"This is my world.This is my life style"
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2548
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
5 สิงหาคม 2548
 
All Blogs
 

"Sfumato" with "Da vinci"

ถ้าคุณคิดว่านักวิทยาศาสตร์กับศิลปิน ไม่สามารถที่จะมาเจอกันได้ แต่ทั้ง2สิ่งนั้น มันได้รวมกันอยู่ในตัว ของคนที่ชื่อ Leonardo Da Vin Ci ได้อย่างน่าอัศจรรย์ Da Vin ci เป็นศิลปินในแนว Italian Renaissance ดาวินชี่นั้นเขาได้ทำการศึกษาเรื่องแสง ควบคู่ไปกับเรื่องสี พร้อมๆกันเสมอ ซึ่งจากการศึกษา ของเขานี้เขายังได้ทำการบันทึกไว้ในสมุดที่ภายหลัง ได้มีการรวบรวมไว้เป็นเล่มที่ใช้ชื่อว่า "Notebook" จากหนังสือเล่มนี้ ที่เขาบันทึกไว้ถึงทฤษฏีหนึ่งที่ชื่อ "Aerial Perspective" ซึ่งมันเป็นการศึกษาเกี่ยวกับ เรื่องสีต่างๆ ที่มัว หรืออ่อนจางลงไปทุกทีตามระยะทางที่ห่างออกไป ซึ่งการศึกษาครั้งนี้ทำให้เกิดเกี่ยวกับทฤษฏี ที่ชื่อ "Sfumato" ( ม่านควัน ) และทฤษฏีอันนี้นี่เอง ที่เขาได้ใช้มันมาพัฒนางานของเขาให้มี สุนทรียภาพมากขึ้น อย่างที่เราจะพบได้ในงานของ Da vin ci นั่นเอง
Ginevra De' Benci ภาพนี้เป็นงาน Portrait ช่วงแรกๆของ "Da vin Ci" ที่เขาได้ใช้เทคนิคเกี่ยวกับแสง ที่ชื่อว่า "Chiaroscuro" เข้ามาในงานของเขา การที่เขาใช้เทคนิคนี้นั้นมันได้ทำให้ภาพคนในงานชิ้นนี้นั้น ดูนูน ขึ้นมา และดูมีมิติมากขึ้นคล้ายๆ กับว่าเราสามารถมองดูคนในภาพได้รอบๆตัว ราวกับว่าเป็นงานประติมากรรม ที่สามารถดูได้ทั้ง 3 มิติ รูปคนจะดูลอยนูนขึ้นมาจากพื้นผิวของ Canvas อย่างเห็นได้ชัดเขาได้ทำการผสมผสาน ความแตกต่างเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว และน่าทึ่ง เช่นความมันเงา เวาวาว ใสตรงบริเวณรอนผมที่หยิกเข้ากับ ความมืดมนไม่สดใสตรงบริเวณ ใบของต้นสน สิ่งที่เป็นหัวใจในงานของ Da Vin ci นั้นก็คือ สิ่งที่ Da vin Ci เคยพูดและบันทึกไว้ใน Notebook ของเขาว่า "จิตรกรนั้นควรมีเป้าหมายหลักประการแรกก็คือ การทำพื้นผิวภาพ ที่แบนให้ดูมีรูปร่างที่หนานูนขึ้นมาเป็น 3 มิติโดยให้หลุดออกมาจากพื้นหลัง ด้วยการใช้แสงและเงา ความมืด กับความสว่าง และ Leonardo นั้นเขาเชื่อว่า ความงาม ความวิเศษ และ สุนทรีย์ของภาพเขียนที่ดีเยี่ยมนั้น ไม่ได้อยู่ที่การใช้สีที่สดใสเพียงอย่างเดียว โดยลืมการที่จะทำให้ภาพนั้นนุนขึ้นมาดูเป็น 3 มิติ ด้วยแสง และเงา ซึ่งสีที่สดใสเพียงอย่างเดียวนั้นไม่สามารถ ที่จะทำให้ภาพๆนั้นเป็นภาพที่ดีและมีมิติได้ "
ทฤษฎีสิ่งที่ Leonardo Da vin Ci พูดไว้และบันทึกไว้ นี้มันได้ปรากฏอยู่ในภาพเขียนของเขาทุกๆภาพและ สิ่งนี้เองที่ทำให้งานของ Da vin Ci ยิ่งใหญ่ งดงาม ซึ่งแม้แต่กาลเวลาก็ไม่สามารถ ลบเลือนความ อัจฉริยะในตัว ของคนที่ชื่อ "Leonardo Da Vin ci" ไปได้แม้แต่เสี่ยววินาที

แสง และ สี ในทฤษฎีของ Da Vin Ci
จริงๆแล้ว Leonardo นั้นเขาศึกษาเรื่องแสงควบคู่ไปกับสีเสมอสิ่งที่เขาสังเกตุเห็นคือ การที่แสงทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงสีในภาพเขียนจึงได้สูตรที่เรียกว่า "Aerial Perspective" สูตรนี้นั้นอธิบายได้ว่า สีต่างๆจะมัว หรืออ่อนจางลงไปเมื่อลำแสง ส่องผ่านอะไรๆในอากาศ ความเข้มจัดของสีที่ลดลงทุกที ตามระยะทางที่ห่างออกไป จากสมุดบันทึกของLeonardoนั้นเขาจะทำการแบ่งประเภทของแสง โดยเขาให้ความสำคัญ กับแสง 3 ประเภทคือ 1 แสงแบบ Universal Light 2 แสงแบบ Specific Light 3 แสงแบบ Reflected Light
จากการที่เขาแบ่งสีออกเป็นประเภทต่างๆได้นั้น ทำให้ Leonardo พบข้อสรุปเกี่ยวกับแสง และสีได้ว่าเราไม่มีวันที่ จะเห็นสีแท้ของวัตถุได้ เนื่องจากมีแสงสะท้อนจากสิ่งอื่นๆรอบข้าง รวมทั้งสีของอากาศที่อยู่ระหว่างตาของผู้ดูทำให ้สีแท้ของวัตถุเกิดการเปลี่ยนแปรทั้งสอง สิ่งนี้คือหัวใจของทฤษฏีแสงและสีของ Leonardo ที่เขาได้ใช้ในงาน ของเขาเกือบทุกชิ้น จนประสบความสำเร็จในงานของเขามาแล้วนั่นเอง

Ginevra De' Benci C. 1474



Ginevra De' Benci C. 1474



ถ้าพูดถึง Da vin Ci แล้วนั้นหลายคนก็อดที่จะนึกถึงภาพ Mona Lisa ของเขาที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก นั้นไม่ได้ แต่มีน้อยคนนักที่จะเข้าใจภาพนี้ได้อย่างถ่องแท้ ภาพ Mona Lisa นี้นั้นเป็นที่ถกเถียงกันมากว่า บุคคล ในภาพนั้นเป็นใคร Vasari นักประวัติศาสตร์ศิลปะคนสำคัญของอิตาลีสมัย Renaissance บอกว่า บุคคล ในภาพก็คือ ภรรยาของนายธนาคารในตะกูล Giocondo แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ภาพนี้เป็นที่โด่งดัง ไปทั่วโลก เพราะในภาพนี้มีอะไรที่น่าสนใจมากกกว่านั้น




Mona Lisa C. 1503-06



สิ่งที่โดดเด่นมากของ Da vin ci ในภาพนี้ก็คือ การสร้างปริมาตรรูปทรงของสตรีด้วยแสง และ เงาที่นุ่มเบา ละเอียดอ่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงบริเวณใบหน้าที่มีความนุ่มนวลมาก สิ่งที่ Leonardo ทำได้เช่นนี้นั้น เขาได้ใช้เทคนิคศิลปะการเจือผสานสี ซึ่งก็คือสีนำมันโดยเขาให้เงาเข้ามาผสานกับแสงที่นุ่มๆ แบบ Universal Light ให้สีสันของทุกสิ่งในภาพ หม่นมัวลง ส่วนบริเวณทิวทัศน์ในส่วนเบื้องหลังของภาพนั้นก็จะเป็นทิวทัศน์ที่ดู ลี้ลับพิศวงราวกับว่าเป็นไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้

What is sfumato ?
ถ้าพูดถึงงานของ ดาวินชี่ แล้วนั้นเราก็ต้องพูดถึงคำว่า "สฟูมาโต" (sfumato) ทั้งนี้เพราะ เทคนิคสฟูมาโตนี้มี ความสำคัญ เกี่ยวพันกันกับงานของ Da vin Ci มาก
sfumato เป็นวิธีการแสดงออกอย่างหนึ่งของ ศิลปิน Italy ในยุค Renaissance ในช่วงศตวรรษที่ 16-17 คำๆนี้ทำให้เรานึกถึงภาพของ "ม่านควัน" ที่ศิลปินนำเอาความคิดมาใช้ในงานศิลปะ โดยการผสมผสาน สี แสง เงาให้นุ่มนวล มีคนให้คำนิยามคำว่า "สฟูมาโต" นี้มากมาย แต่เราสามารถแยกนิยามที่สำคัญของคำๆนี้ ได้ดังนี้คือ
1 แสงและเงาที่ค่อยๆแปรเปลี่ยนไปอย่างนุ่มนวล ภายในรูปทรงของวัตถุเพียงอย่างเดียว
2 ขอบเขตที่นุ่มเบากับเส้นรอบนอกที่มัวระหว่าง สิ่งต่างๆ เช่น ระหว่างร่างคนกับฉากหลัง
3 สิ่งที่มองดูไม่ชัดเพราะอยู่ไกล
แต่จากบันทึกในหนังสือ NoteBook ของ Da vin Ci ในเรื่อง "สฟูมาโต" ที่พอมีอยู่บ้าง ทำให้เราพอได้รู้ ความคิดของเขาในเรื่องนี้ว่า สฟูมาโตใขแบบของ Leonardo นี้จะเป็นการแปรสังเกตุการณ์ ให้มาเป็นรูปแบบ ที่มีหลักการสอดคล้องกับ อากาศในธรรมชาติ ทำให้เกิดอะไรซึ่งคล้ายกับม่านควันเมื่อใส่ลงในภาพ การทำสี ีทั้งหลายให้หม่นลง และทำขอบนอกที่คมชัดให้มัวลงจึงเป็นหลักการของรูปแบบ สฟูมาโต เพื่อที่จะได้แสดงวัตถุที่อยู่ ในระยะไกล มีตอนหนึ่งในหนังสือบันทึกของ da vin ci กล่าวไว้ว่า อย่าลืมเขียนภาพให้ขอบนอกดูมัวเหมือนควัน (Smoky contour) อย่าให้ดูคมชัดและแข็ง แล้วก็ทำภาพที่อยู่ในส่วนไกล้สายตาคนดูที่สุด ให้ละเอียดชัดเจน ควรให้สิ่งที่อยู่ฉากหลังประกอบด้วย โดยให้มีเส้นรอบนอกที่คมชัด ส่วนที่อยู่ไกลออกไปก็ควรทำให้เรียบร้อย แต่ต้องให้ขอบแนวต่างๆ เบาบางคล้ายควัน นั่นก็คือ ทำให้ขอบแนวที่เห้นได้ชัดเจนน้อยลง
Sfumato ของ Leonardo นั้นเป็นการที่เขาสังเกตุการณ์ ในธรรมชาติ อากาศในธรรมชาตินั้นทำให้เกิด อะไรที่คล้ายๆ กับม่านควัน เมื่อนำมาใส่ลงในภาพดังนั้นเมื่อสีของวัตถุ ต่างๆในภาพมาพบกับ Sfumato สีของวัตถุ เหล่านั้นก็จะหม่นมัวลง สิ่งที่ Leonardo นำเอาเทคนิค Sfumato มาใช้กับภาพเขียนของเขานั้นคือ เขาใช้ Sfumato มาสร้างอารมณ์ให้เกิดกับภาพ ผลที่ได้ก็คือความรู้สึกที่เป็นปริศนา ซ่อนเร้น ลึกลับ และเต็มไปด้วย ความเศร้าอย่างที่เราจะเห็นได้ในงานของ Leonardo ในหลายๆภาพของเขานั่นเอง



The Last Supper C. 1495-98



Souce://www.artofcolour.com/index.html




 

Create Date : 05 สิงหาคม 2548
0 comments
Last Update : 5 สิงหาคม 2548 22:08:15 น.
Counter : 5774 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Angel_MiDoRi
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Angel_MiDoRi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.