Group Blog
 
 
มิถุนายน 2554
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
2 มิถุนายน 2554
 
All Blogs
 
หน้าที่ 8

วิโรจนชาดก
สุนัขจิ้งจอกไม่เจียมตัว




ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ ทรงปรารภพระเทวทัต ผู้แสดงท่าทางอย่างพระองค์ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นราชสีห์ อาศัยอยู่ในถ้ำทอง ในป่าหิมพานต์ วันหนึ่ง ออกจากถ้ำทอง ไปหาอาหาร ได้กระบือใหญ่ ตัวหนึ่ง กินเนื้อแล้ว ไปดื่มน้ำที่สระแห่งหนึ่ง ในขณะที่เดินกลับถ้ำ ได้พบสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งในระหว่างทาง สุนัขจิ้งจอกจึงขออาสาเป็นผู้รับใช้ราชสีห์ด้วยความกลัวตาย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาสุนัขจิ้งจอกก็ได้กินเนื้อเดนราชสีห์อย่างอิ่มหนำสำราญ มันมีหน้าที่ขึ้นยอดเขาไปดูสัตว์ที่จะเป็นอาหาร แล้วกลับลงมาบอกพระยาราชสีห์ว่า " ข้าพเจ้า อยากกินเนื้ออย่างโน้น นายท่าน จงแผดเสียงเถิด " พระยาราชสีห์ก็จะไปจับสัตว์ตัวนั้นมาเป็นอาหาร ไม่ว่าจะเป็นเนื้อนานาชนิดหรือแม้กระทั่งช้าง

ครั้นเวลาผ่านไปหลายปี สุนัขจิ้งจอก ชักกำเริบเกิดความคิดว่า " แม้ตัวเรา ก็เป็นสัตว์ มี ๔ เท้าเหมือนกัน เหตุใด จะให้ผู้อื่นเลี้ยงอยู่ทุกวันเล่า นับแต่นี้เป็นต้นไป เราจะฆ่าช้างเป็นอาหารกินเนื้อเอง แม้แต่ ราชสีห์ก็เพราะอาศัยเราบอกว่านายขอรับ เชิญท่านแผดเสียงเถิด เท่านั้น ก็จึงฆ่าสัตว์ต่างๆได้ ต่อแต่นี้ เราจะให้ราชสีห์พูดกับเราบ้าง " ได้เข้าไปหาราชสีห์แล้วบอกเรื่องนั้น

แม้ถูกพระยาราชสีห์พูดเยาะเย้ยว่า " เป็นไปไม่ได้ " ก็ตามคงเซ้าซี้อยู่นั่นเอง พระราชสีห์เมื่อไม่อาจห้ามมันได้ ก็รับคำให้สุนัขจิ้งจอกนอนในที่นอนของตน แล้วไปคอยดูช้างตกมันที่เชิงเขาพบแล้ว ก็กลับเข้ามาบอกสุนัขจิ้งจอกว่า " จิ้งจอกเอ๋ย เชิญแผดเสียงเถิด "

สุนัขจิ้งจอก ออกจากถ้ำทอง สลัดกาย มองทิศทั้ง ๔ หอนขึ้นสามคาบ วิ่งกระโดดเข้างับช้างหวังที่ก้านคอช้าง กลับพลาดไปตกที่ใกล้เท้าช้าง ช้างจึงยกเท้าขวาขึ้นไปเหยียบหัวจิ้งจอก จนหัวกะโหลกแตกเป็นจุน แล้วเอาเท้าคลึงร่างของมันทำเป็นกองไว้แล้วเยี่ยวรดข้างบน ร้องกัมปนาทเข้าป่าไป พญาราชสีห์เห็นเช่นนั้นแล้ว จึงกล่าวคาถานี้ว่า
" มันสมองของเจ้าทะลักออกมา กระหม่อมของเจ้าก็ถูกทำลาย
ซี่โครงของเจ้า ก็หักหมดแล้ว วันนี้ เจ้าช่างรุ่งโรจน์เหลือเกิน "



มิตตวินทุกชาดก
เห็นกงจักรเป็นดอกบัว




.....เรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยพระพุทธเจ้าที่ชื่อว่า สมเด็จพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ความมีอยู่ว่า นายมิตตวินทุกะถูกจักรพัดอยู่บนศีรษะตลอดเวลา จึงได้รับความทุกข์ทรมานมาก

ขณะนั้นพระโพธิสัตว์เจ้าได้เดินผ่านมา นายมิตตวินทุกะ จึงถามว่า “ข้าแด่พระองค์ ข้าพเจ้าได้กระทำอะไรไว้แก่เทวดา ข้าพเจ้าได้กระทำความชั่วอะไร จักรนี้ได้จรดที่ศีรษะแล้วพัดผันอยู่บนกระหม่อมของข้าพเจ้า”

พระโพธิสัตว์ตรัสว่า “เพราะเหตุใดเล่า ท่านผ่านทั้งปราสาทแก้วผลึก ปราสาทเงิน ปราสาทแก้วมณี และปราสาททองมาแล้วจึงมาถึง ณ ที่นี่ได้”

นายมิตตวิทุกะกล่าวว่า “ขอพระองค์ท่านจงดูข้าพเจ้าผู้มีความหายนะ เนื่องเพราะสำคัญว่าที่นี่มีโภคทรัพย์สมบัติมากมายกว่าปราสาททั้ง ๔ หลังที่กล่าวมานี้”

......พระโพธิสัตว์ จึงตรัสตอบว่า “เนื่องเพราะท่านมีความปรารถนามากเกินไป ได้ครอบครองนารี ๔ นาง ไม่พอใจทั้ง ๔ นางได้ครอบครองนารีทั้ง ๘ นาง ไม่พอใจทั้ง ๘ นาง ได้ครอบครองนารีทั้ง ๑๖ นาง ไม่พอใจทั้ง ๑๖ นางได้ครอบครองทั้ง ๓๒ นาง ไม่พอใจทั้ง ๓๒ นาง ท่านจึงได้ประสบกับจักรที่พัดอยู่บนศีรษะของท่าน เพราะถูกความโลภ ความปรารถนาที่มากเกินไป”

พระพุทธองค์จึงตรัสสั่งสอนว่า “ขึ้นชื่อว่าความอยาก มีสภาพแผ่ไปยิ่งใหญ่ไพศาล ทำให้เต็มได้ยาก (ความอยากไม่มีที่สิ้นสุด) หากชนเหล่าใดตกอยู่ภายใต้อำนาจของความอยากแล้ว ก็ยากที่จะถอนตัวออกได้ง่าย ๆ เหมือนกับท่านในปัจจุบันนี้ ต้องเทินจักรไว้อยู่บนศีรษะตลอดเวลา”

พระโพธิสัตว์ตรัสเช่นนี้แล้ว ก็เสด็จสู่เทวสถานแห่งตนทันที ฝ่ายมิตตวินทุกะ ก็ยังคงมีจักรพัดอยู่บนศีรษะอยู่ตลอดเวลา และได้รับความทุกขเวทนาหนักเรื่อยไป จนกว่าบาปกรรมที่กระทำไว้จะหมดสิ้นไป การที่นายมิตตวินทุกะ ได้รับกรรมเช่นนี้ ก็เนื่องด้วยความโลภ ความปรารถนา และความอยากไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเอง

ประชุมชาดก

เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสจบแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
นายมิตตวินทุกะในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุว่ายาก
ส่วนเทพบุตรในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.


ขัลลฏิยชาดก นางเปรตขัลลฏิยะ



ชาดกว่าด้วยความหลงผิดลุ่มหลงในอบายมุข และทำกรรมชั่ว อิจฉาริษยา แต่เมื่อยังมีสติกลับตัวกลับใจได้ ผลบุญที่ทำส่งผลให้หลุดพ้นในบ่วงกรรม ทำให้พ้นทุกข์



มัจฉชาดก
ไฟราคะ



ชายผู้หนึ่งได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว บังเกิดความศรัทธาเลื่อมใส จึงขออนุญาตภรรยาบวชในพระพุทธศาสนา ฝ่ายภรรยาก็อนุญาตแม้จะไม่เต็มใจนักก็ตาม

เมื่อชายผู้นี้บวชเป็นพระภิกษุแล้ว นางผู้เป็นภรรยาก็มักนำอาหารที่ท่านเคยชอบมาถวายอยู่เสมอ ยิ่งกว่านั้น ทุกครั้งที่ไปหาพระภิกษุอดีตสามี นางจะแต่งตัวงดงาม ทั้งยังนำเรื่องครอบครัวมาพูดให้ท่านฟังเป็นประจำ ทำให้ภิกษุนั้นกระวนกระวายใจ ห่วงหาอาลัยใคร่จะสึกกลับไปครองเรือนตามเดิม

เมื่อพระบรมศาสดาทรงทราบถึงความรู้สึกของพระภิกษุรูปนี้ จึงตรัสถาม ท่านก็ยอมรับแต่โดยดี พระพุทธองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและพระกรุณาธิคุณ ปรารถนาจะเตือนสติพระภิกษุนั้นให้เลิกล้มความตั้งใจที่จะหวนกลับไปเวียนว่ายอยู่ในกองทุกอีก จึงทรงระลึกชาติแต่หนหลังของพระภิกษุรูปนี้ด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ พระพุทธองค์จึงตรัส มัจฉาชาดก ดังนี้

เนื้อหาชาดก

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตครองกรุงพาราณสี ณ คุ้งน้ำหน้าเมือง มีปลาใหญ่ตัวหนึ่งเกิดติดใจรักใคร่นางปลาสาว จึงว่ายน้ำติดตามหยอกเย้าเคล้าเคลียนางปลาไม่ยอมห่าง

ขณะที่กำลังว่ายน้ำเคียงกันอยู่นั้น นางปลาได้กลิ่นแหที่ชาวประมงนำมาดักไว้ จึงว่ายหลบฉากออกไปทันที ฝ่ายปลาตัวผู้นั้นคิดแต่จะไล่ต้อนนางปลา ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น จึงว่ายพุ่งเลยเข้าไปติดแห ชาวประมงรีบยกแหขึ้นจับเอาปลาใหญ่นั้นไป เมื่อจับได้แล้ว ชาวประมงก็โยนทิ้งไว้ริมฝั่งรวมกับปลาอื่นๆ ที่ถูกจับมาก่อนหน้านั้น แล้วเตรียมก่อไฟ ตั้งใจจะย่างกินให้อร่อย

ปลาใหญ่นั้นดิ้นทุรนทุรายฟาดหัวฟาดหางอยู่บนตลิ่ง แต่แทนที่มันจะหวั่นกลัวความตายที่กำลังจะมาถึง มันกลับคร่ำครวญรำพันถึงนางปลา ทุกข์ใจเพราะคิดถึงนางปลา กลัวว่านางปลาจะเข้าใจผิด คิดว่าตนแอบไปติดพันนางปลาตัวอื่น

ขณะนั้น พราหมณ์ปุโรหิตผู้หนึ่งของพระเจ้าพรหมทัต ซึ่งเป็นผู้รักษาสัตว์ทั้งหลาย กำลังเดินออกมาอาบน้ำพร้อมด้วยข้าทาสบริวาร ท่านเห็นปลาใหญ่กำลังดิ้นทุรนทุรายคร่ำครวญอยู่ ก็คิดสงสารคิดว่าถ้าปลาตัวนี้ตายขณะที่มีจิตใจเร่าร้อนอยู่ด้วยกามราคะ มันจะต้องไปเกิดในนรกอย่างแน่นอน ท่านจึงคิดหาทางอนุเคราะห์ปลาใหญ่นั้น

ท่านปุโรหิตจึงเดินเข้าไปหาชาวประมงเจ้าของปลาซึ่งคุ้นเคยกันดี กล่าวทักทายปราศรัยกันพอสมควร แล้วท่านจึงขอปลาใหญ่กับชาวประมง

เมื่อได้ปลามาแล้ว พราหมณ์ปุโรหิตก็นำไปที่ท่าน้ำแล้วกล่าวสั่งสอนปลาว่า เพราะความรักใคร่ติดพันนางปลา ทำให้เจ้าเกือบจะต้องตายถ้าไม่บังเอิญมาพบท่านเสียก่อน ต่อไปนี้เจ้าต้องหมั่นสำรวมระวัง อย่าปล่อยให้อำนาจกิเลสเข้าครอบงำ อย่ามัวหลงติดอยู่ในกามอีกเลย กล่าวเสร็จแล้ว ก็ปล่อยปลาลงน้ำ ณ ท่าน้ำนั้นเอง

ประชุมชาดก

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส มัจฉาชาดก จบแล้ว ทรงแสดงอริยสัจ ๔ โดยนัยต่างๆ อย่างละเอียดลึกซึ้ง พระภิกษุรูปนั้นฟังพระธรรมเทศนาแล้ว ก็สำเร็จเป็นพระโสดาบัน ณ ที่นั่นเอง

จากนั้นพระพุทธองค์ทรงประชุมชาดกว่า

นางปลา ในครั้งนั้น ได้มาเป็นภรรยาเก่าของภิกษุผู้อยากสึก

ปลาใหญ่ ได้มาเป็นภิกษุผู้อยากสึกรูปนี้

พรหมณ์ปุโรหิต ได้มาเป็นเป็นพระองค์เอง

ข้อคิดจากชาดก

๑. ผู้ตกอยู่ในอำนาจของความรัก มักใช้เวลาส่วนใหญ่หมกหมุ่นครุ่นคิดถึงแต่ความรักจนจิตใจฟุ้งซ่านไม่เป็นสมาธิ หากเกิดแก่ผู้ที่อยู่ในวัยเรียน การเรียนจะตกต่ำลง เพราะสมาธิในการเรียนเสียไป

๒. คนที่กำลังจะตาย หากยังมีใจเร่าร้อนและหมกมุ่นอยู่กับความโลภ โกรธ และหลง เมื่อละโลกไปแล้ว อำนาจบาปนั้นจะชักนำให้ไปสู่นรก

เมื่อการเกิดเป็นคนนี้แสนยาก ดังนั้น ก่อนจะตายพึงรู้จักทำใจให้ดี เพื่อเตรียมตัวตาย ไม่ควรทำจิตใจให้ขุ่นมัวเศร้าหมองเป็นอันขาด มิฉะนั้น จะตกนรกหรือไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานอย่างน่าเสียดาย วิธีเตรียมตัวตายที่ดีที่สุด ได้แก่ การฝึกสมาธิให้มากๆ ใจจะได้ผ่องใส ตายเมื่อไรก็ไปดีเมื่อนั้น



ติปัลลัตถมิคชาดก
เล่ห์กลลวงนายพราน



ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดพทิรการาม เมืองโกสัมพี ทรงปรารภพระราหุลเถระ ผู้ใคร่ต่อการศึกษา เรื่องมีอยู่ว่า สมัยนั้น พระพุทธองค์ได้เสด็จไปประทับอยู่ในอัคคาฬวเจดีย์ เมืองอาฬวี มีอุบาสกอุบาสิกา ภิกษุและภิกษุณีจำนวนมาก ไปฟังธรรมทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อฟังธรรมเสร็จสิ้นแล้ว ภิกษุที่เป็นพระเถระก็พากันไปยังที่พักของตน ส่วนภิกษุหนุ่มและอุบาสกพากันนอนที่โรงฉัน พอเข้าสู่ความหลับมีภิกษุบางรูปนอนกรน บางรูปนอนกัดฟัน ก่อความรำคาญให้แก่พวกอุบาสก พวกเขาพากันนอนครู่เดียวจึงลุกขึ้นหนีไป

วันต่อมา พวกอุบาสกกราบทูลเรื่องนี้แด่พระพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงได้ทรงบัญญัติสิกขาบทว่า " ก็ภิกษุใด นอนร่วมกับอนุปสัมบัน ภิกษุนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ " แล้วเสด็จไปยังเมืองโกสัมพี ก่อนมีสิกขาบทนี้ สามเณรราหุล มักจะได้รับการสงเคราะห์จากภิกษุให้พักร่วมกุฏิเสมอ เมื่อพระพุทธองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทนี้แล้ว จึงไม่มีภิกษุรูปใดอนุเคราะห์แก่เธอ สร้างความเดือดร้อนแก่สามเณรราหุล ท่านจึงเลือกไปอาศัยที่เวจกุฎี (ส้วม) ของพระพุทธองค์เป็นที่อยู่อาศัยแทน

ครั้นรุ่งเช้า พระพุทธองค์ เสด็จมาถึงเวจกุฎีแล้วไอขึ้น สามเณรราหุลก็ไอขึ้นเช่นกัน พระพุทธองค์จึงทรงทราบความเดือดร้อนเพราะการบัญญัติสิกขาบทนี้ ทรงดำริถึงคราวต่อไปเมื่อสามเณรมีมากขึ้น จะให้ภิกษุปฏิบัติเช่นใด จึงตรัสเรียกประชุมสงฆ์แต่เช้าตรู่ แล้วทรงทำอนุบัญญัติสิกขาบทนี้ว่า " ตั้งแต่นี้ไป ท่านทั้งหลาย จงให้อนุปสัมบันอยู่ในที่พักของตนได้สองวัน ในวันที่สามให้อยู่ภายนอกเถิด "

ต่อมาเย็นวันหนึ่ง พวกภิกษุสนทนากันถึงเรื่องสามเณรราหุลเป็นผู้ตั้งอยู่ในโอวาท เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา พระพุทธองค์จึงได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเนื้อสองพี่น้องคู่หนึ่ง มีบริวารแวดล้อมมาก อยู่ในป่าใกล้เมืองราชคฤห์ วันหนึ่ง เนื้อผู้น้องสาวนำเนื้อลูกชายมาฝากให้ศึกษามารยาทของเนื้อกับพี่ชาย เนื้อผู้หลานชาย ได้ศึกษามารยาทของเนื้อกับลุงจนหมดสิ้น วันหนึ่ง ออกหากินในป่าติดบ่วงนายพราน จึงร้องบอกหมู่เนื้อให้หนีไปบอกมารดา ส่วนมารดารีบไปบอกพี่ชายด้วยความห่วงใย พี่ชายจึงพูดปลอบใจว่า
" น้องหญิง พี่ให้เนื้อหลานชาย ผู้มีกีบเท้า ๘ กีบ เรียนท่านอน ๓ ท่า
เรียนมีเล่ห์กลมารยาหลายอย่าง และการดื่มกินน้ำในเวลาเที่ยงคืน
เนื้อนั้น เมื่อหายใจทางจมูกข้างที่แนบติดอยู่กับพื้นดิน ก็จะลวง
นายพรานได้ด้วยอุบาย ๖ ประการ "


เล่ห์กลลวงนายพรานด้วยอุบาย ๖ ประการ คือ
๑. นอนตะแคงเหยียดเท้าทั้ง ๔
๒. ใช้กีบเท้าตะกุยหญ้าและดินร่วน
๓. ทำลิ้นห้อยออกมา
๔. ทำให้ท้องพองขึ้น
๕. ถ่ายอุจจาระและปัสสาวะออกมา
๖. กลั้นลมหายใจไว้

ฝ่ายเนื้อผู้หลานชาย ได้แสดงอาการทำทีเป็นตายแล้ว มีแมลงวันหัวเขียวบินตอมตัวว่อน นายพรานพอเห็นอาการเช่นนั้นเข้าใจว่าเนื้อตายแล้ว เลยแก้เชือกผูกเนื้อออก หวังจะแล่เนื้อในที่นั้น เดินหักใบไม้ไปมา ฝ่ายเนื้อได้โอกาสจึงลุกขึ้นวิ่งหนีกลับมาได้ ด้วยความปลอดภัย



Create Date : 02 มิถุนายน 2554
Last Update : 2 มิถุนายน 2554 13:09:52 น. 0 comments
Counter : 463 Pageviews.

blogbag
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add blogbag's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.