<<
เมษายน 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
23 เมษายน 2553
 

1 ปีกับชีวิตในอเมริกา Chapter 2nd: ความอบอุ่น


Chapter 2nd: ความอบอุ่น


ความอ่อนล้าในเวลาที่เหมาะสม หรือการโต้รุ่งที่ทำจนเคยชินในเมืองไทยกันแน่ ที่ทำให้ผมปรับเวลาการนอนได้ทันที ผมตื่นเช้าด้วยความกระปี้กระเปล่าเป็นวันที่สอง สำรวจบ้าน สังเกตชีวิตครอบครัวอเมริกันไปได้ในระดับหนึ่ง

ครั้งหนึ่งบ้านหลังนี้เคยมีสมาชิกถึงห้าคน อีกสามคนคือลูกสาวกับลูกชายและหมาอีกตัวชื่อเดซี่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปความเปลี่ยนแปลงก็เริ่มผ่านเข้ามา

เมื่อยี่สิบปีก่อน ลูกสาวคนเดียวของครอบครัวมัวร์ (Moore) ได้จากพวกเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ เหตุผลเพราะว่าเธอไม่ได้เหมือนคนปกติทั่วไป และไม่ได้แข็งแรงเท่ากับคนปกติ ถึงแม้ทั้งสองจะดูแลเธอมาอย่างดี แต่ด้วยความไม่เท่าเทียมที่ถูกสร้างมา สุดท้ายเธอก็ต้องจากไป ทิ้งไว้แต่เพียงความทรงจำและห้องที่เป็นระเบียบอย่างที่เคยเป็น

สิบสามปีต่อมา สตีฟเฟ่นลูกชายคนเล็ก ก็จำต้องออกไปใช้ชีวิตตามธรรมเนียมของชาวอเมริกัน ด้วยการศึกษาต่อจากระดับมัธยมปลาย เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยต่างถิ่น สตีฟเฟ่นเลือกเรียนต่อคณะวิศวกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในแคนซัส มีโอกาสกลับบ้านเพียงไม่กี่ครั้งในรอบหนึ่งปี ทิ้งให้คริสและเดฟ (David) อยู่เพียงสองคนกับหมาชื่อเดซี่...

แต่จากนั้นอีกห้าปี หมาตัวผู้ชื่อเดซี่วิ่งไปกลางถนนแล้วถูกรถชนตาย

แต่ละเหตุการณ์ต่างสร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับครอบครัวมัวร์ (Moore) อย่างมาก ความเหงาและความอ้างว้าง ทำให้พวกเขารับเด็กนักเรียนแลกเปลี่ยนชื่อเจมมาเลี้ยงดูในอีกสองปีต่อมา

ให้ความรักและประคบประหงมเด็กหนุ่มราวกับเป็นลูกคนหนึ่ง ให้เป็นถึงตัวแทนของหมาชื่อเดซี่ ให้ไปนอนแทนที่ที่ชั้นใต้ดิน...

ผมนอนอยู่ชั้นใต้ดิน หากแต่ว่าชั้นใต้ดินคือห้องนอนสมัยที่พี่สตีฟเฟ่นอยู่บ้าน

บ้านเมืองหนาวมักจะมีชั้นใต้ดิน เหตุผลก็คือมันสามารถรักษาอุณหภูมิได้มากกว่า และเครื่องปรับอากาศที่อยู่ทั่วทั้งบ้านก็มาแทนที่หน้าต่าง มันช่วยลดปัญหาเรื่องฝุ่นไปโดยปริยาย

ความใหม่จากผิวเผินของบ้านหลังนี้ ทำให้ผมแทบไม่เชื่อว่ามันถูกสร้างมาแล้วกว่าสามสิบปี บ้านสามห้องนอนสามห้องน้ำหลังนี้ ยังคงสภาพไว้ดั่งเมื่อสร้าง คงไว้กระทั่งเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ทุกชนิด

คริสยังคงฟังวิทยุรุ่นโบราณ ที่ยังเป็นเหล็กคงสภาพไว้ดั่งสมัยสงครามโลก

วิศวกรอย่างเดฟ ก็ยังคงใช้คอมพิวเตอร์วินโดวส์เก้าสิบห้า ที่ยังคงสภาพไว้ดั่งเริ่มซื้อ พวกเขาไม่พกโทรศัพท์มือถือ พวกเขาไม่มีกล้องถ่ายรูปดิจิตอล พวกเขาคิดว่าตัวเองอยู่ในยุคโคลัมบัสบุกเบิกแผ่นดินใหม่

หากให้ผมเปรียบเทียบ คริสกับเดฟก็เหมือนกับเหล่าผู้คนที่ให้ความสำคัญทางจิตใจ มากกว่าความศรัทธาในวัตถุ พวกเขาเป็นคริสต์เตียนที่เชื่อมั่นในศาสนา เข้าโบสถ์และร่วมพิธีกรรมอย่างเป็นกิจวัตร ความศรัทธาทำให้พวกเขาไปร่วมกิจกรรมได้ แม้ว่าจะอยู่ต่างเมืองก็ตาม

ไปโบสถ์ต่างเมือง ทั้งๆที่มีโบสถ์มากกว่าสิบที่ในอีเฟรตา ทั้งๆที่มีโบสถ์มากมายอยู่ในละแวก จะอ้างว่าไม่เห็นก็คงไม่ได้ เพราะมีหนึ่งโบสถ์ที่ตั้งตระหง่านชัดเจนอยู่ตรงข้ามบ้าน ไม่เห็นอีกก็คงเรียกว่าตาบอด แต่ทุกวันอาทิตย์พวกเขาจะตื่นแต่เช้าไปโบสถ์ที่อยู่ไกลถึงควินซี่ (Quincy)

ผมในฐานะตัวแทนของเดซี่ จึงถูกลากไปด้วย

เล็กยิ่งกว่าอีเฟรตายังมีควินซี่ เมืองที่อยู่ห่างออกไปครึ่งชั่วโมง สาเหตุที่ต้องมาไกลถึงขนาดนี้ ก็เพราะความแตกต่างนอกเหนือจากนิกายหลักสามนิกายของศาสนาคริสต์ ยังมีนิกายย่อยลงไปอีกมากกว่าสิบนิกายในอเมริกา และโบสถ์คริสต์ในควินซี่มีนิกายหนึ่งที่ชื่อว่า “มอร์มัน โมเมนท์” (Mormon Moment)

ความแตกต่างยิบย่อยผมไม่สามารถอธิบายรายละเอียด แต่ความอบอุ่นที่สัมผัสผมสามารถสื่อออกมาได้ เมื่อแต่ละคนที่โบสถ์ใส่ใจกับเด็กหนุ่มอุปถัมภ์ ต่างเป็นห่วงเป็นใยถามคำถามต่างๆนานา ถามราวกับกลัวว่าผมจะอึดอัดไม่มีคนคุยด้วย

แต่กุกลับอึดอัดมากขึ้น... ยิ่งมีคนคุยด้วยมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งปวดหัวกับภาษาอังกฤษที่เข้ามาพร้อมกันอย่างไม่วรรคไม่เว้น เท่าที่ความอึดอัดจะกดดัน ผมอยากจะบอกกลับไปให้ชัดๆ

ว่ากุฟังไม่รู้เรื่อง ภาษาที่อังกฤษที่ผ่านหู กลายเป็นภาษายึกยือที่ผมฟังไม่เข้าใจ...

ข้อสอบภาษาอังกฤษที่บอกว่าทำได้ ก็ไม่สามารถช่วยผมได้เลย...

ได้แต่ภาวนาให้โชคชะตาที่นำผมมาที่แห่งนี้ ช่วยผมให้หลุดพ้นจากความงุนงงรอบด้าน และทันทีคำภาวนาก็สัมฤทธิ์ผล โชคชะตาก็ปรากฏต่อหน้า...

โชคชะตาที่เป็นสาเหตุ ทำให้ผมได้มายืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้

น้าสิยดา น้าสิยดาเป็นคนไทย น้าสิยดาเป็นคนเชียงรายแท้บอกได้จากสำเนียง ผันชีวิตตนเองจากอาจารย์ มาบริหารสวนแอปเปิลของสามีฝรั่ง ที่เจอกันด้วยความบังเอิญครั้งที่เขาไปให้ทุนการศึกษากับเด็กนักเรียนที่เชียงราย และบังเอิญที่น้าสิยดานับถือคริสต์ตั้งแต่แรก จึงทำให้หลายอย่างเข้ากันได้ง่าย ในที่สุดน้าก็เลือกย้ายมาอยู่ที่นี่เมื่อห้าปีก่อนแบบไม่บังเอิญ ราวกับฟ้าลิขิตให้มาเป็นที่พึ่งของเด็กหนุ่มในอีกห้าปีต่อมา

นี่คงเป็นความอบอุ่นจริงๆที่สัมผัสได้ กับทุกๆครั้งที่ได้สัมผัสความเป็นไทย ทุกครั้งที่สัมผัส ผมรู้สึกว่ามีที่พึ่ง

ความแตกต่างที่ไม่เข้าใจ ผมได้รับคำอธิบาย แต่ก็ยังมีความแตกต่างอีกมาก ที่ผมต้องเรียนรู้ รวมถึงความเข้าใจในพิธีกรรมของโบสถ์แห่งนี้

เข็มนาฬิกาชี้เวลาแปดโมงครึ่ง เสียงกลองถูกเคาะให้จังหวะ เสียงกีตาร์พลันพลันเริ่มบทเพลงของพระเจ้า เริ่มในสิ่งที่ผมไม่คุ้นเคย เริ่มในสิ่งที่ผมต้องสงสัย ว่าทำไมถึงต้องจัดกันเป็นคอนเสิร์ต ว่าทำไมทุกคนต้องแบมือแล้วชูขึ้น ว่าทำไมคนข้างๆผมต้องร้องเสียงสูงขนาดนี้

ผมนึกว่าคริสกินนกหวีดเข้าไป เสียงร้องถึงสูงจนแทบจะแตะโน้ตตัวบนสุด แล้วไม่ใช่สูงแบบถูกคีย์ เล่นสูงแบบคีย์ระนาบเดียวกระทั่งจบเพลง ผมสงสัยว่าหากคริสร้องเสียงต่ำ ลิ้นปี่จะจุกคอหรืออย่างไร

เมื่อคอนเสิร์ตจบ ความเป็นคริสต์ก็เข้าแทรกซึมอยู่ในทุกอณู ทุกคนจะนั่งลงและตั้งใจฟังคำพูดของอโพสเติล (Apostle) ด้วยความสำรวมผมก็นั่งนิ่งอยู่ในท่าซึมซับศาสนา ตั้งใจถึงขนาดผงกหัวตามทุกประโยค จนกระทั่งทุกคนลุก ผมก็ลุกพรวดขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

“อ้าวจบแล้วเหรอ... ยังไม่ทันได้ฟังเลย”

ก็เพราะว่าเมิงนั่งสัปหงก ผงกหัวตามแรงโน้มถ่วง ไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อหาแต่อย่างไร ต้องยอมรับว่าความเบื่อ ในภาษาและเรื่องราวที่ไม่คุ้นเคย ทำให้ความอยากรู้อยากเห็นกลับไปอยู่ในภวังค์ คาดหวังความตื่นเต้นอีกครั้ง ให้ความอยู่รู้อยากเห็นในภวังค์ ได้ตื่นกลับมา



พ็อทลัคก์ (Potluck) ในรอบหนึ่งปี โบสถ์จะมีการจัดกิจกรรมนี้เพียงสองครั้ง หนึ่งครั้งในหน้าหนาวและอีกครั้งหนึ่งก็คือวันนี้ เป็นจังหวะและโอกาสที่ดี ให้สิ่งที่อยู่ในภวังค์นั้นตื่นกลับมา

พ็อทลัคก์ก็คือปาร์ตี้ ปาร์ตี้ที่แต่ละครอบครัวจะนำอาหารมารวมกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน ในที่นี้จะมีทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่รุ่นเด็กตัวเล็กๆ วิ่งแข่งกันมีคนแก่ร่วมเชียร์ ส่วนรุ่นที่ยังฟิตปั๋งก็เล่นวอลเลย์บอลกลางแจ้ง

ผมจิตนาการภาพสาวสวยในชิ้นบิกินนี่ แต่เมื่อมาถึงที่นี่กลับกลายเป็นผู้ชายที่ยึดสนามวอลเลย์บอลแทนที่จะเป็นผู้หญิง ได้แต่ภาวนาอย่าให้ใครถอดชุดเหลือแต่บิกินนี่ แต่ในอีกแง่มันกลายเป็นจังหวะที่ดี เพราะหากมีแต่ผู้หญิงผมก็คงไม่กล้าเข้าไป

ด้วยอวัจนภาษา ผมตีหน้าตายแทนการพูดว่าอยากเล่น แต่ทั้งกลุ่มกลับตีความผิดเห็นว่าผมเก่งกระทั่งมั่นใจ ตบลูกวอลเลย์เข้าหน้าหนุ่มเอเชียอย่างไม่ยั้ง

กว่าจะอธิบายว่าเล่นไม่เป็นได้ มือมันก็ซ้นจนชาไปครึ่งหนึ่งแล้ว...

แต่ศรีก็ทนได้ เมื่อผมมีเป้าหมายที่ชัดเจนที่เป็นสาเหตุให้เข้าร่วม

สามสาวพาวเวอร์พับเกิร์ล ในเสื้อสายเดี่ยวกางเกงยีน นั่งถัดจากสนามวอลเลย์ไปประมาณยี่สิบเมตร ผมคิดไปเองว่าพวกเธอกำลังมองพวกเราอยู่ จึงกรองภาษาด้วยพลังสมองทั้งหมดเท่าที่มี สื่อสารพร้อมกับภาษามือว่าเราควรชวนสาวๆเข้ามาร่วมด้วย

ความพยายามในด้านนี้ มักมีพลังมากกว่าด้านอื่นอยู่เสมอ...

ความหื่นถูกตอบรับ แผนการถูกคิดค้น ลูกบอลกลิ้งไปหน้ากลุ่มสาวๆด้วยความจงใจ โดยทำทีว่าพลาด หวังว่าสาวสักคนในกลุ่มจะลุกขึ้นมาพร้อมลูกบอลและเข้าร่วมในทันที

แต่สามนาทีก็แล้ว ลูกบอลก็ยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้น กลุ่มผู้ชายก็ได้แต่ยืนนิ่งจ้องลูกบอลราวกับมีพลังจิตสั่งให้มันกระดิกได้ ใช้จิตวิทยาทางสายตา อย่างน้อยเพื่อบังคับให้หนึ่งในสามสาว เตะลูกบอลกลับมาด้วยเท้าก็ยังดี แต่ห้านาทีก็แล้ว ลูกบอลก็ยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้น...

“It doesn’t work” เสียงคนใดคนหนึ่งในกลุ่มพวกเราดังขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่สื่อความหมายว่า ถ้าใช้วิธีนี้ไม่สำเร็จ ก็จำเป็นจะต้องไปเผชิญหน้าด้วยตัวเอง หนุ่มละตินผิวขาวพลันก้าวออกจากกลุ่ม แฝงหน้าตามุ่งมั่นประหนึ่งเป็นซุปเปอร์แมนที่หล่อเหลา ใช้เสน่ห์ยวนให้สาวๆมาเข้าร่วม ซุปเปอร์แมนเดินตรงไปที่กลุ่มสามสาว เหลืออีกหกก้าวมันเลี้ยวเข้าไปหากลุ่มเด็กๆ...

“เอาลูกบอลให้พี่ที”...

ความศรัทธาสูญสิ้นไปจากความคิดของกุในบัดดล... ท่ามกลางความกล้าแสดงออกในวัฒนธรรมตะวันตก ความกล้าในการเข้าหาเพศตรงข้ามก็ยังคงเป็นอุปสรรคอยู่เสมอ...

กิจกรรมของเรายังคงดำเนินไปต่อ ถึงแม้ว่าจะไม่มีสามสาวเข้าร่วม แต่ก็มีคนใหม่ๆร่วมเล่นอย่างไม่หยุด และต่างให้ความสนใจกับหนุ่มต่างศาสนาคนนี้ ทุกคนอยากรู้จักว่าผมเป็นใคร ทุกคนอยากรู้ว่าผมมาจากไหน มาอย่างไร ความแตกต่างที่เป็นที่มาของความโดดเดี่ยว ในวินาทีมันกลับสร้างความอบอุ่นเสียมากกว่า

ความอ่อนแอทางภาษา มันเป็นอุปสรรคก็จริงอยู่ แต่ความอบอุ่นที่ได้รับนั้น มันสัมผัสได้จากความรู้สึก มากกว่าถ้อยคำใดๆ...


Create Date : 23 เมษายน 2553
Last Update : 23 เมษายน 2553 8:19:07 น. 3 comments
Counter : 395 Pageviews.  
 
 
 
 
สนุกมากค่ะ
เขียนได้ตลก และฮาดี
รีบมาอัพเร็วๆ
 
 

โดย: anchesa วันที่: 23 เมษายน 2553 เวลา:10:25:02 น.  

 
 
 
รออ่าน ตอนต่อไปเด้อ
 
 

โดย: Guiman วันที่: 23 เมษายน 2553 เวลา:12:02:17 น.  

 
 
 
เอาน่า สู้เค้า เอาใจช่วยมั๊กๆ ขอให้ได้ในสิ่งที่หวังกลับมานะคะ
 
 

โดย: เชอร์รี่05 IP: 58.8.86.249 วันที่: 23 เมษายน 2553 เวลา:12:09:50 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

phadihca
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add phadihca's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com