<<
เมษายน 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
26 เมษายน 2553
 

1 ปีกับชีวิตในอเมริกา Chapter 3rd: กำแพง

Chapter 3rd: กำแพง



อากาศหน้าร้อนไม่ได้ร้อนจริงอย่างที่เคยสัมผัส อากาศที่สัมผัสได้ตอนนี้นั้นเย็นสบาย หากอยู่เมืองไทยอาจจะเรียกว่าหนาว หากอยู่กรุงเทพ สาวแถวสยามก็จะแห่กันใส่เสื้อโค้ชขนสัตว์ บ่นกันว่าหนาวโคตรๆ ในขณะที่ชาวอเมริกันแก้ผ้าเล่นสกีน้ำ

ลมกดอากาศพัดเข้ากรุงเทพปีละสามวัน ก็ทำกันอย่างกับว่า มีหิมะตกอยู่หลังบ้านสักสองเดือน...



วันนี้เป็นวันแรกของการไปโรงเรียนอเมริกัน ยอมรับว่าความฟุ้งซ่านนั้นเกาะกินตั้งแต่เมื่อคืน กระทั่งเวลานี้ผมกำลังเดินไปขึ้นรถโรงเรียน กำลังเดินไปที่โรงเรียนอนุบาลใกล้ๆเพื่อรอรถ ผมกำลังเดินไปโดยมีคริสเดินอยู่ข้างๆ จูงมือผมเดินไปกระทั่งถึงโรงเรียน ต่อหน้าเด็กอนุบาลนับสิบ ผมแทบจะเอามีดคัตเตอร์กรีดหน้าตัวเองเพื่อไม่ให้ใครจำได้

“อ่าวพี่เรียนชั้นเดียวกับหนูเหรอ...”

“เออ... น้องพี่ก็ไม่ได้ชั้นเดียวกับน้อง พี่แค่ขึ้นรถโรงเรียนไม่เป็น แต่พี่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องจูงมือพี่ด้วย”

ผมจะอายุสิบแปด แต่เด็กอนุบาลกลับคิดว่าผมเป็นเพื่อนเล่น...

ไม่ว่าจะเมืองเล็กเมืองน้อย รถบัสโรงเรียนคันสีเหลืองจะมีมากพอที่จะรับเด็กนักเรียนไปโรงเรียนในเมือง แบ่งเส้นทางตามสาย ทุกสายจะตรงเวลาไม่เคยมาก่อนและไม่เคยสายเกินสิบนาที ผมขึ้นรถสายสิบห้าในเวลาเจ็ดโมงสิบแปดนาที

ความตื่นเต้นเริ่มเกาะกิน ความอ้างว้างเริ่มแทะโลม จนกระทั่งเวลานี้ผมก้าวขึ้นรถโรงเรียนอเมริกันเป็นครั้งแรกในชีวิต รู้สึกไม่ต่างอะไรกับตอนที่ดูฟอเรสท์กัมป์ครั้งที่ไปโรงเรียนวันแรก ที่ต้องเดินไปท่ามกลางสายตาของผู้คนในรถ ผมไม่รู้จักใคร ผมไม่รู้จะไปนั่งที่ไหน และไม่รู้ว่าจะมีใครสักคนให้ผมนั่งด้วยหรือเปล่า...

“You can sit here” นั่นคือเสียงของเจนนี่ ในเรื่องฟอเรสท์ กัมป์ แต่ความจริงมีเพียงเสียงเจี้ยวจ้าวของเด็กๆลั่นรถโรงเรียน ลั่นจนน่ารำคาน ลั่นจนผมอยากจะเอามือเอื้อมไปตบ สายตาหยาบกร้านที่มองผ่าน ก็ยิ่งทำให้ผมเข้าใจว่าเรื่องที่แต่งขึ้น มันก็คือเรื่องที่กรองให้ความจริงอันเลวร้ายนั้นดูดี เมื่อความจริงนั้นผมคือคนแปลกหน้า ปราศจากการยอมรับในสังคมมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันด้วยความคุ้นเคย

หากนี่คือความจริง บรรยากาศครั้งที่ไปโบสถ์ก็คงเป็นสิ่งที่จำลองขึ้นมา...

ความแปลกทำให้ผมกลัว ผมทบทวนเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นเพื่อข่มความกระวนกระวายในใจ ย้อนกลับไปคิดถึงความรู้สึกในวันก่อนหน้าที่คริสพามารายงานตัว ผมรู้สึกอย่างเดียวคือตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า

พื้นผิวของตึกน้ำตาลเข้มด้วยอิฐแดงที่ถูกก่อเป็นตึกสามตึก ตัดกับพื้นหญ้าสีเขียวขจีเป็นเนื้อเดียวลากยาวไปรอบบริเวณ ผ่านโรงยิมขนานไปกับซีเมนถนนปรากฏอีกยิม ลามเข้าไปถึงสนามฟุตบอลที่มีสแตนด์ล้อมรอบ เห็นไปถึงสนามเบสบอลที่ข้างๆมีคอร์ดเทนนิสแปดคอร์ด

ภายในตึกหลักปรับอากาศทั่วทั้งตึก มีฮอล์เวย์ที่มีพรมปูผ่านตู้ล๊อกเกอร์ ผ่านห้องเรียนที่มีอยู่รอบถึงชั้นลอย มองลงมาเห็นห้องโถงสำหรับรับประทานอาหารอยู่ตรงกลาง ด้านขวามีอีกหนึ่งยิม ด้านซ้ายมีห้องงานช่าง ด้านล่างมีลิฟท์คนพิการต่อขึ้นมาถึงชั้นลอย...

ผมยืนนิ่งไปกับความอลังการ เมื่อถึงเวลา ผมอาจจะหาห้องเรียนไม่เจอ

ผมนั่งนิ่งไปกับความกลัว เมื่อถึงเวลานี้รถจอดสนิทหน้าโรงเรียน ผมต้องเผชิญหน้ากับความจริง

ความจริงที่ว่าผมแตกต่างในสถานะที่เรียกว่า “นักเรียนแลกเปลี่ยน” ที่ใหม่ทั้งประสบการณ์ ใหม่กับวัฒนธรรม ใหม่กับทุกๆอย่าง มันออสโมซีสเข้ากับความตื่นต้น จนผมไม่กล้าทำอะไรที่แตกต่าง นอกจากไหลตามคนหมู่มาก คนข้างหน้าเลี้ยวขวา ผมก็เลี้ยวขวา คนข้างหน้าเลี้ยวซ้าย ผมก็เลี้ยวซ้าย คนข้างหน้ากระโดดลงมาจากชั้นลอย ผมก็ทำตามถึงแม้จะโง่ ทำทุกอย่างให้ปลอดภัยตามวิถีไทยไว้ก่อน แต่กระนั้นผมก็ยังรู้สึกแตกต่างอยู่ดี แม้จะตามกระทั่งถึงหน้าห้องเรียนก็แล้ว

เมื่อสายตาทุกคนในห้องจ้องผมเป็นจุดเดียว มีเสียงกระซิบเบาๆฟังไม่เป็นศัพท์เล็ดลอดออกมา ผมทำได้แต่นั่งสงบนิ่งท่ามกลางความวุ่นวาย ตอบโต้อะไรไม่ได้แม้ทุ่มความพยายาม เมื่อภาษาอังกฤษที่เรียนมากลายเป็นปากกาด้านที่เขียนไม่ออก

ผมนั่งโง่ท่ามกลางปุถุชนที่รุมล้อม ความแตกต่างทำให้ผมอึดอัด จึงได้แต่นั่งกระดิกขาเพื่อปลดปล่อย รอคอยเวลาให้ความวุ่นวายนั้นได้หายไป เมื่อไร้ความสนใจผมจะรู้สึกเหมือนคนปกติ

ประเทศไทยมีการร้องเพลงเคารพธงชาติ อเมริกามีการกล่าวคำเคารพธงชาติเช่นกัน แต่ยิ่งฟังแต่ละคนพูดผมยิ่งปวดหัว ได้แต่ลุกขึ้นยืนตามคนหมู่มากแล้วก็กลับไปนั่งลง แต่สายตาของปุถุชนยังคงหันกลับมามองทางผมอย่างไม่เว้นระยะๆ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกประหลาด

แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียทั้งหมด เมื่อการมีคนสนใจบางครั้งมันเป็นข้อดี

มีบางคนทำลายกำแพงความแปลกหน้า เริ่มถามคำถามสร้างความคุ้นเคย แต่ไม่นานนักความรู้สึกก็เปลี่ยนไปเมื่อคำถามนั้นมากขึ้น จากหนึ่งคำถามเป็นสองคำถาม เป็นสามคำถาม แล้วก็ตามมาเรื่อยๆ ไม่มีหยุด ไม่มีเว้น ไม่มีการสังเกตว่ากุตอบได้แค่ “Yes” กับ “No”...

ความกลัวพลันเปลี่ยนเป็นความอึดอัด...

ช่วยสังเกตหน้ากูหน่อย ช่วยรับรู้บ้างว่าที่พูดมากูฟังไม่รู้เรื่อง พวกเมิงก็ยังกระเสือกกระสนยัดคำถามอย่างกับกุเกิดลุ่มแม่น้ำมีสซีสซิปปี้ เว้ย... กุเกิดลุ่มแม่น้ำปิง ช่วยถามคำถามช้าๆชัดๆ ให้กูตอบได้ได้ไหม หา!!

“ขี่ช้างไปโรงเรียนใช่ไหม?”...

ได้แต่ทำหน้าอึ้ง ตะลึงกับคำถามที่ฟังเหมือนจะปราศจากการคิด ท่ามกลางศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ผมไม่เคยคิดว่าจะมีคนวิปริตที่เชื่อแบบนี้ จนอยากจะตะโกนบอกให้มันรู้ด้วยความภูมิใจอย่างสุดๆเหลือเกิน พวกอเมริกันเอ๋ย เมิงไม่รู้อะไรเสียแล้ว...

บ้านกุ รถติดมากที่สุดในโลก...



ท่ามกลางบรรยากาศห้องเรียนประวัติศาสตร์ แม้เป็นเพียงวันแรก แต่การสอนก็ถูกลงรายละเอียด แม้จะไม่มาก แต่นักเรียนต่างก็ให้ความสนใจ ยกมือถามตอบคำถาม ต่างจากเด็กไทยคนนี้ที่ได้แต่นิ่ง ราวกับจิตไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

เพราะจิตมันอยู่ที่หู หูที่กุฟังอะไรไม่รู้เรื่อง... จึงได้แต่นั่งเหม่อลอย สงสัยว่านอกจากผม ยังมีนักเรียนแลกเปลี่ยนคนอื่นอีกไหม ท่ามกลางความโดดเดี่ยว กับภาษาที่ไม่คุ้นเคย ผมต้องการเพียงใครสักคน มาช่วยแบ่งเบาความอึดอัดจากผมไป

และทันใดแสงสว่างก็ปรากฏพร้อมประตูที่เปิดออก นางฟ้าสาวผมสีน้ำตาลเดินเข้าห้อง ท่ามกลางสายตาที่จ้องเธอเป็นจุดเดียว สายตาผมเยิ้มเคลิ้มกับภาพด้านหน้า กระทั่งตาถลนออกมา เมื่อเธออธิบายว่าเธอเป็นใคร

เธอชื่ออันย่า สาวรัสเซียจากเมืองมอสโคว เธอคือปลาปีรันย่า สาวแลกเปลี่ยนที่พูดอังกฤษจนคนโง่อย่างผมฟังไม่ทัน

นางฟ้าพลันเปลี่ยนเป็นนางมาร เธอยิ่งทุ่มความอึดอัดทรมาน จนผมปวดร้าวไปทั้งกายและใจ ผมได้แต่นั่งอย่างสงบกระทั่งสัญญาณบอกเวลาดังขึ้น ทุกคนก็ลุกออกจากที่นั่ง หายไปจากห้องอย่างรวดเร็ว...

เธอบอกกับผมว่านอกจากเราสองคน ยังมีนักเรียนแลกเปลี่ยนเหลืออีกสี่ แต่หากสี่คนที่เหลือ พูดภาษาอังกฤษได้คล่องอย่างเธอ การอยู่คนเดียวคงจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า



หลังจากเสียงสัญญาณหมดเวลาดัง ตามทฤษฏี ผมมีเวลาห้านาทีในการงมหาห้องถัดไป แต่ตามปฏิบัติ ผมคงจะหลงตายก่อนที่สัญญาณครั้งที่สองจะดังขึ้น เพราะเพิ่งมาเรียนเป็นวันแรก และหากเข้าห้องช้าแม้แต่นาทีเดียวผมก็จะถูกเช็คว่า “มาสาย”

ความสะเพร่าในขณะที่เลือกวิชาทำให้ผมไม่คิดถึงข้อนี้เลยสักนิด คิดเพียงแต่ว่าจะเลือกวิชาใดให้ได้ขี้เกียจมากที่สุด ผมเลือกเท่าที่เครดิตจะให้ความสบายกับผมได้

วิชาโฮมรูม วิชายกน้ำหนัก วิชาช่างไม้ ช่างเหล็ก ช่างยนต์ ตกลงผมมาที่นี่เพื่อเป็นทูตทางวัฒนธรรม หรือคนต่างด้าวค้าแรงงาน จึงมีแต่เสียงคัดค้านจากอาจารย์และคริส ว่าผมจำเป็นต้องลงวิชาบังคับไปด้วย

วิชาบังคับแรกคือประวัติศาสตร์อเมริกัน ขณะนี้ผมกำลังงมหาห้องเรียนเพื่อเรียนวิชายกน้ำหนัก (Weight Training) ว่ากันว่าวิชาที่เป็นกิจกรรมจะทำให้หาเพื่อนง่ายขึ้น ความกล้าในการพูดจะเพิ่มขึ้นขณะที่อะดินาลีนหลั่งเพราะความสนุก

แต่เหมือนว่าความหดหู่จะหลั่งสารตัวอื่นออกมาก่อน เมื่อภาพแรกที่เห็น คือผู้ชายแก้ผ้าในห้องล๊อกเกอร์ ร่างกายที่ปราศจากสิ่งใดห่อหุ้ม แสดงให้เห็นก้อนเนื้อที่เรียงตัวเป็นมัดๆ อยู่ในทรงที่เรียกกันว่า “กล้าม” เหลียวมามองตัวเองเห็นแต่ “ก้าง” จึงรู้สึกหดหู่ รีบดึงเสื้อลงมาปิด หายใจเข้าลึกๆเผื่อว่าหน้าออกจะดูมีกล้ามกับเขาบ้าง แต่พอหายใจออก นมเป่าลมมันก็หดลดเหลือเท่าเดิม

ด้วยงบประมาณที่ทุ่มให้กับคำว่า “ความฝัน” ระบบและมาตรฐานจึงสื่อคำนี้ออกมาอย่างชัดเจน เมื่อความสุขของอเมริกันดรีมนั้นคือความเท่าเทียมในความมั่งคั่ง นักเรียนทุกคนจะมีล็อกเกอร์ส่วนตัวในห้องอาบน้ำ เปลี่ยนชุดเพื่อทำกิจกรรม อาบน้ำหลังจากทำกิจกรรมเสร็จ ผมได้แต่ยืนตะลึงทำอะไรไม่ถูก เพราะความมั่งคั่งมันยิ่งสร้างความซับซ้อน...

เมื่อความยุ่งยากในการหมุนรหัสตู้ล๊อกเกอร์ มันสร้างความวุ่นวายให้กับชีวิต หมุนซ้ายสี่รอบ หมุนขวาไปที่เลขอีกสามรอบ แล้วก็หมุนขวา แล้วก็หมุนซ้าย หมุน หมุน หมุน หมุนจนกูลืมเลขกลับไปหมุนใหม่อีกห้าหกรอบ...

นี่มันล็อกเกอร์เก็บเสื้อผ้า หรือตู้เซฟนิรภัย มันถึงได้วุ่นวายจนผมเองอดสงสัยไม่ได้ ว่าตกลงเป็นเพราะกุโง่ หรือเพราะความไม่คุ้นเคยกันแน่ ผมถอดใจโยนกระเป๋าไว้บนตู้ เดินออกจากห้องด้วยความหงุดหงิด ผลักประตูสู่โรงยิม แต่มันก็ติด ประตูดันมาเปิดไม่ออก...

นี่มันอะไรกันนักกันหนาวะ แค่การเรียนหนึ่งคาบทำไมมันถึงวุ่นวายได้ขนาดนี้ โลกแห่งความจริงที่ผมเรียกร้อง มีแต่สิ่งที่ผมไม่คุ้นเคย มีแต่สิ่งที่ผมไม่รู้จัก ทุกอย่างมันกลายเป็นอุปสรรค แม้แต่ไอ้ประตู้บ้าๆนี้ เพราะอะไรผมถึงเปิดไม่ออก...

เพราะเมิงไม่ได้บิดลูกบิด...

อ๋อ... งั้นกุโง่เอง...



ท่ามกลางชาติพันธุ์ตัวใหญ่ยักษ์ มีเอเชียแห้งๆยืนตัวลีบอยู่หนึ่งคน ห้อมล้อมไปด้วยนักเพาะกายขนาดย่อม หยอกล้อเล่นกันโดยการแบกเพื่อนวิ่งไปมา การมองไปรอบๆ ยิ่งทำให้ผมตัวลีบลงไปอีก

ตกลงผมคิดถูกหรือเปล่าที่มาเลือกวิชานี้ แขนและขาจะอยู่ครบปกติหรือเปล่า เมื่อกลับถึงประเทศไทย ผมเริ่มหดหู่มองหาที่พึ่งโดยการกวาดสายตาไปมา แต่สายตายังไม่ทันเจอใคร พวกเราก็ถูกพาไปอีกโรงยิมหนึ่ง

ถึงโรงยิมที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ยกน้ำหนัก แต่ละคนก็พลันแยกย้ายไปยังเครื่องมืออย่างกระตือรือร้น ทิ้งให้ผมยืนเอ๋อทำอะไรไม่ถูกเพียงลำพัง ได้แต่ยืนตัวลีบมองผู้คนขะมักเขม้นในการยกน้ำหนัก ห้ำสิบปอนด์ เจ็ดสิบปอนด์ เก้าสิบปอนด์ ผมหันกลับมามองแขนลีบๆของตัวเอง พลันคิดในใจ

สิบปอนด์ก็คงพอ...

ความรู้สึกที่โดนเปรียบเทียบ มันกดดันให้ผมไม่กล้าทำอะไร ผมไม่มีเพื่อน ผมไม่มีใครเป็นที่พึ่งให้รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่ง ผมตัวคนเดียว อยู่เพียงคนเดียว ยืนยกน้ำหนักสิบปอนด์เพียงลำพัง

ไหนล่ะความกล้า ไหนล่ะอะดินาลีนที่หลั่งเพราะความสนุก ท่ามกลางความรู้สึกเช่นนี้ มันมีแต่ความหดหู่เสียมากกว่า กำแพงตรงหน้ามันสูงเกินไป หรือผมกันแน่ที่ไม่มีแรงพอที่จะปีน



ท่ามกลางความโดดเดี่ยวที่รู้สึกได้ในแต่ละวิชา ก็คงเทียบไม่ได้กับความโดดเดี่ยวในช่วงพักกลางวัน เมื่อการบังคับอย่างน้อยมันทำให้เราไม่มีตัวเลือก ผู้ที่เลือกวิชาเดียวกับเราย่อมกลายเป็นเพื่อนร่วมชะตาไปโดยปริยาย แต่เมื่อความอิสระถูกหยิบยื่นในสถานการณ์ที่เรายังไม่คุ้นเคย ไร้ผู้เดินร่วมทาง ต่อให้มีแรงเพียงน้อยนิด มันก็ต้องฝืนปีนอยู่ดี

ผมถือถาดอาหารยืนนิ่งอย่างโดดเดี่ยว ท่ามกลางโต๊ะอาหารที่ถูกจับจองไว้เป็นกลุ่มๆ แบ่งแยกตามความแตกต่างของแต่ละคน บ้างก็ตามความสนใจ บ้างก็ด้วยสิ่งที่เป็น บ้างก็เพราะเผ่าพันธุ์ ผมพยายามมองหาเผ่าพันธุ์หัวดำที่เรียกว่า “เอเชีย” แต่มองแล้วมองอีก ผมก็ยังคงเห็นแต่พวกหัวดำที่เรียกว่า “ฮิสแปนิค” (Hispanic)

ฮิสแปนิคหรือเม็กซิกัน คือเชื้อชาติกลุ่มใหญ่ที่อาศัยจนลานตาในสหรัฐอเมริกา ลานตากระทั่งเห็นได้ทุกแถบของประเทศ ลานจนที่บางที่จำเป็นต้องใช้ภาษาสเปนเป็นภาษาที่สอง มากหน้าหลายตาที่คนเหล่านี้มีส่วนคล้ายเอเชีย อาจจะเพราะเป็นลูกผสมระหว่างชาวยุโรปกับอินเดียแดง จึงทำให้สีผิวและโครงสร้างไม่ต่างกันมาก จนหลายครั้งผมคิดว่าบางคนคือเกาหลี และบางครั้งผมก็ต้องหลอกตัวเอง ว่าคนเหล่านี้คือชาวเกาหลีผิวคล้ำ

เพื่อเป็นตัวช่วยในการก้าวข้ามกำแพงความกล้า เรื่องมากไปกว่านี้จะกลายเป็นว่าไม่มีที่นั่ง อดกินอาหารในถาดที่มือถืออยู่นี้ เมื่อไม่มีเอเชียจริงๆ ก็จำต้องหลอกตัวเองให้เชื่อ

แต่การหลอกตัวเอง มันยิ่งทำให้กำแพงเรียบๆ เปลี่ยนกลายเป็นกำแพงหนาม

“เออ... แคน ไอ ซีด เฮีย” ผมยืนซีดอยู่ตรงนี้ กรุณาแบ่งที่นั่งให้เด็กตาดำๆคนนี้ได้ไหม พยายามจินตนาการถึงเรื่องที่เคยฟัง ว่าหากอยากได้เพื่อนให้ไปขอนั่งกินข้าวด้วยเลย สักพักเดี๋ยวเขาก็เริ่มคุยกับเราเอง

ไม่จริง! นี่มันจะหมดพักอยู่แล้ว แต่ละคนยังจ้องราวกับว่าหน้าผมเหมือนสัตว์ประหลาด ไม่มีคำพูดใดๆออกมาสักคำ กลายเป็นผมที่กระเสือกกระสนถามคำถามเข้าไปเอง แต่สุดท้ายได้กลับมาแต่หน้าที่ไม่เป็นมิตร ให้ผมสัมผัสได้แต่ความอ้างว้าง

ถ้าการหน้าแตกเปรียบเทียบในการฝืนปีนกำแพงหนาม มันก็คงเป็นเหมือนกับเลือดที่กำลังไหลออกมา



ผมทิ้งกระดาษเช็ดมือแล้วเดินออกจากห้องน้ำเพื่อเข้าเรียนวิชาถัดไป ตอนนี้ผมเริ่มกลัวว่าการฝืนจะมีแต่ทำให้เหนื่อยและเจ็บตัว ผมจำเป็นต้องหาเพื่อนหรือใครสักคน ที่จะมาทำให้ผมมีแรงมากขึ้น แต่ว่าใครล่ะ

ผมเปิดประตูเข้าห้องเรียนคณิตศาสตร์ สายตาพลันมองภาพสะท้อนในกระจกอย่างบังเอิญ เห็นบางสิ่งที่รู้สึกแปลกๆก้าวออกจากห้องข้างๆ มันเรียกความสนใจให้ผมหันกลับไปมองอย่างไม่รอช้า

ผู้หญิงหน้าตาแปลกๆปรากฏต่อหน้า สีจากแววตาทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ จะฝรั่งก็ไม่ใช่ จะเม็กซิกันก็ไม่เชิง จะเอเชียก็ไม่แน่ สรุปแล้วเธอเป็นใคร สายตาของผมได้แต่มองตามกระทั่งเธอลับไปจากสายตา สายตาที่ทำให้ผมเข้าใจสิ่งหนึ่งที่ว่า

กำแพงหนามที่สูงอยู่ตรงหน้า อยากข้ามก็ต้องด้าน แม้จะพลาดตกลงมาขาหักก็ตาม...


Create Date : 26 เมษายน 2553
Last Update : 26 เมษายน 2553 16:09:54 น. 8 comments
Counter : 310 Pageviews.  
 
 
 
 
1 ปีคงแกร่งขึ้นแล้วนะคะ จริงๆนะ ฝรั่งเค้าไม่คิดว่าบ้านเมืองเราไฮโซได้ขนาดนี้หรอกค่ะ ถ้าคนที่ไม่เคยมาเที่ยว ไม่รู้จักเมืองไทย เค้ามองว่าเราเหมือนย้อนไปเมื่อ 2 ร้อยปีก่อนด้วยซ้ำ อยากจะตรื๊บๆ สู้ๆนะ
 
 

โดย: nompiaw.kongnoo วันที่: 26 เมษายน 2553 เวลา:17:26:06 น.  

 
 
 
อ่านแล้วเหนี่อยแทน
พยายามเข้า
สู้ๆ..
 
 

โดย: เชอรี่ IP: 58.8.220.56 วันที่: 26 เมษายน 2553 เวลา:18:11:49 น.  

 
 
 
 
 

โดย: thanitsita วันที่: 26 เมษายน 2553 เวลา:18:20:12 น.  

 
 
 
ตอนที่ไปเรียนปีแรก ก็มีเพื่อน ๆ เหมือนกันเป๊ะเลยว่า เมืองไทยยังขี่ช้างกันรึเปล่า..ก็ทำหน้าซื่อ ๆ ถามเค้าว่า
Do you know how to spell 'Idiot' ?..eh..eh...


 
 

โดย: CindyD วันที่: 26 เมษายน 2553 เวลา:19:18:35 น.  

 
 
 
ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์ครับผม
 
 

โดย: achidahp (phadihca ) วันที่: 26 เมษายน 2553 เวลา:20:47:20 น.  

 
 
 
เอาใจช่วยค่ะ เดี๋ยวอีกหน่อยก็ดีขึ้น

เขียนได้ดีจัง ไม่น่าเชื่อว่ายังเด็กอยู่เลย แล้วจะเข้ามาอ่านเรื่อยๆ ค่ะ ชอบๆ
 
 

โดย: rainy_sunshine วันที่: 27 เมษายน 2553 เวลา:0:27:36 น.  

 
 
 
อ๋อ เรื่องนี้ผมเขียนไว้สามปีแล้วครับ เขียนตั้งแต่ตอนกลับมา สามตอนที่อัพไป เป็นตอนที่รีไรท์เสร็จ ยังไงก็ขอคำแนะนำด้วยครับผม
 
 

โดย: achidahp (phadihca ) วันที่: 27 เมษายน 2553 เวลา:11:30:17 น.  

 
 
 
อ่านแล้วฮาครับ เสียดายตัวเอง อยากไปมั่ง แต่ไม่ทันละ เรียนมหาลัยและ
 
 

โดย: Guiman วันที่: 2 พฤษภาคม 2553 เวลา:21:20:57 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

phadihca
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add phadihca's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com