<<
กุมภาพันธ์ 2554
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728 
 
22 กุมภาพันธ์ 2554
 
 

โครงการประกวดเรื่องเล่า ฉลาดออม ฉลาดใช้ ฉลาดลงทุน

นู๋เมี่ยงรู้ข่าวโครงการประกวดเรื่องเล่านี้มาตั้งนานแล้วหล่ะ ตลาดหลักทรัพย์จัดโครงการประกวดการแต่งเรื่องเล่ามาได้สัก 2 -3 ปีมาแล้วกระมัง แต่ความที่นู๋เมี่ยงเป็นคนที่ไม่มีหัวในเรื่องการคิดพล็อตเรื่อง สร้างสรรค์ตัวละครและเหตุการณ์มาเป็นแนวในการเขียน จึงไม่ได้เข้าร่วมประกวดครั้งใดเลย

ปีนี้อาจด้วยอารมณ์ติสท์ (artist) จากการที่ตัวเองกำลังถูกปลดออกจากงานภายในสิ้นเดือนมกราคม ฉลองรับปีใหม่ ซ้ำกำหนดปิดวันรับประกวดดันตรงกับวันสุดท้ายของการทำงานเสียอีก เลยรู้สึกอยากเขียนเรื่องราวของตัวเองขึ้นมาซะงั้น (เกี่ยวกันไหมเนียะ)



นู๋เมี่ยงเลยจับตัวเองมาเป็นตัวหลักดำเนินในการเล่าเรื่อง ลักษณะการเขียนก็จะใช้วิธีเล่าย้อนอดีต - ปัจจุบันสลับกันไปมา (flash back) และต้องการสะท้อนอุปนิสัยของตัวหลักว่าเป็นคนที่มีอารมณ์ ความคิดไม่หยุดนิ่ง ผุดคิดเรื่องโน้น เดี๋ยวไหลไปเรื่องนี้ สักพักก็แว๊บกลับไปคิดถึงอีกเรื่องหนึ่ง (stream of conscious)

ตอนที่เขียนเรื่องนี้ส่งประกวด นู๋เมี่ยงไปได้หวังว่าต้องได้รางวัลอะไร ลางทีกรรมการอาจโยนลงตะกร้าตั้งแต่อ่านผ่านตาไปได้หน้าแรกเสียเลยก็ได้ แต่อย่างที่บอก เมื่อ “ของ” ขึ้นสักอย่าง นู๋เมี่ยงเลยปั่น ปั่น ปั่นเรื่องเล่าฉบับนี้ขึ้นอย่างรวดเร็ว ตรวจทานแก้ไขจนคิดว่าพอที่จะส่งได้แล้ว ในวันสุดท้ายของวันกำหนดส่งและคือวันสุดท้ายของการทำงาน เย็นวันนั้นนู๋เมี่ยงได้คลิ๊กเมาส์ส่งต้นฉบับผ่านทางอีเมล์ และปิดฉากการทำงานพร้อมกันในวันนั้นเลย ......


เลี้ยงส่ง


เสียงพิธีกรประกาศไล่ชื่อพนักงานตามลำดับอักษรภาษาอังกฤษให้เดินออกไปหน้าห้องประชุมทีละคน เพื่อรับการ์ดอวยพร จับมือกับผู้อำนวยการโครงการหรือเป็นที่รู้จักกันในตำแหน่งโปรเจคไดเรคเตอร์ มีการพูดคุยทักทายกันเพียงเล็กน้อยสั้นๆ พอเป็นพิธี เนื่องจากมีรายชื่อพนักงานอีกหลายคนที่อยู่ในโผประกาศของงานวันนี้ ดังนั้นพอคนหนึ่งถ่ายรูปที่ระลึกกับผู้อำนวยการโครงการเสร็จ จึงต้องเขยิบตัวออกมาเพื่อให้พนักงานคนถัดไปเข้ามาแทน ผู้ร่วมงานที่อยู่ในห้องประชุมเล็กๆ นั้นช่วยกันดังขึ้นเมื่อประกาศเรียกชื่อพนักงาน และซาลง ดังขึ้นและซาลงสลับกันเป็นจังหวะซ้ำๆ ต่อเนื่อง
…..


งานเลี้ยงวันนี้จัดขึ้นช่วงพักกลางวัน เป็นงานเลี้ยงส่งพนักงานจำนวนหนึ่งซึ่งโดนปลดออกสิ้นเดือนนี้ เนื่องจากบริษัทได้เซ็นหนังสือส่งมอบงานโครงการรถไฟฟ้าให้กับนายจ้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะเหลือแค่เพียงเก็บงานอีกเล็กน้อย ใช้พนักงานไม่กี่คนทำงานก็พอ ขณะที่ตัวบริษัทแม่เองยังไม่สามารถหางานโครงการใหม่ๆ เพื่อรองรับพนักงานประจำชุดที่จะถูกปลดนี้ได้ มาตรการสุดท้ายคือการทยอยลดกำลังคนลงทีละช่วงๆ และเดือนนี้แหละที่จำนวนพนักงานโครงการรถไฟฟ้านี้โดนปลดออกครั้งใหญ่ เรียกว่าแทบล้างบางเลยทีเดียว



หนึ่งเดือนก่อนหน้านั้น เมื่อสุมนรู้ข่าวโดยตรงจากหัวหน้าแผนกซึ่งเป็นเจ้านายโดยตรงของเธอว่า ชื่อของเธอกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ถูกส่งให้ฝ่ายบุคคลดำเนินเรื่องแล้ว แรกๆ เธอรู้สึกใจหาย โมโหที่บริษัทไม่เห็นความเหนื่อยยากของพนักงานทุกคนที่ต่างทุ่มเททำงานให้โครงการรถไฟฟ้าอย่างเต็มที่จนเสร็จลุล่วงด้วยดี จำได้ว่าช่วงเร่งส่งงานให้ทันกำหนด ทีมงานต้องทำงานล่วงเวลาคาบยาวถึงวันหยุดเสาร์ อาทิตย์อยู่นานนับเดือน เธอรู้สึกน้อยใจเล็กน้อยที่บริษัทไม่เห็นความสำคัญของทีมงานโปรเจคอย่างพวกเธอ เพื่อนบางคนโหมทำงานจนแทบไม่ได้หลับได้นอน อัดกาแฟถ่างตาเร่งทำงานข้ามวันข้ามคืนติดต่อกัน วิศวกรคนหนึ่งถึงกับหมดแรงทรุดสลบล้มโดยไม่รู้ตัวขณะเดินตรวจงานติดตั้งหน้างาน ต้องถูกหามส่งโรงพยาบาลให้น้ำเกลือก็เคยมีมาแล้ว



พอรู้ข่าวว่าบริษัทจะปลดคนออก เพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกันต่างเริ่มหันหน้าพูดคุยถึงแผนการชีวิตของตนเองหลังจากสัญญาจ้างทำงานสิ้นสุดลง บางคนได้ร่อนใบสมัครงานไปแล้ว มีบ้างที่กลับไปช่วยกิจการที่บ้านขณะรอหางานใหม่อยู่ บางคนโชคดีเพิ่งสัมภาษณ์งานใหม่ได้ไม่นานก็ได้งานใหม่ทันที

สำหรับสุมน เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้นความรู้สึกวิตกกังวล รวมทั้งสารพัดคำถามที่วนเวียนเกี่ยวกับเรื่องอนาคตของตนเองก็ค่อยๆ น้อยลง ไม่ใช่เพราะเธอบรรลุธรรมะข้อใดหรอกนะ แต่เป็นเพราะวัยที่เพิ่มขึ้น วุฒิการศึกษาระดับมหาบัณฑิต และประสบการณ์จากการทำงานที่สั่งสมอยู่ตลอดเวลาต่างหาก เป็นตัวบ่มเพาะให้เธอเริ่มรู้จักวางแผนเตรียมตัว และไม่ประมาทตั้งแต่ก้าวเข้ามาทำงานโปรเจครถไฟฟ้านี้ เธอทำใจแต่แรกแล้วว่าการปลดระวางพนักงานต้องมีสักวันแน่เมื่องานเสร็จสิ้นลง “ขืนให้ผู้หญิงวัยสามสิบกว่าอย่างเธอมานั่งร้องไห้ขี้มูกโป่ง ตีอกชกหัวเพราะกำลังตกงาน มันคงน่ารักตายล่ะ ใครเห็นก็อยากเดินเลี่ยงเสียมากกว่า” เธอคิด

สุมนไม่ใช่สาวน้อยเพิ่งผ่านรั้วมหาวิทยาลัยนี่นะ เธอมีประสบการณ์การทำงานมานานกว่าสิบปี เคยเป็นสาวมั่นใจเกินร้อยมาก่อน เคยทำงานประจำให้บริษัทอื่นก่อนหน้านี้มาแล้วสองถึงสามแห่ง เธอหวนนึกถึงบริษัทเก่าที่เคยทำมา เคยทั้งเสพความหอมหวานของความสำเร็จ ได้รับคำชื่นชมจากหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน อีกทั้งก็เคยลิ้มรสชาติอันแสนขมและปวดร้าวของความล้มเหลว สุมนทำงานผิดพลาดครั้งใหญ่จนถูกเจ้านายสั่งย้ายให้ไปอยู่แผนกอื่น ทำงานในตำแหน่งต่ำกว่าเดิม ความรู้สึกอับอายจากการถูกลดตำแหน่งลงในครั้งนั้นก่อให้เกิดความหวาดระแวงต่อสายตาของเพื่อนร่วมงานที่มองมายังเธอและยังได้ทำลายความเชื่อมั่นในตัวเองของเธอลงอย่างฉับพลันทีเดียว เธอเกิดอาการจิตตก หวาดกลัวความล้มเหลวจนไม่กล้าตัดสินใจทำอะไร เคยเข้าไปปรึกษาจิตแพทย์ถึงสองครั้ง ใช้เวลาพูดคุยกันครั้งละครึ่งชั่วโมง หมอสรุปสั้นๆ ว่าคืออาการเครียดและจ่ายยาจำพวกระงับประสาทและยานอนหลับมาให้ ยาชุดนั้นช่วยให้เธอรู้สึกผ่อนคลายสบายขึ้น กดความรู้สึกขวางหูขวางตา หงุดหงิดง่ายเอาไว้ได้ก็จริง กระนั้นสำนึกด้านหนึ่งของสุมนคอยเตือนเธอว่า เธออาจติดยาพวกนี้เข้าได้สักวัน แม้คุณหมอจะรับรองว่าไม่ส่งผลข้างเคียงก็ตาม



สุมนคงมีกรรมเรื่องความตระหนี่มาแต่ชาติปางก่อนกระมัง ฉะนั้นเมื่อต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าหมอและค่ายาไปแล้วถึงสองครั้ง ความรู้สึกเสียดายเงินที่กว่าจะหาได้ในแต่ละเดือนนั้นเริ่มรบกวนจิตใจ และด้วยจิตใต้สำนึกบอกกับตนเองตลอดเวลาว่าการรักษาด้วยยาสำหรับเธอนั้นเป็นแค่เพียงปลายเหตุเท่านั้น ฤทธิ์ของยาไม่สามารถช่วยลบตะกอนความผิดพลาดออกไปจากใจได้เลย ดังนั้นก่อนถึงกำหนดวันนัดครั้งที่สาม เธอจึงโทรไปเลื่อนคุณหมออย่างไม่มีกำหนด และไม่กลับไปใช้บริการคำปรึกษาจากคุณหมอโรงพยาบาลนั้นอีกเลย

ที่ปรึกษาที่ดีที่สุดของสุมนในยามนั้นจึงไม่ใช่หมอ แต่กลับเป็นกลุ่มเพื่อนสนิทไม่กี่คนที่คบหากันตั้งแต่สมัยชั้นมัธยมและคงยังติดต่ออย่างสม่ำเสมอ จำได้ว่าระยะนั้นเธอนัดเพื่อนสนิทออกมาบ่อยมาก เพื่อระบายความอัดอั้นตันใจ เนื่องจากเธอไม่สนิทใจที่จะปรึกษาพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานคนไหนทั้งสิ้น ใจหนึ่งคิดอยากลาออก บอกให้ถอย อีกใจก็ถือทิฐิ บอกให้กัดฟันสู้ต่อไป ความคิดสับสนวนเวียนไปมาเหมือนปลาว่ายวนอยู่ในอ่างเล็ก สำหรับสุมนการพบเพื่อนสนิทไม่ใช่เพื่อหวังฟังคำปลอบประโลม หรือถ้อยคำความเห็นใดๆ ณ เวลานั้นสิ่งที่สุมนต้องการคือกำลังใจเล็กๆ ว่าตัวเองยังมีคนที่สามารถเล่าเรื่องทุกอย่างได้โดยไม่ต้องระแวง



หากแค่การได้พูดระบายความรู้สึกกับเพื่อนสนิทนั้นกลับทำให้สุมนเริ่มมองหาจุดบกพร่อง ข้อด้อยของตนเอง และค่อยๆ เริ่มปรับทัศนะของตนเอง และได้มุมมองต่างออกไป เนื่องจากเพื่อนสนิทไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือเกี่ยวข้องใดๆ กับงานที่สุมนทำอยู่ พวกเขาจึงปล่อยให้เธอพูดเล่าไปเรื่อยๆ ฟังอย่างเงียบๆ วางใจเป็นกลาง เข้าใจและเห็นใจสุมน แต่ไม่ได้เอออวยเห็นด้วยไปทั้งหมด บางครั้งก็ตั้งคำถามสั้นๆ ย้อนกลับมาให้ฉุกคิด จุดนั้นเองที่ทำให้สุมนเริ่มเข้าใจความรู้สึกของคนที่ต้องร่วมงานกับเธอมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณกาญจนาเจ้านายเก่าของเธอเอง
…..

เสียงพิธีกรเรียกชื่อของสุมนพร้อมกับเสียงปรบมือดังขึ้น ปลุกเธอให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ เธอลุกขึ้นเดินยิ้มไปที่หน้าห้อง จับมือกับผู้อำนวยการโครงการ รับการ์ดอวยพร ฟังคำขอบคุณสั้นๆ และจบด้วยการถ่ายรูปที่ระลึก ก่อนที่เธอจะค่อยๆ ขยับตัวเดินกลับไปนั่งอยู่หลังห้องเหมือนเดิม เมื่อพิธีกรกำลังประกาศชื่อพนักงานคนอื่นต่อไป
…..


สุมนจำได้ว่าเธอคงทำงานอยู่ในตำแหน่งใหม่ที่เธอแทบไม่ได้ใช้ความรู้ที่อุตส่าห์ร่ำเรียนจากรั้วมหาวิทยาลัยเสียด้วยซ้ำนั้นนานเกือบปี มีคนสงสัยถามว่าเมื่อรู้สึกกดดันอย่างนั้น ทำไมจึงไม่ลาออก แต่จะด้วยเหตุผลข้อใดก็ตามที สภาวะทางอารมณ์ของสุมนในตอนนั้นยังไม่ต้องการออกจากงาน และเดินเตะฝุ่นหางานใหม่อย่างไร้หางเสือ เธอยังทำงานอยู่บริษัทเดิม ขณะเดียวกันได้ร่อนจดหมายสมัครงานไปหลายแห่ง อธิษฐานขอให้มีบริษัทใดบ้างโทรมาเรียกตัวไปสัมภาษณ์งานสักที

โลกในชีวิตการทำงานช่างต่างจากโลกส่วนตัวของเธอโดยสิ้นเชิง เพราะงานที่เธอต้องทำนั้นต้องประสานงานกับฝ่ายต่างๆ ภายใน และลูกค้าที่เข้ามาติดต่อกับบริษัท ทักษะที่เธอต้องใช้และได้ฝึกมากที่สุดในการทำงานคือน้ำเสียง รอยยิ้มและความอดทน ขณะที่สิ่งที่โลกส่วนตัวของเธอต้องการนั้นคือความสงบ การมีสมาธิ ได้อ่าน แปลหนังสือ หรือเคาะนิ้วบนแป้นคีย์บอร์ดแต่งแต้มเรื่องราวต่างๆ แล้วแต่จินตนาการ



เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ งานของสุมนเป็นด่านแรกที่ต้องเจอกับลูกค้า การให้ข้อมูลที่ใหม่และถูกต้องแก่ลูกค้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้น สุมนจึงต้องเดินไปแผนกอื่นๆ ของบริษัทเพื่อรับข้อมูลใหม่ล่าสุดตระเตรียมไว้เผื่อลูกค้าร้องขอ นั่นเองที่ทำให้สุมนได้พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานแผนกอื่นๆ มากขึ้น รวมถึงเพื่อนในแผนกการเงินบางคนที่ลงทุนในหุ้นและกองทุน วันหนึ่งตอนพักเที่ยงสุมนนั่งทานอาหารโต๊ะเดียวกันกับเพื่อนร่วมงานแผนกการเงิน ได้ฟังเพื่อนร่วมงานกลุ่มนี้พูดถึงราคาหุ้นและกองทุนที่ตัวเองถืออยู่อย่างออกรส ยิ่งฟังก็ยิ่งมึน สุมนเลยโยนคำถามขึ้นกลางวงว่า “เล่นหุ้น เล่นอย่างไงน่ะ” มองสบตาเพื่อนๆ เผื่อมีใครให้คำตอบ แต่ดูเหมือนคำถามเดียวของเธอนั้นได้ปิดสวิตซ์การสนทนาไปเสียสนิท อาหารเที่ยงมื้อนั้นสุมนรู้สึกเหมือนตัวเองถูกตัดออกจากวงสนทนาโดยสิ้นเชิง “เฮ้อ... หุ้น การลงทุน เงินๆ ทองๆ เป็นเรื่องไกลตัวเราเหลือเกิน”

จำไม่ได้ว่าเหตุการณ์นั้นผ่านไปนานแค่ไหน ตราบจนสุมนต้องเข้าไปขอข้อมูลฉบับล่าสุดของแผนกการเงิน ขณะเดินกลับ พี่ฐากรแผนกการเงินได้เรียกตัวไว้บอกว่า “มาร์ของพี่โทรมาบอกว่าโบรคของเขากำลังจัดสัมมนาความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับหุ้นให้กับผู้สนใจ เผื่อเขาจะได้พอร์ตลูกค้าใหม่ๆ หากสุมนสนใจก็โทรไปสำรองที่นั่งตามเบอร์นี้ได้เลยนะ อีกอย่างพี่ก็อยากให้เข้าไปลองอ่านข้อมูลที่หน้าเวปไซค์ของสถาบันพัฒนาความรู้ตลาดทุนดูด้วย เผื่อเขามีจัดสัมมนาอะไรก็เข้าไปสมัครดู ถ้าจะให้พวกพี่อธิบาย ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มที่ตรงไหนดี วิทยากรเขาน่าจะลำดับการอธิบายได้ดีกว่าพี่แน่ หากไม่เข้าใจตรงไหนค่อยมาถามกันดีกว่า” ผลพลอยได้จากตรงนั้นเองที่โลกของสุมนค่อยๆ เปิดรับความรู้เรื่องการลงทุนทางการเงินกว้างขึ้นเรื่อยๆ



…..

พนักงานคนสุดท้ายก้าวถอยออกมาจากด้านหน้าของห้องประชุม คงเหลือแต่ผู้อำนวยการโครงการที่ยืนเด่นอยู่หน้าห้องประชุมนั้น ผู้คนในห้องประชุมต่างหยุดเป่าปากและปรบมือ เพราะรู้ว่าอีกสักครู่ ผู้อำนวยการฯ จะกล่าวคำขอบคุณพนักงานอีกครั้งที่ร่วมแรงร่วมใจกันฝ่าฝันอุปสรรคต่างๆ จนสามารถจบโครงการอันยืดเยื้อนี้ลงได้ และปิดท้ายด้วยการกล่าวเชิญให้ทุกคนลุกขึ้นจากโต๊ะออกไปตักอาหารรับประทานได้ เหมือนงานเลี้ยงส่งครั้งที่ผ่านๆ มา….
….


มันอาจเป็นจังหวะของชีวิตหรือสวรรค์คงได้ยินคำอธิษฐานของสุมนที่ร่ำร้องอยากจะออกจากงานนี้เต็มทน จู่ๆ เธอก็ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนสมัยเรียนหนังสือตั้งแต่ชั้นมัธยมจนเข้ามหาวิทยาลัยคณะเดียวกันได้ แม้จะไม่สนิทสนมกันมากนัก แต่ก็ติดต่อกันบ้างประปราย บอกว่ามีบริษัทหนึ่งกำลังต้องการคนที่มีความรู้ภาษาต่างประเทศด่วน ทำหน้าที่คอยจดบันทึก ทำรายงาน แปลเอกสาร



สุมนตัดสินใจติดต่อบริษัทแห่งนี้ พร้อมยื่นใบสมัครทันที มีการนัดสอบสัมภาษณ์ในเวลาต่อมา ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เจ้านายคนใหม่ยินดีต้อนรับเธอ บอกให้เริ่มงานใหม่ได้ทันที สุมนไม่ลังเลที่จะยื่นใบลาออกจากบริษัทเดิม เธอมองแล้วว่าบริษัทใหม่คือ ‘โอกาส’ ที่เธอจะแก้ไข เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เธอพร้อมที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า บริษัทใหม่ยินดีจ่ายค่าตอบแทนในรูปของเงินเดือน ค่าล่วงเวลา เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โบนัสดีเพียงพอ นั่นคงเป็นการชดเชยให้พนักงานที่เข้ามาทำงานโปรเจครถไฟฟ้าซึ่งมีระยะเวลาสัญญาโครงการไม่กี่ปี แม้ว่าจะบรรจุเป็นพนักงานประจำ แต่เชื่อว่าความมั่นคงย่อมมีน้อยกว่าพนักงานที่ทำงานประจำสำนักงานใหญ่แน่นอน

ครึ่งเดือนต่อมาสุมนก็ได้เข้ามาทำงานโครงการรถไฟฟ้าในขอบเขตหน้าที่ที่เธอคิดว่าเหมาะกับตัวเธอที่สุด ณ ตอนนั้นแล้ว งานที่นี่เธอได้ใช้ความรู้ ทักษะต่างๆ ที่อุตส่าห์ร่ำเรียนมาอย่างเต็มที่ การก่อสร้างโครงการในระยะเริ่มแรก แผนกของเจ้านายยังมีจำนวนคนทำงานไม่มากนัก สุมนจึงต้องช่วยนายจ้างฝรั่งดูแลงานจุกจิกทั่วไป คอยจัดการประสานงานอำนวยความสะดวกให้ เอกสารหรือหนังสือสัญญาบางฉบับมีแต่ฉบับภาษาไทย หรือหากต้องติดต่อกับหน่วยงานใด แล้วเจ้าหน้าที่ไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ งานแปลนั้นก็จะตกเป็นหน้าที่ของสุมนไปโดยปริยาย เธอช่วยลดภาระการจัดการด้านเอกสารของนายด้วยการตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารรอบหนึ่งก่อนส่งต่อไปให้นาย



สุมนตั้งใจเรียนรู้งานใหม่อย่างเต็มที่ และเรียนรู้ที่จะไม่ให้ความผิดพลาดเกิดขึ้นเหมือนอย่างที่แล้วมา การทำงานโปรเจคเป็นเรื่องน่าสนุก แข่งกับเวลา ยิ่งถ้าเธอได้มีโอกาสติดตามเจ้านายออกไปตรวจหน้างานด้วยแล้ว เธอจะรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้ง เพราะจะได้เห็นความคืบหน้าของเนื้องานจริงๆ อย่างเป็นรูปธรรม แทนที่จะรับรู้ความคืบหน้าจากสมุดรายงาน ภาพถ่ายหรือคำบอกเล่า มันคือภาคภูมิใจของสุมนที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการรถไฟฟ้าสายนี้



ปีแล้วปีเล่า สุมนยังใช้ชีวิตการทำงานสนุกกับการทำงานโปรเจคที่เธอสามารถใช้ความรู้ ทุ่มเทกำลังให้ได้อย่างเต็มที่ ส่วนวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ไหน หากเธอไม่ติดธุระก็จะเข้าไปฟังสัมมนาด้านการเงิน การลงทุนจัดขึ้นโดยสถาบันพัฒนาความรู้ตลาดทุนบ้าง อย่างเช่น หัวข้อการจัดพอร์ตการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง ภาษีกับการลงทุน เป็นต้น

อาจเป็นเพราะสุมนยังเป็นสาวโสด อาศัยอยู่บ้านพ่อและแม่ นอกจากค่าใช้จ่ายส่วนตัวแล้ว ก็เป็นการออกค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ ภายในบ้านบ้าง แทบเรียกได้ว่าปลอดภาระหนี้สินอื่นใดรายรับจากการทำงานของสุมนในแต่ละเดือน รวมถึงโบนัสแต่ละปีทำให้เธอมีเงินเหลือเก็บ ค่าใช้จ่ายส่วนตัวของเธอไม่ได้เพิ่มขึ้นมากไปกว่าครั้งที่เคยทำงานให้บริษัทเก่าเท่าใดนัก ดังนั้น ในปีแรกเงินโบนัสทั้งหมดเธอจึงนำไปซื้อกองทุน LTF เพื่อนำไปลดหย่อนภาษี



บางครั้ง เธอต้องเร่งทำงานจนดึกดื่นกว่าจะได้กลับ จนพาลนึกอยากผ่อนรถยนต์ไว้ใช้ส่วนตัว แต่ความอยากนั้นถูกดึงไว้ด้วยเหตุผลที่เธอมองว่ายังไม่จำเป็น เพราะเส้นทางจากบ้านไปที่ทำงานมีระบบขนส่งมวลชนให้บริการดีอยู่แล้ว อีกอย่างเธอต้องแน่ใจก่อนว่าเมื่อจบงานโครงการนี้แล้ว การผ่อนรถจะไม่เป็นภาระหนักของเธอในอนาคต พอคิดอย่างนี้แล้ว แทนที่ดาว์นรถ สุมนจึงเลือกนำเงินออมในแต่ละเดือนเธอไปซื้อกองทุนรวมหลากหลาย เป็นการกระจายความเสี่ยง ส่วนเงินโบนัสที่ได้แต่ละปีนั้น เธอก็จะนำไปซื้อกองทุน LTF เป็นหลัก และเริ่มทยอยเจียดซื้อ RMF อยู่เหมือนกัน
.....

ทันทีที่โปรเจคไดเรคเตอร์กล่าวประโยคเชิญให้พนักงานทุกคนลงมือรับประทานอาหารได้ ไม่ทันขาดคำทุกคนก็ต่างลุกขึ้นฮือเดินตั้งแถวล้อมโต๊ะประชุมกลางห้อง จัดการบริการตนเอง ตักอาหารซึ่งทางบริษัทได้สั่งร้านอาหารให้ทำเลี้ยงขึ้นมาง่ายๆ สไตล์บุฟเฟ่ลงบนจาน เครื่องดื่มหลักที่นำมาเลี้ยงมื้อนี้ไม่อั้นคือเบียร์กระป๋อง เสียงพูดคุยทักทายกันไปมาดังกลบห้องประชุมตลอดเที่ยงของงานเลี้ยงส่ง
....


มือข้างหนึ่งของสุมนถือจานพูนด้วยอาหารหลากหลายชนิด ส่วนอีกข้างถือกระป๋องเบียร์ เอาไว้ดื่มพอเป็นพิธีให้กับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ งานวันนี้เธอไม่ให้รู้สึกเศร้าหมองหรือหดหู่ แต่กลับสามารถคุยและหัวเราะให้กับเจ้านาย ลูกน้อง เพื่อนร่วมงานทุกๆ คนได้อย่างเต็มที่ ไม่รู้สึกหวาดหวั่นหรือกังวลกับอนาคตของเธอในวันข้างหน้าเมื่อไม่มีงานทำ ห้าปีที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับงานโปรเจคนี้ อย่างน้อยทางบริษัทก็ยุติธรรมพอที่จะชดเชยค่าจ้างแรงงานตามกฎหมายแรงงาน ส่วนเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้นสุมนยังไม่มีความจำเป็นต้องถอนออกมาใช้ เธอได้ยื่นความจำนงรักษาความเป็นสมาชิกภาพกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้นไว้ก่อน เชื่อมั่นว่าภายในหนึ่งปีนี้เธอคงได้งานใหม่ จากนั้นจะโอนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนี้เข้ากองใหม่แทน

ชีวิตคือความไม่แน่นอน การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้เสมอ อนาคตไม่อาจหยั่งรู้ แต่ ณ วันนี้สุมนขอใช้เวลาต่อจากนี้อยู่ในโลกส่วนตัวที่เธอปรารถนาสักระยะหนึ่ง ก่อนที่เธอจะก้าวสู่มิติโลกการทำงานใหม่อีกครั้ง

สุมนยกกระป๋องเบียร์ขึ้นชนกับกระป๋องของเพื่อนๆ พร้อมกับร้อง “เชียร์” ดังๆ หนึ่งครั้งก่อนยกกระป๋องเบียร์เย็นเจี๊ยบขึ้นจรดริมฝีปาก ขมแต่ชื่นใจ!



หมายเหตุ ภาพที่ใช้ และ emotion ต่างๆ ในบล็อกนี้เป็นเพียงการเพิ่มสีสันให้กับบล็อกนี้เท่านั้น ไม่ได้ส่งไปพร้อมกับผลงานที่ส่งประกวดแต่ประการใดค่ะ





 

Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2554
1 comments
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2554 1:08:06 น.
Counter : 1124 Pageviews.

 

นี่คือ "ชีิวิตที่ผ่านมา" ใช่ปะ

 

โดย: นัทธ์ 25 กุมภาพันธ์ 2554 17:50:53 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 

มามะ.. เมี่ยงเองค่ะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




[Add มามะ.. เมี่ยงเองค่ะ's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com