|
▶▶▶ ประชาชนรู้สึกสับสนวิธีทำงานของ 2 หน่วยงานรัฐ ???
การตั้งข้อหาใดก็ตาม ในวิชากฎหมายเบื้องต้น กล่าวว่าองค์ประกอบสำคัญในการตั้งข้อหาคือ
1. ต้องมีการกระทำผิดที่ชัดเจน 2. ต้องมีหลักฐานที่ชัดเจน 3. ต้องมีลำดับเวลาเหตุการณ์ที่ชัดเจน 4. ต้องมีพยานที่น่าเชื่อถือ
เพราะสิ่งเหล่านี้ คือการแสดงสภาพแห่งข้อหาอย่างชัดเจน ว่าบุคคลนั้นกระทำความผิดจริง
การตั้งข้อสงสัยโดยการกล่าวหาลอยๆ โดยขาดหลักพื้นฐานนี้ เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้
เพราะจะทำให้ประชาชนเดือดร้อน จากหลักการพื้นฐานนี้ สิ่งที่ประชาชนเห็น และเปรียบเทียบได้ชัดเจนจากการทำงาน ของ 2 หน่วยงานรัฐ ในการสืบสวนคดีเดียวกันก็คือ
หน่วยงานหนึ่ง เวลาแถลงข่าวแต่ละครั้ง จะใช้วิธีกล่าวหานำไปก่อน โดยไม่มีพยานและหลักฐาน
ที่เป็นสาระสำคัญของคดี มาแสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่สังคม ทำให้ภาพที่ออกมาดูไม่ต่างจากการกล่าวหาลอยๆ เพื่อทำลายชื่อเสียง ทำให้ผู้ถูกล่าวหาตกเป็น "แพะ" ของสังคม ตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ขณะที่อีกหน่วยงานหนึ่ง เวลาแถลงข่าวแต่ละครั้ง จะต้องมีทั้งพยานและหลักฐานที่ใช้เป็นสาระสำคัญของคดีได้
ทำให้ประชาชนรู้สึกได้ว่า การทำงานมีหลักการ การปฏิบัติงานมีหลักเกณฑ์ ให้การคุ้มครองว่า ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์ตามหลักสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่การกล่าวหาลอยๆ เพื่อทำลายชื่อเสียง ทำให้ผู้ถูกกล่าวหาตกเป็น "แพะ" ของสังคม ตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
เมื่อเปรียบเทียบวิธีทำงานของ 2 หน่วยงานรัฐนี้แล้ว ก็จะพบข้อสังเกต 3 ประการ คือ
1. หน่วยงานที่ปฏิบัติงานโดยใช้วิธีกล่าวหานำไปก่อน สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนเป็นอย่างมาก เพราะใช้วิธีตั้งข้อหาจับติดคุกไปก่อน แล้วค่อยมาสืบหาหลักฐานและพยานในภายหลัง ซึ่งไม่ต่างจากการจับ "แพะ" ส่งให้ "ศาล" ถ้าแพะแก้ต่างข้อกล่าวหาบนศาลไม่ได้ก็ติดคุกฟรี แต่ถ้าแพะหักล้างข้อกล่าวหารอดมาได้ก็ไม่มีการเยียวยา
2. หน่วยงานที่ใช้วิธีกล่าวหานำไปก่อน ทำงานแบบใช้ "ศาล" เป็น "ลูกน้อง" ช่วยตามล้างตามเก็บคดีที่รกโรงรกศาล แต่อีกหน่วยงานหนึ่ง ใช้วิธีทำงานแบบระมัดระวัง ผลกระทบที่จะเกิดแก่ประชาชนทุกย่างก้าว เป็นการทำงานเพื่อกลั่นกรองข้อมูลให้แก่ศาล แบ่งเบาภาระของศาล ไม่ใช่เอาศาลมาเป็นลูกน้อง
3. ในกรณี 308 คดี ของวัดพระธรรมกายก็เช่นกัน เป็นการตั้งคดีแบบกล่าวหานำไปก่อน แล้วค่อยหาหลักฐานพยานมาเพิ่มทีหลังทั้งสิ้น
เพื่อจะได้ใช้เป็นข้ออ้างในการขอออกหมายจับจากศาล
ทำให้เกิดความสงสัยว่า ตกลงแล้วทำคดีแบบกลั่นกรองให้ศาล หรือทำงานแบบปั่นยอดคดีโยนให้ศาลตามแก้ปัญหากันแน่
จากข้อสังเกตในวิธีทำงานทั้ง 2 หน่วยงานนี้เอง ทำให้ประชาชนรู้สึกสับสน และอดคิดในใจไม่ได้ว่า ตกลงแล้ว การทำงานของหน่วยงานใด ถึงจะเรียกได้ว่า
1. เป็นระเบียบราชการที่ถูกต้อง 2. ให้การคุ้มครองแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน 3. แบ่งเบาภาระการทำงานของศาล 4. เกิดประโยชน์ต่อกระบวนการยุติธรรม 5. เป็นที่พึ่งแก่ประชาชนผู้เดือดร้อน 6. ช่วยลดปริมาณคดีความที่ค้างอยู่บนศาล ถึง 1.4 ล้านคดี ให้ลดน้อยลง บอกตามตรงประชาชนงงจริงๆ ?
ขอบคุณภาพประกอบ : การ์ตูนเซีย ไทยรัฐ. Cr : Ptt Cnkr Cr:blogger.com
Create Date : 21 มกราคม 2560 |
|
0 comments |
Last Update : 21 มกราคม 2560 2:27:10 น. |
Counter : 811 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
- ❀จันทร์ ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๑✼ภาพหมู่พระธรรมยาตราที่วัดสองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี
- ❀ภาพ ณ วัดโบสถ์(บน) บางคูเวียง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี
- ❀ชมภาพ วัดโบสถ์(บน) ,วัดไผ่หูช้าง ,วัดนครอินทร์ ,วัดคลองขวาง จังหวัด นครปฐม - นนทบุรี
- ❃วันที่๒๒มีนาร่วมพัฒนาชุมชน วัดบ่อทอง ,วัดตาก้อง ,วัดรางกำหยาด ,วัดบัวแก้วเกษร ,วัดบ่อทอง จ.นครปฐม
- ✿ภาพชุดชุมชนร่วมพัฒนา วัดบัวแก้วเกษร ,วัดนาราภิรมย์ ,วัดบ่อทอง จ.นครปฐม, ๒๓ มีนาคม ๒๕๖๑
- BlogGang.com
|
|
|
|