัท และอุบาสิกาบริษัทก็ยืนอยู่ข้างหนึ่งๆ

พระศาสดาตรัสถามพระราชาว่า
“มหาบพิตร ร่างนั้นคือใคร”
“นางสิริมาพระเจ้าข้า” พระราชาตรัสตอบ
“นางสิริมาหรือนั่น” พระพุทธองค์ทรงถามซ้ำ
“พระเจ้าข้า” พระราชาทูลตอบ
“มหาบพิตร ถ้าอย่างนั้นขอให้พระองค์ยังราชบุรุษให้เที่ยวประกาศในพระนครว่า ใครให้ทรัพย์พันหนึ่งแล้วจงมารับนางสิริมาไป”

พระราชารับสั่งให้ราชบุรุษทำอย่างนั้นแล้ว ราชบุรุษเที่ยวประกาศทั่วพระนคร ไม่มีใครเลยที่จะรับนางสิริมาเป็นของตน ราชบุรุษประกาศลดราคาลงตามลำดับ ๕๐๐, ๒๕๐, ๒๐๐, ๑๐๐, ๕๐, ๑๐, ๕ กหาปณะ ๑ กหาปณะ ครึ่งกหาปณะ บาทเดียว มาสกหนึ่ง กากนิกหนึ่ง ในที่สุดประกาศให้เปล่าก็ไม่มีใครรับ พระราชาทูลความทั้งปวงให้พระศาสดาทรงทราบแล้ว

พระผู้เจนจบ รู้แจ้งแล้วซึ่งโลกและธรรมทั้งปวงทอดพระเนตรภิกษุทั้งมวลแล้วตรัสว่า

“ดูเถิดภิกษุทั้งหลาย ดูสตรีอันเป็นที่รักที่พอใจของคนเป็นอันมาก เมื่อก่อนนี้ให้ทรัพย์พันกหาปณะแล้วให้อยู่ร่วมด้วยนางสิริมาเพียงวันเดียว คนทั้งหลายก็แย่งกัน แต่บัดนี้เวลาล่วงไปเพียง ๕ – ๖ วันเท่านั้น ร่างเดียวกันนี้แม้ให้เปล่าก็ไม่มีใครต้องการ ภิกษุทั้งหลาย รูปที่มีความงามถึงปานนี้ถึงแล้วซึ่งความสิ้นและความเสื่อมไปตามธรรมดาของรูปทั้งหลาย รูปนี้เป็นอย่างไร รูปอื่นก็อย่างนั้น รูปอื่นเป็นอย่างไร รูปนี้ก็อย่างนั้น”

“ภิกษุทั้งหลาย ดูเถิดดูร่างกายที่เปื่อยเน่ามีกลิ่นเหม็น มีกระดูกเป็นโครง อันเนื้อและเลือดซึ่งเกิดแต่กรรมทำให้วิจิตรแล้ว ร่างกายนี้อาดูรไม่มีความเที่ยงหรือยั่งยืน แต่คนส่วนมากก็ยังดำริถึงด้วยความกำหนัดพอใจ”

เมื่อจบพระธรรมเทศนาลง ธรรมาภิสมัยคือการรู้ธรรมได้เกิดขึ้นแล้วแก่บุคคลเป็นอันมาก แม้ภิกษุรูปที่ติดใจร่างกายของนางสิริมายิ่งนักก็ได้สำเร็จโสดาปัตติผล

พระผู้มีพระภาคทรงใช้หนามจากต้นไม้ต้นเดียวกันนั้นเองบ่งหนามที่เสียบภิกษุสาวกของพระองค์มาเป็นเวลาหลายวันถึงกับฉันไม่ได้นอนไม่หลับ ทรงใช้วิธี “หนามยอกเอาหนามบ่ง”

วิธีเดียวกันนี้ได้เคยทรงโปรดพระนันทะโอรสแห่งพระน้านางให้สำเร็จมรรคผลมาแล้วเช่นกัน โดยพระนันทะได้ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อหญิงงามตามที่พระศาสดาทรงให้ปฏิญาณว่า หากประพฤติพรหมจรรย์ปฏิบัติธรรมตามพระดำรัสสั่งของพระองค์แล้วจะทรงเป็นประกันให้ได้หญิงงาม และแล้วทรงพาพระนันทะนั้นเที่ยวดูความงามแห่งหญิงในราชสกุลต่าง ๆ ในที่สุดพระนันทะได้เห็นแจ้งว่าความงามไม่มีที่สิ้นสุด คนที่ตนเคยรักเคยหลงใหลในความงามในกาลก่อนนั้นเมื่อเทียบกับความงามของหญิงคนอื่น ๆ ที่ตนได้พบเห็นในภายหลังแล้ว ความสวยงามของหญิงที่ตนรักนั้นมีประมาณน้อยเหลือเกิน เมื่อว่างจากการเที่ยวดูหญิงงาม ท่านก็ทำสมถะและวิปัสสนายังจิตให้สงบแจ่มแจ้ง ในที่สุดได้เห็นสภาวะแห่งชีวิตตามความเป็นจริงว่าไม่ควรหลงใหลยึดมั่นถือมั่น เพราะความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวงเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ตามสัดส่วนที่ยึดมั่นถือมั่นนั้นจึงได้สำเร็จอรหัตผล ไม่ต้องการหญิงงามใด ๆ อีกต่อไป พระศาสดาจึงทรงเป็นผู้พ้นจากการประกันไปโดยปริยาย
//www.dhammakid.com/board/acaaaxeiaeeaaa/aoaoaaaieaoeanaooa-(-i-ceo1-io1ead-)/60/?wap2
9247
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 58.11.141.31 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:32:46 น.  

 
 
 
ออมสิน:

กุณฑลเกสี
(ผู้ใช้ปัญญาคุ้มครองตน)

บุรุษจะเป็นบัณฑิตในที่ทั้งปวงก็หามิได้
สตรีที่มีปัญญาใคร่ครวญ
ให้ควรแก่เหตุการณ์นั้น
ก็เป็นบัณฑิตได้เหมือนกัน


นางเป็นธิดาของเศรษฐีเมืองราชคฤห์ เมื่อตั้งอยู่ในปฐมวัยประมาณ ๑๖ ปีนั้น มีความงามเป็นที่เลื่องลือ ใครได้เห็นก็กล่าวขวัญกันไปนาน แต่บุคคลภายนอกมิค่อยมีโอกาสได้เห็นนางบ่อยนัก เพราะท่านเศรษฐีประคับประคองหวงแหนให้อยู่บนปราสาทชั้นที่ ๗ ให้มีสตรีรับใช้คอยเอาใจ ปรนนิบัติให้มีความสุข และไม่ให้ขัดข้องในสิ่งที่นางปรารถนา

แต่เด็กสาววัย ๑๖ – ๑๗ นั้น ย่อมมีจิตใจอยากรู้อยากเห็นในสิ่งอันตนไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น อนึ่งเล่าแรงกระตุ้นเตือนตามธรรมชาติก็คอยรบเร้าจิตใจของนางอยู่เสมอ มีบุคคลไม่มากนักดอกที่มีจิตใจเข้มแข็ง สามารถเหยียบสัญชาตญาณดังกล่าวนั้นไว้ใต้อุ้งเท้า ไม่ให้มีพิษสงต่อชีวิตอันกระโดดเร่าอยู่บนโลกที่ระอุด้วยเพลิงนานาประการได้ นอกนั้นสัญชาตญาณแห่งธรรมชาติมักอยู่เหนือเสมอ

วันหนึ่ง นางยืนรับลมอยู่บนปราสาท ในเวลาเย็น ได้เห็นราชบุรุษนำโจรผู้หนึ่งผ่านมา เขาถูกจับเอามือไขว้หลังและกำลังถูกเฆี่ยนด้วยหวายครั้งละ ๔ เส้น นำไปสู่ที่ฆ่า นางได้เห็นแล้วมีจิตปฏิพัทธ์ต่อโจรนั้น มีความปรารถนาอันรุนแรงที่จะได้โจรนั้นมาเป็นคู่ครอง แต่ไม่ทราบจะทำประการใด จึงเข้าห้องปิดประตู ไม่ยอมพูดจากับใคร และไม่ยอมบริโภคอาหาร จิตใจของนางรำพึงถึงแต่โจรเท่านั้น

จวนค่ำมารดาเข้ามาหาถึงห้อง เห็นลูกสาวนอนสะอื้นอยู่บนเตียงน้อย จึงกล่าวว่า

“เป็นอะไรหรือลูก”
“ไม่ค่ะ” นางตอบ

“เห็นคนรับใช้ไปบอกว่าลูกนอนร้องไห้อยู่ตั้งแต่เย็นแล้ว รับประทานอาหารเสียหน่อยซิลูก”
“ไม่ค่ะ” นางคงปฏิเสธ

“ลูกเป็นอะไรไปน่ะ” มารดามองบุตรีอย่างตำหนิ “ทำไมไม่บอกแม่ แม่เคยเป็นมิตรที่ดีของลูกมาตลอด ลูกไม่เชื่อแม่หรือ”
“แม่คะ แม่รักลูกไหมคะ”

“รักซิลูก แม่มีลูกคนเดียว แม่ทุ่มเทความรักให้ลูกของแม่คนเดียว”
“แม่คะ เย็นนี้น่ะ แม่ได้ยินเสียงโห่ร้องผ่านมาทางปราสาทของเราไหมคะ”

“ได้ยิน เสียงคนโห่ร้องยินดีที่ราชบุรุษจับโจรได้ มันเป็นคนร้ายกาจ เที่ยวปล้น หักแข้งหักขาคน สมน้ำหน้า เขาตีมันด้วยหวายครั้งละ ๔ เส้นแน่ะลูก”
“ลูกสงสารเขาค่ะ” ธิดาสาวพูด

“สงสาร!” แม่ทวนคำ “สงสารทำไม สงสารคนเลวทำไม มันมีชีวิตอยู่ก็ก่อความเดือดร้อนแก่คนอื่นมากมาย”

“แต่ลูกสงสารค่ะ ลูกก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมจึงสงสารและอยากช่วยเขาให้พ้นจากการถูกฆ่าค่ะ”

“ตายแล้ว ลูกแม่ คนดีถมไปทำไมไม่สงสาร ไม่อยากช่วย อยากมาช่วยคนเลว พ่อของลูกจะไม่ยอมเป็นอันขาด”

“หากเขาต้องตาย ลูกจะขอตายด้วยค่ะ ลูกจะอดอาหารตาย”

มารดาของเธอรีบบอกเรื่องนี้ให้เศรษฐีทราบ ทั้งสองสามีภรรยาช่วยกันอ้อนวอน ทั้งปลอบทั้งขู่ให้บุตรีเห็นว่า คนดีๆ ที่นางจะพึงรักได้ก็มีมาก สมกันทั้งศักดิ์ศรีและฐานะ แต่ธิดาเศรษฐีก็ยังคงขอร้องวิงวอนให้มารดาบิดาไปช่วยชีวิตโจรไว้ และจะยอมตายจริงๆ หากโจรผู้นั้นถูกฆ่าตาย

ในที่สุด เศรษฐีจึงให้คนไปไถ่โจรมาจากราชบุรุษด้วยทรัพย์หนึ่งพันกหาปณะ

ราชบุรุษได้ฆ่าชายคนหนึ่งแทน แล้วกราบทูลพระราชาว่าได้ฆ่ามหาโจรผู้นั้นตายแล้ว

โจรและนางกุณฑลเกสีได้ครองความเป็นสามีภรรยากันอย่างเป็นสุขมาหลายวัน นางนั้นมีความตั้งใจอยู่เสมอว่าจะให้สามีมีความสุข จึงปรนนิบัติด้วยมือของตนเองทุกมื้อ และตกแต่งด้วยอาภรณ์อันเลิศค่าเพื่อให้สามีชื่นชม

แต่วิสัยสุกร ใครนำมาเลี้ยงบนเรือน พอเผลอมันก็ต้องกระโดดลงไปกินอาจมจนได้ โจรผู้นั้นก็เช่นกัน เพียงไม่กี่วันมันก็วางแผนเอาเครื่องแต่งกายของภรรยาเพื่อไปซื้อเหล้ากิน เมื่อคิดอุบายได้แล้วจึงนอนทำทีเหมือนคนมีทุกข์หนัก

“พี่เป็นอะไรไปหรือ” นางถามด้วยความกังวล
“ไม่เป็นไร” โจรตอบ

“น้องทำอะไรให้พี่ไม่พอใจหรือ”
“ไม่”

“คุณแม่คุณพ่อล่ะคะ”
“ไม่”

“ถ้ากระนั้นพี่มีเรื่องร้อนใจอะไร บอกน้องซิคะ น้องจะช่วยทุกอย่าง”
____________________________________

ออมสิน:
โจรเจ้าเล่ห์จึงกล่าวว่า ในวันที่ถูกจับนั้นได้ผ่านภูเขาที่ทิ้งโจร ได้บนบานกับเทวดาซึ่งสิงสถิตอยู่ ณ ที่นั้นว่า หากรอดชีวิตได้ก็จะทำพลีกรรมแก่เทวดาอย่างใหญ่หลวง บัดนี้ได้รอดชีวิตแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำพลีกรรมแก้บน

“เรื่องเท่านี้เอง ไม่น่าคิดมากเลยพี่” ภรรยาปลอบ “น้องจะจัดพลีกรรมอย่างดีทีเดียว พี่เบาใจเถิด”

วันรุ่งขึ้น นางได้จัดแจงพลีกรรมทุกอย่าง เช่น ข้าวมธุปายาสที่มีน้ำน้อย ข้าวตอกและดอกไม้ เป็นต้น เสร็จแล้วขึ้นสู่ยานไปสู่ภูเขาที่ทิ้งโจร นางนั้นประดับตกแต่งร่างกายด้วยอาภรณ์เลิศค่า

เมื่อไปได้หน่อยหนึ่ง โจรจึงขอให้ญาติกลับ เพื่อจะได้รื่นเริงบันเทิงสุขกันเพียงสองคน และเมื่อจวนจะขึ้นภูเขา เขาก็ขอร้องให้คนนำของกลับ เขาสองคนนำพลีกรรม (เครื่องบูชาเทวดา) ไปเอง เมื่อถึงภูเขาอันโกรกชันเป็นที่สำหรับทิ้งโจรแล้ว ภรรยาก็ขอให้สามีทำพลีกรรม แม้นางจะอ้อนวอนอยู่ ๒ – ๓ ครั้ง โจรนั้นก็นิ่งเฉย

“ทำไมพี่ไม่ลงมือทำพลีกรรมคะ” นางถาม
“อ้าว แล้วจะทำอะไรล่ะคะ”

“จะทำฆาตกรรม ฉันจะฆ่าเธอ”
“ฆ่าน้องทำไมคะ”

“ฉันต้องการเครื่องประดับของเธอ”

“ก็ทั้งตัวน้องและเครื่องประดับของน้องก็เป็นของพี่ทั้งหมดแล้วนี่ จะต้องการเมื่อไรก็ได้นี่คะ เมื่อพี่ต้องการเครื่องประดับน้องก็จะถอดให้ แต่ขอไว้ชีวิตน้องเถอะ”

“ไม่ได้ ปล่อยเธอไปฉันก็ตาย เธอคิดว่าฉันโง่หรือ ปล่อยเธอไปเธอก็บอกพ่อแม่พี่น้อง ตำรวจหลวงจะได้มาลากคอฉันเข้าตะราง หรือประหารชีวิตฉัน”

นางอ้อนวอนครั้งแล้วครั้งเล่า แต่โจรก็คงยืนยันคำเดิมว่าจะฆ่านางให้ได้ ขอให้นางถอดเครื่องประดับทั้งหลายให้เขาเสียโดยดี

นางคิดว่า เข้าที่คับขันแล้ว จะต้องใช้ปัญญาเอาตัวรอด ธรรมดาว่าปัญญานั้นมีไว้สำหรับแก้ไขเหตุการณ์ มิใช่มีไว้เพื่อต้มแกงกิน คิดดังนี้แล้วจึงกล่าวท้าวความหลังครั้งที่สามีถูกจับในฐานะเป็นโจร นางได้ให้ซื้อมาด้วยทรัพย์พันหนึ่ง และตั้งใจบำเรอด้วยดี และแล้วจึงขอร้องวิงวอนว่า

“การที่น้องจะได้เห็นพี่หรือพี่จะได้เห็นน้องนั้น ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ขอให้น้องได้ทำประทักษิณ (เวียนขวาแสดงอาการเคารพ) สามรอบ และไหว้พี่ มองดูพี่ให้สมใจเสียก่อน แล้วเชิญพี่ถอดเอาเครื่องประดับและผลักน้องลงสู่หน้าผาอันเป็นที่ทิ้งโจรนี้เถิด”

โจรมิได้มีความระแวงประการใด ยืนอยู่บนยอดเขาด้วยความประมาท เมื่อเห็นโจรเผลอ นางจึงผลักโจรนั้นลงเหวอย่างว่องไว โจรได้ถึงกาลกิริยาทันที

เทวดาซึ่งสิงสถิตอยู่ ณ ยอดเขาอันเป็นที่ทิ้งโจรนั้น ได้เห็นเหตุการณ์โดยตลอด ต่างชื่นชมยินดี เปล่งสาธุการว่า

“บุรุษจะเป็นบัณฑิตในที่ทั้งปวงก็หามิได้ สตรีที่มีปัญญาใคร่ครวญให้ควรแก่เหตุการณ์นั้นๆ ก็เป็นบัณฑิตได้เหมือนกัน”

เมื่อผลักสามีผู้เป็นโจรลงเหวแล้ว นางคิดว่า หากกลับไปบ้าน คนทั้งหลาย มีมารดาบิดาเป็นต้น จักต้องถามสามีอยู่ไหน เมื่อเราเล่าตามความเป็นจริง คนทั้งหลายจักไม่เชื่อ ซ้ำจะด่าเราเสียอีกว่าสู้อุตส่าห์ให้ไปซื้อผู้ชายมาด้วยทรัพย์ถึงหนึ่งพันกหาปณะแล้วมาฆ่าเสียเอง คนทั้งหลายจะต้องคิดว่าเราเป็นคนชั่ว เมื่อนางคิดดังนี้แล้ว จึงตั้งใจแน่นอนว่าจะไม่กลับบ้าน นางมองดูเครื่องประดับกาย

“เครื่องประดับประดาเหล่านี้เอง คือสาเหตุของความวุ่นวาย” นางปรารภกับตนเอง “มันไม่มีค่าอะไรในตัวของมันเองดอก คนทั้งหลายไปหลงยึดถือมันเอง และมันมีปกติให้โทษมากกว่าให้คุณ”

ปรารภดังนี้แล้ว ทิ้งอาภรณ์เหล่านั้นเสีย มุ่งหน้าเข้าสู่ป่า จนไปถึงอาศรมของปริพาชกแห่งหนึ่ง นางขอบวชกับปริพพาชกเหล่านั้น ปริพพาชกทั้งหลายได้ทราบเรื่องของนางแล้วก็บวชให้ด้วยความยินดี

ในสำนักของปริพพาชกนั้น มีการศึกษา ๒ อย่าง คือการบริกรรมกสิณ ๑๐ จนเกิดฌานอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งคือการเรียนศิลปะในการโต้ตอบปัญหา ท่านเรียกว่า วาทสหัสสะ (บางแห่งเรียกการหัดโต้ตอบปัญหาต่างๆ) นางเลือกเรียนวาทสหัสสะ และเรียนได้เร็วจนจบในไม่ช้า หัวหน้าปริพพาชกกล่าวแก่นางว่า

“น้องหญิง ศิลปะในการโต้ตอบปัญหาเธอเรียนจบแล้ว หากประสงค์เธอจงเดินทางไปในชมพูทวีป ลองท้าโต้วาทะกับนักปราชญ์ทั้งหลายดู หากใครเอาชนะเธอได้ ถ้าเขาเป็นคฤหัสถ์ ก็จงยอมเป็นบาทบริจาริกา (ภรรยาหรือหญิงบำเรอ) หากเป็นบรรพชิตก็จงบวชเสียในสำนักของเขา” และแล้วได้มอบกิ่งหว้าให้เป็นสัญลักษณ์แห่งนาง คนทั้งหลายจึงเรียกนางว่า ชัมพุปริพพาชิกา

นางได้เที่ยวท้าโต้ตอบปัญหาในที่ต่างๆ จนคนทั้งหลายคร้ามเกรง พอได้ยินคำว่า ชัมพุปริพพาชิกามาเท่านั้น ก็พากันหลบหนีไม่อาจสู้หน้าได้

นางไปที่ไหนก็มีกิ่งหว้าติดมือไปด้วย เมื่อไม่มีใครกล้าโต้วาทะ นางก็เอากิ่งหว้าปักไว้ที่กองทราย หรือกองดินหน้าบ้าน แล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้าน เที่ยวประกาศว่าใครสามารถโต้วาทะกับนางได้ ขอให้ไปทำลายกิ่งหว้าของนาง เมื่อกิ่งหว้าเหี่ยวแห้งไปก็หากิ่งใหม่มาแทน นางทำอยู่อย่างนี้ เที่ยวไปอย่างนี้ จนกระทั่งลุถึงสาวัตถี ราชธานีแห่งแคว้นโกศลและได้ประกาศทำนองเดียวกัน

พวกเด็กๆ เห็นเป็นของแปลกก็พากันมาล้อม
____________________________________

ออมสิน:
เวลานั้น พระสารีบุตรเข้าไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี เมื่อทำภัตกิจคือฉันอาหารแล้วก็ออกจากเมือง ได้เห็นพวกเด็กยืนล้อมกิ่งไม้อยู่ จึงถามเมื่อทราบความแล้ว ท่านจึงให้เด็กทำลายกิ่งหว้านั้นเสีย พวกเด็กเรียนท่านว่า พวกเขากลัว พระสารีบุตรจึงบอกว่า ท่านจะรับผิดชอบเอง ท่านจะแก้ปัญหาเอง พวกเด็กจึงยอมทำตามคำของท่าน

พอดีชัมพุปริพพาชิกาออกมา ได้เห็นเหตุนั้นแล้วด่าเด็กว่ามายุ่งในธุระไม่ใช่ของตัว พวกเด็กไม่เกี่ยวข้องด้วยการแก้ปัญหา

“อาตมาให้เขาทำลายเอง น้องหญิง” พระสารีบุตรพูด
“ท่านประสงค์จะแก้ปัญหา ถามปัญหากับข้าพเจ้าหรือ” นางถาม

“ใช่แล้ว น้องหญิง”
“ถ้าอย่างนั้นบ่ายนี้ ข้าพเจ้าจะไปยังสำนักของท่าน ท่านประจำที่ไหนไม่ทราบ”

“เชตวนารามนี่เอง”
“จะให้ข้าพเจ้าถามหาภิกษุชื่อไรคะ”

“ถามถึงพระสารีบุตรก็แล้วกัน”

บ่ายวันนั้น ข่าวเรื่องสองบัณฑิตจะโต้ตอบปัญหากันก็แพร่สะพัดไปทั่วนคร ชาวเมืองต่างก็ชักชวนกันไปฟังคับคั่ง

ปัญหาทุกอย่างที่นางถามนั้น พระสารีบุตรแก้ได้สิ้น เป็นปัญหาพื้นๆ สำหรับท่าน ทั้งนี้เพราะพระสารีบุตรเคยศึกษาในสำนักสัญชัยปริพพาชก คณาจารย์ใหญ่ท่านหนึ่งมาก่อน ศึกษาจนเจนจบในลัทธิของปริพพาชกแล้วจึงสละลัทธินั้นมาบวช

“ปัญหาเธอมีเท่านี้หรือ น้องหญิง”
“มีเท่านี้เองค่ะ” เธอตอบ ก้มหน้าด้วยความขวย

“ถ้าอย่างนั้นอาตมาขอถามบ้าง จะได้ไหม”
“ได้ค่ะ”

“ถามปัญหาง่ายๆ” พระสารีบุตรพูด “อะไรชื่อว่าหนึ่ง”
นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง มองไม่เห็นคำตอบ
“ไม่ทราบค่ะ” เธอพูด “โปรดบอกเถิด”

“พุทธมนต์ ชื่อว่าหนึ่ง น้องหญิง”
“ท่านจะบอกพุทธมนต์แก่ข้าพเจ้าได้ไหม”

“ไม่ได้” พระสารีบุตรตอบ “แต่ถ้าบวชแล้ว บอกได้”
“ถ้าอย่างนั้น ข้าพเจ้าจะบวชค่ะ”

พระสารีบุตรบอกแก่ภิกษุณีทั้งหลายให้เธอบวชในสำนักภิกษุณี

นางนั้นเมื่อบวชแล้ว มีชื่อว่า กุณฑลเกสีเถรี ใช้ความพยายามอยู่เพียงไม่กี่วันก็ได้บรรลุอรหัตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔ (ปฏิสัมภิทา ๔ คือความแตกฉาน ๔ อย่าง ๑. แตกฉานในธรรม ๒. แตกฉานในความหมายแห่งธรรม ๓. แตกฉานในภาษา ๔. แตกฉานในปฏิภาณ (ไหวพริบ))

เย็นวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนากันที่ธรรมสภาว่า กุณฑลเกสีเถรีไม่ต้องฟังธรรมมากเลย ก็สามารถบรรลุชั้นสุดยอดแห่งกิจของบรรพชิตได้ ได้ทราบว่านางได้ทำสงครามกับโจรคนหนึ่ง ชนะมหาสงครามนั้นแล้วจึงมาบวช

พระศาสดาเสด็จมา ทราบว่าภิกษุกำลังสนทนาเรื่องนั้นกัน จึงตรัสว่า

“ภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่าดูหมิ่นว่า ธรรมที่เราแสดงแล้วนั้นน้อยหรือมาก เพราะว่าบทที่ไม่มีประโยชน์แม้มากตั้งร้อยก็ไม่ประเสริฐ ส่วนธรรมบทแม้เพียงบทเดียวก็ประเสริฐแท้ อนึ่ง บุคคลที่ชนะสิ่งอื่นมีชนะโจรเป็นต้น ไม่ชื่อว่าเป็นความชนะ ส่วนผู้ชนะโจรภายในคือกิเลสนั่นแหละ ชื่อว่าเป็นความชนะที่เยี่ยม”

และแล้วพระตถาคตเจ้าทรงย้ำว่า

ผู้ใดกล่าวคำอันไม่ประกอบด้วยประโยชน์แม้ตั้งร้อย คำของผู้นั้นก็ไม่ประเสริฐ แต่บทแห่งธรรมเพียงบทเดียว ซึ่งฟังแล้วให้เกิดความสงบประเสริฐกว่า

“อนึ่ง บุคคลผู้ชนะมนุษย์เป็นจำนวนแสนในสงคราม ก็สู้ชนะตนเพียงคนเดียวไม่ได้ ผู้ชนะตนได้ชื่อว่าเป็นยอดนักรบในสงคราม”

//www.dhammakid.com/board/acaaaxeiaeeaaa/aoaoaaaieaoeanaooa-(-i-ceo1-io1ead-)/65/?wap2

8091
 
 

โดย: อิอ่อน IP: 58.11.141.31 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:41:11 น.  

 
 
 
อิอิ ช่วงนี้ busy อีกแระคร้าาาา อิหม่ามี๊ขราาา
กะลังติดเพลิน ก๊ะการเดินสาย รับประทานดินเนอร์ ใต้แสงเทียน
ก๊ะ เพื่อนเก่า ที่เวบ พันติ๊ป คร้าาาา หุหุ


อ่ะ เอามาฝากจร้าาาา อิอิ


//www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12954538/Y12954538.html


//www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12954126/Y12954126.html


//www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12953647/Y12953647.html

 
 

โดย: น้องนู๋ซาดาโกะ ก๊ะ ทั่น ด๊อกฯ อิอิ (นู๋บี ) วันที่: 20 พฤศจิกายน 2555 เวลา:0:23:24 น.  

 
 
 
นี่ก็เอามาฝาก อิอิ















From : ตาเฒ่าสุมาอี้ [14 พฤศจิกายน 2555 03:04]








ตาเฒ่าสุมาอี้ ชอบบุกบั่นฟันฝ่า โชกโชนชำนาญป่าเขาลำเนาไพร มีหรือจะย่าน(กลัว) กะอีแค่ป่าทุ่งหมาหลงผืนน้อยๆ ฮ่าๆๆ ถ้ามีโอกาสบุกได้ จะบุกไถให้ราบเรียบเอาไว้เป็นที่ปลูกพริกกะถั่วดำ เหอ ๆๆๆ .. ลองเปิดโอกาส ชี้ทิศทางให้พอเห็นช่องทางบุกได้ไหมละ ?? ถามจริงๆนะ บ่ย่านหรอกจ้าา...



















To : ตาเฒ่าสุมาอี้ [14 พฤศจิกายน 2555 23:45]







อ่ะ ถามจิง ๆ ก็ตอบจิง ๆ ก็ได้คร้าาาา อิอิ
นี่แหน่ะ ลุงวินัยเจ้าขราาาาาาาาาาาาาาาาาาา
จันทร์หลบโฉมสุดา อย่างตะละแม่เทียวเสี้ยม นั้นน่ะ
มันเป็น นาร์ซิสซัส กลับชาติ มาเกิดคร้าาา
ลุงอย่าได้ พาตัวเองเข้ามาข้องแวะ
หาเรื่องไถ กลบปลูกถั่วปลูกพริก เรยว่ะ
เด๋วจะมีชะตากรรม เหมียน นางแอคโค ผู้อาภัพ มิรู้ด้วย


เฮ้ออ โกล์ดมุนด์ ผู้ชอบผจญภัยแบบตะลอนทัวร์ อย่างลุง น่ะ
น่าจะ รู้จัก สันดานหลงตัวเอง ของ นาร์ซิสซัส ดีน้าาาา ว่าเป็นไง ?
อิฉันน่ะ ไม่ใช่ เดอะ มิซซิ่ง พีซ ที่ตามลา
หาชิ้นส่วนที่หายไป นะยะ แต่เป็น บิ๊ก โอ ริงค์ ตัวแม่ หุหุ


อืม...นี่ ๆ นอกจากอ่าน สามก๊ก แล้ว
ลุงเคยอ่าน สิทธารถะ ของ เฮสเส ไหมล่ะ
อิฉันชอบคำพูดที่ ใครคนหนึ่งบอกกับ สิทธารถะ นะ
เธอบอกเขาว่า

" ท่านเป็นผู้ที่แสวงหา
เรียนรู้ ทุกสิ่ง ทุกอย่าง
จากทุกคนรอบข้าง
และ มิอาจรักใครได้ "

ประโยคนี้ มันกระแทกใจ
ผู้หญิงที่รักตัวเองมากเกินไป
จนทนรักใครไม่ได้ อย่างอิฉันมั่ก ๆ
มากเสียจน.... อิฉันคิดว่า
ตัวเองเป็น "สิทธารถะ" ^ - ^

ฉะนั้น ได้โปรด อย่าปรุงแต่งจิตสังขาร
เกิดจินตนาการ บรรเจิด ก๊ะ อิฉันนักเรยคร้าาา
พลาโตนิก เฟรนด์ชิป น่ะ ปลอดภัยที่ซู๊ดดด
ก็บอกแล้วไงว่า ทุเรียนบางลูก
สวรรค์ไม่ได้ส่งมันมาเกิด เพื่อให้กระรอกท่อ มาเจาะ
แต่มันเกิดมาเพื่อ สุกคาต้น
แล้ว หล่นใส่กบาล อิพวกกระรอกหื่น อ่ะ เอิ๊ก ๆ


อ้อ แล้ว ถ้า พิสมัยการ ฉีกทุเรียน นัก อ่ะนะ
แนะนำให้ ไปปรึกษา ไอ้แง่บ เจ้าหลานชาย นอกไส้ของอิฉัน อ่ะ
เพราะ มัน ค่อนข้างเชี่ยวชาญ ในเรื่องพรรณ นี้ เอิ๊ก ๆ
ได้โปรด อย่าคิดจามา ล่อลวงหญิงสาวผู้อ่อนต่อโลก อย่างน้องนู๋บี เรยฮ่ะ
ปล่อยให้ น้องนู๋บี ได้ อยู่อยู่ในรังไหมอันแสนสุข แบบ นาร์ซิสซัส
ประมาณว่า เป็น นักบวชที่เรียนรู้ชีวิต
อยู่ในโลกแห่งความคิด และ จิตวิญญาณ ไปคนเดวเต๊อะ คร้าาาา
อย่าได้จะคาดหวัง มาฟันแล้วทิ้ง เอ๊ย ลงขันธ์ร่วมหุ้น อะไรด้วยเรย
เด๋ว เจ๊งบ๊ง ทุนหาย กำไรหด มิลู้ด้วย อ่ะซิก ๆ

ปิงลอ

อ้อ ...เอา เดอะ ลิง สองอันนี้ มาฝากคร้าาา หุหุ

//www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12930857/Y12930857.html

//www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12928029/Y12928029.html




จำนวนผู้ชม 15750 ครั้ง
จำนวนผู้ชม Profile 239 ครั้ง
 
 

โดย: น้องนู๋ซาดาโกะ ก๊ะ ทั่น ด๊อกฯ อิอิ (นู๋บี ) วันที่: 20 พฤศจิกายน 2555 เวลา:0:33:14 น.  

 
 
 
ใครจะหนีตาม กาลิเลโอ ไปมั่งเนี่ย!!!
แควนขับของตะละแม่เทียวเสี้ยม นี่ยังไงเนาะ
ตะละคน โดนกาหัวเป็นหมาหัวเน่า ทั้งน้านนนน 555
ซึ้งในหัวอก กาลิเลโอ เจงๆ โดนคู่ร้ากกกเตะตัดขาตลอด คิคิ

1682
 
 

โดย: หุหุ IP: 124.120.243.31 วันที่: 20 พฤศจิกายน 2555 เวลา:9:01:09 น.  

 
 
 
ตำนานของผู้ชายกรีกที่หลงเงาตัวเองว่ามีรูปงามที่สุด

ว่ากันว่า หนุ่มกรีกสมัยโบราณ ไม่มีใครรูปหล่อเกินนาร์ซีสซัส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวเขาเองที่รู้สึกเช่นนั้น

ทุกเช้า สิ่งแรกที่นาร์ซีสซัสทำตอนตื่นขึ้นมาคือ ลุกขึ้นไปดูรูปตัวเองจากกระจกเงาบานใหญ่ ใช้มือเสยผมสีทองงามสลวยให้เข้ารูป หลิ่วตา ซึ่งมีสีฟ้างดงามให้กับตัวเอง บิดลำตัว แขน ขาเป็นการออกกำลังกล้ามเนื้อ พร้อมกับยิ้มด้วยความชื่นชมตนเองด้วยปากและฟันที่ขาวสะอาด จากนั้นจึงเปลี่ยนไปใส่ชุดเสื้อแขนสั้นรัดเอวยาวถึงเข่า และลงไปรับประทานอาหาร

พ่อแม่ของนาร์ซีสซัสต่างก็กลุ้มใจในความรูปงามจนเกินไปของลูกชาย แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะแม้จะอายุแค่ 16 ปี แต่ความรูปหล่อของเขาก็เป็นที่เลื่องลือไปทั่ว เด็กสาวๆ กว่าครึ่งเมืองดูเหมือนจะหลงรัก นาร์ซีสซัสกันทั้งนั้น แต่ปัญหาคือ เขาทะนงตนเองมาก ไม่เคยทอดไมตรีให้กับผู้ใด ผู้หญิงจึงอกหักกันเป็นแถว

เด็กสาวคนหนึ่ง ประกาศว่าจะฆ่าตัวตาย ถ้านาร์ซีสซัสไม่แสดงความไยดีตอบต่อเธอบ้าง พอนาร์ซีสซัสรู้เข้าก็ส่งดาบเล่มหนึ่งไปให้เธอทันที เป็นผลให้เด็กสาวที่น่าสงสารใช้ดาบเล่มนั้นฆ่าตัวตายสมใจ นี่คือตัวอย่างหนึ่งของการหยิ่ง ทะนงตนของนาร์ซีสซัส

ไม่เพียงแต่มนุษย์ปุถุชนธรรมดาเท่านั้นที่หลงใหลคลั่งไคล้ในความรูปหล่อของนาร์ซีสซัส แม้กระทั่งพวกผีสางนางไม้ เทพธิดาที่อารักขาภูเขา แม่น้ำ ป่าไม้ฯลฯ ยังพลอยมาหลงรักเขาด้วย

เช่นเทพธิดาองค์หนึ่ง ชื่อเอคโค่ ที่หลงรักนาร์ซีสซัส และเป็นการทำผิด ร้ายแรงครั้งที่ 2 ของเธอ

ครั้งแรกเป็นการเล่นล่อหลอกเฮียร่า ชายาของซีอุส ประมุขแห่งทวยเทพ โดยการแสร้งร้องเพลงดึงดูดความสนใจของพระนาง เปิดโอกาสให้เทพซีอุสแอบไปเริงรักกับนางไม้องค์หนึ่งในป่าได้ พอเฮียร่าทราบในตอนหลังจึงทรงกริ้วมากและลงโทษเอคโค่โดยการสาปให้พูดอะไรไม่ได้ดังใจ มิหนำซ้ำ ยังให้คอยพูดตามคำสุดท้ายของใครก็ได้ที่มาพูดกับเธอด้วย เพื่อให้เป็นที่อับอายยิ่งขึ้น

ดังนั้น เมื่อเอคโค่พยายามจะบอกให้นาร์ซีสซัสรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไรต่อเขา เธอก็ทำได้แค่พูดตามคำพูดสุดท้ายของเขาเท่านั้นและผลร้ายก็เกิดขึ้น

วันหนึ่งเอคโค่พบกับนาร์ซีสซัสกลางป่า ขณะที่เขาออกไปล่ากวาง แต่เป็นเพราะอากาศร้อนมาก และนาร์ซีสซัสกลัวผมยุ่งกับเสื้อผ้าสกปรกด้วย จึงไปเดินเล่นตามร่มไม้แทน จนได้พบกับเธอที่ตะลึงมองเขาอย่างตื่นๆ อยู่

สวัสดี เขาทักอย่างเบื่อๆ เธอคงเป็นอีกคนหนึ่งที่เห็นว่าฉันหล่อมากๆ

หล่อมากๆ เธอตอบ

ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ แต่เกรงว่าจะเสียเวลาเปล่า

เสียเวลาเปล่า เอคโค่พูดตาม

เธอก็ดูเป็นคนตรงไปตรงมาดีนี่นาร์ซีสซัสพูดต่อ แต่แม้เธอจะเป็นเทพธิดาแห่งความรักแอฟโฟร์ไดทิเอง ฉันก็จะไม่ยอมให้เข้ามาใกล้ฉัน

เข้ามาใกล้ฉัน!เอคโค่ร้องตาม

เธอนี่หูหนวกหรือบ้ารึไง ฉันบอกแล้วว่าไม่อยากให้เข้าใกล้ ไปไกลๆ ไป

ไปไกลๆ ไป เอคโค่คร่ำครวญ

รู้ตัวว่าสิ้นหวังแน่ นางไม้เอคโค่จึงรีบหนีออกจากป่าพร้อมน้ำตานองหน้า ไปซ่อนตัวพักรักษาแผลใจอยู่ในถ้ำเปลี่ยวกลาง หุบเขาคนเดียว เนื้อหนังที่เคยเปล่งปลั่งก็ค่อยๆ สลายไป กระดูกก็กลายเป็นก้อนหิน ยังคงเหลือเป็นอนุสรณ์ก็คือเสียง

เสียงสะท้อนที่เราได้ยิน จึงเรียกกันว่า เสียงเอคโค่ จนถึงทุกวันนี้

นาร์ซีสซัสยังหลงระเริงกับความหล่อของตนต่อไป วันๆ ไม่สนใจอะไรนอกจากเรื่องเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายและทรงผม

และคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นถ้าเทพธิดาแห่งความรักแอฟโฟร์ไดทิ จะไม่บังเอิญไปรู้เรื่องคำคุยโวของเขากับเอคโค่ในเรื่องเกี่ยวกับพระองค์เข้า

แอฟโฟร์ไดทิทรงกริ้วมากกับวาจาสามหาวของนาร์ซีสซัส แต่ในฐานะที่ทรงเป็นเทพธิดาแห่งความรัก จึงลงโทษหนุ่มรูปงามที่คิดว่าตัวเองหล่อจนเหยียดหยามคนอื่นไปหมด ด้วยการสาปให้ตกหลุมรักตัวเอง

ปกตินาร์ซีสซัสก็ชื่นชมในความงามของตนเองอยู่แล้ว แต่พอถูกแอฟโฟร์ไดทิสาป ก็กลายเป็นความคลั่งไคล้ใหลหลงทันที

ขณะเดินทางกลับบ้านวันหนึ่ง เป็นวันที่อากาศร้อนมาก นาร์ซีสซัสเดินไปเจอสระน้ำใสสะอาดกล างป่า ด้วยความกระหายจึงคุกเข่าลงหมายจะดื่มน้ำ

ทันใด เขาก็เห็นเงาของเด็กหนุ่มคนหนึ่งในน้ำ เป็นเด็กหนุ่มที่สวยที่สุดในโลก เขาอ้าปากค้าง เด็กคนนั้นก็อ้าปากตาม เมื่อกะพริบตาอย่างฉงน ภาพในน้ำก็ทำตาม ลองยิ้มให้ เด็กคนนั้นก็ยิ้มตอบ

นาร์ซีสซัสหลงรักภาพเงาของตัวเองในน้ำเข้าให้แล้ว

วันรุ่งขึ้นพ่อแม่ซึ่งพากันตามหาด้วยความเป็นห่วงไปทั่วทุกหนทุกแห่งทั้งคืน ก็ได้พบนาร์ซีสซัสยังคงนั่งอยู่บนขอบสระ

นาร์ซีสซัส ลูกมาทำอะไรอยู่ที่นี่ พ่อแม่เป็นห่วงแทบแย่รู้ไหม

อย่าเอ็ดไป นาร์ซีสซัสกระซิบห้าม น้ำตาคลอเบ้า

แม่กำลังจะทำให้เขาตกใจหนีไป

ใครตกใจหนีไป แม่ถามอย่างประหลาดใจ

เด็กคนนั้นครับ นาร์ซีสซัสตอบ แกสวยเหลือเกิน ...แต่ก็ใจร้ายมาก พอผมเอื้อมมือไปจับหรือพยายามจูบ ก็วิ่งหนีผมไป ดูสิ

เขาเอื้อมมือลงไปควานน้ำในสระ ผิวน้ำกลายเป็นระลอก ทำให้ภาพสะท้อนบนผิวน้ำเลือนหายไป

แต่สักประเดี๋ยวแกก็กลับมา เขาพร่ำต่อด้วยเสียงแผ่วเบาและดูห่างไกล

เห็นไหม นั่นไง เขากลับมาอีกแล้ว ดูตาของแกสิแม่ สวยไหม?

ลูกเราบ้าไปเสียแล้ว พ่อพึมพำ

กลับบ้านเราเถอะ นาร์ซีสซัสของแม่ แม่ของเขาปลอบ

ลูกยังไม่ได้กินอะไรเลย ทั้งมื้อเย็นและมื้อเช้า ลุกอาจเป็นหวัดตายก็ได้ ที่นั่งตากน้ำค้างอยู่ทั้งคืนอย่างนี้

ไม่ ไม่กลับ นาร์ซีสซัสคร่ำครวญ ผ มไม่มีวันจากเขาไป ไม่มีวัน

ไม่ว่าพ่อกับแม่จะปลอบ จะอธิบายอย่างไร นาร์ซีสซัสก็ไม่ยอมขยับตัว คงนอนทอดตัวบนหญ้ายาวขอบสระทั้งวันทั้งคืน มือเท้าคาง สองตาจับนิ่งอยู่ที่เงาของตัวเองในน้ำ

พ่อแม่นำอาหารมาให้ เขาก็ไม่ยอมแตะต้อง

มันเป็นความทุกข์ทรมานใจที่สุดของคนที่มีความรักเพราะแม้ของที่รักนั้นจะอยู่ใกล้แค่มือเอื้อม แต่ก็ไม่สามารถสัมผัสได้ ไม่สามารถพบได้

ในที่สุด ความทุกข์ทรมานนั้นก็เกินที่นาร์ซีสซัสจะทนได้อีกต่อไป เขารู้สึกว่า เด็กหนุ่มที่เห็นในสระก็ดูจะโศกเศร้าเช่นกัน เพราะใบหน้านั้นซูบซีดร่วงโรยดวงตาแดงก่ำจากการอดนอน

ฉันทรมานใจเธอ อย่างน้อยก็เท่ากับที่เธอทรมานใจฉันนาร์ซีสซัสกระซิบ มือของเขาเอื้อมไปจับด้ามกริชที่สอดไว้ใต้เข็มขัด

ฉันจะไม่ทรมานใจเธออีกต่อไป

นาร์ซีสซัสจ้วงกริชเข้าสู่หัวใจของเขา เขาร้องด้วยความเจ็บปวด เด็กหนุ่มในน้ำก็ร้อง และมีเสียงก้องสะท้อนของเอคโค่ แว่วตอบมาแต่ไกลด้วย

นาร์ซีสซัสจบชีวิตไปแล้ว ตอนนี้เทพีแห่งความรักแอฟโฟร์ไดทิ เกิดความสงสารขึ้นมา จึงเสกร่างของเขาให้กลายเป็นดอกไม้ เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ปัจจุบัน ดอกนาร์ซีสซัสกลายเป็นดอกไม้ที่เบ่งบานอยู่ตามป่าทั่วไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะแตกหน่องดงามเป็นพิเศษตามริมสระที่เงียบสงัด ห่างไกลจากผู้คน

และคำว่า "นาร์ซีสซัส" นี้ก็ได้กลายมาเป็นคำศัพท์ทางจิตวิทยา หมายถึงคนที่หลงตัวเองมากๆ จนเป็นปมนาร์ซีสซัสในเวลาต่อมา

//satan0santa.exteen.com/20050525/entry
8588 หุหุ
 
 

โดย: หุหุ IP: 124.120.243.31 วันที่: 20 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:05:13 น.  

 
 
 
กาลิเลโอ กาลิเลอิ ( Galileo ) เกิดเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564 สถานที่เกิด เมืองปิซา ประเทศอิตาลี การศึกษา สำเร็จการศึกษาที่วิทยาลัยแห่งปิซาประดิษฐ์นาฬิกาลูกตุ้มเป็นคนแรก ประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์เป็นคนแรก ค้นพบดวงจันทร์ของดาวพฤหัส 4 ดวง เป็นผู้ค้นพบกฏของความโน้มถ่วง ถึงแก่กรรม 8 มกราคม ค.ศ. 1643
ประวัติโดยย่อ
กาลิเลโอมีความสนใจวิชาวิทยาศาสตร์มาก เมื่ออายุ 18 ปี วันหนึ่งเขานั่งอยู่ในโบสถ์และสังเกตเห็นการแกว่งของตะเกียงที่ห้อยลงมาจากเพดานใช้เวลาเท่ากัน แม้ว่าระยะแกว่งจะสั้นกว่าเดิมโดยใช้การเต้นของชีพจรจับเวลา จากการค้นพบนี้ทำให้กาลิเลโอตั้งกฎเกี่ยวกับการแกว่งลูกตุ้มนาฬิกาขึ้นและประดิษฐ์นาฬิกาลูกตุ้มขึ้นเป็นคนแรก

ค.ศ. 1610 กาลิเลโอ ประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์ขึ้น เขาค้นพบดวงจันทร์ของดาวพฤหัส 4 ดวงและดวงจันทร์โคจรรอบดาวพฤหัส ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีของโคเปอร์นิคัสที่ว่า " ดวงจันทร์โคจรรอบโลก " กาลิเลโอไม่ได้รับการยกย่องมากนักในสมัยนั้น เนื่องจากความคิดของกาลิเลโอขัดกับทฤษฎีของอริสโตเติลที่ว่า " วัตถุน้ำหนักไม่เท่ากัน วัตถุที่หนักกว่าจะตกถึงพื้นก่อน " แต่ทฤษฎีของกาลิเลโอแย้งว่า " วัตถุที่มีน้ำหนักต่างกันจะตกถึงพื้นพร้อมกัน " เขาพิสูจน์ทฤษฎีนี้ต่อหน้าสาธารณชนโดยโยนวัตถุ 2 สิ่งลงมาจากหอเอนเมืองปิซา ทฤษฎีนี้กลายเป็นข้อกล่าวหาทำนองลบหลู่ศาสนา เพราะประชาชนในยุคนั้นเชื่อแต่อริสโตเติลและไม่กล้าคัดค้านหรือพิสูจน์คำกล่าวของอริสโตเติล ปัจจุบันกาลิเลโอได้รับยกย่องว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สำคัญคนหนึ่งของโลก
//blog.eduzones.com/sauw/33462
1560
 
 

โดย: หุหุ IP: 124.120.243.31 วันที่: 20 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:20:08 น.  

 
 
 
กาลิเลโอ
มนุษย์นอกศาสนา ผู้ค้นพบความลับของพระเจ้า



ครั้งหนึ่ง ในประเทศอิตาลีได้เกิดข่าวใหญ่ เป็นที่สั่นสะเทือนทั้งในวงการวิทยาศาสตร์ และศาสนาอย่างมาก เพราะได้มีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง จะแสดงการทดลองให้เห็นว่า คำสอนของอริสโตเติล ซึ่งทางศาสนาได้ยึดถือ เป็นคำสอนสืบมานั้นผิดโดยสิ้นเชิง ในวันนั้น ประชาชนมารวมกัน อยู่ที่ลานหน้าหอเอนแห่งเมืองปิซา อย่างมืดฟ้ามัวดิน เพื่อคอยดูว่า ผู้ใดที่บังอาจจะท้าทาย กับความตายอย่างน่ากลัวเช่นนั้น เพราะในสมัยนั้นไม่ว่าใครก็ตาม ถ้าแสดงความเห็นขัดแย้ง กับคำสอนของศาสนาแล้ว จะต้องถูกจับเผาไฟทั้งเป็น ผู้ที่กล้าท้าทายความตาย อันน่าหวาดเสียวนี้ ก็ได้แก่ นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของอิตาลี เขาคือ กาลิเลโอ (Galileo)
กาลิเลโอ กาลิเลอี ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ นักปรัชญาเมธีชาวอิตาเลียนผู้นี้ เกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1564 ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับ วิลเลียม เช็คสเปียร์ (William Shakespeare) จินตกวีของอังกฤษ บิดาของเขาชื่อ วินเซนซิโอ กาลิเลอี (Vincenzio Galilei) ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากครอบครัวผู้ดีสมัยเก่า แต่ไม่ค่อยจะมีเงินทองมากนัก บิดาของกาลิเลโอเป็นนักคณิตศาสตร์ นักดนตรี และนักเขียนที่มีชื่อเสียงเหมือนกัน ทั้งยังเป็นพ่อค้าขนสัตว์อีกด้วย บิดาของเขาเกิดที่เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) แต่ตัวกาลิเลโอเกิดที่เมืองปิซา ขณะที่อยู่ในวัยเด็กได้รับการศึกษาเบื้องต้นที่บ้าน ต่อมาจึงได้ไปศึกษาอยู่กับวัด สมัยที่ยังเยาว์วัย กาลิเลโอมีความสามารถเป็นพิเศษในทางดนตรี สนใจในด้านศิลปะภาพเขียน และคณิตศาสตร์ แต่บิดาของเขาไม่สนับสนุนในเรื่องนี้ บิดาของเขาตั้งใจจะให้เขาศึกษาแพทย์ เพราะการเป็นแพทย์ในสมัยนั้นหาเงินได้ง่าย และเป็นที่ยกย่องของคนทั่วๆ ไป ด้วยเหตุนี้เองบิดาจึงได้ส่งเขา ไปเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยเมืองปิซา พยายามให้ศึกษาในวิชาการด้านนี้ และให้หลีกห่างจากวิชาคณิตศาสตร์ แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะต่อมาไม่นาน เมื่อกาลิเลโอได้ไปฟังการสอนเรขาคณิต ในมหาวิทยาลัยก็เกิดติดใจ จึงหันไปเรียนคณิตศาสตร์ ควบคู่ไปกับวิชาวิทยาศาสตร์
เมื่อ ค.ศ.1584 กาลิเลโออายุได้ 20 ปี และเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยเมืองปิซา วันหนึ่ง เมื่อเขานั่งสวดมนต์อยู่ในโบสถ์ เขาได้สังเกตเห็นว่า โคมไฟที่แขวนไว้บนเพดานโบสถ์แกว่งไปมา เขารู้สึกว่าการแกว่งไปมาของโคมไฟนั้น กินเวลาเท่ากัน แต่เนื่องจากเขาเป็นคนที่ชอบทดลองค้นคว้า ไม่ค่อยเชื่ออะไรง่ายๆ ดังนั้น เขาจึงหาทางทดลองให้ทราบว่า ระยะเวลาของการแกว่งไปมาของโคมไฟนั้น ไม่ว่าจะมีช่วงสั้นหรือยาวก็ตาม จะต้องกินเวลาเท่ากัน ขณะนั้นเขาไม่ทราบว่า จะไปเอานาฬิกาที่ไหนมาจับเวลาได้ แต่เขาทราบความจริงว่า ชีพจรของคนเรานั้น เต้นแต่ละครั้งกินเวลาเท่ากัน ดังนั้น เขาจึงทดลองจับชีพจรดู ในขณะที่โคมไฟแกว่งไปมา หลังจากทำการทดลองอยู่หลายครั้ง เขาจึงแน่ใจว่า การแกว่งของโคมไฟ เป็นไปตามความคิดของเขา ต่อมาเขาได้กลับไปทดลองเกี่ยวกับเรื่อง การแกว่งของลูกตุ้มนี้ที่บ้านอีก ก็ได้พบความจริงเช่นเดียวกัน และได้อาศัยหลักอันนี้เอง กาลิเลโอได้สร้างเครื่องมือวัดการเต้นของชีพจร โดยอาศัยตุ้มน้ำหนักแขวนกับเชือก เป็นเครื่องมือจับเวลา ต่อมาคริสเตียน เฮอย์เกนส์ (Christian Huygens) ได้คิดสร้างนาฬิกาขึ้น โดยอาศัยหลักตุ้มแกว่งเป็นผู้ควบคุมเวลา จึงนับได้ว่ากาลิเลโอ เป็นต้นคิดและผู้ออกแบบตุ้มของนาฬิกา เป็นคนแรก
ในปี ค.ศ.1585 กาลิเลโอ เกิดขัดสนในเรื่องเงินทอง ไม่สามารถจะศึกษาต่อไปได้ จึงได้เดินทางกลับไปอยู่ที่ฟลอเรนทีน อาคาเดมี (Florentine Academy) ในเมืองฟลอเรนซ์ และศึกษาด้วยตนเอง ณ ที่นี้เอง กาลิเลโอได้วิจารณ์ Law of Motion ของ Aristotle เป็นครั้งแรก ในปี ค.ศ.1586 กาลิเลโอก็ได้พิมพ์ผลงานของเขา เกี่ยวกับเรื่องตาชั่ง ที่เรียกว่า Hydrostatic Balance ทำให้ประชาชนรู้จักเขามากขึ้น ต่อมา Marchese Guidubaldo Del Monte แห่ง Pesaro ซึ่งเป็นผู้มีบุญคุณแก่เขา ได้ขอร้องให้เขาเขียนหนังสือขึ้นอีกเล่มหนึ่ง เกี่ยวกับจุดศูนย์ถ่วงของของแข็ง (Centre of Gravity of Solid) หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ที่ทำให้ชื่อเสียงของกาลิเลโอโด่งดังยิ่งขึ้น และในปี ค.ศ.1588 กาลิเลโอได้รับเชิญ ให้ดำรงต่ำแหน่งศาสตราจารย์ผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยเมืองปิซา ซึ่งขณะนั้น กาลิเลโอเพิ่งจะมีอายุได้ 24 ปี ยังไม่มีปริญญา และชื่อเสียงก็ยังไม่ได้โด่งดัง เท่ากับศาสตราจารย์อื่นๆ และออกจะหนุ่มเกินไป ยังไม่ค่อยได้รับความเชื่อถือเท่าไรนัก
ในขณะที่เขาอยู่ในมหาวิทยาลัยปิซา ในระหว่าง ค.ศ.1589 ถึง 1591 เขาได้นำเอาทฤษฎีของอริสโตเติล ที่กล่าวว่า ของเบาจะตกถึงพื้นดินช้ากว่าของหนัก เช่น ใบไม้จะตกถึงพื้นดินช้ากว่าก้อนหิน กาลิเลโอไม่ยอมเชื่อในความคิดอันนี้ เขาให้เหตุผลว่า ความคิดของอริสโตเติล ไม่ถูกต้อง การที่ก้อนหินกับใบไม้ตกถึงพื้นไม่พร้อมกัน และใบไม้ตกช้ากว่า ก็เพราะว่าอากาศช่วยต้านทานไว้ ถ้าไม่มีอากาศแล้ว ก้อนหินและใบไม้ก็ย่อมจะตกถึงพื้นดินพร้อมกัน เมื่อเขาได้นำเอาความคิดของเขา ไปแถลงในมหาวิทยาลัย ก็มีทั้งผู้ที่เห็นด้วย และพวกที่ไม่เห็นด้วย พวกที่ไม่เห็นด้วย ได้แก่ พวกหัวเก่า ซึ่งเชื่อในคำสอนของศาสนา เพื่อที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่า ความคิดของพวกเขาเป็นความจริง กาลิเลโอจึงได้ประกาศว่า จะทำการทดลองให้ดูที่หอเอน แห่งเมืองปิซา
ครั้นเมื่อถึงเวลาทดลอง กาลิเลโอก็ขึ้นไปบนหอเอนแห่งเมืองปิซา นำเอาก้อนตะกั่วกลมหนัก 20 ปอนด์ และ 10 ปอนด์ สองก้อนติดตัวขึ้นไปด้วย เมื่อถึงยอดหอเอน เขาก็โยนก้อนตะกั่วทั้งสองก้อนลงมาข้างล่าง ปรากฏว่าตะกั่วทั้งสองก้อนตกลงถึงพื้นดินพร้อมกัน ท่ามกลางสายตาของนักศึกษา ศาสตราจารย์ และประชาชนอีกมากมาย ฝ่ายที่เป็นพวกกาลิเลโอ ก็พากันโห่ร้องด้วยความยินดี แต่ฝ่ายตรงกันข้ามมองด้วยความแค้นเคือง การทดลองครั้งนี้ แม้ว่ากาลิเลโอจะประสบความสำเร็จ แต่ก็เป็นการก่อศัรูขึ้นอีกหลายคน ด้วยเหตุผลนี้เองในที่สุด กาลิเลโอก็ทนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ไม่ได้ เขาจึงลาออกเมื่อปี ค.ศ.1591
ต่อมากาลิเลโอ ไปได้งานใหม่เป็นศาสตราจารย์ อยู่ที่มหาวิทยาลัยปาดัว (University of Padua) และอยู่ที่นี้เป็นเวลา 18 ปี ในระหว่างนี้เขาได้ทำการทดลอง หาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ อีกหลายอย่าง โดยไม่เกรงกลัวต่ออิทธิพล ของศาสนาคริสต์ในขณะนั้น ในเรื่องของตกจากที่สูง เขาไม่ได้ทดลองแต่เพียงว่าของสองสิ่ง ซึ่งเบาและหนักตกจากที่สูง ถึงพื้นดินพร้อมกันเท่านั้น แต่เขายังได้ทดลองต่อไปอีก จนในที่สุดก็พบความจริงว่า วัตถุตกลงถึงพื้นดินนั้น จะมีความเร็วเพิ่มขึ้นทุกๆ วินาที และความจริงอันนี้เองได้เป็นแนวทาง ให้แก่นิวตัน (Newton) ค้นพบเรื่องความเร่งและได้บันทึกไว้ในหนังสือ Principia ของเขา
ต่อมากาลิเลโอ ได้ทดลองและค้นพบความจริง เกี่ยวกับเรื่องของระยะการยิงปืนใหญ่ เขาทดลองพบว่าลูกปืนใหญ่ ที่ยิงออกจากปากกระบอกไปแล้ว ความเร็วจะค่อยๆ เปลี่ยนไป แล้วจะค่อยๆ ตกลงสู่พื้นดิน และพบความจริงอีกว่า วิถีกระสุนของปืนใหญ่จะเป็นวิถีโค้ง ด้วยความจริงอันนี้เอง ทางทหารได้นำไปใช้ในการคำนวณ กะระยะที่ลูกปืนใหญ่ตก
ดังนั้น จึงนับได้ว่ากาลิเลโอ เป็นผู้ที่ทำการทดลองทำให้เกิดหลักเกณฑ์ ในทางวิชาพลศาสตร์ (Dynamic) ซึ่งเป็นวิชากลศาสตร์แขนงหนึ่ง ที่ว่าด้วยวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่
ในเรื่องเกี่ยวกับจักรวาลนั้น กาลิเลโอเชื่อตามทฤษฎีของคอเพอร์นิคัส (Copernicus) แต่ก็ไม่สามารถจะทดลองให้เห็นจริงได้ เพราะขาดเครื่องมือ ต่อมาในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1609 ขณะที่กาลิเลโออยู่ที่เมื่องเวนิช ก็ได้ยินข่าวเลื่องลือกันว่า ที่ประเทศฮอลแลนด์ ได้มีผู้สร้างกล้องโทรทรรศน์ (Telescope) ขึ้นได้แล้ว เขาเองก็กำลังมีความสนใจเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นในเดือนมกราคม ค.ศ.1610 เขาจึงสร้างกล้องโทรทรรศน์ขึ้นเป็นครั้งแรก มีกำลังขยายเพียง 3 เท่า ต่อมาเขาพยายามปรับปรุงทำจนกระทั่ง มีกำลังขยายได้ถึง 32 เท่า ใช้ส่องดูดาวบนท้องฟ้า เขาได้พบความจริงหลายอย่าง เช่น ผิวของดวงจันทร์ไม่เรียบอย่างที่เห็นด้วยตาเปล่า ผิวของดวงจันทร์ขรุขระ เช่นเดียวกับผิวของโลก มีภูเขาและหุบเขา เขาได้ค้นพบว่าดาวเคราะห์ ต่างกับดาวฤกษ์ พวกดาวเคราะห์มีลักษณะเหมือนดวงจันทร์ ส่วนดาวฤกษ์นั้น มีแสงสว่างพุ่งออกมา
เกี่ยวกับทางช้างเผือก Milky Way กาลิเลโอก็พบว่าประกอบด้วยดาวเล็กๆ เป็นจำนวนมากมาย เมื่อ ค.ศ.1610 กาลิเลโอก็ได้พบว่าดาวพฤหัสบดี (Jupiter) มีดวงจันทร์เป็นบริวารถึง 4 ดวง ต่อมาเขาได้พบว่าดาวเสาร์ (Saturn) มีวงแหวน มีสีต่างกันถึง 3 แถบ และดาวศุกร์ (Venus) เว้าแหว่งคล้ายกับดวงจันทร์ และได้พบจุดดำ (Sun Spot) ในดวงอาทิตย์
การค้นพบปรากฏการณ์ต่างๆ บนท้องฟ้าด้วยกล้องดูดาว ของกาลิเลโอนี้เอง ทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดัง มาจนกระทั่งทางเมืองเวนิส ได้ส่งคนมาเชิญเขาไปบรรยาย เกี่ยวกับการค้นพบ และการสร้างกล้องโทรทรรศน์ของเขาด้วย กาลิเลโอจึงได้เดินทางไปยังเมืองเวนิส และนำเอากล้องโทรทรรศน์ของเขาไปด้วย เขาได้ทำการทดลองให้เจ้าเมือง และบรรดาขุนนางผู้ใหญ่ดู โดยเอากล้องไปตั้งไว้บนหอคอยของโบสถ์ กลางเมืองเวนิส แล้วส่องให้ดูเรือต่างๆ ที่แล่นเข้ามาในปากอ่าว ปรากฏว่าเห็นได้ชัดเจนดี ยังความตื่นเต้นให้แก่เจ้าเมือง และขุนนางเหล่านั้นอย่างใหญ่หลวง แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ถูกพวกที่เชื่อถือในทฤษฎี ของอริสโตเติลต่อต้านอย่างมาก พวกนี้พยายามยุแหย่ และทำให้เขวไปในทางต่างๆ แต่พวกนี้ก็ทำอะไรเขาไม่ได้
ต่อมาใน ค.ศ.1610 กาลิเลโอได้ออกจากเมืองปาดัว (Padua) ไปอยู่ยังเมืองฟลอเรนซ์ โดยเป็นนักปราชญ์ประจำราชสำนักของ Grand Duke
ณ ที่นี้เองเขาจึงได้มีเวลา ที่จะทำการค้นคว้าทดลอง และวิจัยเกี่ยวกับทางดาราศาสตร์ และกล้องโทรทัศน์ของเขา นอกจากนี้ยังได้มีโอกาสแสดงปาฐกถาในที่ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องความรู้ใหม่ๆ ทางวิทยาศาสตร์ แต่เมืองนี้อยู่ภายใต้อิทธิพลของกรุงโรม และศาสนาคริสต์ ซึ่งเป็นพวกที่เชื่อถือ ตามความคิดของคริสโตเติลด้วย เหตุนี้เองบรรดาพวกศาสตราจารย์ต่างๆ และพวกที่ยังเชื่อถือ ในความคิดของคริสโตเติล ได้ทำตัวเป็นศัตรูกับกาลิเลโอ ได้พยายามยุยงและปลุกปั่นต่างๆ นานา ไปยังกรุงโรม โดยหาว่ากาลิเลโอดูหมิ่นศาสนา ในที่สุดกาลิเลโอก็ถูกควบคุมตัว ไปแถลงความมุ่งหมายในการสอนคนทั่วไป เกี่ยวกับจักรวาลต่อหน้าโป๊บ กาลิเลโอได้แถลงความจริงใจของเขาต่อหน้าโป๊บ แสดงถึงเจตนาที่แท้จริงของเขาว่า ต้องการให้ประชาชนเข้าใจความจริง ไม่ได้มุ่งหมายจะขัดขวาง หรือยุยงให้ผู้คนไม่เชื่อถือในศาสนา ในครั้งแรกโป๊บก็เห็นใจเขา และเข้าใจเขาทุกอย่าง แต่เมื่อถูกยุยงมากๆ เข้า โป๊บก็คล้อยตามไปในฝ่ายตรงกันข้ามกับกาลิเลโอ จึงได้สั่งห้ามไม่ให้กาลิเลโอ ทำการสอนวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ แก่ประชาชนอีก ถ้าไม่เชื่อก็จะถูกลงโทษทรมาน โดยการเผาไฟทั้งเป็น ในที่สุดเมื่อไม่มีทางใดจะหลีกเลี่ยงได้ กาลิเลโอจึงต้องยอมสัญญาว่าเขาจะไม่สอนใครๆ อีก เขาจึงถูกปล่อยตัวกลับเมืองฟลอเรนซ์
ใน ค.ศ.1661 เมื่อเขาถูกเรียกตัว ไปแก้ข้อหาเรื่องหมิ่นศาสนานั้น เขาได้นำเอากล้องโทรทัศน์ของเขาติดตัวไปด้วย และได้นำไปแสดงให้แก่ประชาชน ในกรุงโรมดูด้วย นอกจากนั้นเขายังได้เขียนหนังสือ เกี่ยวกับจุดดำในดวงอาทิตย์ ในหนังสือ Letters on The Solar Spots ซึ่งอธิบายทัศนะเก่า และทัศนะใหม่เกี่ยวกับระบบสุริยะ และเขาเชื่อในระบบสุริยะ ของโคเปอร์นิคัสซึ่งเชื่อว่า โลกและดาวเคราะห์ หมุนรอบดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง ของระบบสุริยะ ความจริงเรื่องนี้ กาลิเลโอไม่ได้มีเจตนาจะดูหมิ่นศาสนาคริสต์เลย
การกลับมายังเมืองฟลอเรนซ์คราวนี้ กาลิเลโอต้องระมัดระวังตัว ทั้งด้านการพูดจา การสอน และการเขียนหนังสือ เพื่อที่จะไม่ให้ขัดกับคำสอนของศาสนา เขาได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบเป็นเวลา 7 ปี ในระหว่างนี้เขาได้ทำการศึกษาค้นคว้า เกี่ยวกับดาวหาง และได้แสดงให้เห็น ว่าความเข้าใจที่ว่า ดาวหางเกิดจากแสงอาทิตย์ เช่นเดียวกับรุ้งกินน้ำนั้น เป็นความเข้าใจที่ผิด ต่อมาในปี ค.ศ.1632 เขาได้เขียนหนังสือขึ้นอีกเล่มหนึ่งชื่อว่า Dialogo Dei Due massimi Sistemi Del Mondo การที่เขากล้าเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้น ก็เพราะว่าโป๊ปองค์เก่าได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว เขาจึงคิดว่าจะหาทางที่จะทำความเข้าใจ กับโป๊ปองค์ใหม่ได้ หนังสือเล่มนี้ได้เขียนขึ้นตามทฤษฎีของโคเปอร์นิคัส และได้พิสูจน์ทฤษฎีต่างๆ ไว้อย่างชัดเจน แต่ว่าข้อความส่วนมาก ตรงกันข้ามกับคำสอนของศาสนา หนังสือเล่มนี้ ประชาชนกระหายจะอ่านมาก แต่ฝ่ายศัตรูของกาลิเลโอ ก็พยายามยุยงโป๊ปองค์ใหม่ต่างๆ นานา จนในที่สุดหนังสือเล่มนี้ ก็ถูกสั่งห้ามไม่ให้นำเขาไปขายในอิตาลีอย่างเด็ดขาด นอกจากนั้น เขายังถูกเรียกตัวไปแก้คดีต่อหน้าโป๊ป ที่กรุงโรมอีกครั้งหนึ่ง และถูกขู่ว่าถ้ายังขืนทำอย่างที่แล้วๆ มาอีก จะต้องถูกทรมานอย่างแน่นอน เขาถูกปล่อยให้เป็นอิสระอีกครั้งหนึ่ง หลังจากได้สาบานว่า จะไม่ทำอะไรเป็นที่ขัดกับคำสอนของพระเจ้า ถึงแม้เขาจะได้รับอิสระภาพแล้วก็ตาม แต่เขายังต้องตกอยู่ในความควบคุม ดูแลของบาทหลวงแอสคานิโอ พิคโคโลมินิ (Ascanio Piccolomini)
ต่อมาในปี ค.ศ.1636 เขาได้เขียนหนังสือขึ้นอีกเล่มหนึ่ง เกี่ยวกับการค้นคว้าและทดลองต่างๆ ในวิชากลศาสตร์ หนังสือเล่มนี้ได้พิมพ์ขึ้นจำหน่าย ในปี ค.ศ.1638 ที่เมืองเบย์เดน (Beyden) หนังสือเล่มนี้ เป็นที่สนใจกันมากกว่า หนังสือเล่มเก่าของเขาเสียอีก ในเรื่องเกี่ยวกับกลศาสตร์นี้ กาลิเลโอเป็นคนแรกที่ได้แถลงถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับแรงงาน และเรื่องของการเคลื่อนที่ ซึ่งเป็นหลักที่จะนำทางให้กับนิวตัน เขายังได้นำวิชาคณิตศาสตร์ ไปใช้ในวิชากลศาสตร์ เช่น ในเรื่องเกี่ยวกับของตกจากที่สูง เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นผู้แถลงเกี่ยวกับกฎการสมดุล การเคลื่อนที่บนพื้นระนาบ เรื่องราวของ Momentum เรื่องของ Hydrostatic เช่นเดียวกับกาลักน้ำ เป็นต้น
ในด้านดาราศาสตร์ เขาได้พบการโคจรของดวงจันทร์ และดาวพฤหัสบดี และใช้ความรู้ ทางดาราศาสตร์ วัดเส้นแวงบนพื้นดินและทะเล และพบจุดดำบนดวงอาทิตย์ และยังได้พบอีกว่า ดวงจันทร์หมุนรอบโลกในเวลา 1 เดือน เมื่อ ค.ศ.1639 และต่อจากนั้นอีกราว 2 - 3 เดือน กาลิเลโอก็ตาบอดหลังจากนั้นกาลิเลโอ ก็ใช้เวลาในบั้บปลายของชีวิต ถ่ายทอดวิชาความรู้ ให้แก่ศิษย์คนโปรดของเขาคือ ทอริเซลลิ (Torricelli) และวิเวียนนิ (Viviani) ในระยะนี้กาลิเลโอก็ล้มป่วยออดๆ แอดๆ เรื่อยมา และถึงแก่กรรมเมื่อปี ค.ศ.1642 ทิ้งความคิดอ่านใหม่ๆ ทางวิทยาศาสตร์ไว้ให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังๆ ค้นคว้ากันต่อไป ศพของเขาได้นำไปฝังไว้ที่สุสาน ณ โบสถ์ Church of Santa Croce ในกรุงฟลอเรนซ์ และหลังจากนั้นอีก 50 ปีต่อมา ได้มีการสร้างอนุสาวรีย์ของเขาขึ้น ไว้เป็นเกียรติยศแก่เขาที่โบสถ์แห่งนั้น

//www.baanjomyut.com/library/5_great/galileo.html
6985
 
 

โดย: หุหุ IP: 124.120.243.31 วันที่: 20 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:20:51 น.  

 
 
 
โรคหลงตัวเอง
เกริ่นเรื่อง: รู็ไหมว่าอาการหลงตัวเอง ก็จัดเป็นโรคทางจิตอย่างหนึ่ง
นาซิสซัส เป็นชื่อของเทพเจ้าโบราณ ในเทพปกรณ์นัมของกรีก
ตามท้องเรื่องแล้ว เทพองค์นี้เป็นคนที่ตกหลุมรักตัวเองเข้าอย่างจัง
เขาจมน้ำตายเพราะยื่นหน้าลงไปชื่มชมเงาตัวเองที่อยู่ในสระน้ำมากเกิน
กระทั่งร่างแข็งกลายเป็นหินอยู่ข้างสระน้ำนั้น
นาซิส เลยเป็นที่มาของอาการทางจิตประเภทหนึ่ง ที่เรียกว่า
"บุคลิกภาพแบบหลงตัวเอง" คนที่เป็นโรคนี้จะตกหลุมรักตัวเองอย่างมาก
และต้องการที่จะได้รับคำชื่นชมจากผู้อื่นขนาดหนัก

คนหลายคนที่เป็นโรคหลงตัวเองก็เป็นคนปกติเหมือเราๆนี่แหละ
แต่เขากลับคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ เป็นคนพิเศษ
เขาพยายามที่จะตำหนิผู้อื่น เพื่อกดผู้อื่นลงต่ำ
เขาคาดหวังที่จะทำให้ผู้อื่นมาสนใจในตัวเขา
และเวลาที่เขาสั่งอะไรก็ต้องทำ ต้องเคารพเทิดทูนเขา
ยกตัวอย่างเช่น เวลาอยู่ในร้านอาหาร พวกนาซิสจะต้องได้ที่นั่งในทันที
ที่เข้าไปเหยียบร้าน เขาจะไม่ยอมยืนรอ และเขาก็จะต้องเรียกร้องให้ได้
นั่งในที่ๆดีที่สุดด้วย เขาจะต้องได้อาหารที่ดีที่สุด สลัดจานพิเศษ
มีดก็จะต้องคมและก็ดีเป็นพิเศษ ทุกอย่างในชีวิตเขาจะต้องพิเศษ
เพราะเขาคิดว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้ว เขามันคนธรรมดาๆ
ที่มีบุคลิกภาพผิดปกติชนิดหลงตัวเองต่างหาก

พวกนาซิสจะคิดว่าตัวเองต้องได้รับความสนใจจากผู้อื่นตลอดเวลา
ไม่ว่าจะเพื่อน จะครอบครัว เพื่อนร่วมงาน หรือแม้กระทั่งคนแปลกหน้า
พวกนาซิสนี่ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ค่อนข้างมีเสน่ห์ เป็นคนยิ้มหวาน
เป็นคนเจ้าชู้ มนุษยสัมพันธ์ดี คุยเก่ง ตลก ช่างนินทาและก็ดูชอบเข้าสังคม

เวลาอยู่ในสังคม อยู่กับคนอื่น ก็ชอบที่จะพูดถึงแต่เรื่องของตัวเอง
ควบคุมบทสนทนาด้วย ไม่ยอมให้คนอื่นเด่น ไม่ยอมให้ใครพูด
เขาจะทำให้เพื่อนๆจมอยู่กับเรื่องราวที่เขาเป็นคนเสนอหัวข้อออกมาเท่านั้น
เขาไม่สนใจที่จะพูดเรื่องของคนอื่น ของใครอื่นเป็นพิเศษ นอกจากเรื่องของตัวเอง
เขาชอบคุยโม้โอ้อวดเรื่องความสำเร็จและพรสวรรค์ของเขา
(ซึ่งตามความจริงแล้ว พวกนาซิกนี่ก็มักจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จจริงๆเสียด้วย
เป็นคนที่เก่งอยู่แล้ว เป็นคนที่สวยและดีอยู่แล้วทำให้ค่อนข้างจะหลงตัวเองซักหน่อย
เป็นบุคลิกภาพประจำตัวคนเก่ง หน้าตาดี อีโก้จัดๆ แต่ก็เป็นบุคลิกภาพที่ทำให้คนอื่นรำคาญ หมั่นไส้
และอิจฉาได้ง่ายๆ) พวกนาซิสชอบคุยโม้เรื่องตัวเองแบบเกินจริง ตัวอย่างเช่นคุยโม้ว่า
ตัวเองได้อยู่สโมสรเดียวกันกับไทเกอร์วูด คุยว่าตัวเองเป็นเพื่อนกับคนใหญ่คนโต
คนนี้คนนี้เป็นต้น

ลักษณะการพูดของพวกนาซิสจะสะท้อนให้เห็นความมั่นใจในตัวเองและ
ความนับถือในตัวเองที่เขามี อย่างไรก็ตามนักจิตวิทยาให้คำแนะนำว่า
ไอ้บุคลิกภาพประเภทนี้นี่ช่วยให้คนรักตัวเองมากขึ้น ช่วยให้คนมองตัวเอง
ในแง่ดีและมีความสุข ทว่า...ก็ทำให้คน กลัวความล้มเหลว

บุคลิกภาพแบบนาซิสนี่หล่อหลอมมาจากครอบครัวที่มีการเลี้ยงดูแบบ
พ่อแม่ไม่สนใจลูก หรือไม่พอใจเวลาที่ลูกทำอะไรผิดพลาด
หรือทำอะไรล้มเหลว (เช่น ลูกสอบไม่ได้ที่หนึ่ง ลูกไม่เก่งที่สุดในห้อง
พ่อแม่ก็ไม่พอใจแล้ว) ทำให้เด็กเกิดความคิดที่ว่าถ้าเป็นคนล้มเหลว
เป็นคนที่ไม่เก่ง หรือไม่ดีที่สุด ก็จะไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม
จึงไม่ยอมที่จะเผชิญกับความล้มเหลวหรือผิดหวังในชีวิต
และละอายใจมากเกินปกติเมื่อต้องพบกับความล้มเหลวนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม บางครั้งบุคลิกภาพแบบนาซิสก็เกิดจากการที่พ่อแม่
พยายามปกป้องลูกมากเกินไป ไม่ยอมให้ลูกต้องรู้สึกว่าตนเองล้มเหลว
หรือเป็นคนไม่ดีเลย พยายามชมหรือซื้อของให้ตลอด เอาใจทุกอย่าง
อยากได้อะไรก็ต้องได้ ทำให้คนเติบโตมาโดยคาดหวังว่าจะต้องได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ในโลกนี้ที่เขาอยากได้ เหมอืนที่เขาเคยได้ตอนเด็กๆ

พวกนาซิสจะไม่มองเห็นบุคคลอื่นเป็นมนุษย์เหมือนตัวเอง
แต่มองคนอื่นๆเป็นเหมือนวัตถุที่ไร้ความรู้สึกนึกคิด
พวกนาซิสจะมองเห็นผู้อื่นในบทบาทของคนที่จะมาชื่นชม
มารักใคร่ในตัวเขา (มารองมือรองเท้าเขาเท่านั้น)
พวกนาซิสไม่เคยมีเพื่อนสนิท หรือไม่เคยรักใครจริง
คนรอบข้างมีไว้เพื่อทำให้เขายิ่งใหญ่ขึ้น เพื่อเป็นหนึ่งในสิ่งที่จะทำให้
เขามีชื่อเสียง เป็นดาวที่เอาไว้ล้อมประดับ เดือนอย่างเขาเท่านั้น

น่าแปลกที่บุคลิกแบบนาซิสมักจะพบในกลุ่มอาชีพศิลปิน
ดารา หรือพวกนักกีฬาดาวดังทั้งหลาย พวกเซเลบ
ไฮโซ ไฮซ้อหลายๆคนก็มีบุคลิกภาพแบบนาซิสเหมือนกัน
ที่พวกดารามักมีบุคลิกภาพแบบนาซิส ไม่ใช่เพราะพอตัวเองดังแล้วมีชื่อเสียง
จึงเริ่มหลงตัวเอง แต่มันเริ่มมาจาก แต่เป็นเพราะเขาเป็นโรคหลงตัวเองมาก่อน
เขาอยากได้รับการชื่นชม อยากให้คนมารักมากๆ อยากดัง
ก็เลยพาตัวเองเข้าไปสู่สายอาชีพนั้นต่างหาก

พวกนาซิสจะทำอะไรหลายๆอย่างเพื่อให้ได้รับความสนใจจากผู้คนรอบข้าง
เช่น แต่งตัวเก่ง ชอบแต่งตัวเวอร์ๆ หรูหรา โชว์เนื้อโชว์หนัง
(อัพภาพวาบหวิวของตัวเองลงเฟซบุคส์) ไม่ก็เดทกับคู่รักหรือเพศตรงข้าม
ที่เป็นคนโดดเด่นในวงสังคม (เป็นคนหล่อสวยมากๆ หรือรวยหรูมากๆ) เป็นต้น

พวกนาซิสมักจะประสบปัญหาเลิกกับคนรักบ่อย เปลี่ยนแฟนบ่อย
หรือแต่งงานแล้วหย่าบ่อย พวกเขามักจะซื้อรถแพงๆ แล้วก็ขับรถเร็วๆ
มีไลสไตล์ที่หวือหวา (อัพยา เจ้าพ่อเจ้าแม่ปาร์ตี้ ทำตัวเป็นแบดบอยส์
แบดส์เกิล เฟลิต เจ้าชู้ไปทั่ว)
อย่างไรก็ตาม พึงรู้ไว้เลยว่า ที่เขาทำไม่ใช่ชอบหรอก
แต่ทุกสิ่งที่ทำ เป็นไปเพื่อทำให้ตัวเองดูน่าสนใจ โดดเด่นขึ้นมาเท่านั้น

มนุษย์ทุกคนมีความนาซิส หรือหลงตัวเองอยู่ในตัว ในระดับมากน้อยต่างกัน
เราต้องรักตัวเองเพราะมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ความรักตัวเองนำไปสู่การป้องกันตัวเอง
จากภยันอันตรายและทำให้เอาตัวรอดได้ เพราะเรารักตัวเอง เราถึงพยายามเรียนรู้
พยายามฝึกทักษะเพื่อพัฒนาตัวเองให้ประสบความสำเร็จอยู่เสมอ
แต่ถ้าหาก ความรักตัวเอง มันมากเกินไป จนถึงระดับขั้นผิดปกติ
นั่นหมายความว่า...คุณได้กลายเป็นโรคบุคลิกภาพผิดปกติ ประเภทหลงตัวเองเข้าเสียแล้ว
___________________________________________________________________________

ตอบได้แค่ถูกหรือผิด ตอบถูกได้ 1 คะแนน (ได้มากกว่าครึ่งแสดงว่าเป็นโรคหลงตัวเอง)

1. พวกหลงตัวเองต้องการความสนใจจากทุกคน ไม่เว้นแม้คนแปลกหน้า
2. พวกหลงตัวเองพยายามอย่างยิ่งที่จะกดผู้อื่นลงต่ำ เพราะเชื่อว่าตัวเองสำคัญกว่าคนพวกนั้น
3. พวกหลงตัวเองชอบพูดถึงความล้มเหลวของผู้อื่นและมักจะขยายความล้มเหลวของผู้อื่นให้มากเกินกว่าที่ควรเป็น
4. พวกหลงตัวเองชอบควบคุมการสนทนา(พูดอยู่คนเดียวในวง) และชอบคุยโม้ถึงความสำเร็จของตัวเอ
5. นักจิตบำบัดเชื่อว่าบุคลิกภาพแบบหลงตัวเองมาจากรากฐานของความนับถือในตัวเอง
6. นักจิตบำบัดเชื่อว่าการเลี้ยงดูของพ่อแม่ส่งผลต่อบุคลิกภาพแบบหลงตัวเองของลูก
7. พวกคนดังทั้งหลายได้รับความสนใจจากสื่อเพราะพฤติกรรมอันหวือหวาของพวกเขา
8. นักกีฬาที่มีชื่อเสียงกลายเป็นพวกหลงตัวเองเพราะความสำเร็จที่เขาได้รับ

//my.dek-d.com/janaes/blog/?blog_id=10105655
5349
 
 

โดย: หุหุ IP: 124.120.243.31 วันที่: 20 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:28:41 น.  

 
 
 
ชยสาโร ภิกขุ "ฉลาดจริง ต้องไม่ทุกข์"

การพัฒนาคน ต้องเริ่มตั้งแต่เยาว์วัย ?
ไม่ว่าที่ไหน มนุษย์สอนยาก ตั้งแต่ไหนแต่ไร เป็นธรรมดาของมนุษย์ แต่ไม่ว่าหญิงหรือชายมีศักยภาพในการเรียนรู้มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน


ที่พระอาจารย์บอกว่า คนสอนยาก หมายถึงในมุมไหน
อาตมาจะพูดตรงๆ ยกตัวอย่างปัญญาชน คนพวกนี้เวลาคุยเรื่องทางโลกดูน่าฟัง ใช้เหตุ ใช้ผล คิดวิเคราะห์ได้ดี แต่พอพูดถึงพุทธศาสนา อาตมาตกใจ ทำไมในเรื่องหนึ่งฉลาด แต่อีกเรื่องไม่ใช้สติปัญญา ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้รู้อะไรเลย ส่วนใหญ่พูดแบบไม่คิด เป็นการวิจารณ์พุทธศาสนาในสมองมากกว่า ซึ่งเป็นความคิดของคนที่ไม่เคยตั้งใจศึกษาธรรม แม้แต่ในเรื่องการศึกษาเอง เขาก็ไม่เข้าใจว่า ในโลกตะวันตกก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในระบบการศึกษา เป็นปัญหาวิกฤติตลอดมาก แต่ภาพการศึกษาต่างประเทศในเมืองไทยดูดีกว่าที่เป็นจริง เพราะเชื่อและงมงาย

ฉลาดในการวิเคราะห์ ใช้เหตุและผลได้ดี แต่ไม่ได้หมายถึงมีสติปัญญา ?
เพราะคนเข้าใจเปลือกพุทธศาสนามากกว่าหัวใจพุทธศาสนา คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นระบบการศึกษาที่สมบูรณ์บริบูรณ์ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ถ้าจะมองจากระบบทั้งหมด สามารถนำมนุษย์ออกจากความมืดไปสู่ความสว่าง จากปุถุชนเป็นอาริยชน ถึงแม้เราจะไม่ต้องการถึงขั้นอาริยชน แต่เราต้องการให้คนมีความเจริญทั้งพฤติกรรม จิตใจและปัญญาพร้อมๆ กัน ไม่มีระบบการศึกษาที่ไหนจะดีเท่าระบบการศึกษาของพระพุทธเจ้า อันนี้คือ ความเชื่อของอาตมา นักวิชาการ ผู้มีปัญญาทั้งหลาย ควรศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ดี สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในระบบการศึกษาได้อย่างไร ควรใช้กับเด็กวัยต่างๆ อย่างไร นี่คืองานที่อาตมาทำ

อาตมาอยากถามว่า ความฉลาดคืออะไร ถ้ามองอีกด้าน เครื่องวัดความฉลาดที่แน่นอนที่สุด ก็คือ ศีล5 เพราะคนเราต้องการสุข ไม่ต้องการทุกข์ กฎแห่งกรรมมีจริง การผิดศีล คือ การสร้างความทุกข์ ความเดือดร้อนให้ชีวิตเราในระยะยาว เพราะฉะนั้นคนฉลาดจริงๆ ไม่มีทางผิดศีล 5 นี่คือ แง่มุมหนึ่งที่ว่า ความฉลาดอยู่ตรงไหน ทุกวันนี้เรารู้ว่า คนฉลาด ไอคิวสูง แล้วมีผลดีต่อสังคมตรงไหน ถ้าทำให้สังคมเสียหาย ฉลาดในการเอารัดเอาเปรียบ แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว เราไม่อยากให้เกียรติว่า คนที่ทำแบบนี้เป็นปัญญาชน ถ้าใช้ไอคิวเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ตนและครอบครัว และสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น อาตมาไม่ยอมรับว่า เป็นพฤติกรรมของปัญญาชน เพราะฉะนั้นเราใช้คำว่า ปัญญาชนง่ายเกินไป


แล้วพระอาจารย์จะใช้คำว่าอะไร
โยมคิดว่า อะไรคือความฉลาด อาตมาถามจริงๆ เวลาบอกว่า คนนี้ฉลาด คนนั้นไม่ฉลาด อยากถามว่า ความฉลาดแปลว่าอะไร ก็ตอบไม่ถูก แบบนี้งมงายได้ไหม แล้วใช้ศัพท์พวกนี้ทุกวัน มีความคิดเห็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่า ตัวความฉลาดคืออะไร อาตมาขอยกตัวอย่างงานวิจัยในมหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา เขาถามนักศึกษาว่า Are you smart ? เด็กฮาร์เวิร์ด ส่วนใหญ่ตอบว่า Yes หลังจากนั้นอาจารย์ที่สอนลองทดสอบ โดยเปิดโอกาสให้ทุจริตในการสอบ ปรากฏว่า เด็กที่ทุจริต คือ เด็กที่เชื่อว่าตัวเองฉลาด แต่เด็กที่เชื่อว่าตัวเองฉลาด จะไม่ฉลาดในหลายเรื่อง เมื่อความฉลาดเป็นสิ่งที่ต้องปกป้องไว้ตลอดเวลา เวลาจะสอบเด็กพวกนี้จะเครียดมาก ถ้าทุจริตได้ก็จะทำ เพื่อที่จะปกป้องภาพพจน์ตัวเองว่าเป็นคนฉลาด เวลาสอบตกก็ทุกข์และซึมเศร้า ก็พิสูจน์ได้ว่า ไม่ฉลาดจริง เพราะเวลาทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ เด็กที่คิดว่าตัวเองฉลาดจะไม่ค่อยเก่งเรื่องพวกนี้ เพราะความคิดสร้างสรรค์เป็นความเสี่ยง คนที่ฉลาดไม่อยากเสียภาพพจน์ จึงไม่อยากเสี่ยง ในหลายประเด็นคนที่ถือตัวว่าฉลาด กลายเป็นคนไม่ฉลาด หรือพ่อแม่ที่ชมลูกว่า ลูกทำอย่างนั้นฉลาดมาก นั่นไม่ใช่การชมลูกที่ดี

ถ้าเป็นอย่างนั้น พ่อแม่ควรชมลูกอย่างไร
ชมความเพียรพยายาม เมื่อเพียรแล้วสอบตก ก็ไม่ค่อยเป็นทุกข์ เพราะเขาคิดได้เองว่า ทำความเพียรไม่พอ ต้องขยันมากขึ้น ผลของงานเกิดจากการกระทำ นี่คือหลักพุทธศาสนา คือ สอนให้เด็กไม่ยึดมั่นถือมั่นว่า ตัวเองฉลาด สามารถประสบความสำเร็จด้วยความเพียร แต่ผู้ปกครองก็ต้องเข้าใจเรื่องพวกนี้ด้วย ดังนั้นเรื่องวิถีพุทธ เราดูที่แรงบันดาลของนักเรียนควรจะอยู่ตรงไหน ควรฝึกนิสัยอย่างไร มีความสุขในการเรียนรู้มากกว่าผลการเรียน เพราะหลังจากจบการศึกษา วิชาการที่เรียนมาทิ้งไป 70-80 เปอร์เซ็นต์ สิ่งที่เราควรจะเน้นมากกว่าวิชาการก็คือ ความรักในการศึกษา ความอดทน คุณธรรมต่างๆ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็สามารถทำงานได้ดี เรียนรู้พัฒนาตัวเองได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่ให้ความสำคัญกับวิชาการ มีความสำคัญแน่นอน แต่ไม่ใช่ว่าเก่งวิชาการแล้วจะประสบความสำเร็จในชีวิต

คำว่า ความฉลาด ถูกตีความไม่เหมือนกัน ?
แม้แต่ในอังกฤษก็ต้องเพิ่มการเรียนรู้เรื่องความฉลาดในเรื่องพฤติกรรม ความสามารถในการปรับตัวอยู่กับชุมชน การควบคุมบริหารอารมณ์ตัวเอง ในเมืองนอกตอบรับเรื่องพวกนี้ หลายโรงเรียนมีคอร์สสอนเรื่องสติ การรู้จักตัวเอง เพื่อให้อยู่ในปัจจุบันขณะ เราอยู่ในยุคที่ทางตะวันตกกำลังสำนึกถึงความบกพร่องในระบบการศึกษา ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาชีวิตมีอยู่ในพุทธศาสนา

ถ้าหากมีการพัฒนาการศึกษาตามแนวพุทธิปัญญา เมืองไทยก็เป็นผู้นำเรื่องนี้ แต่คนยังขาดความรู้และความศรัทธาในภูมิปัญญาตัวเอง กลับไปยกย่องตะวันตก แทนที่จะเป็นผู้นำก็เป็นผู้ตามตลอด ถ้าเข้าใจการพัฒนาจิตใจ พฤติกรรม และการอยู่ในสังคม ต้องทำแบบองค์รวม ไม่ใช่การศึกษาแยกส่วน มีเด็กฉลาดๆ ติดยา ติดเกม เยอะมาก ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ขึ้นกับความฉลาด เราอยู่ในยุคที่หวังว่า ถ้าคนมีการศึกษาที่ดี ประเทศชาติก็เจริญ มันเป็นความเชื่องมงาย โดยถือว่า การศึกษาวัดด้วยปริญญาบัตร ถ้าจะแก้ปัญหาคอรัปชั่น ก็บังคับกันว่า คนต้องมีการศึกษาจบปริญญาตรี ปริญญาโท แล้วมันจะมีผลอะไร
...
เวลาภาวนา จิตใจแวบไปคิดนั่น โน้น นี่ พระอาจารย์มีคำแนะนำอย่างไร
ต้องยอมรับว่าทุกคนต้องเป็นอย่างนั้นบ้าง เวลาเรานั่งสมาธิ ดูกายและใจ การเจริญอานาปานสติ ตามลมหายใจที่ปลายจมูกเป็นการปฎิบัติที่ค่อนข้างละเอียด ถ้าจิตใจเราอยู่ในสภาพที่ยังหยาบ ใจก็จะไม่มีคุณสมบัติพอที่จะอยู่กับลมหายใจ ในบางครั้งเราใช้วิธีง่ายๆ ก่อนนั่งสมาธิ ทำโยคะเล็กน้อย ถ้าไม่ถนัดก็อาบน้ำให้ผ่อนคลาย ทำวัตร สวดมนต์ เปลี่ยนอารมณ์ให้จิตใจสบายๆ ไม่อย่างนั้นจิตใจยังฟุ้ง ก็ไม่อยู่กับลมหายใจ เพราะจิตใจมันอยากจะคิด เหมือนเป็นแรงเฉื่อยหรือโมเมนตัมของความคิดที่สะสมมาทั้งวัน วิธีก็คือ อนุญาตให้คิด แต่คิดภายในกรอบที่กำหนดไว้ หรือเจริญเมตตานึกหน้าของคนที่มีบุญคุณ คุณพ่อ คุณแม่ แล้วพิจารณาเรื่องความตาย ไม่ใช่คิดเรื่อยเปื่อย ถ้าคิดแบบมีวินัย คิดในกรอบ จะถึงจุดหนึ่งที่จิตใจรู้สึกว่าคิดพอแล้ว แล้วจะน้อมไปอยู่กับลมหายใจที่ใจยอมแล้ว เมื่อสมองยังไม่พร้อมที่จะอยู่กับลมหายใจ โดยไม่คิดอะไรเลย จึงต้องใช้วิธีเปลี่ยนกระแสความคิดให้เป็นบุญ กุศล คิดแบบมีวินัยจะทำให้ความคิดค่อยๆ ลดน้อยลง สงบ

//www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/lifestyle/20121120/478922/%E0%B8%8A%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%A3-%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%89%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87-%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B9%8C.html

1988
 
 

โดย: หุหุ IP: 110.169.248.95 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2555 เวลา:10:37:58 น.  

 
 
 
อืม...เม๊นท์ เริ่มแยะแระ
ขอนุยาด ขึ้น โครงการ 13 จร้าาาาา

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=bsonjb&month=11-2012&group=1&date=21&gblog=16

มีไรไปโพสคุยกันต่อในนั้น น้าาาา


 
 

โดย: อาเหล่าม่า อยากจะลอยกระทง ก๊ะ ฮาร์จัง อ่ะจึ๋ย ! (นู๋บี ) วันที่: 21 พฤศจิกายน 2555 เวลา:22:29:30 น.  

 
 
 
!!!!!!
 
 

โดย: sgs IP: 223.205.188.115 วันที่: 14 มกราคม 2556 เวลา:19:30:48 น.  

 
 
 
__________ betflix.co ________ _____________________
_______________ 2021 ____________ _ ___ AUTO
_____________________________________ ________________________________________
_____________________________________ _________________________ _________ __________ _______________________ ______________________ 15 ________ __________ ____ Qtech, _________, JokerGaming, NETENT, PlayStar, PP PragmaticPlay, BPG BluePrint

________________________________________________________________________

________________________________________ ______________ ____-_____ _________________________ __________ ____ SA Casino, Sexy Gaming,
WM Casino, DG DreamGaming, ______________ __________________________ _____________

___ BETFLIX ________________________ _________________ _______________
Platform ____________ Pc, _______, _________ _______ betflix
 
 

โดย: Rhonda IP: 196.244.4.227 วันที่: 27 มิถุนายน 2564 เวลา:17:36:25 น.  

 
 
 
_____ betflix casino _________ _____________________
_________________________ 2021 ____________ _
___ AUTO
_________________________________________
___________________________________________
_____________________________________ ___________________________
_________ __________ _______________________ ______________________ 15 ________ __________ ____ Qtech
_____, _________, Joker123 Gaming, NETENT, PlayStar,
PP PragmaticPlay, BPG BluePrint

________________________________________________________

________________________________
_______ _________ ___________________________ __________ ____ SA Gaming, AE Sexy,
WM Casino, DGCasino, ______________ _________________________ ________________

___ BETFLIX ________________________
_______________________
____________ Platform ________ Pc,
Apple, Android _______ betflix _______
 
 

โดย: Stephanie IP: 196.244.48.15 วันที่: 29 มิถุนายน 2564 เวลา:7:45:56 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

นู๋บี
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
[Add นู๋บี's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com