It's All I Have to Bring Today !
Group Blog
 
<<
มกราคม 2560
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
21 มกราคม 2560
 
All Blogs
 
▶▶▶ ประชาชนรู้สึกสับสนวิธีทำงานของ 2 หน่วยงานรัฐ ???



การตั้งข้อหาใดก็ตาม ในวิชากฎหมายเบื้องต้น กล่าวว่าองค์ประกอบสำคัญในการตั้งข้อหาคือ

1. ต้องมีการกระทำผิดที่ชัดเจน
2. ต้องมีหลักฐานที่ชัดเจน
3. ต้องมีลำดับเวลาเหตุการณ์ที่ชัดเจน
4. ต้องมีพยานที่น่าเชื่อถือ

 เพราะสิ่งเหล่านี้ คือการแสดงสภาพแห่งข้อหาอย่างชัดเจน ว่าบุคคลนั้นกระทำความผิดจริง

 การตั้งข้อสงสัยโดยการกล่าวหาลอยๆ โดยขาดหลักพื้นฐานนี้ เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้

เพราะจะทำให้ประชาชนเดือดร้อน จากหลักการพื้นฐานนี้ สิ่งที่ประชาชนเห็น และเปรียบเทียบได้ชัดเจนจากการทำงาน ของ 2 หน่วยงานรัฐ ในการสืบสวนคดีเดียวกันก็คือ




หน่วยงานหนึ่ง เวลาแถลงข่าวแต่ละครั้ง จะใช้วิธีกล่าวหานำไปก่อน โดยไม่มีพยานและหลักฐาน


ที่เป็นสาระสำคัญของคดี มาแสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่สังคม ทำให้ภาพที่ออกมาดูไม่ต่างจากการกล่าวหาลอยๆ เพื่อทำลายชื่อเสียง ทำให้ผู้ถูกล่าวหาตกเป็น "แพะ" ของสังคม ตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม


ขณะที่อีกหน่วยงานหนึ่ง เวลาแถลงข่าวแต่ละครั้ง จะต้องมีทั้งพยานและหลักฐานที่ใช้เป็นสาระสำคัญของคดีได้

 ทำให้ประชาชนรู้สึกได้ว่า การทำงานมีหลักการ การปฏิบัติงานมีหลักเกณฑ์ ให้การคุ้มครองว่า ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์ตามหลักสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่การกล่าวหาลอยๆ เพื่อทำลายชื่อเสียง
ทำให้ผู้ถูกกล่าวหาตกเป็น "แพะ" ของสังคม ตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม



 เมื่อเปรียบเทียบวิธีทำงานของ 2 หน่วยงานรัฐนี้แล้ว ก็จะพบข้อสังเกต 3 ประการ คือ

1. หน่วยงานที่ปฏิบัติงานโดยใช้วิธีกล่าวหานำไปก่อน สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนเป็นอย่างมาก เพราะใช้วิธีตั้งข้อหาจับติดคุกไปก่อน แล้วค่อยมาสืบหาหลักฐานและพยานในภายหลัง ซึ่งไม่ต่างจากการจับ "แพะ" ส่งให้ "ศาล" ถ้าแพะแก้ต่างข้อกล่าวหาบนศาลไม่ได้ก็ติดคุกฟรี  แต่ถ้าแพะหักล้างข้อกล่าวหารอดมาได้ก็ไม่มีการเยียวยา


2. หน่วยงานที่ใช้วิธีกล่าวหานำไปก่อน ทำงานแบบใช้ "ศาล" เป็น "ลูกน้อง" ช่วยตามล้างตามเก็บคดีที่รกโรงรกศาล แต่อีกหน่วยงานหนึ่ง ใช้วิธีทำงานแบบระมัดระวัง ผลกระทบที่จะเกิดแก่ประชาชนทุกย่างก้าว เป็นการทำงานเพื่อกลั่นกรองข้อมูลให้แก่ศาล แบ่งเบาภาระของศาล ไม่ใช่เอาศาลมาเป็นลูกน้อง




3. ในกรณี 308 คดี ของวัดพระธรรมกายก็เช่นกัน เป็นการตั้งคดีแบบกล่าวหานำไปก่อน แล้วค่อยหาหลักฐานพยานมาเพิ่มทีหลังทั้งสิ้น

 เพื่อจะได้ใช้เป็นข้ออ้างในการขอออกหมายจับจากศาล


ทำให้เกิดความสงสัยว่า ตกลงแล้วทำคดีแบบกลั่นกรองให้ศาล หรือทำงานแบบปั่นยอดคดีโยนให้ศาลตามแก้ปัญหากันแน่


จากข้อสังเกตในวิธีทำงานทั้ง 2 หน่วยงานนี้เอง ทำให้ประชาชนรู้สึกสับสน และอดคิดในใจไม่ได้ว่า
ตกลงแล้ว การทำงานของหน่วยงานใด ถึงจะเรียกได้ว่า



1. เป็นระเบียบราชการที่ถูกต้อง
2. ให้การคุ้มครองแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
3. แบ่งเบาภาระการทำงานของศาล
4. เกิดประโยชน์ต่อกระบวนการยุติธรรม
5. เป็นที่พึ่งแก่ประชาชนผู้เดือดร้อน
6. ช่วยลดปริมาณคดีความที่ค้างอยู่บนศาล ถึง 1.4 ล้านคดี ให้ลดน้อยลง บอกตามตรงประชาชนงงจริงๆ
?


ขอบคุณภาพประกอบ : การ์ตูนเซีย ไทยรัฐ.
Cr : Ptt Cnkr
Cr:blogger.com


Create Date : 21 มกราคม 2560
Last Update : 21 มกราคม 2560 2:27:10 น. 0 comments
Counter : 803 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณโอพีย์


ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Turtle Came to See Me
Location :
พัทลุง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]





★ที่มา ล็อกอิน ★Turtle Came to See Me ★( บทกวี Poem )
เป็นหนังสือ สำหรับเยาวชน
★Turtle Came to See Me
แต่งโดย :Margrita Engle
★★★★



BlogGang Popular Award #11

BlogGang Popular Award #12
Friends' blogs
[Add Turtle Came to See Me's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.