<<
เมษายน 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
23 เมษายน 2553
 

1 ปีกับชีวิตในอเมริกา Chapter 1st: อัศวินอ่อนหัด




Chapter 1st: อัศวินอ่อนหัด



“เจม ไม่เอาแต่นั่งเล่นเกมแบบนี้ ไปฝึกภาษา ไปฝึกทำอาหาร ไปฝึกทำไรที่มันเป็นประโยชน์ ฝึกความพร้อมให้ตัวเองได้แล้ว”

“โห่ม้า อีกตั้งสิบเอ็ดเดือนเนี้ยนะ เดี๋ยวค่อยทำก็ได้”...

เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยวมาตั้งแต่เกิด ไม่เคยมีความกระตือรือร้น ยังคงนั่งเอ้อระเหยลอยชายอ้างคำพูดแทนคำว่า “ขี้เกียจ” ไปวันๆ แม่ผู้เห็นผมมาตั้งแต่เกิด ย่อมรู้อยู่แล้วว่าปล่อยไว้คงไม่ได้เรื่อง

จึงเกิดการประชุมสามัญระหว่างญาติๆครั้งใหญ่ เพื่อจะหามติเตรียมความพร้อมสำหรับหลานชายที่ไม่เอาไหนคนนี้ แต่ผู้ถือหุ้นใหญ่สุดคือน้าชายคนโต เสียงจึงเป็นเอกฉันท์ด้วยคำตัดสินที่ฟังเหมือนจะเป็นคำสั่ง คำสั่งเพียงประโยคเดียว...

“ให้มันไปทำงานบ้านอาม่าครึ่งปี ให้มันไปปัดกวาด เช็ดถู ขัดห้องน้ำ”

แล้วชะตาชีวิตผมก็เปลี่ยนไป...

เป็นทาส... ราวกับผมเข้าไปอยู่ในคุก สารภาพตรงๆว่าตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยทำงานบ้าน ห้องที่อยู่ฝุ่นมันก็หนากระทั่งขนเอาไปชั่งกิโลขายได้ ผมจึงช็อกเมื่อได้ยินคำตัดสินชะตาชีวิต

เมื่อบ้านอาม่าไม่ได้รื่นรมย์อย่างที่ควรจะเป็น งานสบายไม่เคยจะได้จับ สัมผัสได้จากพื้นกระเบื้องที่เงาวับจนสะท้อนเห็นหน้าตัวเอง ไม่มีฝุ่น ไม่มีเชื้อโรค ไม่มีแบคทีเรีย บ้านอาม่าคือห้องอิเล็กตรอนปลอดเชื้อ

มันสะอาดจนบางครั้งผมไม่สามารถสังเกตได้ มันสะอาดจนผมสงสัย ว่าอาม่าเองมีสัมผัสที่หกหรือเปล่า

“อาเจ็งหง่า... นี่มังยังไม่สักอากนะ” พูดจบ อาม่าก็ชี้พิกัดของฝุ่น นี่ไงอาเจ็ง นี่อิก นี่อิก...

นี่อาม่าบ้าไปแล้ว ผมยังมองไม่เห็นฝุ่นเลย ฝุ่นอยู่ตรงไหน นี่ก็กวาด นี่ก็ส่อง นี่ก็ถูแล้วนะอาม่า อาม่าจะให้เจมขัดด้วยหรือเปล่า แล้วผมจะไม่บ่นเลย หากว่างานบ้านเหล่านี้ทำอาทิตย์ละครั้ง แต่บังเอิญว่าชะตาชีวิตกำหนดให้ผมมีตารางทำงานทุกวัน

วันจันทร์ทำข้างล่างและข้างบน วันอังคารทำข้างบนและข้างล่าง วันต่อๆไปก็ทำเหมือนวันจันทร์และวันอังคาร...

แล้วจะมีตารางกันไปทำไม บอกง่ายๆเลยว่าให้กุทำทุกวัน

ห้องน้าชายคนเล็ก ห้องที่กินอาณาเขตพื้นที่หนึ่งในสามของบ้าน ห้องที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่ผมต้องเข้าไปทำความสะอาด แต่มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

เมื่อน้าชายไม่ใช่คนที่อ่านความคิดได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไร สีหน้าของน้าชายไม่เคยแสดงอาการ ไม่เคยแสดงให้ผมตั้งตัว เพียงแค่พูดตอกครั้งเดียวน้ำตาผมก็แตกโทรไปบอกแม่ว่าหนูอยากกลับบ้าน

เพื่อความอยู่รอด ผมจำเป็นต้องทำให้เนี้ยบมากกว่าห้องใดๆ ผมต้องพยายามมากกว่าครั้งไหนๆ

ไหนจะอากง ชายหนุ่มผู้ล่องสำเภามาจากจีนแผ่นดินใหญ่ คาดหวังขุมทรัพย์และความเจริญงอกงาม ณ ดินแดนสุวรรณภูมิตั้งแต่หกสิบปีก่อน แต่หกสิบปีสำหรับท่านไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด ภาษาจีนยังคงแข็งแรง แข็งแรงแม้กระทั่งเวลาพูดภาษาไทย

“อาเจ็ง ขื่อราย” (พูดด้วยสำเนียงจีนหนาๆของคนแก่ แปลว่า อาเจมไปเมื่อไหร่)

“ไปปีหน้านู่นอากง”

“อ่อ ไปพุกนี้ ไปพุกนี้” เออ... อากงกู

ภาษาไทยอากงไม่แข็งแรง พอๆกับหูของอากงที่ไม่แข็งแรง ผมจำเป็นต้องใช้ความพยายามในการฟัง และความพยายามในการตะโกนคำพูดเข้าหูของอากง

แต่ไม่ว่าผมจะพยายามมากเพียงใด กับเรื่องไหนๆ ผมก็ยังโดนตำหนิอยู่ตลอดเวลา

สิบเจ็ดปีผ่านมาก็แล้ว ผมยังคงถูกตอกย้ำแต่เรื่องเดิมๆ ยังถูกกดดันในเรื่องซ้ำๆ จนบางครั้งความไม่เข้าใจมันทำให้ผมแหกข้อแหกข้อไม่ปฏิบัติตาม ก็ผมเชื่อว่าผมพยายามแล้ว ผมทำดีที่สุดแล้ว แต่กี่เดือนกี่ปีผ่านไปก็แล้ว ผมก็ไม่เคยรู้ว่ามันได้อะไร ผมรู้เพียงว่า สิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่ มันมีเพียงความอึดอัด...

ผมอยากจะบินออกไปจากโลกจำลองที่อัดอั้นนี้ สู่อิสระในโลกแห่งความจริง ให้โลกแห่งความจริงพิสูจน์ตัวผม พิสูจน์ให้เห็นว่าผมพร้อมที่จะบินสู่โลกกว้างมากเพียงใด

ผมพร้อมแล้ว... จริงหรือ...



“เที่ยวบินที่ UA 897 ที่จะเดินทางไปยังสนามบินนานาชาตินาริตะ กำลังจะออกเดินทางภายในห้านาทีนี้”

ผมอึ้ง เพราะเสียงประกาศขานเที่ยวบินที่อยู่บนตั๋ว ผมอึ้ง เพราะเหลือเวลาอีกห้านาทีประตูจะปิด ผมอึ้งคนเดียวไม่พอ ผมพาเพื่อนอีกสี่คนอึ้งไปด้วย

“ก็ไหนเมิงบอกว่าเยี่ยวกันก่อนก็ได้ไง เหลือเวลาอีกเยอะ ก็ไหนเมิงบอกเดินเที่ยวกันก่อนก็ได้ไง เหลือเวลาอีกสิบห้านาที” นี่หรือคำพูดของผู้นำ นี่หรือผู้นำที่คิดว่าตัวเองแก่ที่สุดจะสามารถนำคนอื่นได้

ก็ผู้นำเคยขึ้นแต่รถไฟไทย...

เหลืออีกห้านาที ถ้าไปไม่ทันก็จะตกเครื่อง ถ้าตกเครื่องก็จะไปไม่ทันเที่ยวต่อไป ถ้าไปไม่ทันเที่ยวต่อไปก็จะไปไม่ทันเที่ยวต่อๆไปอีก แล้วถ้าไปไม่ทันเที่ยวต่อไปนี้จริงๆ ก็คง...

ภาพความหวังเริ่มเลือนราง ความกังวลเริ่มประทุขึ้นในหัว ผมยืนนับนิ้วสนามบินที่เหลือที่ต้องต่ออีกสามทอด ไปนาริตะ ไปซีแอตเทิล ไปสโปแกน ไปตายกันเลยดีกว่าถ้าไปไม่ทันจริงๆ...

พวกเราวิ่งจนมาดนักเรียนแลกเปลี่ยน เปลี่ยนไปเป็นเจ๊กตกเครื่องบิน วิ่งกันราวกับว่ามีระเบิดดังมาจากสามเทอร์มินอลถัดไป หากผมตกเครื่อง ผมคงต้องไปติดต่อพนักงานด้วยภาษาอังกฤษที่มีเท่าเด็กอนุบาลสอง และเด็กอนุบาลสองก็คงจะตาย หากเจอสถานการณ์แบบนั้นจริงๆ

แต่สุดท้ายก็รอดมาได้อย่างน่าสมเพช

แต่แล้วความน่าสมเพชก็ไม่ได้ช่วยอะไรอีก เมื่อที่นั่งบนเครื่องถูกจัดให้พวกเราอยู่ห่างกัน คนหนึ่งหัวเครื่อง สองคนท้ายเครื่อง อีกคนก็อยู่ด้านข้างโดยที่ผมอยู่ตรงกลาง แล้วจะให้ผมทำอะไร

เข้าใจความรู้สึกไหมว่าตื่นเต้น ตื่นเต้นจนตอนนี้เสียวซ่านไปทั้งตัว ทำอะไรไม่ได้ ให้นั่งเฉยๆยิ่งไม่ได้ นอนยิ่งนอนไม่ได้ใหญ่ เพราะสภาพพนักเก้าอี้มันก็ตั้งจนหลังกูตรงเป็นนกนางแอ่น ไหนบอกหน่อยว่าผมควรจะทำอะไรห้าชั่วโมงจากนี้

ผลาญน้ำอัดลม... น้ำอัดลมผมก็สั่งแล้ว แต่ก็ไม่เข้าใจทำไมแอร์สาวสวยบอกว่าไม่มี...

“ไอวอนท์ โคคาโคล่า” ใส่สำเนียงไทยไปเต็มๆ ผมไม่รู้ว่าโค้กภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไร แต่เห็นข้างกระป๋องมันเขียนว่า “Coca Cola”

กุก็เลยนึกว่าโคคาโค่ล่า..

“Sorry?”… อะไร ไม่รู้จักเหรอ โค้กอ่ะโค้ก

“โค – คา – โค – ล่า” เข้า – ใจ - ไหม

“Sorry?”…

นังแอร์ นี่กุแทบจะสะกดให้เมิงอยู่แล้วนะ ต้องให้กูเขียนด้วยไหม อะไรกัน แค่จะขอน้ำก็ยังลำบากอีก พอกันที...

“พี่ ขอน้ำเปล่า!!”...

“อ๋อ น้ำเปล่าเหรอคะ ได้ค่ะๆ” อ้าว... คนไทยก็ไม่บอก

ความตื่นเต้นเริ่มลดลงตามเวลาที่ผ่านไป เวลาที่ผ่านกับความหน่าย เริ่มทำให้หนังตาหย่อนลง จนกระทั่งเวลาเปลี่ยน แสงอาทิตย์ส่องเข้าตา ภาพเบื้องล่างเปลี่ยนจากผืนน้ำเป็นผืนนา ความตื่นเต้นก็กลับมาอีกครั้ง

ผมแปลกใจ ไม่เคยคิดว่าจะมีผืนนาบนโตเกียว



สนามบินนาริตะ(Narita International Airport) ตั้งอยู่ห่างจากเมืองโตเกียวหนึ่งชั่วโมงด้วยรถไฟขบวนที่เร็วที่สุด และที่น่าแปลกสนามบินนาริตะเป็นสนามบินนานาชาติของญี่ปุ่น ที่มีผู้ใช้บริการน้อยกว่าสนามบินภายในประเทศ (Haneda Airport) ซึ่งรองรับผู้โดยสารมากเป็นอันดับสี่ของโลก

พวกเราจำเป็นต้องแวะเที่ยวบินที่นี่ เพื่อต่อไปยังสนามบินที่เป็นจุดหมาย

สี่คนไปชิคาโก้ (Chicago) หนึ่งคนไปซีแอทเทิล (Seattle) และหนึ่งคนนั้นก็คือผม...

ยืนนิ่งไปอยู่สามวินาที... กูไปคนเดียว กูจึงเกิดอารมณ์เปลี่ยวเสียวซ่านไปทั้งตัว ผมทำใจไม่ได้ บทสรุปของงานนี้ไม่หลงก็คงโดนจับไปขายที่เอธิโอเปีย แล้วไหนจะภาษาอังกฤษระดับอนุบาลสองของกูอีก

ท่ามกลางเหล่าสัตว์ร้าย ผมเปรียบเสมือนอัศวินน้อยที่ฟันดาบไม่เป็น...

“เออ... ไอโกทู อเม่-หริก๋า” ความพยายามที่จะเสแสร้งว่าฟันดาบเป็น กลับทำให้ผมดูโง่ลงยิ่งกว่าเดิม แต่มันกลับเป็นข้อดี เมื่อสัตว์ร้ายเหล่านี้เหมือนยังไม่ต้องการดูดเลือดผม

“แอเพะ ทิ กะ ปิ๊”

แต่เหมือนว่าเขาต้องการน้ำพริกกะปิ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันมาเกี่ยวอะไร

ลำพังภาษาอังกฤษของเจ้าของภาษาผมก็ลำบากมากพอแล้ว ไหนจะมาเจอสำเนียงสั้นๆของพนักงานญี่ปุ่น

“นะพิ กะปิ๊”

กุไม่มีน้ำพริกกะปิ! จะให้พูดอีกกี่ครั้งกุก็ไม่มีน้ำพริกกะปิอยู่ดี สัตว์ร้ายเหล่านี้ดูเหมือนจะชื่นชอบน้ำพริกกะปิเป็นชีวิตจิตใจ แต่เมื่อผมยืนกรานว่าไม่มี สัตว์ร้ายตนนี้จึงไปเรียกผู้ที่เก่งกาจมากกว่ามา

“Airplane Ticket Please!”

แล้วผมก็ได้บินต่อ ไปอเมริกา...



วิวทิวทัศน์ในขณะที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าญี่ปุ่น มันทำให้ผมตื่นเต้นจนหลับตาไม่ลง เอ็มพีสามที่เอามาฟังก็ยิ่งสร้างความเหงาให้รุมเร้าเข้าอีก สุดท้ายผมจึงโยนทิ้ง เลือกจับสมุดบันทึกขึ้นมาบรรยายเหตุการณ์แทน

มีภาพยนตร์ให้ดูซ้ำไปซ้ำมาอยู่สามเรื่อง มีแอร์เหี่ยวๆเดินไปเดินมาอยู่รอบๆ มีฝรั่งอ้วนตัวใหญ่หน้าโหดๆนั่งอยู่ข้างๆ แทนที่จะเป็นเด็กสาวญี่ปุ่น ผมจึงไม่กล้าตื่นจนออกอาการ แต่สุดท้ายก็แพ้ เมื่อความตื่นเต้นมันทำให้ผมปวดฉี่ และการปวดฉี่ก็คือสิ่งที่เป็นปัญหากับกับสภาพที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน

เมื่อสมองที่ยังไม่พัฒนา ไม่สามารถสื่อสารกระทั่งความรู้สึกที่ว่า “ฉี่จะเล็ด” จะให้เปิดดิกชันนารี่ ฉี่ก็คงจะเล็ดออกมาก่อน

“ไอวอนท์ ทูพี” ผมตีหน้าเลื่อมใส ประหนึ่งขอความกรุณาถึงแม้จะพูดจาไม่สุภาพ พลันตามด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าผมไม่ไหวจริงๆ และด้วยปากที่ปิดเบี้ยวพร้อมกับน้ำตาที่เล็ด มันก็ช่วยผมได้ทันท่วงที

ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกแล้ว ว่าความพร้อมมันมีไว้ทำอะไร...

แต่แล้วเมื่อฟ้ามืดลง ความตื่นเต้นก็แพ้ความอ่อนล้า ผมเก็บปากกาพร้อมกับพักสายตา หวังว่าเมื่อลืมตาแสงสว่างจะต้อนรับการเยือนสู่ทวีปใหม่ ทวีปที่ใฝ่ฝันอันเป็นจุดหมายปลายทาง

อเมริกา...



ความคิดที่คิดว่าจะมีคนไทยร่วมทางไปด้วยอย่างเที่ยวบินก่อนหน้านั้นคงจะผิด เพราะเท่าที่ผมสังเกต มีแต่เอเชียที่ไม่ใช่คนไทยเลยสักคน ซึ่งหมายความว่าผมต้องใช้ความรอบคอบเท่าที่สติและความมั่นใจจะมี ผมสังเกตและรู้อย่างเดียวว่าต้องตามพวกเอเชียไป

อย่างน้อยเราคงมีชะตากรรมคล้ายๆกัน อย่างมากถ้าโชคดี เขาอาจจะเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนอย่างผม

แต่เมื่อเวลานั้นแตกต่างกันถึงสิบสองชั่วโมง ผมจำเป็นต้องถามเวลากับสองวัยรุ่นเกาหลีที่ต่อแถวอยู่ด้านหลัง ผมหวังว่าพวกเขาจะเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน แต่เมื่อเขาตอบได้ในทันที ผมก็รู้ทันทีว่าสองคนนี้ไม่ใช่ และพวกที่คล่องแคล่วที่เหลือก็คงไม่ใช่เช่นกัน

หนุ่มสาวเอเชีย ต่างเข้ามาเรียนในอเมริกาทั้งในระดับมัธยมและระดับมหาลัย โดยเฉพาะญี่ปุ่นและเกาหลี หนึ่งจุดประสงค์คงเพราะหนีระบบการศึกษาที่เน้นแต่การแข่งขัน หนีกันมามากจนกระทั่งจำเป็นต้องมีภาษาที่สามบรรยายภายในสนามบิน

สนามบินซีแอตเทิล (Sea – Tac Airport) รองรับผู้โดยสารมากเป็นอันดับที่ยี่สิบห้าของโลก ใหญ่จนจำเป็นต้องแบ่งออกเป็นส่วนๆ เชื่อมกันโดยรถไฟฟ้าภายในสนามบิน

มีรถไฟฟ้าเชื่อมระหว่างสนามบินระหว่างประเทศ และภายในประเทศ มีรถไฟฟ้าภายในประเทศ เชื่อมระหว่างเทอร์มินอล มีรถไฟฟ้าจากแต่ละเทอร์มินอล เชื่อมระหว่างเกท มีรถไฟฟ้าระหว่างเกท เชื่อมจนกูหลงขึ้นวนไปวนมาอยู่สองสามรอบ สุดท้ายไปไหนไม่รอดต้องกลับไปถามสองเด็กเกาหลีนั่น

“แว อีด เกต ทะเว้นตี้ทู?”

สองเกาหลีทำหน้าไม่รับสาร ราวกับสารที่ส่งไปถูกบิดเบือนด้วยสำเนียงไทยร้อยเปอร์เซ็นต์

“เกต – ทะ – เว้น – ตี้ – ทู” ผมแทบจะสะกดพร้อมกับทำมือเป็นรูปประตู และชูมือสองนิ้วทั้งสองข้าง แต่มันก็คงนึกว่าผมกำลังตามหากระต่ายที่หายไป

มันชี้ไปทางขวาซึ่งอาจจะบอกตำแหน่งของกระต่าย หรืออาจจะบอกให้ผมไปไกลๆ แต่ผมก็ไม่ไป ความอยากมีเพื่อนชาวต่างชาติทำให้ผมหน้าด้านอยู่ต่อ

“อา ยู กา เหรี่ยง?” พยายามจะพูดว่า Korean แต่ดันเพี้ยนไปด่ามันเป็นชาวเขา โชคดีมันยังฟังออกบอกผมว่าใช่ ผมจึงตีซี้ไปนั่งรอเครื่องกับมัน แต่เมื่อการพูดไม่ได้วิเศษไปกว่าการใช้มือ ผมจึงถามอะไรไม่ได้มากนอกจากนั่งเฉยๆแล้วจ้องตา

จ้องจนมันคิดว่าผมเป็นเกย์ แล้วลุกไปโดยไม่บอกไม่กล่าว...

ความพยายามมีเพื่อนต่างชาติครั้งแรกกลับถูกปฏิเสธด้วยการทำร้ายจิตใจอย่างรุนแรง...



เมื่อยังเหลือเวลา ความอยากรู้อยากเห็นทำให้ผมต้องเดินสังเกตสิ่งแปลกใหม่ไปทั่ว ราคาสินค้าที่นี่ต่างจากที่ผมเคยชินอย่างสิ้นเชิง จำเป็นต้องแปลงตัวเลขเป็นเงินบาททุกครั้งก่อนที่จะซื้อ แต่เมื่อเห็นเลขเงินบาทแล้วก็อึ้ง ไม่กล้าซื้ออะไรอีกนอกจากน้ำแร่หนึ่งขวด แต่แล้วไม่นานสิ่งแปลกใหม่และน่าสนใจกว่าก็ดึงดูดให้ผมกลับไปนั่งที่

เมื่อสาวญี่ปุ่นรุ่นราวคราวเดียวกัน ปรากฏสู่สายตา

เธอสวยราวกับเป็นนางฟ้า สวยจนผมอยากจะนั่งอยู่กับที่แล้วตะโกนขอเบอร์โทร แต่ก็ติดตรงข้ออ้างว่าไม่มีมือถือแทนคำว่าไม่กล้า สุดท้ายทำได้เพียงแต่ภวนาขอให้เราได้ขึ้นเครื่องลำเดียวกัน

และเป็นมากกว่าภาวนา ตั้งแต่เธอเดินเข้าประตูสู่ลำที่จะบินไปสโปแกน (Spokane)

ถึงมันจะเป็นเครื่องบินเล็ก ที่นั่งแล้วเสียวเพราะตกหลุมอาการบ่อย แต่ข้อดีของมันคือมีสาวสวยอยู่บนเครื่อง นั่งเสียวอยู่ข้างๆ...

นางฟ้าญี่ปุ่นนั่งอยู่ข้างๆ ผมจึงจำต้องเก็บอาการ ไม่ให้เธอสังเกตว่าผมหื่น

แต่ทันใดก็มีเสียงกระซิบเบาๆดังมาจากที่นั่งด้านหลัง มันคือเสียงจากเด็กเกาหลีสองคนที่ทำร้ายจิตใจผม พยายามชี้ไปที่หน้าต่างข้างนางฟ้า พร้อมกับขยับปากพูดเป็นคำว่า “Window…”

กูรู้จัก... แต่นี่ใช่เวลาที่พวกเมิงมาสอนภาษาอังกฤษกูเหรอ สองคนพยายามให้ผมทำทีว่าขอเปิดหน้าต่าง คงเพื่ออยากให้ผมช่วยทำลายกำแพงความแปลกหน้าแล้วมันจะได้เข้าไปจีบเธอ

จะบ้าหรือเปล่าจะจีบก็ทำเองสิ ลำพังผมพูดกับพวกมันยังลำบากแล้วจะให้ผมบอกสาวสวยเปิดหน้าต่าง ไหนจะภาษา ไหนจะหน้าตา ไหนจะหน้าต่าง ใครจะไปกล้า ผมไม่อยากถูกมองว่าหื่น..

“เออ... วินโด้ โอเพ่นๆ” แต่สุดท้ายผมก็ยอมทำ เท่าที่ความอนาถจะอนาถได้ ผมพูดพร้อมแสดงภาษามือ ชี้จนจะจิ้มก็แล้ว แต่สุดท้ายเธอก็ยังไม่เข้าใจ ด่ากลับมาทางสายตาว่าผมคือ “ไอ้หื่น”

ผมไม่ได้หื่น... ผมเป็นอัศวินน้อยฝึกหัดที่พูดภาษาอังกฤษได้เท่าเป็ด พยายามอ้อนวอนทางสายตาให้เธอเชื่อ แต่สุดท้ายเมื่อเครื่องบินลงจอด เธอก็เดินออกจากชีวิตผมไปตลอดกาล ทิ้งให้ผมยืนเศร้าท่ามกลางความอัดอั้น อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมากก่อน

“Your first time?”

ไม่ต้องมาตอกย้ำกุเลยนะ ไอ้สองเกาหลี เพราะเมิงสองคนทำให้นางฟ้ากุบินจากไป แล้วจะถามทำไม ตลอดทางเมิงไม่เห็นสภาพกุเหรอ...

ตลอดครั้งแรกของการเดินทาง ผมคืออัศวินที่ไม่เอาไหน...



ป้ายชื่อที่ดูเหมือนจะเขียนสด ถูกชูขึ้นด้วยท่าทางเก้ๆกังๆของโฮสชาย ต้อนรับหนุ่มนักเรียนแลกเปลี่ยนสู่อ้อมกอดของความแตกต่าง เผชิญหน้ากับความแตกต่างเป็นครั้งแรกในชีวิต

“Hello, James – สวัสดีครับ” ผมทักทายกลับพร้อมกับยกมือไหว้ โฮสชายยื่นมาต้อนรับ กุมสองมือที่ผมไหว้อยู่แล้วเขย่า...

อยากจะอธิบายว่าผมไม่ได้โง่จนเช็คแฮนด์ไม่เป็น “การไหว้” คือหนึ่งในวัฒนธรรมไทย แต่ด้วยอุปสรรคทางด้านภาษาผมจึงจนปัญญา

เดวิด (David) คือชื่อโฮสพ่อของผม ขับรถมาไกลสองชั่วโมงจากอีเฟรตา (Ephrata) พร้อมกับคริส (Chris) โฮสแม่ เพื่อมารับผมที่สโปแกน

ผมเริ่มสังเกตว่าเขาใช้หน่วยระยะทางเป็นเวลา เมื่อเขาพูดเรื่องการเดินทางมารับ

ผมเริ่มสังเกตความเคร่งครัด เมื่อผมต้องคาดเข็มขัดแม้กระทั่งนั่งข้างหลัง

ผมเริ่มสังเกตเรื่องที่เขาพูดแต่ละคำ เมื่อนั่งมาตั้งนานแล้วผมยังฟังไม่รู้เรื่อง...

แต่กระนั้นถึงไม่รู้เรื่อง ผมก็ยังกระเสือกกระสนถามคำถามอย่างไม่หยุดไม่หย่อน

“เออ... วอด อีด แด๊ด... วอด อีด โด๊ด วอด อีด ดีด” แต่ก็เพราะสภาพแวดล้อมที่แปลกใหม่ มันจึงทำให้ผมถามแบบไม่ยั้ง และคงเพราะสภาพแวดล้อมมันบังคับ ผมจึงกล้าที่จะพูด พูดถึงแม้จะไม่รู้เรื่อง พูดจนเขารำคาน บอกเป็นนัยน์ให้หยุดโดยการถามคำถามจากไบเบิลหนึ่งคำถาม...

ผมจึงกลับไปอยู่ในท่าสงบนิ่ง...

มันแตกต่างจากที่ผมคุ้นเคยอย่างสิ้นเชิง สภาพแวดล้อมเบื้องหน้าคือถนนลาดยางวิ่งเลนส์ขวายาวเป็นเส้นตรง ห้อมล้อมไปด้วยพื้นที่แห้งโล่งเตียนราวกับเป็นทะเลทราย ไม่มีร้านค้าข้างทาง ไม่มีอะไรสักอย่างนอกจากป้ายบอกทาง และป้ายจำกัดความเร็ว

หากต้องการแวะ จำเป็นต้องเลี้ยวเข้าเมือง และเราก็แวะที่เมืองโมเสสเลก

ยิ่งขับเข้าในเขตชุมชน ป้ายจำกัดความเร็วยิ่งดูมีอิทธิพล เป็นป้ายที่มีความหมายว่าให้ขับช้าลงมากกว่าตัวเลขบนเศษเหล็กข้างทาง

โมเสสเลก (Moses Lake) เป็นเมืองที่ไม่ใหญ่ตั้งอยู่แถบกลางของรัฐวอชิงตัน ห่างจากอีเฟรตาเพียงครึ่งชั่วโมง ผมไม่แน่ใจว่าโฮสมาแวะที่นี่เพื่ออะไร แต่หากแวะเพื่อซื้อของที่หาไม่ได้ในอีเฟรตา ผมก็เริ่มจินตนาการสภาพของเมืองออกแล้ว

ที่นี้ไม่มีแม้แต่ห้างสรรพสินค้า ตึกที่ถูกสร้างให้เป็นรูปกล่องตั้งจนลานตาในเมืองแห่งทะเลสาบแห่งนี้ รถราที่มีเพียงน้อยนิด หากเปรียบเทียบขนาดของเมืองนั้นเล็กยิ่งกว่าเมืองที่ผมเคยอยู่จนถนัดตา แต่อนิจจา เมืองที่ผมจะไปอยู่เล็กยิ่งกว่านี้

“หมู่บ้าน” คือคำจำกัดความที่ผมให้ เมื่ออีเฟรตาเล็กยิ่งกว่าโมเสสเลกถึงสามเท่า ความหวังที่จะมีสถานบันเทิงนั้นดูจะหมดสิทธิ์ มีเพียงหมีกระปุกหยอดเหรียญให้ผมไปนั่งเล่นในวอล์มาร์ทก็เท่านั้น

วอล์มาร์ท (Wall Mart) มีวอล์มาร์ทก็ไม่ได้ทำให้หมู่บ้านเป็นเมืองแต่อย่างใด หากเปรียบเทียบก็คงเป็นตลาดของชาวอเมริกัน ที่ๆทุกคนออกมาจับจ่ายซื้อของ แต่ทุกๆที่ก็ยังคงความมีระเบียบและมาตรฐาน ตลอดเส้นทางการเดินทาง กระทั่งรถจอดสนิทหน้าบ้านในเวลานี้



จินตนาการมันออกจากภาพที่เคยเห็น ทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า บ้านฝรั่งไร้รั้วก่อด้วยอิฐสีส้ม ห้อมล้อมไปด้วยผืนหญ้าสีเขียวสดและสวนหย่อมขนาดเล็ก มีกระจกมองทะลุเห็นห้องรับแขกแบบฝรั่งภายใน ฝั่งซ้ายของบ้านมีโรงรถที่เปิดปิดด้วยรีโมทคอนโทรล์

ภาพเบื้องหน้านั้นเลิศหรูยิ่งกว่าจินตนาการ ผมเปิดประตูเข้าไปยวนโฉมภายในพร้อมความตื่นเต้น พรมชั้นดีถูกปกคลุมอยู่ทั่วทั้งหลัง ด้วยความอ่อนล้าผมทิ้งตัวลงบนโซฟากำมะหยี่นิ่มๆ แต่ทันใดนั้นผมก็พบกับความจริงบางอย่าง และนิ่งไปสามวินาที

จอนูนสียี่สิบเอ็ดนิ้ว ทีวีรุ่นแรกที่เปิดด้วยระบบสัมผัส สัมผัสแรงๆที่เครื่อง แล้วภาพจะปรากฏตรงหน้า...

ความตื่นเต้นเปลี่ยนเป็นความหดหู่ ความเลิศหรูเบื้องหลัง แตกสลายเหลือเพียงจินตนาการในบัดดล

เท่าที่เคยเห็นจากในหนัง เท่าที่เคยฟังจากร้อยคำบอกเล่าต่างก็สรุปเป็นเสียงเดียวกันว่าบ้านฝรั่งจะเต็มไปด้วยสิ่งของอำนวยความสะดวก เต็มไปด้วยความทันสมัย ความสนุกจะครบครันบันเทิงไปด้วยเครื่องเล่น เกม โฮมเธียร์เตอร์ อินเตอร์เน็ต และคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ล่าสุด

แต่ที่กุเห็นตรงหน้ามันคืออะไร...

จอนูนสิบสี่นิ้วสีขาวขุ่นๆ ปฏิบัติการด้วยระบบวินโดวส์เก้าห้า ย้ำว่าเก้าสิบห้า

แล้วนี่ยังไม่รวมไมโครเวฟรุ่นคลาสสิกที่เครื่องยังหุ้มด้วยไม้อยู่อีก...

ตกลงนี่ผมบินมาอเมริกา หรือขึ้นเครื่องผิดบินมาลงที่ยูกันดา ความหดหู่มันพลันรุมเร้าจนผมอ่อนเปลี้ยไม่มีแรง

“So, how do you like it here?”

เปลี้ยลงหนักจนแทบจะทรุด แต่ก็ต้องทำขาแข็งฝืนยิ้มให้คำตอบว่าประทับใจ ยังดีที่การรอดมาได้จากการผจญภัยนั้นประทับใจมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับเวลานี้ผมจึงพอรับได้

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมพอใจ เมื่อความหวังที่เคยจินตนาการ มันเกิดดับวูบเมื่อประสบกับความจริง เมื่อเกิดมาทั้งชีวิตผมคาดหวังกับสิ่งรอบกายอยู่เสมอ

อาหารเย็นถูกเสิร์ฟบนเคาท์เตอร์ในห้องครัว การเดินทางข้ามวันกว่ายี่สิบชั่วโมงจากอีกฝั่งของโลกทำให้ผมหิวโซ ไม่รอช้าผมยัดอาหารเข้าปากโดยไม่สนใจว่ามันคืออะไร แต่กระนั่นผมก็โดนหยุดไว้เสียก่อน เนื่องจากตามธรรมเนียมของบ้าน เราจำเป็นต้องอธิษฐานต่อพระเจ้า...

พระเจ้า...

นี่ก็เพลีย นี่ก็หิว นี่ก็ข่มความหงุดหงิดจนจะตายอยู่แล้ว ผมยังโดนปิดกั้นด้วยธรรมเนียมที่ไม่ใช่ของผมอีก นี่แค่วันแรกแต่ผมเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดหวัง ตกลงจะไม่มีอะไรได้ดั่งใจสักอย่างเลยใช่ไหม

ใช่...

แต่นี่ไม่ใช่หรือโลกแห่งความจริงที่ผมเรียกร้อง

แต่นี่ไม่ใช่หรือโลกแห่งความจริงที่ความไร้เดียงสาต้องการจะพิสูจน์

ไม่ว่าจะเชื่อว่าปีกกล้าขาแข็งมากแค่ไหน ผมก็ยังเป็นอัศวินที่อ่อนหัดอยู่วันยังค่ำ ผมไม่ได้พร้อมเลย ท่ามกลางโลกจำลองที่มีไว้ฝนดาบ ผมเห็นว่ามันเป็นเพียงการบังคับ ดันทุรังมาพบกับความจริง กระทั่งมาถึงจุดนี้ มันหมดเวลาที่จะย้อนกลับไป

ผมเลือก ผมหา ผมคว้า ผมตัดสินใจเอง แต่เมื่อมันไม่ได้ดั่งใจผมจะไปโทษใคร ปล่อยให้โอกาสที่ได้รับมันเป็นการเรียนรู้ ให้โลกแห่งความจริงที่ผมเรียกร้อง สอนอะไรต่อจากนี้ไป ผมไม่อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม

ขอให้ดาบที่ทื่อมันถูกลับจนคม ขอให้โล่ไม้ที่เปราะบางเปลี่ยนเป็นโล่เหล็กที่แข็งแกร่ง ขอให้ผมกลายเป็นอัศวินที่เข้มแข็งมากกว่าที่ผ่านมา...

ผมยอมรับชะตา พร้อมที่จะเติบโต








Create Date : 23 เมษายน 2553
Last Update : 23 เมษายน 2553 8:18:47 น. 4 comments
Counter : 271 Pageviews.  
 
 
 
 
 
 

โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว วันที่: 23 เมษายน 2553 เวลา:9:00:54 น.  

 
 
 
สนุกดีค่ะ เขียนตลกดีน่าอ่าน
 
 

โดย: anchesa วันที่: 23 เมษายน 2553 เวลา:10:17:59 น.  

 
 
 
เขียนหนุกจังครับ

อยากเป็น นร แลกเปลี่ยนบ้างแหะ
 
 

โดย: Guiman วันที่: 23 เมษายน 2553 เวลา:11:48:01 น.  

 
 
 
 
 

โดย: Loveaddicted8 วันที่: 23 เมษายน 2553 เวลา:14:45:32 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

phadihca
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add phadihca's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com