๑. Kiritsubo ส่วนที่ 2
วันวานอันเศร้าซึมผ่านไป พระจักรพรรดิทรงจัดการไว้ทุกข์ที่เหมาะควรดำเนินไป โดยมีการทำบุญหลังจากครบ 49 วันไปแล้วทุกๆเจ็ดวัน พระองค์ยังคงจมอยู่ในห้วงความคำนึง แม้ความโทมนัสจะบรรเทาลง แต่ทรงมิต้องการสมาคมใดๆ มิรับสั่งให้หานงใดมาถวายงานในยามราตรี พระองค์ผ่านวันคืนไปด้วยความโศกสลด จากทัศนะของพระสนมตำหนักโคคิที่ว่า นางมีความหมายใหญ่หลวงกับพระองค์ แม้ยามตายไปยังกัดกร่อนทำลายคนที่ยังมีชีวิตอยู่ นางยังคงโหดร้ายไม่เปลี่ยนแปลง ในยามเย็นของฤดูใบไม้ผลิ สายลมหนาวเหน็บพัดพา เมื่อยามพระจักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นพระโอรสองค์โต พระองค์ต้องทรงระลึกถึงเจ้าชายองค์น้อยที่ทรงโปรด และยิ่งทำให้พระองค์คิดถึงองค์ชายน้อยยิ่งขึ้น ทรงมักจะสั่งให้แม่นมหรือนางกำนัลซึ่งพระองค์ทรงไว้วางพระราชหฤทัยไปคอยเฝ้าดูว่าองค์ชายน้อยทรงเป็นเช่นไร ค่ำคืนนี้ พระองค์ทรงส่ง นางกำนัล ยูเงโนะเมียวบุ (นางกำนัลชั้น เมียวบุ ซึ่งเป็นญาติกับขุนนางตำแหน่ง ยูเง )ไปไต่ถามทุกข์สุข นางจากไปในยามที่เดือนดวงใหม่เพิ่งลอยดวงขึ้น แลพระจักรพรรดิทรงประทับยืนอยู่บนระเบียง ทอดพระเนตรทิวทัศน์ที่ทอดอยู่ในคลองรพะเนตร ณ ยามนั้น เมื่อยามอดีต พระองค์จะรายล้อมด้วยสหายผู้รู้ใจที่ทรงเลือกแล้วไม่กี่คน และคนที่อยู่ข้างพระองค์ไม่เคยเปลี่ยนคือนางอันเป็นที่รักผู้จากไป บัดนี้ไม่มีนางอยู่อีกต่อไปแล้ว ไม่มีอีกแล้ว เสียงสังคีตอันเร้าอารมณ์ ท่วงทำนองอันไพเราะ จากนาง พระองค์จมอยู่ในห้วงความฝันอันเศร้าซึม มืดมน เมียวบุไปถึงจุดหมายปลายทางแล้ว และในนาทีที่รถเทียมวัวเข้าไป ความเศร้าสร้อยก็เข้ามาเกาะกุมจิตใจของนาง เจ้าของคฤหาสน์นี้เป็นม่ายมานานแล้ว แต่เมื่อก่อนนั้น นางจัดการคฤหาสน์ให้สวยงามน่าอยู่เพื่อธิดาของนาง ผู้เคยอาศัยอยู่ ณ ที่นี่ แต่เมื่อนางสูญเสียบุตรีไป และมีชีวิตอยู่ตามลำพัง บ้านก็ถูกปล่อยให้อยู่ในสภาพต้นหญ้ารกเรื้อ ซึ่งตอนนี้เอนราบลงเพราะลมกรรโชกแรง มีเพียงแสงจันทร์ส่องสะท้อนบนยอดหญ้า เมียงบุเข้าไปในคฤหาสน์และได้รับการนำทางเข้าไปในห้องทางทิศใต้ซึ่งเป็นห้องต้อนรับแขก ทั้งนางทั้งเจ้าของคฤหาสน์ต่างจนด้วยคำพูดเมื่อพบหน้ากัน แล้วเจ้าของเรือนก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมา ข้าไม่อยากจะมีอายุยืนยาวมาจนปานนี้ แล้วยังต้องละอายใจที่ต้องทำให้พระองค์ต้องส่งคนบุกบั่นนำสาร์นผ่านหญ้ารกนี่ นางหยุดพูด ด้วยความรู้สึกตื้นตัน ตอนที่ ไนชิโนะสุเกะ กลับไปจากที่นี่ เมียวบุกล่าว นางกราบทูลต่อพระจักรพรรดิว่า เมื่อนางพบหน้าท่าน นางแทบข่มความเวทนาเอาไว้ไม่ไหว ข้าเองก็เช่นกัน ข้าสงสารท่านจริงๆ นางลังเลอยู่ชั่วขณะ จึ่งได้ถ่ายทอดวาจาของพระองค์แก่นาง พระองค์รับสั่งว่า ข้าเหมือนตกอยู่ในห้วงฝัน แม้ว่าใจข้าจะสงบลงบ้างแล้ว และหวังว่ามิได้เป็นเพียงฝันไป ข้าต้องการพูดคุยสนทนากับคนผู้ร่วมความรู้สึกเดียวกันกับข้า เจ้าจะมาเข้าเฝ้าโดยเร็วได้หรือไม่ ข้าเป็นกังวลคิดถึงเจ้าชายเองค์น้อย ห่วงว่าจะแวดล้อมไปด้วยความโศกเศร้า พระเองค์ทรงหลั่งน้ำพระเมตร ทรงกริ่งเกรงว่ากำลังทำพระองค์ไม่สมกับเป็นชายชาติ มิอาจตรัสได้อย่างเป็นปกติ ข้ารู้สึกเศร้าไปกับความโทมนัสของพระองค์จนต้องเร่งรีบมาส่งข่าวนี้ จนความอาจจะตกหล่นไปบ้าง พูดจบ นางส่งพระราชสาร์นให้ ดวงตาข้าฝ้าฟางไปด้วยน้ำตา เจ้าของเคหาสน์กล่าว จากรังสีส่องสว่างของพระราชสาร์นอันสุภาพและทรงพระปรีชา..... แล้วนางก็เริ่มอ่าน ข้าคิดว่าเวลาจะช่วยบรรเทาความร้าวรานได้ แต่เมื่อวันเดือนเคลื่อนผ่าน ความเศร้าของข้าหาได้จางลงไม่ กลับยิ่งดูแจ่มชัดขึ้นทุกวัน ข้าไม่รู้ว่าจะทนความโศกเศร้านี้ได้เช่นไร แล้วข้าก็คิดถึงองค์ชายน้อยตลอดเวลา นึกเสียใจที่ไม่อาจจะดูแลเขาร่วมกับเจ้าได้ เค้าคือตัวแทนแห่งความรักของข้ากับนาง เจ้าจงมาพบข้าเพื่อสนทนาถึงวันวารอันผ่านพ้น.... สาร์นของพระองค์เต็มไปด้วยอารมณ์และมีกลอนแนบมาด้วย เสียงพระพรายพัดวนฟังหม่นเศร้า พาความเหงาผ่านน้ำค้างทุ่งมิยางิ ข้าวิตกถึงลูกกวางคว้างขาดแม่ นิทราใต้ร่มแผ่ใบไม้ฮะงิ (เมื่อสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงอันโศกเศร้าพัดผ่านพระราชวัง พาน้ำตาข้าหลั่งไหล คิดถึงลูกชายแห่งข้า ) นางมิอาจหักใจอ่านจนจบ เก็บจดหมายไว้ข้างๆอย่างอ่อนโยน ข้ารู้ซึ้งแล้วถึงความทรมานของการมีอายุยืน. นางกล่าว ข้าละอายใจที่มีอายุอันยืนยาวราวต้นสนทาคาซาโกะชรา เยี่ยงนี้ และเพราะความอายุยืนนี่ล่ะ ที่ทำให้ข้ามิอาจไปสู้พระพักตร์ ณ หน้าพระที่นั่งได้ เป็นพระมหาหรุณาธิคุณเป็นที่ยิ่งที่ทรงรับสั่งให้หาข้าเข้าเฝ้าถึงสองครั้ง แต่ข้าเกรงว่าจะไปไม่ได้ พระโอรสเองก็กระตือรือร้นอยากจะพบพระบิดา ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา หากผู้คนยังจดจำเรื่องกำเนิดของพระโอรสขึ้นมาได้ คงไม่เป็นผลดี ที่พระโอรสจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ต่อไป โปรดนำความนี้ขึ้นกราบทูลพระองค์ด้วย นางเขียนสาร์นสั้นๆตอบอย่างรวดเร็ว แล้วส่งให้เมียวบุ ขณะที่หลานชายของนางนอนกรนอยู่ข้างๆ ข้าอยากเห็นเจ้าชายน้อยๆตอนทรงตื่นบรรทม เพื่อจะได้กราบทูลได้ถูก แต่พระองค์คงทรงทนรอคำตอบจากข้าแทบไม่ไหวแล้วล่ะ เมียวบุเอ่ย และเตรียมตัวที่จะกลับ ข้าเองก็อยากที่จะอยู่สนทนากับท่านานกว่านี้ เพื่อปัดเป่าความมืดมนสุดทานทนออกจากหัวใจข้า เจ้าเคหาสน์ตอบ ท่านโปรดมาเยี่ยมเยือนข้าบ้าง ตามแต่ท่านต้องการ ข้ารู้สึกผ่อนคลายที่ได้ระบายความอัดอั้นของมารดาผู้สูญเสียบุตรี ยามที่ท่านมาเยี่ยมเยือน มันช่างน่ายินดี ชีวิตข้ายามนี้มันไร้ความหมาย ตั้งแต่ธิดาของข้าลืมตาดูโลก บิดาของนางเฝ้าหวังจะให้นางเข้าวัง และก่อนที่เขาจะตายก็ได้กำชับสั่งเสียให้ข้าส่งนางเข้าวังให้ได้ ท่านก็รู้ว่าลูกสาวข้าไม่มีญาติฝ่ายชายคอยอุปถัมป์ อล้วข้าก็รู้อยู่เต็มอกว่าจุดยืนของนางจะลำบากเพียงใด แต่ข้ามิอาจไม่ทำตามคำสั่งเสียของบิดานางได้ ส่งนางเข้าวัง แล้วองค์พระจักรพรรดิก็ทรงโปรดนางเหนือความคาดหวังของเรา เพราะพระกรุณานั้น นางจำต้องทนต่อการกลั่งแกล้งหมิ่นเกียรติอันโหดร้ายต่างๆนานาจากพวกที่คอยอิจฉาริษยา และยิ่งริษยาล้ำลึกขึ้นทุกวัน ลูกสาวข้าจำต้องพบกับเรื่องไม่ดีไม่งามมากขึ้น จนสุดท้าย นางต้องตายจากไปอย่างอนาถ พอข้าย้อนกลับมาคิดอีกที ความโปรดปรานของพระองค์มันนำมาซึ่งโชคร้ายแสนสาหัส โอย อย่าได้ถือสาคำพูดของคนเป็นแม่ที่กำลังอ่อนไหวเลยนะท่าน เหนือหัวก็ทรงดำริเช่นเดียวกับท่านนั่นล่ะ เมียวบุกล่าว พระองค์ทรงตรัสเป็นนัยว่า การที่พระเองทรงเสน่หาท่านหญิงอย่างลึกซึ้ง อาจเพราะฟ้าลิขิตมาให้ความรักของทั้งคู่ไม่อาจครองคู่ยืนยาว พระองค์หลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่ง เพื่อท่านหญิงเรือนคิริ พระองค์เองอาจจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้นางถูกอาฆาตมาดร้าย เพราะความดื้อรั้นของพระเองที่โปรดปรานนางจนเป็นที่อื้อฉาวไปทั่ว เป็นต้นเหตุทำให้นางตายจากไป ! จนพระองค์ทุกข์ทนสุดแสน พระองค์ยังตรัสว่า อาจเป็นกรรมแต่ชาติปางก่อน ตกดึกสงัดแล้ว เมียวบุเตรียมตัวจะกลับอีกครั้ง จันทราคล้อยเคลื่อนไปทางทิศตะวันตก ลมเยนโชยเฉื่อยฉ่ำ พฤกษาไหวเอน แมลงหรีดร้องระงมไปทั่ว นางส่งสารน์ผู้ยังไม่อาจหักใจลา เอื้อนเอ่ย ราตรีเศร้าเคล้าสะอื้นโศกหทัย ร่ำน้ำตาราวเสียงหรีดเรไร ผู้บรรเลงสรรพสำเนียงเสียงวิโยค จวบจนโลกอาบแสงสุริยา ( หรีดเรไรอาจจะร้องจนกระทั่งมิอาจร้องได้อีก ตลอดคืนนี้น้ำตาข้าคงร่วงหลั่งไหล ) นางเมียวบุยังคงลังเลที่จะจากไป มิอาจหักใจขึ้นรถเทียมวัว เจ้าของเคหาสน์จึงตอบคำ ตามสุมทุมพุ่มไม้เรไรหริ่ง แม่หญิงจากแดนฟ้าโปรดมาเยี่ยม จวบน้ำค้างพร่างพรมเปี่ยมใบเรียง ยินสำเนียงเสียงถอนใจในสายลม ( หริ่งเรไรร้องครวญด้วยความเศร้าบนยอดหญ้าใบบาง ท่านผู้มาจากราชวังทำให้น้ำตาข้าหลั่ง ) น้ำตามากมายที่ไหลหลั่ง เป็นเพราะท่านแท้ๆ
. เจ้าเคหาสน์มอบอาภรณ์และชุดปิ่นประดับอันงดงามที่เคยเป็นของท่านหญิงรือนคิริแก่เมียวบุ นางคิดว่าสิ่งของไว้ดูต่างหน้าเหล่านี้ล่ะเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะให้เป็นของกำนัลในโอกาสเช่นนี้ นางเล็กๆที่เคยรับใช้ธิดาของนางในวัง ต่างโศกเศร้ากับการจากไปของนายหญิง และพวกนางก็คิดถึงวัง ที่พำนักจนคุ้นเคย ความระลึกถึงของเหนือหัวที่ปรารถนาจะได้เจ้าชายน้อยกลับคืนวังโดยไว ประทับใจพวกนางอย่างสุดซึ้ง แต่มารดาแห่งแม่หญิงเรือนคิริตระหนักดีว่าผู้คนจะต้องคัดค้าน ไม่อยากให้ยายแก่ใกล้ฝั่งเจ็บออดๆแอดๆอย่างนางตามหลานชายเข้าวังไปด้วย นางไม่อาจหักใจปล่อยหลานชายสุดที่รักไปไกลตาเด็ดขาด เมื่อเมียวบุกลับวัง นางพบว่าองค์จักรพรรดิยังมีได้บรรมทม พระองค์ยังทรงรอคอยการกลับมาของนาง ทำให้นางรู้สึกสงสารพระองค์เป็นยิ่งนัก พระองค์กำลังให้ความสนใจต่อสวนในพระราชฐานที่กำลังเบ่งบานอวดความงามตามฤดูใบไม้ร่วงอย่างเฉิดฉันท์ และกำลังมีปฏิสันฐานกับสตรีคนสนิทสี่ห้านาง พระองค์กำลังสนใจในม้วนภาพเรื่อง ลำนำโศกศัลย์นิรันดร์ ที่สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิอุดะ เป็นเรื่องราวของจักรพรรดิจีนสั่งให้นักเวทย์เฝ้าตามหาวิญญาณของสนมหยางกุ้ยเฟย ที่กลายเป็นนางฟ้าหลังจากที่นางตายแล้ว ไม่มีสิ่งใดสร้างความยินดีให้พระองค์นอกจากการกวาดพระเนตรมองภาพที่วาดโดยเจ้าชาย ไทชิอิน ไม่กพุดคุยถึงบทกวีในม้วนภาพที่ประพันธ์โดย อิเสะ กวีสตรี และ สึระยุกิ กวีบุรุษ ในคำสั่งของจักรพรรดิอุดะ ทั้งในภาคของภาษาถิ่น และภาษาจีน ดุเหมือนจะสนทนากันเรื่องนี้ติดต่อมาตั้งแต่ยามค่ำ เมียวบุรีบเข้าเฝ้าพระองค์ทันที กราบทูลทุกสิ่งที่ได้รู้ได้เห้นอย่างไม่ปิดบัง ทั้งยังถวายจดหมายตอบที่เจ้าของเคหาสน์ฝากมา ใจความว่า มารดาแห่งแม่หญิงเรือนคิริรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่พระองค์ทรงห่วงใย ทำให้กระหม่อมรู้สึกสับสนใจ จนมิรู้จะตอบเช่นไรดี กรำพายุลมแรงพัดกระโชก ไม้ใหญ่โยกมิอาจเลี่ยงจำเหี่ยวเฉา สงสารแต่พุ่มฮางิต้นยังเยาว์ ทั้งอ่อนแอไร้เงาไม้บังภัยพาน ( ยามนี้ต้นไม้เฒ่ามีแต่เหี่ยวแห้งโรยรายืนต้นตายลงเพราะลมอันกราดเกี้ยว ได้แต่ห่วงอนาคตต้นฮางิที่ผลิอยุ่ใต้ร่มเงาว่าจะเป็นอย่างไร ) พระจักรพรรดิยังอ่านจดหมายไม่จบ สำนึก จดหมายมารดานางที่ยังคงโศกเศร้า ส่งมาตัดพ้อพระองค์ว่ามิอาจให้การปกป้องกระทั่งองค์ชายน้อยๆ ทรงต้องกล้ำกลืนฝืนความรู้สึกที่เอ่อล้นออกมาอย่างไร้ผล ความทรงจำนับแต่วันแรกที่พระองค์ได้พานพบดวงหน้าของหญิงคนรักเป็นครั้งแรกผุดขึ้นในมโนสำนึก ย้ำเตือนให้พระองค์ตระหนักว่าเนิ่นานเพียงใดที่พระองค์อยู่โดยไม่มีนางเคียงพระวรกาย พระองค์ทรงกริ้ว เหตุใดนางจึงมาด่วนจากไปโดยทิ้งพระองค์ไว้เบื้องหลังเช่นนี้ พระองค์รับสั่งกับเมียวบุว่า เจ้ารุ้ไหมว่า ข้าปรารถนาที่จะยกย่องบุตรีของท่านไดนะกอนผู้ล่วงลับให้สมกับความปรารถนาของบิดานางมากเพียงใด แต่มันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดถึงอีกแล้ว ! พระองค์เงียบงันไปขณะนึงแล้วตรัสต่อ เพื่อตอบแทนความดีความชอบของมารดานาง ต้องขอพร และดูแลให้ยายของลูกชายข้าจงมีอายุยืนยาวเพื่อได้เห็นลูกชายข้าเจริญรุ่งเรืองด้วยอำนาจวาสนาต่อไปในเบื้องหน้า เมียวบุแสดงของขวัญที่ได้รับมาจากมารดาของนาง อา หรือนีคือกำนัลจากนางอันเป็นที่รักที่จากไปของข้า พระองค์ทรงถอดถอนใจ อา ข้าจะหานักเวทย์จากหนใด เพื่อส่งไปค้นหาที่รักข้า แม้นิดเพียงได้รู้ว่าน้องยา แฝงวิญญาสถิตย์ตนอยู่โพ้นใด ( อา แค่จะไปหานักเวทย์จากที่ไหนไปค้นหาวิญญาณหญิงคนรักแห่งข้าว่าอยู่หนใด ) บัดนี้ ภาพวาดอันงดงามของนางหยางกุ้ยเฟย แม้จรดออกมาจากปลายภู่กันของจิตรกรอันเชี่ยวชาญ ก็เป็นได้เพียงภาพวาดเท่านั้น นางมิมีชีวิตจิตใจ ความงามของนางอาจเปรียบได้กับดอกบัวงามที่บานกลางสระไทเอกิ หรือต้นหลิวอ่อนช้อยเอนต้นในพระราชวังเมี่ยวแห่งอาณาจักรจีน นางในภาพเป็นความงามแบบคติจีน แต่ยามเมื่อพระองค์นึกถึงนางอันเป็นที่รัก พระองค์ไม่อาจจะเปรียบนางได้กับบุพฝาหรือเพลงจากสกุณาใดๆ พระองค์ให้สัญญากับนางว่าหากชาติหน้ามีจริง ทั้งสองจะเกิดใหม่เป็นดังปีกแต่ละข้างของนกที่ต้องเคียงข้างกันตลอดไป หรือเกิดร่วมเป็นกิ่งก้านเกาะเกี่ยวกันของต้นไม้ร่วมต้น ทว่านางด่วนจากไป ณ. ยามนี้ เพียงแค่เสียงหรีดหริ่งของแมลง เสียงกระซิบจากสายลม พอเพียงแล้วที่จะทำให้พระองค์ชอกช้ำอยู่กับคำมั่นที่ให้แก่กันไปตลอดกาล ในเวลาเดียวกันนั้นเอง มีเสียงสังคีตดังแว่วมาจากตำหนักโคคิ พระสนมที่พระองค์ร้างลามิได้ไปเยี่ยมเยือนมาเป็นเวลานาน ดีดสังคีตชื่นชมจันทร์ดวงงาม พระองค์ทรงไม่พอพระทัย ประสงค์ให้เสียงสังคีตจงเงียบไปพลัน ผู้คนที่เห็นถึงความปวดร้าวของพระองค์ เห็นพร้องว่านี่มิใช่เหตุบังเอิญ พระสนมตำหนักโคคิเป็นคนดื้อรั้นและยโส นางแสดงให้เห็นว่า นางไม่ใส่ใจกับความโทมนัสขององค์จักรพรรดิแม้เพียงน้อยนิด จันทราลอยดวงเด่น ใส้ตะเกียงได้รับการตัดแต่งไปแล้ว ขณะนี้น้ำมันตะเกียงเองก็จวนจะเหือดแห้ง องค์จักรพรรดิยังไม่มีทีท่าว่าจะเข้าบรรทม ในพระหทัยทรงคิดถึงท่านชายน้อยและยายผู้ชรา พระองค์เอิ้อนเอ่ย ม่านน้ำตาคนบนเมฆาสูงศักดิ์ มัวหม่นบังจันทราให้มิไคร่เห็น เป็นเช่นใดคนในกระท่อมหญ้า ฤาได้อาบแสงจันทรไร้เมฆาบัง ( แสงจันทร์ถูกน้ำตาแห่งข้าบดบัง ความมืดสลัวนี้คงแผ่ไปสู่นิวาสถานที่รกเรื้อหญ้าของมารดาแห่งนางอันเป็นที่รักเช่นกัน ตัวข้ายังร่ำไห้ ไหนเลยมารดาชราของนางจะมิฟูมฟายน้ำตา ) ได้ยินเสียงยามเฝ้าประตูพระราชวังขานเวลาว่าเป็นยามแห่งฉลู หรือประมาณตีสี่แล้ว พระองค์จึงเข้าพระที่ พระองค์มิปรารถนาจะทำพระองค์เป็นที่น่าสงสัย แต่ยังคงมิอาจข่มพระเนตรบรรทม จนย่างเข้าสู่ยามเช้า เป็นเวลาที่ควรตื่น ทั้งที่เมื่อกาลก่อนยามพระองค์ประทับอยู่กับแม่หญิงเรือนคิริ พระองค์มิเคยจะรู้สึกองค์ถึงยามเช้าที่ผ่านเข้ามา เช้าวันนี้ พระองค์พลาดการออกท้องพระโรง พระองค์ไม่เจริญพระกระยาหาร แม้พระกระยาหารนั้นจะเป็นสิ่งหรูหราน่าลิ้มรสเพียงใด ข้าราชบริพารรับใช้ต่างสงสารพระองค์ ทั้งข้าราชบริพาร ขุนนางผู้รับใช้ใกล้ชิดต่างพากันวิตกพึมพำกันว่า ความรักของทั้งคู่มันเป็นชะตาฟ้า หลงสตรีหน้ามืดตามัว รักกันจนไม่สนใจคำทัดทานทักท้วงใดๆ รักกันจนเกินขอบเขต เกรงว่าพระองค์จะไม่สนใจกิจการบ้านเมืองจนพาประเทศล่มจมดั่งเคยมีตัวอย่างกันมาแล้ว วันเดือนผ่านเลยไป พระโอรสที่เกิดจากนางกำนัลเรือนคิริได้กลับหวนมาสู่พระราชวังอีกครั้ง ทรงเจริญวัยเป็นเด็กชายทรงโฉมที่หาเปรียบได้ยากยิ่ง งามจนพระองค์เกรงว่าพระโอรสจะมีชะตาอาภัพจากความที่รูปงามเกินไปจนอาจจะต้องใจปีศาจร้ายเข้า ในฤดูใบไม้ผลิปีถัดมานั้นเอง พระโอรสองค์โตได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นเป็นมกุฏราชกุมาร ในพระทัยของพระองค์ปรารถยิ่งที่จะให้พระโอรสองค์น้อยเข้าแทนที่ตำแหน่งนี้ แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะพระโอรสองค์น้อยไม่มีผู้หนุนหลังอันเข้มแข็งทรงอำนาจ และคำครหาจะตามมาหากพระองค์ทำตามอำเภอพระทัย มันจะเกิดภัยใหญ่หลวงตามมา ยามนี้ทุกคนแม้กระทั่งพระสนมตำหนักโคคิผู้เป็นพระราชมารดาของพระโอรสองค์ใหญ่ ต่างพอใจกับการกระทำนี้ของพระองค์ to be cont.
Free TextEditor
Create Date : 04 มกราคม 2552 |
Last Update : 4 มกราคม 2552 14:28:17 น. |
|
0 comments
|
Counter : 288 Pageviews. |
|
|