|
เมืองจักรยานที่เคยอยู่ ถ้าไม่นับที่เคยขี่จักรยานเที่ยวเล่นสมัยยังเด็ก ผมมาใช้จักรยานอย่างจงใจจะให้เป็นพาหนะเอาเมื่ออายุย่างเข้า 30 สาเหตุเพราะมีอันให้ไปเป็นกระเหรี่ยงต่างแดนอยู่ในเขตชานเมืองของเมืองที่ชาวบ้านชาวช่องเขาเรียกอย่างภาคภูมิใจว่าเป็น "เมืองหลวงของจักรยาน" เมืองที่ว่า คือ Christchurch ประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อสมัยที่ผมไปตกระกำลำบากอยู่แถวนั้น เจ้าของบ้านเมืองพูดกันว่าทั้งประเทศมีประชากรแกะมากกว่าประชากรมนุษย์เสียอีก (อันที่จริงประชากรทั้งประเทศ ณ เวลานั้นเท่ากับประชากรในกรุงเทพฯ พอดี) พื้นที่แถบนั้นหรือก็แสนจะราบเรียบ ย่านชานเมืองเป็นฟาร์มแกะและตัวเมือง (หมู่บ้าน) เล็กๆ แต่ถนนหนทางไปมาสะดวก ความที่คนน้อยกว่าแกะ ถนนเลยพลอยว่าง ประกอบกับน้ำมันแพงเพราะประเทศนี้เป็นเกาะอยู่ไกลผู้ไกลคน ประชาชนที่นี่จึงพึ่งพาจักรยานเป็นพาหนะหลักในการเดินทางระยะใกล้ เรียกกันว่าเป็นวัฒนธรรมประจำเมืองเลยก็ว่าได้ ย่านชุมชน หน้าศูนย์การค้า ย่านธุรกิจ โบสถ์ สวนสาธารณะ ทุกแห่งมีที่จอดจักรยาน และมีจักรยานไปจอดเรียงราย ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นคนสวมกางเกงขี่จักรยานเดินตามถนนหรือเข้าร่วมกิจกรรมที่ไม่ต้องแต่งกายอย่างเป็นทางการมาก อันที่จริงมีสาวมั่นเพื่อนร่วมรุ่นของผมคนหนึ่งสวมกางเกงจักรยานขาสั้นเข้าห้องเรียนด้วยซ้ำ แต่เมืองนี้ไม่มีทางเฉพาะจักรยาน ปัจจุบันอาจจะมีแล้ว แต่เมื่อครั้งกระโน้นไม่มีแน่ๆ เพื่อนผมที่มาจากยุโรปและคุ้นเคยกับการมีทางจักรยานเคยถามเจ้าถิ่นว่าทำไมที่นี่ไม่มีทางจักรยาน คนถูกถามทำหน้ากวนๆ แล้วบอกว่า ที่นี่เป็นเมืองหลวงของจักรยาน จักรยานเป็นใหญ่ คนขับรถให้ความเกรงใจ นัยยะของคำตอบนั้นก็คือ คนขับรถให้ความเคารพต่อสิทธิของการใช้ถนนร่วมของคนขี่จักรยาน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีทางจักรยานให้เปลืองงบประมาณ แล้วปลอดภัยไหม ขี่จักรยานอยู่แถวนั้นเป็นนาน โดนรถยนต์ปาดหน้าครั้งเดียว สาเหตุเพราะผมดันจะตามน้ำฝ่าไฟแดงด้วยความเคยชินแบบไทยๆ ประเด็นที่น่าสนใจที่อยากเขียนถึงตรงนี้คือ ถ้าเมืองไทยจะมีเมืองจักรยานบ้าง บรรยากาศควรจะเป็นอย่างไร ข้อแรกที่ควรจะเป็นเลยคือ ประชากรส่วนใหญ่มีความเห็นว่าจักรยานก็เป็นพาหนะหลักชนิดหนึ่งในการเดินทาง ไม่ใช่ของเล่นหรือเครื่องออกกำลังกาย ข้อที่สองคือ โครงสร้างของเมืองต้องเอื้อต่อการเดินทางด้วยจักรยาน เมืองไม่ควรมีศูนย์กลางอยู่ที่เดียว แต่ควรจะกระจายย่านธุรกิจออกเป๋็นหย่อมๆ ล้อมรอบด้วยย่านที่พักอาศัย ที่พักอาศัยและทำเลธุรกิจควรจะอยู่ในรัศมี 20 กิโลบวกลบนิดหน่อยเป็นอย่างสูง เพื่อเอิ้อให้คนสามารถเดินทางด้วยจักรยานได้ มากกว่านี้มันพ้นวิสัยที่คนสุขภาพโดยเฉลี่ยทั่วไปจะใช้จักรยานเป็นพาหนะในการไปทำงานหรือไปจับจ่ายซื้อของหรือทำกิจวัตรประจำวันประการอื่นได้ และหากต้องการหรือมีความจำเป็นที่จะเดินทางไปยังส่วนอื่นของเมือง ต้องมีระบบขนส่งมวลชนที่ดีพอจะทำได้ ข้อที่สามคือวัฒนธรรมองค์กรทั้งหมดในเมืองต้องยอมผ่อนคลายเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมที่ต้องเป๊ะตลอดเวลาลงบ้าง เอาแต่เพียงพอดีๆ เปิดโอกาสให้คนที่ขี่จักรยานได้พกพาเสื้อผ้ามาอาบน้ำแต่งตัวในที่ทำงานได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะโดนบอสเล่นงานเรื่องเสื้อยับหรือทรงผมไม่เป็นระเบียบ ถ้าได้อย่างนี้คนจะกันมาใช้จักรยานเป็นพาหนะกันมากขึ้น เกื้อหนุนให้เกิดสภาพของเมืองจักรยานขึ้นมาเอง ส่วนการตีเส้นแบ่งเลนจักรยานและโหมโฆษณานั้น ไม่ได้ทำให้เมืองเป็นเมืองจักรยานขึ้นมาได้แน่นอน |
Link |