เรื่องวุ่นวายของชีวิตในแต่ละวัน
Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2552
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
11 กุมภาพันธ์ 2552
 
All Blogs
 

เกมรัก บัลลังก์เลือด ตอนที่ 1

สวัสดีค่ะ เพื่อนๆทุกคน

ขอโทษนะคะที่สัญญาไม่เป็นตามสัญญา สัญญาว่าจะลงเรื่องใหม่ก็ไม่ได้ลง สารภาพว่าเขียนไม่ออก เนื่องจากกำลังดื่มด่ำหลงใหลกับชนเผ่านักล่าหัวคน

คำที่จารึกอยู่ทางเข้าสุสาน การต่อสู้ยาวนานตั้งแต่รัชสมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงบัดนี้ยังต่อสู้กันไม่จบ จึงทำให้เกิดแรงบันดาลใจอยากจะเขียนเรื่องราวเหล่านี้โดยสมมติสถานที่และบุคคล หากแต่อิงกับความจริงบางส่วน โดยเฉพาะส่วนที่สวยงามของพวกเขา ชาวนากาแลนด์ ขอบคุณคุณจันทร์เคียวที่ไปเที่ยวแล้วนำกลับมาเล่าเรื่องราวของพวกเขา
จากเวบ//board.trekkingthai.com/board/show.php?forum_id=2&topic_no=4025&topic_id=4025

ซึ่งทำให้ดิฉันตระหนักถึงคุณค่าแห่งเจตน์จำนงเสรี (Free Will)

When you go home
Tell them of us and say
For your tomorrow
We gave our today

การตัดสินใจเลือกข้างในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โดยร่วมรบกับฝ่ายชนะสงคราม สิ่งที่พวกเขาได้ตอบแทนคือ ดินแดนพวกเขาถูกยกเป็นบรรณาการให้ผู้ชนะสงครามด้วยกัน

สิ่งที่พวกเขาโหยหาไม่ใช่เงินทอง อาหาร ความเจริญแบบทุนนิยม หากคืออิสรภาพแห่งมนุษย์

ดังนั้นเรามาสร้างดินแดนในฝันของพวกเขากันดีกว่า ด้วยนิยายโรแมนติค การเมือง เสรีภาพ

นิยายเรื่องนี้เกิดจากความคิดและจินตนาการของผู้เขียน สถานที่และบุคคลล้วนสมมติทั้งสิ้น
ตอนที่ 1

“เราให้มงกุฏเจ้า” สุรเสียงกังวานก้องเขตพระราชอุทธยานของเจ้าชายน้อยส่งผลให้ร่างเล็กป้อมย่อกายถอนสายบัวพร้อมก้มหน้าลงนิดๆรับคำสั่งเสียงใส ใบหน้าที่ยังเลอะคราบน้ำตาบัดนี้ยิ้มแย้มจนตายิบหยี

“เพคะ เจ้าชาย” ยิ้มนั้นกว้างขึ้นอย่างตื่นเต้นเมื่อได้รับพระราชทานมงกุฎกิ่งไม้ที่พันเข้าไว้แซมด้วยดอกไม้เล็กๆที่ผู้ประทานให้ทรงเก็บจากอุทธยาน นิ้วป้อมๆจับที่ข้อพระหัตถ์องค์ชายที่เป็นทั้งเพื่อนทั้งพี่และทุกสิ่งสำหรับเด็กหญิงวัยห้าขวบ

“สิมาจะเป็นราชินีของเจ้าชายอามีทีล” เด็กหญิงแหงนเงยหน้าราวให้คำมั่นด้วยท่าทีจริงจัง

มีรอยแย้มพระสรวลนิดๆบนพักตร์คมเข้มขององค์ชายน้อย พระเนตรเข้มด้วยม่านขนตาสีเข้มส่งผลให้พระเนตรดูเข้มหวาน “คนจะเป็นราชินีต้องไม่ซน ไม่ร้องไห้งอแง แล้วยังต้องเรียนเก่งๆด้วย” เจ้าชายน้อยทรงย้ำกับร่างอ้วนกลมที่มักจะร้องไห้โหยหวลยามที่น้าสาวหรือพระพี่เลี้ยงต้องคอยถวายการดูแลองค์ชาย จะเพราะเสียงเล็กๆคร่ำครวญราวจะเป็นจะตายหรือเพราะพระพี่เลี้ยงทำหน้าราวจะร้องไห้หรือจะเพราะความสงสารในชะตากรรมของเธอ ทำให้องค์ชายอามีทีลต้องทรงยอมแพ้ยินยอมให้เด็กหญิงเจ้าน้ำตาเข้ามานั่งในห้องทรงพระอักษรด้วยแทบจะทุกครั้ง

เด็กหญิงสิรินมามีสภาพจิตย่ำแย่จากการสูญเสียบิดาที่เป็นที่ปรึกษาด้านการทหารในเหตุการณ์ลอบยิงของศัตรูทางการเมืองในหลายเดือนก่อนขณะที่กำลังนำเสด็จเจ้าชายอามีทีลตรวจดูพื้นที่ที่จะจัดสร้างโรงผลิตอาวุธ ท่านที่ปรึกษาทุ่มร่างเข้ารับกระสุนแทนองค์ชาย ส่วนมาริสาภรรยาสาวชาวไทยก็เอาตัวเข้าบังร่างของลูกสาวขณะโดนถล่มยิงอย่างอุกอาจอย่างที่ไม่เคยและไม่น่าจะเกิดขึ้นในประเทศมณีปุระอันแสนสงบมากว่าพันปีแห่งนี้ ภาพที่พ่อแม่อันเป็นที่รักล้มลงพร้อมเลือดแดงฉานคงทำให้ขวัญน้อยๆของเด็กอายุห้าขวบนั้นกระเจิง นับตั้งแต่นั้นมา อันธิกาน้าสาวชาวไทยที่ติดตามพี่สาวมาอยู่ที่ประเทศมณีปุระแห่งนี้จึงเป็นผู้ดูแลเด็กหญิงกำพร้าโดยปริยายและแน่นอนเหลือเกินที่เด็กหญิงสิรินมาก็จำต้องย้ายเข้ามาอยู่ในเขตพระราชฐานตามน้าสาวที่ทำหน้าที่เป็นพระพี่เลี้ยงองค์รัชทายาทแห่งมณีปุระด้วยความสามารถทั้งด้านกีฬา ศิลปะการป้องกันตัวและภาษาที่พูดได้ถึงสามภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศสและสเปน

และจากนั้นเด็กหญิงสิรินมาก็กลายเป็นทั้งผู้ติดตามของเจ้าชายน้อยจอมซน เป็นทั้งเพื่อนร่วมชั้นเรียน เพื่อนเล่น ภาพที่ทุกคนในพระราชวังแห่งมณีปุรีจะเห็นจนเจนตาคือภาพที่เด็กหญิงสิรินมาวิ่งตามองค์ชายต้อยๆ ยามองค์ชายน้อยอารมณ์ดีก็ดีไป แต่ยามที่องค์ชายโกรธกริ้ว คนที่โดนหนักก็ดูเหมือนจะเป็นสิรินมาและพวกองครักษ์ที่ใกล้ชิด องค์ชายจะทรงเอะอะปึงปังใส่แต่ก็เห็นจะเป็นนานๆครั้ง แต่ว่าก็ว่าเถอะ เวลากริ้วนี่ราวกับพายุทอร์นาโดเลยเชียว จนโดนพระพี่เลี้ยงดุเตือนอยู่บ่อยครั้ง

‘อารมณ์กริ้วก็เหมือนกับถ่านร้อนๆที่พระองค์ฉวยไว้ในมือหมายใจขว้างใส่คนอื่น แต่คนที่จะถูกถ่านร้อนลวกกลับเป็นเราที่ถือเอาไว้ พระองค์เป็นเจ้าชายที่ต่อไปจะต้องเป็นพระราชา หากเอาแต่โกรธกริ้วพระองค์จะได้รับเพียงความกลัวจากผู้คนกลับมาหาใช่ความภักดีไม่ การเป็นพระราชาเป็นพระราชอำนาจยิ่งใหญ่แต่มาพร้อมกับภาระความรับผิดชอบมหาศาล ต้องทรงรับผิดชอบแม้แต่คำพูดทุกคำของพระองค์เอง’

ถึงอย่างนั้นก็เหอะ ดูเหมือนเจ้าชายน้อยจะไม่ทรงสดับเสียงพร่ำบ่นของพระพี่เลี้ยงสาวสักเท่าไหร่ เจ้าชายอามีทีลที่กำพร้าพระมารดาหลังจากทรงประสูติกาลพระโอรสที่คนทั้งประเทศรอคอยมานาน อาจจะเป็นเพราะพระวรกายที่แบบบางหรือความเคร่งเครียดในเวลาหลายปีที่ผ่านมา ที่ต้องทรงทำทุกอย่างทางการแพทย์เพื่อสืบสายรัชทายาทแห่งมณีปุระจนเกิดความเครียดและซึมเศร้าส่งผลให้องค์รานีแห่งมณีปุระเสด็จสวรรคตหลังจากนั้นไม่นาน การเจริญพระชันษาโดยพระนมและพระพี่เลี้ยงจึงทำให้องค์ชายแห่งมณีปุระไม่ใคร่จะยอมเชื่อฟังใครง่ายๆ ยกเว้นพระราชบิดาองค์เหนือหัวเท่านั้นที่ดูเหมือนเพียงชายพระเนตรมาก็ทำให้องค์ชายจอมซนอารมณ์ร้ายหยุดลงได้

มณีปุระประเทศเป็นประเทศเล็กๆบนเป็นดินแดนที่ล้อมรอบไปด้วยทิวเขาสูง ตั้งอยู่สุดพรหมแดนด้านตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย ติดกับประเทศพม่า อยู่ทางทิศตะวันออก พรหมแดนด้านทิศตะวันตก อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล ๒,๖๐๐ ฟุต ลักษณะเป็นที่ราบสูงมีหุบเขามากมาย ทิวเขามณีปุระเป็นประดุจกำแพงกั้นกับประเทศพม่า ทั้งยังมีเมืองจุฬาจัน อันเป็นเมืองที่มีชายหาดขาวท้องทะเลสีมรกดตั้งอยู่ลึกเข้ามาในอ่าวเบงกอลจึงหลบสายตานักล่าอาณานิคมในยุคก่อนๆได้ดีและยังคงความเป็นธรรมชาติอันงดงามไว้ได้ ว่ากันว่าหาดจุฬาจันแห่งนี้เป็นอย่างไรเมื่อพันปีก่อน เดี๋ยวนี้ก็ยังคงสภาพเช่นเดิม มิได้เสื่อมโทรมตามกาลเวลาเช่นเมืองชายหาดอันมีชื่อเสียงอื่นๆของโลก ไม่ว่าโลกจะก้าวถึงปีสองพันเท่าใด หากทว่าชีวิตที่นี่ยังคงดำรงเช่นเดิม

ตำนานเล่าขานถึงดินแดนมณีปุระว่าองค์อะกุมโมปฐมกษัตริย์แห่งเผ่าชนพื้นเมืองกว่ายี่สิบเผ่าได้รวบรวมไพร่พลที่รอดตายจากการทำศึกสงครามช่วงชิงดินแดนจากพม่า อินเดียและจีน อังกฤษ มากว่าสี่สิบเจ็ดปี บอกประชาชนคนทั่วไปว่าจำต้องย้ายเมืองหลวงเพราะตำนานพื้นเมืองเล่าเรื่องถึง พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมายังดินแดนใหม่แห่งนี้และมีพุทธทำนายว่าถ้ากษัตริย์องค์ใดย้ายราชธานีมาตั้งยังบริเวณที่พระพุทธเจ้าเคยเสด็จ ราชอาณาจักร ของพระองค์จะมั่งคั่ง ยังแต่สรรพสิ่งมงคล ช้างเผือกจะอุบัติขึ้น มากมายหลายเชือก ทั้งเมืองจะเต็มไปด้วยเพชรนิลจินดามหาศาล ประชาชนจึงพร้อมใจกันเผาบ้านเมืองเดิม และย้ายถิ่นฐาน ช่วยกันสร้างเมืองหลวงใหม่จนสำเร็จ ดุจดั่งคำทำนายมณีปุระได้ที่มั่นริมแม่น้ำมณีปุระบนเทือกเขาสูง อุดมด้วยป่าไม้ อัญมณี และทะเลงดงาม หากมีผู้คิดจะรุกรานต้องผ่านป่าหนาทึบและโตรกเขาซึ่งเหล่านักรบแห่งมณีปุระจะประจำการในช่องแคบนั่นแล้วสังหารคนที่ผ่านเข้ามาโดยง่าย จึงทำให้มณีปุระรอดพ้นจากการรุกรานของทุกชนที่หมายรุกล้ำมาจนถึงบัดนี้ และนอกจากนั้นมณีปุระประเทศยังพัฒนาก้าวไกลเหนือกว่าบ้านพี่เมืองน้องที่ยังคงเป็นรัฐใกล้เคียงอันประกอบด้วย ตรีปุระประเทศและอมรปุระ ที่เรียกขานกันว่าดินแดนสามพี่น้อง The Three Sisters

ประชาชนที่นี่มีเพียงสามล้านคนเห็นจะได้ สินค้าส่งออกสำคัญของที่นี่คืออัญมณีและหยก โดยเฉพาะเพชรสีน้ำเงินของที่นี่งดงามและราวมีชีวิตด้วยน้ำเพชรที่เต้นไหวล้อแสงไฟ หลายๆคนกล่าวว่าราชวงศ์สำคัญๆในโลกหรือประธานาธิบดีประเทศต่างๆอาจจะมีเพชรสีน้ำเงินแห่งมณีปุระไว้สักหนึ่งหรือสองชิ้น แต่ไม่มากกว่านั้น เพราะถึงแม้จะมีความต้องการมากเพียงใดให้ราคาสูงสักเพียงไหนก็ตาม มณีปุระก็จำกัดการส่งออกอัญมณีไว้ ด้วยกุศโลบายอันชาญฉลาดขององค์เหนือหัวที่ต้องการรักษาค่าของเพชรสีน้ำเงินนี้ให้มากที่สุด อีกทั้งการส่งออกอัญมณีอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นแซฟไฟร์หรือทับทิม หยกก็เพียงพอต่อการนำมาทำนุบำรุงสุขของประชากรแห่งมณีปุระทั้งประเทศแล้ว

ประชาชนแห่งประเทศนี้จะได้รับการศึกษาสูงสุดเท่าที่ต้องการโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทุกๆปีมณีปุระจะจัดจ้างชาวต่างประเทศมาเพื่อสอนศาสตร์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นภาษา คอมพิวเตอร์ เครื่องจักรกลหรือแม้แต่ศิลปะให้กับชาวเมืองที่ประสงค์อยากจะเรียนเพื่อให้ประชาชนรู้เท่าทันสังคมโลก ไม่มีใครไม่รู้หนังสือและไม่มีใครพูดได้เพียงภาษาเดียวและศิลปะการดนตรีคือสันทนาการยามว่างของผู้คนส่วนมาก เด็กผู้ชายจะเข้าใจโน็ตดนตรีก่อนอ่านหนังสือออกเสียอีก ส่วนเด็กหญิงจะได้รับการฝึกฝนศิลปะการทอผ้าลวดลายวิจิตรด้วยลายที่เรียกกันว่าเกลียวคลื่น การทอลักษณะนี้ ไม่ได้ใช้กระสวยพุ่งแบบปกติ แต่ใช้กระสวยสีต่างๆทอลายโดยเฉพาะ การทอผ้ากว้าง 1.25 หลา จะต้องใช้ช่างทอถึง 3 คนในการทอ คอยตรวจดูว่าลวดลายที่ทอนั้นถูกต้องหรือไม่โดยใช้กระจกบานเล็กๆส่องดูด้านล่างของผ้า ช่างทอ 3 คนอาจต้องใช้เวลานานถึง 2 เดือนในการทอผ้าให้ได้ความยาว 2 หลา ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของลวดลาย บางลวดลายที่มีความประณีตสวยงามมากอาจต้องใช้กระสวยถึง 200 – 300 อันเลยทีเดียวในการทอผ้าหนึ่งชิ้น

การปกครองแห่งมณีปุระเป็นการปกครองแบบพระราชากับประชาชน แบ่งออกเป็นกระทรวงเพียงห้ากระทรวงเท่านั้น มีกลาโหม สาธารณสุข ศึกษาธิการ การต่างประเทศและการคลัง แต่ละกระทรวงจะมีเจ้ากระทรวงในตำแหน่งเสนาบดีเป็นผู้ดูแล โดยเสนาบดีทั้งห้ากระทรวงจะถวายรายงานแด่องค์เหนือหัว พระราชาแห่งมณีปุระประเทศ ด้วยความเข้มแข็งแห่งการดำรงพระราชอำนาจบริหารประเทศและการยึดหัวใจประชาชนเป็นหลักในการบริหาร จึงทำให้พระราชตติวงศ์แห่งนี้อยู่กลางใจประชาชนมาตลอด

ประเทศชาติจะเกรียงไกรด้วยพระราชาที่สง่างาม นี่คือคำมั่นที่ยึดถือในดวงใจชาวมณีปุระทุกๆคน นานกว่าพันปีหรือสิบชั่วอายุคนที่สายเลือดแห่งกษัตริย์นักรบที่เกรียงไกรได้สืบทอดมา ผู้ที่จะขึ้นมาเป็นองค์รัชทายาทนั้นจะถูกฝึกพระองค์ให้เข้มแข็ง แข็งแกร่ง ไม่ลดละในทุกด้านในทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นด้านการทหาร การกีฬา อักษรศาสตร์ นิติศาสตร์ การทูต และจิตวิทยา หากได้กษัตริย์ที่ดีเข้มแข็ง ฉลาดหลักแหลม มณีปุระประเทศก็จะเข้มแข็งเท่านั้น

การดูแลและฝึกฝนองค์รัชทายาทจะถือเป็นหัวใจสำคัญอันหนึ่งในการบริหารบ้านเมือง ต้องมีการประชุมวางแผนและรายงานความคืบหน้าทุกเดือน และวันนี้ก็เป็นวันที่มีการประชุมซึ่งพระพี่เลี้ยงต้องเข้าร่วมประชุมด้วย จึงฝากฝังนางกำนัลให้คอยดูแลหลานสาวอย่าให้เล่นซุกซน แต่กระนั้นเด็กหญิงก็หลบพวกนางกำนัลสาวๆที่มักสนุกกับการพูดคุยหยอกล้อกันเองและติดตามเจ้าชายของเธอมาที่พระราชอุทธยานแห่งนี้

“สิมาจะดูแลเจ้าชาย จะทำอาหารอร่อยๆให้เจ้าชาย” เด็กหญิงสิรินมาเอ่ยเสียงแจ้ว “เจ้าชายสัญญานะคะว่าจะให้สิมาเป็นราชินีของเจ้าชาย”

“ไม่ละ ราชินีมอมแมมแบบนี้ไม่อยากได้หรอก” เจ้าชายอามีทีลทรงแกล้งทำพระพักตร์เบื่อหน่าย จนอีกฝ่ายเริ่มเสียงสั่น น้ำตาคลอ แบบนี้ทุกทีสิ ยัยสิมา ชอบใช้น้ำตาเป็นอาวุธ “ถ้าอยากเป็นราชินีต้องไม่ร้องไห้ด้วย” ทรงทำพักตร์ดุใส่ “แล้วจะให้เป็น”

ยังไม่ทันขาดคำก็มีเสียงเรียกแว่วๆดังใกล้เข้ามา

“สิมา สิมา” เสียงเรียกดังขึ้นพร้อมเสียงก้าวเท้าสวบสาบตามมา “อยู่นี่เอง อุ๊ย...องค์ชาย” นางกำนัลตัวสั่นรีบย่อกายลงเมื่อเห็นเจ้าชายอามีทีลประทับอยู่ด้วย “พระพี่เลี้ยงให้ตามสิมากลับเพคะและองค์เหนือหัวทรงมีรับสั่งให้องค์ชายเข้าเฝ้าเพคะ”

“ประชุมเสร็จแล้วรึ” สุรเสียงเข้มขรึมเกินวัย เฉพาะกับเพื่อนสนิทอย่างสิรินมาเท่านั้นหรอกที่องค์ชายจะทรงผ่อนคลายและปล่อยพระองค์ให้เป็นธรรมชาติ หากแต่กับคนอื่นๆแล้ว ดูเหมือนพระองค์จะเป็นองค์รัชทายาทที่เข้มแข็งและอ่านยาก สายพระเนตรที่ดุเข้มราวอ่านใจคนเบื้องหน้าทะลุเบื้องหลังทำให้หลายๆคนตัวสั่นเมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์

“แล้วแล้วเพคะ” นางกำนัลก้มหน้าตอบ ตามกฎราชสำนัก ผู้ใดจะแหงนเงยหน้ามองดูองค์เหนือหัวและรัชทายาทไม่ได้เลยด้วยซ้ำแต่นั่นไม่เคยมีใครถูกควักลูกตาสักคนเดียวนะ

“งั้นเจ้าจงพาสิมาไปส่งให้พระพี่เลี้ยงเถิด” เจ้าชายอามีทีลทรงประทับยืนด้วยท่วงท่าสง่างามเกินพระชันษา ก่อนจะสืบพระบาทดำเนินไปอีกทาง ล่วงเข้าสู่เขตตำหนักเหนือแห่งพระราชวังหลวงมณีปุรี

พระราชวังมณีปุรีที่ตบแต่งสลักเสลาด้วยลวดลายวิจิตร ผนังและกรอบทวารสีหบัญชรตบแต่งประดับด้วยอัญมณีล้ำค่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนตั้งตระหง่านเมื่อผ่านพ้นแนวต้นไม้ เคยมีผู้กล่าวขานว่าหากทัชมาฮาลเป็นดังสุสานสถาปัตยกรรมหินอ่อนที่งดงามที่สุดในโลก พระราชวังมณีปุรีก็คงจะเป็นบ้านสถาปัตยกรรมอัญมณีที่งดงามที่สุดในโลกเช่นกัน แล้วหากใครได้ขึ้นไปบนยอดเขาที่สูงกว่าพระราชวังมณีปุรีมองลงมายังพระราชวังในยามกลางวันแลกลางคืน จะเห็นเป็นดังแสงสีรุ้งเพริศพริ้งแห่งอัญมณีที่สะท้อนแสงอาทิตย์แสงจันทร์งามจับใจ แต่ใช่ว่าจะเห็นกันได้ง่ายๆด้วยนครหลวงแห่งมณีปุระก็ตั้งอยู่บนไหล่เขาสูงตระหง่านอันเป็นแนวเทือกเขาเดียวกับหิมาลัย ดังนั้นหนทางที่จะขึ้นสู่ยอดเขาสูงกว่าพระราชวังมณีปุรีเห็นจะมีแต่ทางเฮลิคอปเตอร์สู่ยอดเขามณีปุระเท่านั้น ซึ่งนั่นก็แพงโขอยู่แต่ก็มีนักท่องเที่ยวยอมจ่ายเพียงเพื่อเห็นประสาทสีรุ้งนี้ครั้งหนึ่งในชีวิตอยู่เนืองๆ

นักท่องเที่ยวที่ปรารถนาจะเข้าประเทศมณีปุระแห่งนี้ต้องมีเงินมากเป็นพิเศษด้วยว่า มณีปุระจำกัดนักท่องเที่ยวเพียงปีละพันคนเท่านั้น และผู้ที่จะขอวีซ่าเข้าประเทศต้องขอมาเป็นหมู่คณะไม่ต่ำกว่าสี่คนและไม่มากกว่าสิบคนต่อคณะ ทั้งวีซ่าก็อยู่ได้ไม่เกินสิบวันเท่านั้นและโรงแรมที่พักเองก็เป็นโรงแรมชั้นหนึ่งที่มีให้บริการเพียงสองโรงแรมเท่านั้น คือที่เมืองหลวงและเมืองจันจุฬา ค่าที่พักอาหารการกินของนักท่องเที่ยวก็แพงระยับเช่นกัน รายได้จากนักท่องเที่ยวจะถูกนำมาจัดสรรให้แต่ละครอบครัวอย่างเท่าเทียมกันในเขตชุมชนนั้นๆ กระนั้นชาวยุโรปมากต่อมากที่ได้เคยมาและกลับไปกล่าวขานว่า ต้องมาเยือนมณีปุระให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต

เจ้าชายอามีทีลประทับทอดพระเนตรไปที่ตัวเมืองอันปรากฏแก่สายพระเนตรเมื่อยืนอยู่หน้าระเบียงห้องทรงงานแห่งองค์พระประมุข ด้วยพระราชวังมุณีปุระตั้งอยู่บนไหล่เขาแลมองลงมาตามไหล่เขาที่ลดหลั่นกันมาจะเห็นพระนคร บ้านเรือนผู้คนเรียงรายตามลาดเขาอย่างงดงาม หากแต่วันนี้เมืองที่เคยมีผู้คนเดินไปมาขวักไขว่กลับเงียบเหงาอย่างน่าแปลกใจ

ไม่กี่นาทีทหารในชุดเครื่องแบบมหาดเล็กสีน้ำเงินทูลเชิญเสด็จมายังด้านในพระตำหนักแห่งองค์เหนือหัว

“เสด็จพ่อมีรับสั่งให้ลูกเข้าเฝ้า” เจ้าชายอามีทีลเอ่ยเชิงถามเมื่อทรงย่อพระวรกายถวายบังคมแด่องค์เหนือหัว พระราชาเอยูรีล ผู้ทรงประทับเอนกายอยู่บนโซฟาสีขาวนวลตัดขอบทองหน้าเตาผิงขนาดใหญ่ด้วยสีพระพักตร์ไม่สู้ปกตินัก

“พ่อจะให้ลูกไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ลูกจงเตรียมตัวเถิด เพราะจะต้องออกเดินทางไปในคืนนี้”

“ทำไมละเสด็จพ่อ ตามกฎมณเฑียรบาล องค์รัชทายาทจะออกจากประเทศไม่ได้ไม่ใช่หรือพระเจ้าข้า”

กฎมณเฑียรบาล องค์รัชทายาทไม่อาจจะออกนอกประเทศได้ด้วยเกรงว่าอาจจะมีผลต่อการปกครองต่อไปหากองค์รัชทายาทมีภัย ดังนั้นองค์รัชทายาทจึงไม่สามารถเสด็จไปได้ไกลเกินกว่าแคว้นใกล้เคียงที่เรียกว่า The Three Sisters ได้

“สถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีนัก มีสงครามกองโจรที่คอยปล้นชาวบ้านและปลุกระดมเรียกร้องเปลี่ยนแปลงการปกครอง ลูกจะต้องไปอยู่ที่อื่นสักพักจนกว่าหมดเรื่องยุ่งๆแล้วจึงกลับมา”

“แต่ว่า...ถ้าลูกไปแล้วใครจะคอยดูแลเสด็จพ่อ...ใครจะอยู่คอยอ่านหนังสือให้เสด็จพ่อฟังในยามค่ำ”

“อย่ากังวลไปเลย อามีทีล ลูกจงไปเถอะแล้วร่ำเรียนมาเพื่อพัฒนาประเทศเรา ตอนนี้กระแสโกบอลไลซ์กำลังไหลบ่าเข้ามาอย่างรุนแรง เราจึงต้องรู้ทันและเตรียมตัวรับมือ พ่อจะได้นอนตายตาหลับหากลูกของพ่อจะเป็นพระราชาแห่งประชาชน เพื่อประชาชนแห่งมณีปุระ จงอย่าถามอะไรมากหากเจ้าต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง จงเชื่อฟังท่านอิมผาประหนึ่งเชื่อฟังพ่อ ท่านอิมผาจะไปกับเจ้าด้วย”

พระราชาเอยูรีลเอื้อมพระหัตถ์แตะที่พระอังสาองค์ชายน้อย “จงรักษาตัวให้ปลอดภัยที่สุดเพื่อมณีปุระ สัญญากับพ่อ” สายพระเนตรที่เต็มไปด้วยความห่วงอาทรมีอัสสุชลคลอคลองก่อนที่องค์สมเด็จเอยูรีลจะเบือนพระพัตร์หนีไปอีกข้างด้วยขัตติยะ “ไปเตรียมตัวเถิด”

“เสด็จพ่อ” องค์ชายน้อยโผเข้ากอดพระวรกายหนาของพระบิดาพร้อมเสียงสั่นเครือ “ลูกไม่ไป ลูกไม่อยากจากเสด็จพ่อไปไหน” สัญชาตญาณบางอย่างทำให้องค์รัชทายาทรับรู้ถึงความผิดปกติ พระชนกไม่เคยมีท่าทีเข้มแข็งสลับอ่อนแอเช่นนี้มาก่อน จะมีเหตุใดหนอ

“ฟังพ่อ” องค์พระเหนือหัวเอื้อมพระหัตถ์ดึงวรกายที่โอบพระองค์ไว้แน่นออกห่าง สบพระเนตรเข้ม “เจ้าจำสัตย์ปฏิญาณตอนที่เจ้ารับตำแหน่งองค์รัชทายาทเมื่อปีก่อนได้ไหม เจ้าจะทำทุกอย่างเพื่อความรุ่งเรืองมั่นคงแห่งมณีปุระ ไม่ว่าจะทุกข์ยากลำบากเพียงใด และตอนนี้มณีปุระกำลังต้องการให้เจ้าทำแบบนั้น กษัตริย์ตรัสแล้วย่อมไม่คืนคำ”

“ก็ลูกยังไม่ได้เป็นกษัตริย์นี่”

“อีกไม่นาน จงไปเถิดลูกรักของพ่อแล้วกลับมาอีกครั้งเพื่อสร้างความรุ่งเรืองแด่มณีปุระ มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่เป็นความหวังของประชาชนและประเทศชาติ” ทรงโอบกอดร่างของพระโอรสแน่นอีกครั้งก่อนจะทรงผละออกอย่างตัดพระทัย “นิกซัม จงนำเสด็จองค์รัชทายาทเตรียมตัวเถิด” แล้วพระองค์สมเด็จเหนือหัวก็ผินพระปฤษฎางค์(หลัง)ให้ทันที

องค์รัชทายาทรู้แจ้งแก่พระทัยองค์เองว่าว่าหากพระราชาเอยูรีลทรงตั้งพระทัยแล้วก็ยากที่จะเปลี่ยนพระทัยพระราชบิดาได้ ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายลงเบื้องพระพักตร์โดยเฉพาะหากสิ่งนั้นเป็นไปเพื่อประเทศมณีปุระแห่งพระองค์ เจ้าชายอามีทีลทรุดวรกายลงพร้อมถวายบังคมเบื้องพระบาทแห่งพระชนก แม้พระองค์จะถูกฝึกฝนใจให้เข้มแข็งเพียงใด แต่พระชันษาเพียงสิบขวบก็ไม่อาจกลั้นพระอัสสุชลได้ พระอุระสะท้อนสั่นด้วยแรงสะอื้นก่อนจะเปล่งเสียงได้ในแต่ละคราอย่างยากเย็น

“ลูกขอถวายบังคมลาเสด็จพ่อ ขอเสด็จพ่อทรงรักษาพระวรกาย ลูกจะไม่ลืมคำสัตย์ที่ได้ให้ไว้แก่เสด็จพ่อและประชาชนแห่งมณีปุระ ลูกขอสัญญา”

ทรงกลืนก้อนสะอื้นที่แร่นลิ่วขึ้นมาด้วยขัตติยะ พระราชบิดาไม่โปรดที่พระองค์จะทรงอ่อนแอ เจ้าชายอามีทีลทรงแตะพระหัตถ์พระชนกอีกครั้งก่อนจะทรงดำเนินออกไป

เมื่อเสียงพระทวารปิดลง พระวรกายแห่งองค์สมเด็จพระราชาแห่งมณีปุระก็ทรุดฮวบลงพร้อมพระอัสสุชลที่ไหลอาบพระปราง สุรเสียงสั่นเครือ “จงรักษาตัวเพื่อมณีปุระเถิด ลูกพ่อ”

ทุกอย่างดูสับสนโกลาหลสำหรับองค์ชายน้อยยิ่งนัก พระองค์ต้องเสด็จขึ้นประทับบนเครื่องบินเล็กๆที่สนามบินลับด้านหลังพระราชวัง สนามบินแห่งนี้สร้างไว้อย่างลับๆในช่วงสมัยกษัตริย์องค์ก่อนๆ เส้นทางไปสู่สนามบินนั้นเป็นอุโมงค์ใต้ดินคดเคี้ยวที่ใช้แรงคนขุดในช่วงกลางคืนแต่ใหญ่พอที่รถบรรลุกแล่นได้อย่างสบายๆ ใช้เวลาขุดนานกว่าสิบปีในระยะทางเพียง 7.5 กิโลเมตรก่อนจะโผล่ขึ้นมาตรงใจกลางสนามบิน

ชาวมณีปุระเป็นชนชาติที่ฉลาดและอันตรายสำหรับศัตรูยิ่ง ในช่วงสมัยสงครามล่าอาณานิคม ชาวอังกฤษที่บังเอิญผ่านมาแถบนี้และหวังยึดครองเอาง่ายๆด้วยกำลังทหารและอาวุธปืน แต่เพียงชาวมณีปุระชำเลืองอาวุธปืนของชาวอังกฤษเท่านั้นก็สามารถสร้างเลียนแบบและใช้โต้ตอบคืนชาวอังกฤษได้อย่างเจ็บแสบ จนคนผิวขาวนักล่าอาณานิคมต้องยอมจำนนและยอมรับนับเอามณีปุระเป็นมิตรประเทศด้วย ตำนานนักล่าหัวคนของมณีปุระก็ยังคงข่มขวัญคนขาวต่อไปทุกครั้งที่ผ่านเข้าประเทศ ต้นไม้ที่นักรบสมัยโบราณใช้แขวนหัวศัตรูยังคงถูกรักษาไว้อย่างดีทุกสนามบิน เมื่อโผล่ขึ้นมาจากอุโมงค์ลับก็มีต้นไม้นี้เป็นกำบังอย่างดี

จะด้วยความเป็นประเทศที่ผ่านกรำศึกสงครามจากการช่วงชิงดินแดน มณีปุระจึงได้เรียนรู้สร้างสรรค์วิธีการแลเทคโนโลยี่ใหม่ทางการทหารตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นข่าวกรอง การวางแผน เส้นทางหลบภัยก็เป็นส่วนหนึ่งของมณีปุระยามฉุกเฉินเช่นกัน

ทันทีที่เครื่องบินเล็กที่องค์รัชทายาทประทับเหินขึ้นสู่ท้องฟ้าในยามค่ำ เสียงยิงกระสุน เสียงระเบิดก็ดังกึกก้องทั่วเมืองมณีปุรี ไฟสีส้มฉานลุกโพลงตัดกับความมืด หมู่ดาว เทือกเขาสีขาวโพลน

พระอัสสุชลองค์ชายน้อยไหลพรากอย่างมิอาจกลั้นได้อีกครั้ง “เสด็จพ่อ” พระสุรเสียงราวกระซิบ

ท่านเสนาบดีกลาโหมย่อถวายบังคมก่อนทรุดลงนั่งที่เก้าอี้ผู้โดยสารตรงข้ามองค์รัชทายาท สีหน้าของเสนาบดีนิ่งงัน ดวงตามีแววเจ็บปวด

“ทรงรับพระราชโองการพระเจ้าข้า” ท่านเสนาบดีเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน “ในรัชกาลสมัยแห่งพระกษัตริย์เอยูรีล ปีที่สิบเจ็ดแห่งรัชกาล ขอแต่งตั้งองค์รัชทายาทอามีทีล รัชทายาทอันดับที่หนึ่งขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งมณีปุระ องค์ใหม่ และตามกฎมณเฑียรบาล พระกษัตริย์องค์ใหม่ต้องถวายสัตย์ปฏิญาณตนต่อหน้าผู้แทนประชาชน ผู้แทนเสนาบดี และมงกุฎแห่งมณีปุระ”

“รับพระราชโองการ” เหล่าผู้คนบนเครื่องต่างก้มกายลงแทบพระบาท อิมผา เสนาบดีกลาโหมจึงกล่าวต่อว่า

“บัดนี้เบื้องพระพักตร์ ท่านกฤษณะ สมุหนายกผู้แทนแห่งปวงชนมณีปุระ” เขาผายมือไปทางสมุหนายกที่ยังคงคุกเข่าเบื้องหน้า “และข้าพเจ้า อิมผา ผู้แทนเสนาบดี พร้อมพระมงกุฎแห่งมรีปุระก็อยู่พร้อมกันตรงนี้แล้ว ขออัญเชิญพระองค์ทรงให้สัตย์ปฏิญาณเถิดพระเจ้าข้า”

เจ้าชายอามีทีลได้ทรงแจ้งแก่พระทัยแล้วว่า บัดนี้พระชนกคงจะ... และทรงยินยอมที่จะสละพระองค์เองเพื่อปกป้ององค์ชาย ...สิ้นแล้ว พระแก้วขวัญแห่งผองชนมณีปุระ

“เราจะปกครองปกป้องมณีปุระด้วยเลือดและชีวิต เราจะนำความสุขสู่ประชาชนก่อนความสุขแห่งเรา เราจะทำเพื่อประชาชนมณีปุระดุจดั่งพระกษัตริย์องค์ปฐมที่ทรงให้สัญญาประชาชนว่า จะนำความสุขสงบสู่ทุกผู้ที่ติดตามมาสู่มณีปุระประเทศ”

พระสุรเสียงก้องกังวานดุจคำมั่น

เหล่าคนที่อยู่เบื้องหน้าสี่ห้าคนก้มลงกราบถวายบังคม เสนาบดีกลาโหมถวายพระมงกุฎ พระราชาน้อยเอื้อมพระหัตถ์หยิบมงกุฎที่มีเพชรสีน้ำเงินเลอค่าทรงที่พระเศียร พระมงกุฎหนักอึ้งกดทับที่พระเศียรประหนึ่งย้ำเตือนพระราชาน้อยองค์ใหม่ว่า ยังมีภาระอันใหญ่หลวงรอคอยพระองค์เบื้องหน้า ทรงฝืนพระเศียรตั้งตรงอย่างสง่างามเกินพระชันษา บัดนี้มณีปุระจะเป็นเช่นไรขึ้นอยู่กับพระองค์แล้ว

“ท่านอิมผา จงเล่าเรื่องทุกอย่างให้ข้าฟัง” สีพระพักตร์เคร่งขรึมแบบผู้ใหญ่ที่ปรึกษาข้อราชการกับเหล่าเสนาอำมาตย์

“พระอนุชาเนอซัมทรงก่อการกบถ โดยดำเนินการมาระยะหนึ่งแล้วโดยการก่อกวนปล้นชาวบ้านพร้อมรีดไถประชาชนอ้างว่าเป็นคำสั่งจากองค์เหนือหัวเพื่อสร้างความเกลียดชังให้แก่ประชาชน จากนั้นได้ทรงเป็นแปลงตำแหน่งเหล่าเสนารักษ์ที่คุมกำลังพลชายแดนให้เป็นคนของตน และแอบซื้อขายอาวุธลับๆกับประเทศเพื่อนบ้าน”

“เรื่องนี้พระราชบิดาไม่รู้กระนั้นหรือ” ทรงขมวดพระขนง สมเด็จอาว์ของพระองค์ผู้ทรงชื่นชอบเกษมสำราญเพียงนารีและการดนตรี ทำไมจึงจะสามารถคิดวางแผนการใหญ่ก่อการกบถได้ถึงเพียงนี้

“ทรงทราบความเรื่องนี้ดีพระเจ้าข้า และทรงรับสั่งจับกุมองค์เนอซัมมาสอบสวน แต่องค์เนอซัมอ้อนวอนขอให้พระองค์เห็นแก่ความเป็นพี่น้องและสืบเชื้อสายกษัตริย์เช่นกัน ขอให้พระองค์ทรงประทานเมตตาผ่อนโทษและพระองค์ก็ทรงโปรดเมตตาต่อองค์เนอซัมเสมอมา จึงไม่อาจลงโทษได้จนเป็นเหตุให้องค์เนอซัมก่อการในคืนนี้ นอกวังมีทหารของพวกกบถล้อมเอาไว้ ส่วนทหารฝ่ายของเราก็เข้ามาถึงเมืองหลวงไม่ได้เนื่องจากช่วงเดือนนี้เป็นช่วงลมบูรพา การจะเคลื่อนพลผ่านคอคอดฝั่งตะวันออกจะเป็นได้อย่างยากเย็นและไม่ทันกาล กระหม่อมจึงทูลเชิญเสด็จลี้ภัยก่อน แต่องค์เหนือหัวเกรงว่าหากพระองค์ลี้ภัยเฉพาะพระองค์และเจ้าชาย ผู้คนที่รับใช้ในวังจะเป็นอันตรายจึงตัดสินพระทัยที่จะอยู่เผชิญหน้าด้วยคิดว่าจะเจรจากับฝ่ายกบถ และอีกอย่างพระองค์ทรง...ห่วง...” น้ำเสียงอิมผาสั่น แม้จะเป็นทหารกล้าเยี่ยงนักรบแต่ก็สะเทือนใจไม่ได้ “ทรงห่วงข้าราชบริพารของพระองค์ทุกคน จนไม่ยอมละทิ้ง แต่ให้กระหม่อมนำเสด็จองค์ชายไปยังที่ปลอดภัย และถวายการอารักขาองค์ชายด้วยชีวิต”

“ท่านอิมผา แล้ว...ครอบครัวท่านเล่า” พระราชาอามีทีลนึกถึงภาพครอบครัวเสนาบดีอิมผา อันประกอบด้วยภรรยาและบุตรสาวที่ยังเล็ก

“หากมีวาสนาคงได้กลับมาพบกันอีกพระเจ้าข้า” ครานี้น้ำเสียงนักรบแกล้วกล้าสะท้านทรวง

“เราเป็นหนี้บุญคุณท่านและครอบครัว” ทรงรำพึงกับพระองค์เองด้วยเสียงแหบแห้ง

“ไม่ได้พระเจ้าข้า ต้นตระกูลของหม่อมฉันรอดตายมาได้เมื่อหลายร้อยปีก่อนด้วยองค์สมเด็จพระราชาแห่งมณีปุระ เราจึงมีคำสั่งสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นว่าการปกป้ององค์ราชาแห่งมณีปุระเป็นภาระหน้าที่แห่งบุตรหลานในตระกูล” ดวงตาที่สบเป็นดวงตาแห่งคำมั่น

อามีทีลพยักหน้าน้อยๆไม่มีถ้อยคำใดอาจจะเอ่ยได้อีกยามนี้

“เราจะบินไปที่อังกฤษ พระองค์จะอยู่ในนามสามัญชน นามธีรัส เรียนในโรงเรียนและใช้ชีวิตเช่นเด็กปกติจนกว่าจะเจริญพระชันษาเพื่อกลับมามณีปุระอีกครั้ง”

“แล้วเจ้าอาว์จะไม่ตามหาตัวเราหรือ”

“คงไม่พระเจ้าข้า ตอนที่พระองค์ทรงพระประสูติกาล มณีปุระเองก็จะคัดเลือกเด็กที่มีหน้าตาละม้ายพระองค์ทุกปีอย่างลับๆ เพื่อแทนพระองค์ในยามฉุกเฉิน”

“ถ้าเช่นนั้น...เด็กคนที่ไปแทนข้าที่วังก็ต้อง...” ทรงกล้ำกลืนลงอย่างยากลำบาก

“ทุกคนหรือครอบครัวที่ส่งลูกเข้ามาต่างพร้อมยินดีและเต็มใจในเกรียติอันสูงสุดที่ได้ปกป้ององค์รัชทายาทพระเจ้าข้า” อิมผาทูลเพื่อให้คลายพระทัย

“เราเป็นหนี้พวกเขาอีกเช่นกัน ท่านอิมผา...เราสัญญาอีกครั้งว่าจะไม่ให้การเสียสละของผู้คนเพื่อเราสูญเปล่าแน่นอน” ถ้อยคำมั่นที่ทรงให้อีกครั้งครานี้น้ำตาแห่งผู้ภักดีที่ยังคงเฝ้าอยู่เบื้องพระบาทล้วนคลอคลอง ...พระบาทแกล้วกล้าแห่งมณีปุระ




 

Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2552
3 comments
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2552 12:09:54 น.
Counter : 336 Pageviews.

 

พอเริ่มเรื่องก็ชวนให้ติดตามตอนต่อไปแล้วละ
มาอัพบ่อยๆนะคะ จิ๊บคอยอ่าน

 

โดย: จุ๊บจิ๊บ IP: 125.26.148.68 11 กุมภาพันธ์ 2552 22:46:03 น.  

 

ขอบคุณสำหรับกำลังใจเสมอมาค่ะ พี่จะพยายามให้ถึงที่สุดค่ะ หวังว่าเรื่องไม่หนักไปนะคะ

 

โดย: สาวช่างถาม IP: 124.121.241.135 13 กุมภาพันธ์ 2552 22:33:30 น.  

 

จาคอยมาอ่านนะคะ พี่ริสา

 

โดย: น้องพีน IP: 118.173.98.72 22 กุมภาพันธ์ 2552 22:14:36 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


สาวช่างถาม
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




Friends' blogs
[Add สาวช่างถาม's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.