ผมอยากแต่งนิทานที่เกี่ยวกับการปลูกต้นไม้แบบมีเมล็ดพันธุ์แถมไปด้วยกับเล่ม นับว่าเป็นโชคดีจริงๆ ที่บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด ตราศรแดง ก็มีความคิดที่คล้ายกันพอดี เพราะทางบริษัทอยากสร้างกิจกรรมดีๆ ให้กับครอบครัวและปลูกฝังให้เด็กรักต้นไม้ตั้งแต่ในวัยเยาว์โดยเริ่มต้นจากการอ่านนิทาน
แต่ก่อนจะเริ่มโครงการนี้ ผมได้สอบถามก่อนว่าเปอร์เซ็นต์การงอกจากเมล็ดสูงหรือไม่ ทางศรแดงยืนยันว่า เมล็ดพันธุ์อย่างดี มีโอกาสงอกและเติบโตถึง 98% ตัวเลขนี้ทำให้ผมมั่นใจขึ้น เพราะการปลูกต้นไม้เป็นเรื่องของความหวัง ผมไม่อยากให้เด็กปลูกแล้วไม่มีต้นไม้งอกขึ้นมา พอตกลงกันได้ ผมก็นำความคิดมาทำให้เป็นจริงโดยแต่งนิทานเรื่อง เอ๊ะ...ต้นอะไรนะ? โดยขอข้อมูลพันธุ์พืชต่างๆ จากทางศรแดง
เมื่อแต่งนิทานเสร็จแล้ว ทางศรแดงอยากมีกิจกรรมเปิดตัวนิทานเรื่องนี้ เราคุยกันว่าจะนำสิ่งที่ตัวเองถนัดมาให้กับเด็กๆ ทางสำนักพิมพ์ก้อนเมฆถนัดเล่านิทาน ส่วนทางศรแดงเชี่ยวชาญด้านพันธุ์พืชก็จัดกิจกรรมปลูกต้นไม้
วันเปิดตัวนิทานคือวันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทีมงานทุกคนต่างภาวนาไม่ให้ฝนตกเพราะเป็นงานกลางแจ้งที่จัดขึ้นที่สวนรถไฟ เช้าวันนั้นผมเปิดหน้าต่างที่บ้านดู เห็นฟ้ามืดครึ้ม มีละอองฝนบ้าง แต่ตั้งใจจะไปเล่านิทานแล้วก็ต้องลองทำให้ถึงที่สุดครับ ไปถึงทีมงานศรแดงกำลังจัดแต่งสถานที่ ทำออกมาดีมาก เจ้าลูกชายผมสนุกกับพร็อพต่างๆ ที่ทางศรแดงนำมาวางไว้ ไม่ว่าจะเป็นฉากตัวละครต่างๆ ในเรื่องที่เจาะหน้าไว้ให้ถ่ายรูป และผักนานาชนิดนำมาวางตกแต่งได้สวยงาม ลูกดูไป พ่อแม่ก็สอนประเภทของผักไปด้วย
ใกล้เวลาลงทะเบียน 8 โมงเช้า ทีมศรแดงซักซ้อมคิว ส่วนผมพบเด็กที่มาลงทะเบียนตรงเวลาเพียง 3 คน (รวมลูกชายแล้ว) ครอบครัวอื่นๆ คงลังเลว่าจะมาหรือไม่มาดี อย่างไรก็ตาม ผมตั้งใจไว้แล้วว่า ถ้าเด็กมากี่คนก็จะเล่า เล่าเสร็จก็จะม้วนเสื่อจำนวนมากเก็บแล้วค่อยกลับบ้าน ...คิดแล้วก็ตั้งจิตขอพระพิรุณว่า ฝนอย่าเพิ่งตกตอนนี้ รอสัก 11 โมงไปแล้วค่อยตกแล้วกันนะท่าน เพราะอยากให้เด็กๆ ได้ฟังนิทานก่อน
ไม่น่าเชื่อครับ 15 นาทีผ่านไป ละอองฝนหายหมด ครอบครัวต่างๆ ทยอยเข้ามาเรื่อยๆ สังเกตดูแต่ละบ้านตั้งใจมากันแน่ๆ เพราะใส่เสื้อทีมสีเดียวกัน สไตล์เดียวกันมา คงเน้นความสามัคคีกลมเกลียวในครัวเรือน หรือไม่ก็อาจจะกลัวว่าคนเยอะ ถ้าลูกพลัดหลงก็จะได้หากันง่ายหน่อย
หลังจากลงทะเบียนแล้ว เด็กๆ จะได้เข็มกลัดแยกเป็น 3 ฐานตามตัวละครในเรื่อง คือ ฐานกระรอกหางฟู ฐานกระต่ายหูยาว และฐานนกแก้วแสนซน ทีมงานศรแดงคิดเกมเสริมความรู้วอร์มอัพให้เด็กๆ ก่อนไปฟังนิทาน เช่น เกมจิ๊กซอว์ให้ดูรูปบางส่วนของผักแล้วตอบคำถาม เกมดูเมล็ดพันธุ์และรู้จักผักต่างๆ
ก่อนเริ่มเล่านิทาน ผมได้เชิญครอบครัวนักดนตรีที่น่ารักมากๆ มาบรรเลงเพลงต้อนรับให้ผู้มาร่วมงานได้ฟังเพลินๆ คุณพ่อเล่นกีตาร์ คุณแม่และคุณลูกช่วยกันร้อง คุณพ่อปุ้ม-อรรถพงษ์ เป็นนักร้องในยุคผม เชื่อว่าถ้าได้ยินเพียงท่อนฮุค คนรุ่นๆ ผมน่าจะจำได้แน่นอน ทะเลกว้างใหญ่ สองเราข้ามไป ถ้ามีสองใจ ร่วมกันฟันฝ่า... ถ้าใครยังนึกไม่ออก ลองเข้าไปดูคลิปนี้ได้เลยครับ ฟังแล้วอบอุ่นใจเข้ากับบรรยากาศของวันเปิดตัวนิทานที่สุดเลยครับ
ชมคลิป
วันนั้นผมเตรียมนิทานไปประมาณ 5-6 เรื่อง เป็นเรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติ สัตว์ และต้นไม้ คนฟังเยอะแบบนี้เล่าแล้วอารมณ์ร่วมเยอะดี แถมผมยังชอบดูสีหน้าและแววตาของเด็กๆ เวลาฟังนิทาน ดูแล้วเพลินดีจริงๆ ครับ
และเรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องที่เปิดตัวครั้งแรกวันนี้คือ เอ๊ะ...ต้นอะไรนะ? ผมพยายามจะสื่อให้เด็กๆ เห็นว่านอกจากการพรวนดิน รดน้ำแล้ว สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ การเฝ้ารอและการเอาใจใส่ดูแลอย่างสม่ำเสมอ
และผมก็มักจะเจออะไรแปลกๆ เมื่อผมเล่านิทานในแต่ละครั้ง ครั้งนี้พอเล่าถึงเจ้านกที่ปลูกพริกได้สำเร็จ เด็กๆ เห็นนกคาบพริกได้ ก็ไปเอาหญ้ามาคาบบ้าง
จบจากนิทาน ผมส่งต่อให้คุณอิสระ หรือ น้าหนุ่ม ชวนเด็กๆ ปลูกต้นไม้ โดยทางศรแดงนำต้นกล้า ดิน และกระถางเตรียมไว้ให้แล้ว มีพันธุ์ไม้หลากหลายที่ให้เด็กๆ นำไปลงกระถาง แล้วนำไปดูแลต่อที่บ้าน
เมื่อเสร็จแล้ว ทุกคนโชว์ผลงานว่าได้ต้นอะไรมาบ้าง
ก่อนกลับ คนที่มาลงทะเบียนได้รับนิทานและซองเมล็ดพันธุ์กลับไปด้วย โดยซองนี้จะไม่บอกว่าเป็นต้นอะไร เด็กๆ ต้องปลูกเอาเอง คอยสังเกต จดบันทึก และเทียบกับรูปจริงในหนังสือว่าเป็นต้นอะไรบ้าง
เด็กบางคนได้เมล็ดพันธุ์ตอนเช้า กลับบ้านไปแล้วก็ปลูกต้นไม้ทันที โดยแต่ละคนทำป้ายบอกชื่อเพื่อนตัวเองไว้ด้วย สำหรับต้นกล้าที่ได้ไป ไม่มีปัญหา ส่วนเมล็ดที่ได้จากซอง เมื่อลงดินแล้ว เด็กๆ ปักป้ายว่า ต้นอะไร?
ครึ่งเช้าวันนั้น งานจบลงอย่างมีความสุข แถมทุกคนยังนำเมล็ดพันธุ์แห่งความสุขกลับไปด้วยและปลูกความสุขต่อได้ที่บ้านอีก สำหรับผมภารกิจวันนั้นยังไม่จบ ตอนเที่ยงครอบครัวผมขับรถไปเยี่ยม น้องฟ้าใส ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ผมไปเล่านิทานให้น้องฟ้าใสฟัง เหมือนกับที่เพิ่งเล่าในงาน เพราะผมอยากให้น้องฟ้าใสได้ฟังเรื่องใหม่ในวันเดียวกับที่เด็กคนอื่นๆ ได้ฟัง และมอบกระถางผักบุ้งไว้ให้เป็นความหวัง เพื่อให้น้องฟ้าใสได้กลับบ้านเร็วๆ นะครับ