Fly with L'Arc~Airline
 

๑. Kiritsubo จบ

ในปีนั้นเอง มารดาของนางกำนัลเรือนคิริสิ้นชีวิตลง ตามความปรารถนาที่จะติดตามธิดาของนางไปอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มีสิ่งเดียวที่นางยังอาวรณ์อยู่คือนางจำต้องพรากจากหลานชายสุดที่รักของนาง
นับจากนี้ไป พระโอรสน้อยทรงพำนักอยู่ที่พระราชวัง และในปีต่อมา ทรงเจริญวัยได้ 7 ชันษา ได้เริ่มทรงพระอักษรกับพระอาจารย์แขนงต่างที่พระบิดาทรงเลือกสรรมาเป็นอย่างดี และให้พระโอรสอยุ่ร่วมกับพระองค์ในตำหนักส่วนพระองค์ พระองค์กล่าวว่า “ไม่มีผู้ใดเกลียดเด้กคนนี้ได้ลงหรอก” เมื่อพระองค์พาโอรสน้อยไปพบพระสนมตำหนักโคคิ และตรัสว่า “เด็กคนนี้กำพร้าแม่แล้ว เจ้าจงอ็นดูบ้างเถิด” พระสนมตำหนักโคคิทรงออกปากทีเดียวว่า “ไหนๆแม่เค้าก็ตายไปแล้ว ให้เด็กน้อยได้มีความสุขใจบ้าง” ขนาดนักรบที่ใจหิน หรือ ศัตรูที่โหดเหี้ยม ยังต้องยิ้มออกมาเมื่อได้เห็นเด็กชายที่งามดังนี้ นับประสาอะไรกับพระสนมตำหนักโคคิ ที่ยังต้องอดเวทนากรุณามิได้ พระสนมมีพระราชธิดาสองพระองค์ ทั้งสองชอบเล่นกับพระโอรสน้อยที่เป็นพี่น้องกันครึ่งนึงมาก ทุกๆคนต่างยินดีที่จะได้พบพระองค์ คงเป้นเพราะพระกริยาชวนน่ารักน่าใคร่ชนะใจคนทุกผู้ได้ ทำให้ทุกคนปรีดาที่ได้เล่นกับองค์ชายน้อย แถมยังทรงมีพระปรีชาในด้านการศึกษาศาสตร์ต่างๆและการทรงดนตรีทั้งขลุ่ยและโคโตะสูงเยี่ยม

.ในช่วงเวลาราวๆนี้ มีพระราชทูตจากโคคูริว (เกาหลี) มาเยือน และในจำนวนนั้นมีโหรอยู่ด้วย เมื่อพระจักรพรรดิทรงรู้ถึงพระเนตรพระกรรณ พระองค์ปรารถนาให้โหรทำนายดวงชาตาพระโอรส แต่เนื่องจากเป็นกฏมณเทียรบาลที่ตราไว้โดยพระจักรพรรดิ์อุดะห้ามรับรองทูตหรือพวกต่างชาติต่างภาษาในพระราชฐาน ดังนั้นพระองค์จึงทรงส่งพระโอรสโดยอุไดเบนเป็นผู้พาไปที่ โคโรคัง ซึ่งเป็นสถานที่รับรองพระราชทูต โดยปิดบังฐานะว่าเป็นบุครของอุไดเบนซึ่งเป็นพระอาจารย์

เมื่อโหรเห็นเจ้าชายน้อย เค้ารู้สึกอัศจรรย์ใจ โคลงศรีษะไปมาในตอนแรกราวกับว่าไม่รู้จะทำนายออกมาอย่างไรดี แล้วก็กล่าวขึ้นว่า “ชะตาของเด็กคนนี้จะได้เป็นถึงบิดาของปวงประชา ได้ขึ้นมีตำแหน่งสูงเป็นประมุขของประเทศ แต่หากเป็นเช่นนั้น เขาจะต้องเผชิญกับความโชคร้ายใหญ่หลวง จะเป็นการดีกว่า หากเขาจะได้เป็นเพียงขุนนางใหญ่ผู้สนับสนุนค้ำจุนอังยิ่งใหญ่ของประเทศ ชะตาก็จะต่างออกไป”




อุไดเบนผู้นี้ท่านนี้เป็นปราชญ์ เขาสามารถนาสนทนาเรืองต่างๆกับทูตโคคุริวอย่างออกรส ทั้งถกกันเรื่องกวีจีน ทูตคนนึงกล่าวว่า เป็นความยินดีเป็นล้นพ้นที่เค้าได้พบการเด็กชายที่มีลักษณะพิเศษเช่นนี้ก่อนจะกลับประเทศ และเศร้าใจที่ต้องจากลา พวกทูตโคคุริวต่างพากันมอบของกำนัลมีค่าควรเมืองให้กับพระโอรส ผู้แต่งบทกวีอันเพราะพริ้ง ให้บรรดาทูตเช่นกัน อนึ่งพระจักรพรรดิมอบของกำนัลทรงค่าตอบแทนแก่คณะทูตเช่นเดียวกัน




ถึงแม้พระโอรสจะทรงเสด็จไปเป็นการลับ แต่ไม่วายข่าวนี้ก็รู้ถึงหูท่านอุไดจิน – เสนาบดีฝ่ายขวาเข้าจนได้ จนก่อความหวาดระแวงขึ้น ตามการตรวจดวงชะตาจากโหรของประเทศอินเดีย และโหรประจำราชสำนักอีกรอบ สอดคล้องกับความเห็นของพระจักรพรรดิ์ที่จะไม่สถาปนาตำแหน่ง พระราชโอรส ให้เจ้าชายน้อย เพราะจะเป็นภัยใหญ่หลวง ไม่เป็นประโยชน์ต่อโอรสน้อยเลย เพราะไม่มีญาติอันทรงอำนาจจากฝ่ายมารดาคอยหนุนหลัง อีกทั้งการครองราชสัมบัติของพระองค์อาจจะไม่ยืนยาว คงเป็นการดีกว่าที่จะสถาปนาให้โอรสน้อยเป็นสามัญชน ต้นตระกูลขุนนาง เพื่อเป็นตระกูลที่สนับสนุนราชบังลังค์ต่อไปในภายภาคหน้า

โอรสน้อยทรงมีพระปรีชาสามารถในการเรียนรู้ศาสตร์ทุกแขนง และยิ่งพระองค์ปรีชาสามารถ ยิ่งมีพรสวรรค์ ยิ่งน่าเสียดายที่จะเป็นได้เพียงสามัญชน ยิ่งกระพือข่าวลือเรื่องการจะแต่งตั้งพระองคืเป็น พระราชโอรส อย่างเป็นทางการ ทว่าที่ปรึกษาทั้งหลายขององค์จักรพรรดิไม่เห็นด้วยที่จะแต่งตั้งดอรสน้อยเป็นราชนิกูล ดังนั้นพระองค์จึงสถาปนาโอรสน้อย นาม เกนจิ เป็นต้นตะกูลมินาโมโตะต่อไปในภายหน้า
เดือนปีผ่านไป พระจักรพรรดิมิอาจลืมรักครั้งเก่า แม้สนมนางในหน้าใหม่ที่เข้ามาถวายตัวคนแล้วคนเล่า ก็มิอาจจะทดแทนหรือทำให้พระองค์ลืมเลือน

แต่ยังมีท่านหญิงอายุเยาว์ เป็นถึงพระธิดาองค์ที่สี่ของพระจักรพรรดิองค์ก่อน นางมีสิริโฉมงดงาม ได้รับการเลี้ยงดูประคบประหงมจากมารดาซึ่งเป็นอดีตจักรพรรดินีม้ายราวกับไข่ในหิน ไนชิโนะสุเกะผู้รับใช้ใกล้ชิดในรัชสมัยของอดีตจักรพรรดิที่ล่วงลับ สนิทสนมคุ้นเคยกับจักรพรรดินีม่ายและพระธิดา ได้กราบทูลขอให้องค์จักรพรรดิทรงลองพบปะกับพระธิดาสักครั้ง เพราะท่านหญิงมีความละม้ายคล้ายนางกำนัลเรือนคิริอย่างมาก

“ตอนนี้ข้าพอใจแล้ว” ไนชิโนะสุเกะเอ่ย “ข้ารับใช้ใกล้ชิดมาถึงสามรัชกาล และยังไม่เคยเห็นใครละม้ายนางผู้ล่วงลับไปมากกว่าพระธิดาของจักรพรรดินีม่ายอีกแล้ว และพระธิดาเองก็ทรงพระศิริโฉมนัก”

“อาจจะมีเค้าเป็นไปได้” พระองค์เริ่มสนพระทัยในพระธิดาแล้ว แต่สำหรับอดีตจักรพรรดินีม่าย ทรงไม่เห็นด้วย “จำมิได้หรือไร ความโหดเหี้ยมของพระราชมารดาของมกุฏราชกุมารทำกับนางเรือนคิริน่ะ !”

ถึงแม้นางจะคัดค้านความสัมพันธ์ระหว่างพระธิดากับองค์จักรพรรดิทุกวิถีทาง ทว่านางกลับด่วยสิ้นชีวิตไป ปล่อยให้พระธิดาเป็นกำพร้า พระจักรพรรดิทรงเข้ามาจัดการดูแลอย่างมีพระกรุณา และต้องการดูแลนางราวพระธิดาของพระองค์เอง ผู้ปกครองเป็นทางการของนางคือพี่ชายนาง เจ้าชายเฮียวบุเคียวโนะมิยะ ใตร่ตรองแล้วว่าชีวิตในราชสำนักน่าจะเหมาะสมและสร้างความสดใสให้ชีวิตของพระธิดามากกว่าการอยู่ในเรือนอย่างเงียบเหงา จึงส่งนางเข้าถวายตัว

เจ้าชายน้อนนาม เกนจิ ยังยังอยู่กับพระบิดาในตำหนัก เข้านอกออกในเรือนนางสนมกำนัลต่างๆ โดยเสรี จนมิมีสนมกำนัลใดสะเทิ้นเขินอายต่อเจ้าชายองค์น้อยๆอีกแล้ว ทุกนางต่างคุ้นชินกับเจ้าชายน้อยเพราะองค์มักประทับอยุ่กับพระบิดาเสมอ อีกทั้งสนมกำนัลทั้งหลายต่างผ่านเลยวัยสาวมาแล้ว มิเพียงพระสนมนางนึงเท่านั้นที่ยังสาวอ่อนวัย นั่นคือพระธิดาเรือนฟุจินั่นเองที่ดึงดูดความสนใจของเจ้าชายน้อยๆไว้ เจ้าชายไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับมารดา ยินเพียงเสียงบอกเล่าจากไนชิโนะสุเกะว่าพระธิดาละม้ายเหมือนมารดาของเขายิ่ง เด็กน้อยจึงติดพระธิดาและอยากอยู่ใกล้ๆเสมอ ราวกับต้องการเติมเต็มช่องว่างในหัวใจ

องค์จักรพรรดิทรงห่วงใยรักใคร่ทั้งคู่ยิ่งนัก ตรัสว่าพระธิดาไม่จำเป็นต้องปฏิบัติต่อเจ้าชายน้อยตามธรรมเนียมที่ห้ามชายใดเห็นนางจากพ่อพี่น้องและสามีเท่านั้น ”ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่อยากให้เจ้าอย่ามากมารยาท จงปฏิบัติต่อชายน้อยเสมอหนึ่งว่าเค้าเป็นลูกชายของเจ้า อย่าได้คิดว่าเด็กคนนี้ไร้มารยาท โปรดใจดีกับเขาให้มากๆ ทั้งใบหน้าและดวงตาเด็กคนนี้คล้ายมารดาของเค้ามาก แล้วเจ้าเองก็หน้าตาคล้ายมารดาเขาเข่นกัน ข้ารู้สึกว่าเป็นธรรมชาติที่พวกเจ้าจะอยุ่ด้วยกันแบบนี้” ด้วยความไร้เดียงสา เจ้าชายน้อยเกนจิ ไม่ทราบว่าจะบอกนางเช่นใดว่าเขาชอบนาง ทำได้เพียงเก็บเด็กใม้ใบหน้า ใบไม้แดงยามฤดูใบไม้ผลิ กำนัลนางเท่านั้น ความอบอุ่นค่อยแต่มแต้มและปลุกความรู้สึกอ่อนละมุนในใจเจ้าชายน้อยให้ตื่นขึ้น

เป็นเรื่องธรรมดาที่พระราชมารดาของมกุฏราชกุมารจะจงชังพระธิดาเรือนฟุจิ แถมคราวนี้ มันยังปลุกความเกลียดชังที่นางเคยมีต่อนางกำนัลเรือนคิริให้มาสู่ตัวของเจ้าชายเกนจิ ให้ฮือโหมขึ้นอีกครั้ง เพราะเจ้าชายเกนจิมีรูปโฉมงดงามเหนือกว่าองค์มกุฏราชกุมารอย่างเด่นชัดจนมิอาจเปรียบกันได้ ดวงหน้าที่แจ้มจ้าสว่างไสวงดงามเปล่งรัศมี จนผู้คนต่างเรียกขานกันว่า ฮิคารุ เก็นจิ โนะ คิมิ หรือ เจ้าชายเก็นจิ ผู้เจิดจรัส ประกอบกับเจ้าชายใกล้ชิดกับพระธิดาเรือนฟุจิเสมอ พระจักรพรรดิต่างรักใคร่ทั้งสองคนเป็นอย่างยิ่ง ผู้คนจึงขนามนามนางว่า พระธิดาแห่งแสงสุรีย์
พระจักรพรรดิทรงเอาใจเจ้าชายน้อยที่น่ารักน่าใคร่ทุกประการ จวบจนพระชนมายุได้ 12 จัดพิธีเก็มปุกุ หรือพิธิสามหมวกแสดงความเป็นผู้ใหญ่ ให้กับเจ้าชายเก็นจิ ราชพิธีจัดอย่างยิ่งใหญ่ หรูหรา ตระกานตาเท่าที่จะจัดหาได้ เพียงเป็นรองงานพิธีของมกุฎราชกุมารที่จัดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนที่ตำหนักชิชินเด็งเท่านั้น มีงานเลี้ยงเฉลิมฉลองโดยกำหนดให้ขุนนางหลายกรมกองป็นผู้รับผิดชอบ พระราชบังลังตั้งอยู่ ณ ปีกตะวันออกของตำหนักเซย์เรียวเด็น ซึ่งเป็นที่ประทับขององค์จักรพรรดิ และเบื้องหน้า เป็นที่นั่งของเหล่าผู้มีเกียรติในราชพิธี และ สะไดจิน – เสนาบดีฝ่ายซ้าย ผู้ที่จะเป็นคนสวมพระมาลาให้องค์ชาย
ราวๆสิบโมงเช้า หรือยามวอก เจ้าชายเก็นจิ ปรากฏพระองค์ ยังคงรวบพระเกศาไว้เป็นทรงมิซุระผูกเป็นแกละสองข้างไว้ข้างใบหน้าซึ่งเป็นทรงผมแบบเด็กชาย องค์จักรพรรดินึกเสียพระทัยว่านับจากนี้พระองค์จะมิได้ทอดเนตรชายน้อยในลักษณาการเช่นนี้อีกแล้ว ดวงพักตร์ขององค์ชายแจ่มจ้าด้วยความสดใสแบบเด็กๆ โอคุระเคียวคุระฮิโตะ หรือผู้ดูแลภายในวัง กำลังจัดแต่งทรงผมใหม่ให้เจ้าชาย เช่นเดียวกับที่จัดแต่งพระเกศาให้องค์จักรพรรดิ เค้าเสียดายที่จำต้องตัดผมอันนุ่มสลวยออกไป พระองค์ต้องสะกดใจไว้ หลังจากที่พระโอรสก้าวออกจากห้องแต่งตัวโดยสวมมาลาแสดงความเป็นผู้ใหญ่รวบรัดเกศาเป็นทรงแบบชายชาตรี พระองค์ทรงดำริว่า “อา หากเพียงแต่มารดาของบุตรชายข้าจะสามารถเห็นเขาในตอนนี้ล่ะก็” น้ำพระเนตรซึมออกมา เจ้าชายที่เปลี่ยนเครื่องทรงแล้วก้าวลงไปที่สวนด้านตะวันออกและถวายคำนับอย่างเคร่งขรึมเป็นพิธีการงามสง่าจนทุกคนอดชื่นชมมิได้ ทุกผู้น้ำตาซึมด้วยความปลื้มปิติ ความกริ่งเกรงว่าความงามขององค์ชายน้อยจะลดทอนลงไปเพราะเข้าพิธีแต่อายุยังน้อยนัก แต่มิได้เป็นเช่นนั้นเลย ความเปลี่ยนแปลงกับทำให้ความงามสง่าโดดเด่นขึ้น องค์จักรแทบควบคุมความทรงจำเก่าๆที่เคยอยู่ร่วมนางกำนัลเรือนคิริที่หลั่งไหลเข้ามามิได้
สะไดจินมีบุตรีที่เกิดจากภรรยาที่มีศักดิ์เป็นถึงพระธิดาเพียงหนึงนาง มกุฏราชกุมารหวังว่าจะได้นางมาเป็นคู่ครองทว่าบิดานางยังลังเล อยากยกนางให้กับเก็นจิมากกว่า เมื่อเขาทาบทามเรื่องนี้กับพระจักรพรรดิ พระองค์เองก็ทรงเห็นด้วย “ดีมาก ข้าเห็นด้วย เกนจิยังเล็กนักจะได้มีเพื่อนนอน จากนี้ไปไม่มีใครมาคอยดูแลลูกข้าเสียด้วย” เป็นผลดีที่พระโอรสผูยังไม่มีผู้มีอิทธิพลมาสนับสนุน ได้เป็นเขยของเสนาบดีฝ่ายซ้าย
บัดนี้งานเลี้ยงอันยิ่งใหญ่ได้เริ่มขึ้น เชื้อพระวงค์และขุนนางต่างมากันพร้อมหน้า ที่นั่งของเก็นจิอยู่ในอันดับท้ายสุดของบรรดาเจ้าชายทั้งหลาย และนั่งข้างๆสะไดจิน ทุกคนต่างพากันจิบสุรา ระหว่างงานเลี้ยง สะไดจินกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างที่หู แต่เก็นจินั้นยังเด็กนักเกินกว่าจะเข้าใจ และเขินอายเกินกว่าจะตอบ
บัดนี้สะไดจินหมอบกรานอยู่เบื้องหน้าพระจักรพรรดิ รับพระราชทานของกำนัลตามราชประเพณี โดยประทาน โออุจิกิ ผ้าคาดเอวสีขาว และ เครื่องทรงสตรี ผ่านทางนางกำนัล และทรงประทานจอกเหล้าของพระองค์ให้ด้วย พระองค์ตรัสออกมาว่า
เกศาเกล้ารวบขึ้นเป็นมุ่นมวย
ดั่งอำนายด้วยเชือกรักสมัครสมาน
( ลูกข้าเติบใหญ่แล้ว จะผูกพันเกี่ยวดองกับลูกสาวของท่านนับแต่นี้ไป )
ท่านสะไดจินก็ตอบคำว่า
เชือกแห่งรักภักดีได้ผูกพัน
สีม่วงเข้มดั่งคำมั่นมีจืดจาง
( เมื่อพระโอรสได้เกี่ยวดองเป็นเขยแล้ว ข้าจะสนันสนุนพระโอรสและภักดีกับพระองค์ตลอดไป )
ท่านสะไดจินก้าวลงสู่สวนและถวายคำนับในพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงอากัปเดียวกับที่เก็นจิได้ทำไปก่อนหน้านี้ รับพระราชทานอาชาจากคอกม้าหลวงและเหยี่ยวจากสำนักพระราชวัง ทั้งเหล่าราชนิกูลและเสนาบดีต่างยืนเรียงกันหน้าบันไดพระราชวัง รอรับพระราชทานของกำนัลที่เหมาะสมสำหรับแต่ละคน ทั้งอาหารราคาแพง ผลไม้ หีบเสื้อผ้าอาภรณ์ ท่ามกลางการสั่งการของอุไดเบน และมีการแจกจ่ายโมจิ และของขวัญเหนือล้ำไปกว่างานราชพิธีเก็มปุกุของมกุฏราชกุมารเสียอีก
ในตอนค่ำเจ้าชายน้อยไปสู่คฤหาสน์ของท่านสะไดจิน โดยมีการจัดพิธีอภิเสกกับธิดาของสะไดจินและฉลองกันอย่างเอิกเกริก ความอ่อนเยาว์งดงามขององค์ชายถุกใจสะไดจินมาก แต่กับธิดาของเขา ท่านหญิงอาโออิ แล้ว นางมีอายุมากกว่าองค์ชาย นางละอายใจที่เค้าอายุน้อยและดูไม่เหมาะสมกับนางสักนิด
สะไดจินเป็นขุนนางที่พระจักรพรรดิทรงไว้วางพระทัย และภรรยาของเขามารดาของท่านหญิงอาโออิเป็นถึงพระขนิษฐาร่วมมารดาขององค์จักรพรรดิเอง ตัวสะไดจินนั้นมีภรรยาและบุตรธิดามากมาย หนึ่งในบุตรของเค้าที่เกิดกับพระธิดามีตำแหน่งเป็น คุรันโดะ โชโช-พลตรีผู้ดูแลวัง เป็นขุนนางหนุ่มที่มีอนาคต การที่ได้เกี่ยวดองกับเกนจิเช่นนี้ ถือเป็นการทานอำนาจอันยิ่งใหญ่ของอุไดจินซึ่งเป็นถึงตาของมกุฏราชกุมารองค์ปัจจุบันมิให้มีอำนาจล้นฟ้า
จากขั้วอำนาจที่แตกต่างระหว่างสะไดจินและอุไดจิน ต่างเป็นธรรมดาที่จะต้องมีการแก่งแย่งชิงดีกัน แต่อุไดจิยังผูกมิตรกับพลตรีหนุ่มอนาคตไกลบุตรชายของสะไดจิน หวังจะได้เค้ามาเป็นเขยให้กับธิดาคนที่สี่ของเค้า น้องสาวของสนมตำหนักโคคิ อุไดจินปฏิบัติต่อโชโชหนุ่มอย่างดีเยี่ยมเสมอเหมือน สะไดจินปฏิบัติต่อเก็นจิทีเดียว
เก็นจิยังคงอาศัยที่ในวัง ไม่ใคร่ที่จะอาศัยที่คฤหาสกฺของสะไดจินบ่อยนักเพราะองค์จักรพรรดิเรียกเข้าเฝ้าบ่อยครั้ง ในหัวใจในความคิดของเขาเห็นแต่เพียงความงามไร้ผู้ใดเปรียบปานของท่านหญิงเรือนฟุจิ เขาเฝ้าคิดแต่ว่า นี่ล่ะคือผู้หญิงแบบที่อยากแต่งงานด้วย ไม่มีใครสามารถมาแทนที่นางได้อีกแล้ว แม้ท่านหญิงอาโออิธิดาของสะไดจิน ภรรยาของเขา จะงดงามและได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี แต่เขาก็มิใคร่สนใจนางมากนัก เพราะเขาเสียหัวใจให้หญิงอื่นไปตั้งแต่วัยเยาว์เสียแล้ว นางเป็นทั้งความรักที่แอบซ่อน ความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง ความขมขื่นของเขาตลอดกาล
หลายปีผ่านไป เก็นจิเติบใหญ่ขึ้นจนมิอาจเยี่ยมเยียนท่านหญิงเรือนฟุจิอย่างเป็นส่วนตัวที่ห้องของนางได้อีกต่อไป แต่เขาก็ยังพำนักอยุ่ในวัง เพราะมีความสุขเพียงได้ยินเสียงหวานล้ำของนางจำนรรจา หรือเสียงสังคีตขลุ่ยและโคโตะ ที่แว่วดัง ผ่านม่านบังตาที่กลางกั้นระหว่างกัน เพราะเหตุนี้ทำให้เขาไม่ใครเป็นเยือนบ้านของภรรยา บางทีไปวันสองวัน แต่อยู่ที่วังอีกห้าหกวันเลย


สะไดจินพ่อตาของเขาก็ไม่ได้เป็นกังวล ด้วยเห็นว่าเขายังอ่อนวัยนัก และยินดีต้อนรับลูกเขยหนุ่มเสมอเมื่อเขามาพักที่คฤหาสน์ ด้วยการเชิญเหล่าสหายที่รู้ใจมา และจัดหาการละเล่นที่เหมาะกับวัยมาสร้างความบันเทิง
ที่พำนักในพระราชวังของเก็นจิคือเรือนคิริ ที่พระจักรพรรดิรวบรวมบ่าวที่เคยรับใช้มารดาของเก็นจิมารับใช้เขาต่อไป อีกทั้งยังทรงโปรดให้ ชุริทะคุมิ – หน่วยซ่อมบำรุงหลวง ไปจัดแจงซ่อมแซมเรือน ชิเงย์สะ ที่มารดาของเก็นจิเคยพำนักให้อยู่ในสภาพอันงดงาม ต้นไม้ใบหญ้าในสวนสวยจัดแต่งอย่างงดงาม อีกทั้งยุงขุดลอกสระน้ำให้ใหญ่ขึ้นอีก เก็นจิทอดถอนใจ พลางคิดคำนึงว่า สักวันเขาคงมีคนที่รักจากใจจริงและได้มาใช้ชีวิตด้วยกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้
เล่าลือกันว่า นาม เก็นจิ ผู้เจิดจรัส นั้น ได้มาจากโหรชาวโคคุริวที่ได้ทำนายดวงชะตาของเขานั่นเอง


----------- ๑. เรือนคิริ จบ ------------




 

Create Date : 04 มกราคม 2552    
Last Update : 4 มกราคม 2552 14:37:42 น.
Counter : 521 Pageviews.  

๑. Kiritsubo ส่วนที่ 2

วันวานอันเศร้าซึมผ่านไป   พระจักรพรรดิทรงจัดการไว้ทุกข์ที่เหมาะควรดำเนินไป โดยมีการทำบุญหลังจากครบ 49 วันไปแล้วทุกๆเจ็ดวัน    พระองค์ยังคงจมอยู่ในห้วงความคำนึง   แม้ความโทมนัสจะบรรเทาลง  แต่ทรงมิต้องการสมาคมใดๆ  มิรับสั่งให้หานงใดมาถวายงานในยามราตรี  พระองค์ผ่านวันคืนไปด้วยความโศกสลด  


จากทัศนะของพระสนมตำหนักโคคิที่ว่า  “ นางมีความหมายใหญ่หลวงกับพระองค์  แม้ยามตายไปยังกัดกร่อนทำลายคนที่ยังมีชีวิตอยู่”   นางยังคงโหดร้ายไม่เปลี่ยนแปลง  ในยามเย็นของฤดูใบไม้ผลิ  สายลมหนาวเหน็บพัดพา  เมื่อยามพระจักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นพระโอรสองค์โต  พระองค์ต้องทรงระลึกถึงเจ้าชายองค์น้อยที่ทรงโปรด  และยิ่งทำให้พระองค์คิดถึงองค์ชายน้อยยิ่งขึ้น  ทรงมักจะสั่งให้แม่นมหรือนางกำนัลซึ่งพระองค์ทรงไว้วางพระราชหฤทัยไปคอยเฝ้าดูว่าองค์ชายน้อยทรงเป็นเช่นไร   ค่ำคืนนี้  พระองค์ทรงส่ง นางกำนัล  ยูเงโนะเมียวบุ  (นางกำนัลชั้น เมียวบุ ซึ่งเป็นญาติกับขุนนางตำแหน่ง ยูเง )ไปไต่ถามทุกข์สุข  นางจากไปในยามที่เดือนดวงใหม่เพิ่งลอยดวงขึ้น   แลพระจักรพรรดิทรงประทับยืนอยู่บนระเบียง  ทอดพระเนตรทิวทัศน์ที่ทอดอยู่ในคลองรพะเนตร  ณ ยามนั้น   เมื่อยามอดีต  พระองค์จะรายล้อมด้วยสหายผู้รู้ใจที่ทรงเลือกแล้วไม่กี่คน  และคนที่อยู่ข้างพระองค์ไม่เคยเปลี่ยนคือนางอันเป็นที่รักผู้จากไป  บัดนี้ไม่มีนางอยู่อีกต่อไปแล้ว ไม่มีอีกแล้ว  เสียงสังคีตอันเร้าอารมณ์  ท่วงทำนองอันไพเราะ จากนาง    พระองค์จมอยู่ในห้วงความฝันอันเศร้าซึม มืดมน


เมียวบุไปถึงจุดหมายปลายทางแล้ว และในนาทีที่รถเทียมวัวเข้าไป   ความเศร้าสร้อยก็เข้ามาเกาะกุมจิตใจของนาง
เจ้าของคฤหาสน์นี้เป็นม่ายมานานแล้ว  แต่เมื่อก่อนนั้น  นางจัดการคฤหาสน์ให้สวยงามน่าอยู่เพื่อธิดาของนาง  ผู้เคยอาศัยอยู่ ณ ที่นี่    แต่เมื่อนางสูญเสียบุตรีไป  และมีชีวิตอยู่ตามลำพัง  บ้านก็ถูกปล่อยให้อยู่ในสภาพต้นหญ้ารกเรื้อ   ซึ่งตอนนี้เอนราบลงเพราะลมกรรโชกแรง  มีเพียงแสงจันทร์ส่องสะท้อนบนยอดหญ้า  เมียงบุเข้าไปในคฤหาสน์และได้รับการนำทางเข้าไปในห้องทางทิศใต้ซึ่งเป็นห้องต้อนรับแขก  ทั้งนางทั้งเจ้าของคฤหาสน์ต่างจนด้วยคำพูดเมื่อพบหน้ากัน      แล้วเจ้าของเรือนก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมา


“ข้าไม่อยากจะมีอายุยืนยาวมาจนปานนี้   แล้วยังต้องละอายใจที่ต้องทำให้พระองค์ต้องส่งคนบุกบั่นนำสาร์นผ่านหญ้ารกนี่”  นางหยุดพูด  ด้วยความรู้สึกตื้นตัน 
“ตอนที่ ไนชิโนะสุเกะ กลับไปจากที่นี่” เมียวบุกล่าว  “นางกราบทูลต่อพระจักรพรรดิว่า  เมื่อนางพบหน้าท่าน  นางแทบข่มความเวทนาเอาไว้ไม่ไหว  ข้าเองก็เช่นกัน  ข้าสงสารท่านจริงๆ”  นางลังเลอยู่ชั่วขณะ  จึ่งได้ถ่ายทอดวาจาของพระองค์แก่นาง
“พระองค์รับสั่งว่า ข้าเหมือนตกอยู่ในห้วงฝัน  แม้ว่าใจข้าจะสงบลงบ้างแล้ว  และหวังว่ามิได้เป็นเพียงฝันไป  ข้าต้องการพูดคุยสนทนากับคนผู้ร่วมความรู้สึกเดียวกันกับข้า  เจ้าจะมาเข้าเฝ้าโดยเร็วได้หรือไม่   ข้าเป็นกังวลคิดถึงเจ้าชายเองค์น้อย   ห่วงว่าจะแวดล้อมไปด้วยความโศกเศร้า พระเองค์ทรงหลั่งน้ำพระเมตร  ทรงกริ่งเกรงว่ากำลังทำพระองค์ไม่สมกับเป็นชายชาติ  มิอาจตรัสได้อย่างเป็นปกติ   ข้ารู้สึกเศร้าไปกับความโทมนัสของพระองค์จนต้องเร่งรีบมาส่งข่าวนี้  จนความอาจจะตกหล่นไปบ้าง”


พูดจบ  นางส่งพระราชสาร์นให้


“ดวงตาข้าฝ้าฟางไปด้วยน้ำตา” เจ้าของเคหาสน์กล่าว “จากรังสีส่องสว่างของพระราชสาร์นอันสุภาพและทรงพระปรีชา.....” แล้วนางก็เริ่มอ่าน


“ข้าคิดว่าเวลาจะช่วยบรรเทาความร้าวรานได้  แต่เมื่อวันเดือนเคลื่อนผ่าน  ความเศร้าของข้าหาได้จางลงไม่  กลับยิ่งดูแจ่มชัดขึ้นทุกวัน   ข้าไม่รู้ว่าจะทนความโศกเศร้านี้ได้เช่นไร    แล้วข้าก็คิดถึงองค์ชายน้อยตลอดเวลา  นึกเสียใจที่ไม่อาจจะดูแลเขาร่วมกับเจ้าได้  เค้าคือตัวแทนแห่งความรักของข้ากับนาง   เจ้าจงมาพบข้าเพื่อสนทนาถึงวันวารอันผ่านพ้น....”  สาร์นของพระองค์เต็มไปด้วยอารมณ์และมีกลอนแนบมาด้วย


เสียงพระพรายพัดวนฟังหม่นเศร้า
พาความเหงาผ่านน้ำค้างทุ่งมิยางิ
ข้าวิตกถึงลูกกวางคว้างขาดแม่
นิทราใต้ร่มแผ่ใบไม้ฮะงิ
 


(เมื่อสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงอันโศกเศร้าพัดผ่านพระราชวัง  พาน้ำตาข้าหลั่งไหล  คิดถึงลูกชายแห่งข้า )


นางมิอาจหักใจอ่านจนจบ  เก็บจดหมายไว้ข้างๆอย่างอ่อนโยน  
“ข้ารู้ซึ้งแล้วถึงความทรมานของการมีอายุยืน.”  นางกล่าว “ข้าละอายใจที่มีอายุอันยืนยาวราวต้นสนทาคาซาโกะชรา เยี่ยงนี้  และเพราะความอายุยืนนี่ล่ะ  ที่ทำให้ข้ามิอาจไปสู้พระพักตร์ ณ หน้าพระที่นั่งได้  เป็นพระมหาหรุณาธิคุณเป็นที่ยิ่งที่ทรงรับสั่งให้หาข้าเข้าเฝ้าถึงสองครั้ง  แต่ข้าเกรงว่าจะไปไม่ได้  พระโอรสเองก็กระตือรือร้นอยากจะพบพระบิดา  ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา  หากผู้คนยังจดจำเรื่องกำเนิดของพระโอรสขึ้นมาได้  คงไม่เป็นผลดี ที่พระโอรสจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ต่อไป   โปรดนำความนี้ขึ้นกราบทูลพระองค์ด้วย”


     นางเขียนสาร์นสั้นๆตอบอย่างรวดเร็ว  แล้วส่งให้เมียวบุ  ขณะที่หลานชายของนางนอนกรนอยู่ข้างๆ
“ข้าอยากเห็นเจ้าชายน้อยๆตอนทรงตื่นบรรทม เพื่อจะได้กราบทูลได้ถูก  แต่พระองค์คงทรงทนรอคำตอบจากข้าแทบไม่ไหวแล้วล่ะ” เมียวบุเอ่ย  และเตรียมตัวที่จะกลับ


“ข้าเองก็อยากที่จะอยู่สนทนากับท่านานกว่านี้  เพื่อปัดเป่าความมืดมนสุดทานทนออกจากหัวใจข้า” เจ้าเคหาสน์ตอบ “ท่านโปรดมาเยี่ยมเยือนข้าบ้าง   ตามแต่ท่านต้องการ  ข้ารู้สึกผ่อนคลายที่ได้ระบายความอัดอั้นของมารดาผู้สูญเสียบุตรี  ยามที่ท่านมาเยี่ยมเยือน  มันช่างน่ายินดี  ชีวิตข้ายามนี้มันไร้ความหมาย  ตั้งแต่ธิดาของข้าลืมตาดูโลก  บิดาของนางเฝ้าหวังจะให้นางเข้าวัง  และก่อนที่เขาจะตายก็ได้กำชับสั่งเสียให้ข้าส่งนางเข้าวังให้ได้   ท่านก็รู้ว่าลูกสาวข้าไม่มีญาติฝ่ายชายคอยอุปถัมป์   อล้วข้าก็รู้อยู่เต็มอกว่าจุดยืนของนางจะลำบากเพียงใด  แต่ข้ามิอาจไม่ทำตามคำสั่งเสียของบิดานางได้  ส่งนางเข้าวัง  แล้วองค์พระจักรพรรดิก็ทรงโปรดนางเหนือความคาดหวังของเรา  เพราะพระกรุณานั้น  นางจำต้องทนต่อการกลั่งแกล้งหมิ่นเกียรติอันโหดร้ายต่างๆนานาจากพวกที่คอยอิจฉาริษยา  และยิ่งริษยาล้ำลึกขึ้นทุกวัน  ลูกสาวข้าจำต้องพบกับเรื่องไม่ดีไม่งามมากขึ้น  จนสุดท้าย  นางต้องตายจากไปอย่างอนาถ       พอข้าย้อนกลับมาคิดอีกที  ความโปรดปรานของพระองค์มันนำมาซึ่งโชคร้ายแสนสาหัส  โอย  อย่าได้ถือสาคำพูดของคนเป็นแม่ที่กำลังอ่อนไหวเลยนะท่าน”


“เหนือหัวก็ทรงดำริเช่นเดียวกับท่านนั่นล่ะ”  เมียวบุกล่าว “พระองค์ทรงตรัสเป็นนัยว่า  การที่พระเองทรงเสน่หาท่านหญิงอย่างลึกซึ้ง  อาจเพราะฟ้าลิขิตมาให้ความรักของทั้งคู่ไม่อาจครองคู่ยืนยาว  พระองค์หลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่ง  เพื่อท่านหญิงเรือนคิริ    พระองค์เองอาจจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้นางถูกอาฆาตมาดร้าย  เพราะความดื้อรั้นของพระเองที่โปรดปรานนางจนเป็นที่อื้อฉาวไปทั่ว  เป็นต้นเหตุทำให้นางตายจากไป ! จนพระองค์ทุกข์ทนสุดแสน  พระองค์ยังตรัสว่า อาจเป็นกรรมแต่ชาติปางก่อน”


ตกดึกสงัดแล้ว  เมียวบุเตรียมตัวจะกลับอีกครั้ง  จันทราคล้อยเคลื่อนไปทางทิศตะวันตก  ลมเยนโชยเฉื่อยฉ่ำ  พฤกษาไหวเอน  แมลงหรีดร้องระงมไปทั่ว  นางส่งสารน์ผู้ยังไม่อาจหักใจลา  เอื้อนเอ่ย


ราตรีเศร้าเคล้าสะอื้นโศกหทัย
ร่ำน้ำตาราวเสียงหรีดเรไร
ผู้บรรเลงสรรพสำเนียงเสียงวิโยค
จวบจนโลกอาบแสงสุริยา


( หรีดเรไรอาจจะร้องจนกระทั่งมิอาจร้องได้อีก  ตลอดคืนนี้น้ำตาข้าคงร่วงหลั่งไหล )


นางเมียวบุยังคงลังเลที่จะจากไป  มิอาจหักใจขึ้นรถเทียมวัว  เจ้าของเคหาสน์จึงตอบคำ


ตามสุมทุมพุ่มไม้เรไรหริ่ง
แม่หญิงจากแดนฟ้าโปรดมาเยี่ยม
จวบน้ำค้างพร่างพรมเปี่ยมใบเรียง
ยินสำเนียงเสียงถอนใจในสายลม


( หริ่งเรไรร้องครวญด้วยความเศร้าบนยอดหญ้าใบบาง   ท่านผู้มาจากราชวังทำให้น้ำตาข้าหลั่ง )


“น้ำตามากมายที่ไหลหลั่ง เป็นเพราะท่านแท้ๆ….” 


เจ้าเคหาสน์มอบอาภรณ์และชุดปิ่นประดับอันงดงามที่เคยเป็นของท่านหญิงรือนคิริแก่เมียวบุ    นางคิดว่าสิ่งของไว้ดูต่างหน้าเหล่านี้ล่ะเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะให้เป็นของกำนัลในโอกาสเช่นนี้ 


นางเล็กๆที่เคยรับใช้ธิดาของนางในวัง  ต่างโศกเศร้ากับการจากไปของนายหญิง   และพวกนางก็คิดถึงวัง  ที่พำนักจนคุ้นเคย    ความระลึกถึงของเหนือหัวที่ปรารถนาจะได้เจ้าชายน้อยกลับคืนวังโดยไว  ประทับใจพวกนางอย่างสุดซึ้ง   แต่มารดาแห่งแม่หญิงเรือนคิริตระหนักดีว่าผู้คนจะต้องคัดค้าน  ไม่อยากให้ยายแก่ใกล้ฝั่งเจ็บออดๆแอดๆอย่างนางตามหลานชายเข้าวังไปด้วย   นางไม่อาจหักใจปล่อยหลานชายสุดที่รักไปไกลตาเด็ดขาด


เมื่อเมียวบุกลับวัง  นางพบว่าองค์จักรพรรดิยังมีได้บรรมทม  พระองค์ยังทรงรอคอยการกลับมาของนาง  ทำให้นางรู้สึกสงสารพระองค์เป็นยิ่งนัก   พระองค์กำลังให้ความสนใจต่อสวนในพระราชฐานที่กำลังเบ่งบานอวดความงามตามฤดูใบไม้ร่วงอย่างเฉิดฉันท์    และกำลังมีปฏิสันฐานกับสตรีคนสนิทสี่ห้านาง  พระองค์กำลังสนใจในม้วนภาพเรื่อง “ลำนำโศกศัลย์นิรันดร์” ที่สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิอุดะ  เป็นเรื่องราวของจักรพรรดิจีนสั่งให้นักเวทย์เฝ้าตามหาวิญญาณของสนมหยางกุ้ยเฟย  ที่กลายเป็นนางฟ้าหลังจากที่นางตายแล้ว  ไม่มีสิ่งใดสร้างความยินดีให้พระองค์นอกจากการกวาดพระเนตรมองภาพที่วาดโดยเจ้าชาย ไทชิอิน  ไม่กพุดคุยถึงบทกวีในม้วนภาพที่ประพันธ์โดย อิเสะ กวีสตรี  และ  สึระยุกิ กวีบุรุษ ในคำสั่งของจักรพรรดิอุดะ  ทั้งในภาคของภาษาถิ่น และภาษาจีน   ดุเหมือนจะสนทนากันเรื่องนี้ติดต่อมาตั้งแต่ยามค่ำ
เมียวบุรีบเข้าเฝ้าพระองค์ทันที  กราบทูลทุกสิ่งที่ได้รู้ได้เห้นอย่างไม่ปิดบัง  ทั้งยังถวายจดหมายตอบที่เจ้าของเคหาสน์ฝากมา  ใจความว่า  มารดาแห่งแม่หญิงเรือนคิริรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่พระองค์ทรงห่วงใย   ทำให้กระหม่อมรู้สึกสับสนใจ จนมิรู้จะตอบเช่นไรดี


กรำพายุลมแรงพัดกระโชก
ไม้ใหญ่โยกมิอาจเลี่ยงจำเหี่ยวเฉา
สงสารแต่พุ่มฮางิต้นยังเยาว์
ทั้งอ่อนแอไร้เงาไม้บังภัยพาน


( ยามนี้ต้นไม้เฒ่ามีแต่เหี่ยวแห้งโรยรายืนต้นตายลงเพราะลมอันกราดเกี้ยว    ได้แต่ห่วงอนาคตต้นฮางิที่ผลิอยุ่ใต้ร่มเงาว่าจะเป็นอย่างไร )


พระจักรพรรดิยังอ่านจดหมายไม่จบ   สำนึก   จดหมายมารดานางที่ยังคงโศกเศร้า  ส่งมาตัดพ้อพระองค์ว่ามิอาจให้การปกป้องกระทั่งองค์ชายน้อยๆ  ทรงต้องกล้ำกลืนฝืนความรู้สึกที่เอ่อล้นออกมาอย่างไร้ผล    ความทรงจำนับแต่วันแรกที่พระองค์ได้พานพบดวงหน้าของหญิงคนรักเป็นครั้งแรกผุดขึ้นในมโนสำนึก  ย้ำเตือนให้พระองค์ตระหนักว่าเนิ่นานเพียงใดที่พระองค์อยู่โดยไม่มีนางเคียงพระวรกาย  พระองค์ทรงกริ้ว  เหตุใดนางจึงมาด่วนจากไปโดยทิ้งพระองค์ไว้เบื้องหลังเช่นนี้  พระองค์รับสั่งกับเมียวบุว่า “เจ้ารุ้ไหมว่า  ข้าปรารถนาที่จะยกย่องบุตรีของท่านไดนะกอนผู้ล่วงลับให้สมกับความปรารถนาของบิดานางมากเพียงใด  แต่มันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดถึงอีกแล้ว !”
พระองค์เงียบงันไปขณะนึงแล้วตรัสต่อ  “ เพื่อตอบแทนความดีความชอบของมารดานาง  ต้องขอพร  และดูแลให้ยายของลูกชายข้าจงมีอายุยืนยาวเพื่อได้เห็นลูกชายข้าเจริญรุ่งเรืองด้วยอำนาจวาสนาต่อไปในเบื้องหน้า”   
เมียวบุแสดงของขวัญที่ได้รับมาจากมารดาของนาง  “อา  หรือนีคือกำนัลจากนางอันเป็นที่รักที่จากไปของข้า” พระองค์ทรงถอดถอนใจ


อา ข้าจะหานักเวทย์จากหนใด
เพื่อส่งไปค้นหาที่รักข้า
แม้นิดเพียงได้รู้ว่าน้องยา
แฝงวิญญาสถิตย์ตนอยู่โพ้นใด


( อา  แค่จะไปหานักเวทย์จากที่ไหนไปค้นหาวิญญาณหญิงคนรักแห่งข้าว่าอยู่หนใด )


บัดนี้  ภาพวาดอันงดงามของนางหยางกุ้ยเฟย  แม้จรดออกมาจากปลายภู่กันของจิตรกรอันเชี่ยวชาญ  ก็เป็นได้เพียงภาพวาดเท่านั้น  นางมิมีชีวิตจิตใจ  ความงามของนางอาจเปรียบได้กับดอกบัวงามที่บานกลางสระไทเอกิ หรือต้นหลิวอ่อนช้อยเอนต้นในพระราชวังเมี่ยวแห่งอาณาจักรจีน  นางในภาพเป็นความงามแบบคติจีน  แต่ยามเมื่อพระองค์นึกถึงนางอันเป็นที่รัก  พระองค์ไม่อาจจะเปรียบนางได้กับบุพฝาหรือเพลงจากสกุณาใดๆ   พระองค์ให้สัญญากับนางว่าหากชาติหน้ามีจริง  ทั้งสองจะเกิดใหม่เป็นดังปีกแต่ละข้างของนกที่ต้องเคียงข้างกันตลอดไป   หรือเกิดร่วมเป็นกิ่งก้านเกาะเกี่ยวกันของต้นไม้ร่วมต้น   ทว่านางด่วนจากไป  ณ. ยามนี้ เพียงแค่เสียงหรีดหริ่งของแมลง  เสียงกระซิบจากสายลม  พอเพียงแล้วที่จะทำให้พระองค์ชอกช้ำอยู่กับคำมั่นที่ให้แก่กันไปตลอดกาล 


ในเวลาเดียวกันนั้นเอง   มีเสียงสังคีตดังแว่วมาจากตำหนักโคคิ  พระสนมที่พระองค์ร้างลามิได้ไปเยี่ยมเยือนมาเป็นเวลานาน   ดีดสังคีตชื่นชมจันทร์ดวงงาม  พระองค์ทรงไม่พอพระทัย  ประสงค์ให้เสียงสังคีตจงเงียบไปพลัน   ผู้คนที่เห็นถึงความปวดร้าวของพระองค์  เห็นพร้องว่านี่มิใช่เหตุบังเอิญ  พระสนมตำหนักโคคิเป็นคนดื้อรั้นและยโส  นางแสดงให้เห็นว่า  นางไม่ใส่ใจกับความโทมนัสขององค์จักรพรรดิแม้เพียงน้อยนิด


จันทราลอยดวงเด่น  ใส้ตะเกียงได้รับการตัดแต่งไปแล้ว ขณะนี้น้ำมันตะเกียงเองก็จวนจะเหือดแห้ง  องค์จักรพรรดิยังไม่มีทีท่าว่าจะเข้าบรรทม  ในพระหทัยทรงคิดถึงท่านชายน้อยและยายผู้ชรา   พระองค์เอิ้อนเอ่ย 


ม่านน้ำตาคนบนเมฆาสูงศักดิ์
มัวหม่นบังจันทราให้มิไคร่เห็น
เป็นเช่นใดคนในกระท่อมหญ้า
ฤาได้อาบแสงจันทรไร้เมฆาบัง


( แสงจันทร์ถูกน้ำตาแห่งข้าบดบัง  ความมืดสลัวนี้คงแผ่ไปสู่นิวาสถานที่รกเรื้อหญ้าของมารดาแห่งนางอันเป็นที่รักเช่นกัน ตัวข้ายังร่ำไห้ ไหนเลยมารดาชราของนางจะมิฟูมฟายน้ำตา )


ได้ยินเสียงยามเฝ้าประตูพระราชวังขานเวลาว่าเป็นยามแห่งฉลู  หรือประมาณตีสี่แล้ว  พระองค์จึงเข้าพระที่   พระองค์มิปรารถนาจะทำพระองค์เป็นที่น่าสงสัย  แต่ยังคงมิอาจข่มพระเนตรบรรทม  จนย่างเข้าสู่ยามเช้า  เป็นเวลาที่ควรตื่น  ทั้งที่เมื่อกาลก่อนยามพระองค์ประทับอยู่กับแม่หญิงเรือนคิริ  พระองค์มิเคยจะรู้สึกองค์ถึงยามเช้าที่ผ่านเข้ามา    เช้าวันนี้  พระองค์พลาดการออกท้องพระโรง   พระองค์ไม่เจริญพระกระยาหาร แม้พระกระยาหารนั้นจะเป็นสิ่งหรูหราน่าลิ้มรสเพียงใด  ข้าราชบริพารรับใช้ต่างสงสารพระองค์   ทั้งข้าราชบริพาร  ขุนนางผู้รับใช้ใกล้ชิดต่างพากันวิตกพึมพำกันว่า  “ความรักของทั้งคู่มันเป็นชะตาฟ้า   หลงสตรีหน้ามืดตามัว รักกันจนไม่สนใจคำทัดทานทักท้วงใดๆ  รักกันจนเกินขอบเขต ”  เกรงว่าพระองค์จะไม่สนใจกิจการบ้านเมืองจนพาประเทศล่มจมดั่งเคยมีตัวอย่างกันมาแล้ว


                       วันเดือนผ่านเลยไป  พระโอรสที่เกิดจากนางกำนัลเรือนคิริได้กลับหวนมาสู่พระราชวังอีกครั้ง   ทรงเจริญวัยเป็นเด็กชายทรงโฉมที่หาเปรียบได้ยากยิ่ง งามจนพระองค์เกรงว่าพระโอรสจะมีชะตาอาภัพจากความที่รูปงามเกินไปจนอาจจะต้องใจปีศาจร้ายเข้า   ในฤดูใบไม้ผลิปีถัดมานั้นเอง  พระโอรสองค์โตได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นเป็นมกุฏราชกุมาร  ในพระทัยของพระองค์ปรารถยิ่งที่จะให้พระโอรสองค์น้อยเข้าแทนที่ตำแหน่งนี้  แต่มันเป็นไปไม่ได้  เพราะพระโอรสองค์น้อยไม่มีผู้หนุนหลังอันเข้มแข็งทรงอำนาจ  และคำครหาจะตามมาหากพระองค์ทำตามอำเภอพระทัย    มันจะเกิดภัยใหญ่หลวงตามมา  ยามนี้ทุกคนแม้กระทั่งพระสนมตำหนักโคคิผู้เป็นพระราชมารดาของพระโอรสองค์ใหญ่ ต่างพอใจกับการกระทำนี้ของพระองค์ 


Smileyto be cont.Smiley


                








Free TextEditor




 

Create Date : 04 มกราคม 2552    
Last Update : 4 มกราคม 2552 14:28:17 น.
Counter : 319 Pageviews.  

๑. Kiritsubo ส่วนที่ 1

๑ .  เรือนคิริ



 



 



ในรัชสมัยของจักรพรรดิ์ซึ่งนามของพระองค์ไซร้มิได้เป็นที่ประจักษ์แก่พวกเราทั้งหลาย   ยังมีหญิงที่ได้รับการโปรดปรานขององค์พระทรงศักดิ์เหนือสนมนางในทั้งปวงในราชสำนัก  ถึงแม้ว่านางจะมีฐานันดรมิสูงศักดิ์อันใดนัก    ดังนั้นจึ่งได้ถูกมองอย่างเหยียดหยามด้วยสายตาอันมาดร้าย  จากหญิงอันสูงศักดิ์กว่า  แต่ละนางต่างคิดคำนึงว่า  “เราต่างหากที่ควรเป็นที่โปรดปราน”  แลหญิงผู้มีศักดิ์เทียบทันหรือต่ำต้อยกว่านางต่างก็ขุ่นเคืองยิ่งนัก  นานเพียงไรแล้วกับวันคืนที่พวกนางเผ้ารอคอยที่จะได้ถวายงานพระองค์

 



 


ด้วยสถานการณ์เยี่ยงนี้  ความกังวลที่นางจำต้องทนแบกรับมันมหาศาลและเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ  และอาจเป็นสาเหตุว่าทำไมสุขภาพของนางจึงได้รับการกระทบกระเทือนอย่างมากในที่สุด   จนนางต้องลาพักราชการในราชสำนักบ่อยครั้งเพื่อพักฟื้น ณ  เรือนของมารดา

 



 


บิดาของนาง  เป็นถึงขุนนางตำแหน่งไดนะกอนนั้นได้วายชมน์ไปแล้ว  ทว่ามารดาของนางผู้เป็นเมียเอก  เป็นหญิงผู้มาจากตระกูลอันเก่าแก่และได้รับการศึกษามาอย่างดี  จัดการส่งนางเข้าสู่ราชสำนัก และคิดว่านางสามารถทำให้ธิดาของนางไม่น้อยหน้าผู้ใด   แต่ในความเป็นจริง  ก็ยังต่างจากแม่หญิงผู้มีบิดามารดาอยู่พร้อมหน้าเพื่อสนับสนุนส่งเสริม      เมื่อยามมีราชพิธีใดๆธิดาของนางถูกกันไว้ในตำแหน่งที่ไม่โดดเด่นเพราะไม่มีคนคอยสนับสนุนค้ำจุน  จนนางต้องคร่ำครวญกับตำแหน่งอันต่ำต้อยมิอาจทำสิ่งใดได้

 



 


ด้วยความอาภัพของนาง  ยิ่งทำให้พระจักรพรรดิ์ยิ่งเพิ่มพูนความเสน่หาต่อนางมากขึนทบทวี   ถึงขนาดมีผู้เปรียบเปรยวิพากวิจารณ์เป็นนัย  ว่าทรงลุ่มหลงราวกับจักรพรรดิจีนลุ่มหลงสนมหยางกุ้ยเฟย  จนพาบ้านเมืองฉิบหายล่มสลาย

 



 


ในกาลต่อมา  อาจกล่าวว่าเป็นพรอันศักดิ์สิทธิ์แห่งความเสน่หาอันจริงใจ  เจ้าชายน้อยที่งดงามราวอัญมณีจึ่งมาจุติในครรภของนาง  เจ้าชายองค์โตของพระจักรพรรดิประสูติจากพระสนมตำหนักโคคิ  ผู้เป็นบุตรีของท่านอุไดจิน  หรือ เสนาบดีฝ่ายขวา  ไม่เพียงแค่เจ้าชายองค์โตทรงมีพระชนมายุมากกว่า  แต่ญาติฝ่ายพระมารดาของพระองค์ยังมีอำนาจยิ่งใหญ่  ดังนั้นทรงจะได้สืบทอดตำแหน่งมกุฏราชกุมารโดยไม่มีผู้ใดทัดทานอย่างแน่นอน   พระจักรพรรดิ์ทรงปฏิบัติต่อโอรสองค์โตอย่างเหมะสมแก่ฐานะ  แต่ทรงโปรดองค์ชายน้อยแรกประสูติซึ่งเกิดจากความเสน่หาต่อแม่หญิงเรือนคิริอย่างเปี่ยมล้นยิ่งกว่าผู้ใด   ฝ่ายพระราชมารดาของพระโอรสองค์โต  จึงมีลางสังหรณ์ว่า  โอรสแรกประสูติอาจจะเข้ามาแทนที่บุตรของนางในตำแหน่งมกุฏราชกุมาร  นางเป็นสนมที่เข้าวังมาก่อนผู้ใดและมีโอรสธิดามากกว่าสนมนางใด  พระจักรพรรดิ์ทรงเกรงใจนางมากกว่าผู้ใด  และคำตำหนิของนางชาญฉลาดและมีอิทธิพลกว่าคำพูดของผู้ใด

 



 


ย้อนกลับไปที่คู่แข่งของพระสนมตำหนักโคคิ  ซึ่งนั่นก็คือนางกำนัลเรือนคิริ  ผู้มีสุขภาพร่างกายอันอ่อนแอ  แวดล้อมไปด้วยศัตรู   ที่ต่างสร้างรอยแผลที่บาดลึกในใจนาง  ที่พำนักของนางคือเรือนคิริ  ที่มีชื่อเรือนจากต้นคิริที่ปลูกทั่วบริเวณ  ด้วยตำแหน่งของนางผู้สืบเชื้อสายจากขุนนาง  ซึ่งมีใช่นางผู้รับใช้จึงไม่สามารถอยู่ในตำหนักส่วนประองค์ได้  นอกจากยามมีงานฉลองหรืองานพิธการต่างๆเช่น  งานแสดงสังคีต  บางครา  เมื่อทั้งสองหลับไหลจนตื่นสาย  พระองค์จะรัยสั่งให้นางอยู่กับพระองค์ต่อ  โดยทรงมิยอมให้นางกลับไปที่เรือนพำนัก  ทำให้นางถูกมองว่าสมควรกับการถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม  เพราะพระจักรพรรดิ์เหมือนจะกระทำกับนางราวหญิงต่ำศักดิ์ 

 



 


การที่พระจักรพรรดิจะเสด็จมาเยือนนาง  จำต้องดำเนินผ่านเรือนหลังอื่นๆมาก่อน  โดยแม่หญิงที่พำนักในเรือนอื่นๆนั้นต่างพากันริษยา   ยามถึงคราที่นางกำนัลเรือนคิริไปสวายงานพระจักรพรรดิ์ที่ตำหนัก  บ่อยครั้งที่นางจะต้องถูกกลั่นแกล้งจากแม่หญิงเรื่อนอื่นๆที่นางต้องเดินผ่าน  ตามจุดต่างๆของระเบียงทางเดินยาวสู่ตำหนักส่วนพระองค์   บางทีก็แกล้งทำชายชุดของนางติดตามของนางเปรอะเปื้อน  บางทีก็แกล้งลั่นดานประตูของระเบียงยาวที่มิมีทางออกทางอื่น  ขังนางเอาไว้  พวกนั้นสรรหาวิถีทางทุกอย่างเพื่อกลั่นแกล้งนาง

 



 



 



 


ในที่สุดพระองค์ก็ทรงรับรู้ถึงเรื่องนี้  จึงพระราชทานเรือนหลังใหม่ให้นางพำนักเป็นกรณีพิเศษ  อยู่ในตำหนักโคโร  ที่ค่อนข้างจะใกล้กับพระตำหนักส่วนพระองค์  ซึ่งเดิมที่มีแม่หญิงนางอื่นพำนักอยู่แต่ต้องย้ายออกไปเพราะการนี้  และมันได้สร้างความไม่พอใจและความคั่งแค้นอันสดใหม่ให้ประทุขึ้นมา    
  
เมื่อโอรสน้อยเจริญวัยได้สามชันษาได้มีราชพิธีฮะกะมะกิ  พิธีสวมกางเกงให้เด็กเป็นสัญลักษณ์การเปลี่ยนจากทารกเป็นเด็กชาย  มีการจัดการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่จะเป็นรองเพียงพิธีของมกุฏราชกุมารเท่านั้น   ใช้ของล้ำค่าในราชพิธีไปอย่างเต็มที่    ผู้คนต่างกล่าวกันอื้ออึงถึงความไม่เหมาะสมนี้  แต่เมื่อเจ้าชายน้อนทรงเจริญวัยขึ้น  ด้วยรูปโฉมอันงามสง่ายิ่งของพระองค์  ที่งามยิ่งกว่าผู้ใด  ทำให้ไม่มีใครสามารถดูหมิ่นพระองค์ได้  ผู้คนต่างพากันฉงนว่า  ตนเคยเห็นเด็กชายผู้งามล้ำเช่นนี้มาก่อนหรือไม่

 



 


และในคิมหันตฤดูปีเดียวกันนั้นเอง  นางกำนัลเรือนคิริผู้ได้ยศอย่างไม่เป็นทางการว่าเป็นมิยาสุโดโกโระหรือเจ้าจอม  ได้ล้มป่วยลง  และปรารถนาจะลาราชการไปจากราชสำนัก  พระจักรพรรดิผู้คุ้นชินกับการมีนางอยู่ข้างพระวรกาย  ทรงคัดค้านต้องการจะเก็บนางไว้   ทว่าอาการป่วยไข้ของนางทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆทุกวัน  นางดูซูบเซียวอ่อนแอลง  จนนางเหลือแค่เค้าความงามเลือนลางในอดีต   นางสนองต่อวาจาและการแสดงออกแห่งความรัก  การสัมผัสด้วยความรักความอ่อนโยนของพระองค์ได้เพียงน้อยนิด   ดวงตาของนางสลึมสลือ  นางทอดกายนางราวกับมาลีที่โรยกลีบเหี่ยวเฉาลง   และนางก็อ่อนแออย่างถึงที่สุดจนกระทั่งมารดาของนางขอเข้าเฝ้าพระจักรพรรดิเพื่ออ้อนวอนให้พระองค์ทรงอนุญาติให้นางได้ออกจากราชสำนักไป   ด้วยความรักอย่างสุดซึ้ง  เสลี่ยงได้เตรียมพร้อมไว้เพื่อนำนางกลับไปสู่เรือนของนางเอง   แต่เมื่อยามพระองค์เสด็จเยี่ยมที่ห้องของนาง  พระองค์ทรงกรรแสงด้วยความสิ้นหวัง  พลางตรัสว่า “มิใช่ได้ผูกคำมั่นสัญญาว่าเราสองจะมิพรากแม้เพลา  ผู้หนึ่งผู้ใดออกเดินบนถนนแห่งการเดินทางครั้งสุดท้ายของชีวิตหรอกหรือไร? ฤาเจ้าตระหนักในฤทัยว่าจะทิ้งเราไปในยามนี้เสียแล้ว  ? ข้ามิอาจปล่อยเจ้าจากไป ”  นางเงยหน้ามองพระองค์อย่างอ่อนโยนเศร้าสร้อย  เอ่ยเอื้อนคำตอบด้วยลงหายใจอันขาดห้วง

 



 



ข้าจำพราก จากไปใน อนธกาล
ทำท่านราน โศกฤทัย เดียวดายล้ำ
หากเลือกได้ มิปรารถนา  จะม้วยมรณ์
จะไม่จร  ขออยู่เรียง  เคียงพระองค์ !

 



 


ณ ยามนี้จุดจบได้มาถึง  และหม่อมชั้นก็แสนเศร้าอย่างสุดซึ้งที่เราต้องพรากจากกัน   หากหม่อมชั้นเลือกทางเดินชีวิตได้  หม่อมชั้นจะเลือกทางที่สามารถมีชีวิตอยู่เคียงข้างพระองค์ )

 



 



“ หากหม่อมชั้นรู้ว่าจะทำเช่นไร......”

 



 


ดูเหมือนว่านางมีอะไรจะเอื้อนเอ่ยมากกว่านั้น  แต่หากอ่อนแอจนเกินจะกล่าววาจา    พระองค์แทบจะอยากจะไปส่งนางด้วยพระองค์เองคอยเฝ้าดูนางจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต  ด้วยความเศร้าแทบขาดใจ    ในลางขณะก็ไม่อยากให้นางจากไปไหน  อยู่ที่นี่จนวาระสุดท้าย  ซึ่งตามโบราณราชประเพณี  พระองค์มิอาจกระทำเช่นนั้นได้



ในที่สุด  เธอต้องจากไปจากพระราชฐานอย่างรีบร้อน  เพราะพิธีปัดเป่าโรคภัยได้กำหนดนัดจัดขึ้นที่บ้านของนางในยามบ่ายของวันนั้นเอง   นางจากไปแล้ว  ทิ้งโอรสน้อยไว้ในวัง  ดั่งความปรารถนาของนาง  กระทั่งในเวลานี้  การจากไปของนางทำอย่างเป็นส่วนตัวที่สุด  เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เป็นที่สังเกตของบรรดาคู่แข่งของนาง   สำหรับองค์จักรพรรดิ  ยามราตรีดูเศร้าหม่นอนธกาล  จักรพรรดิมิอาจข่มพระเนตรบรรทมลง  พระองค์ส่งคนนำสาร์นไปเพื่อรับทราบความคืบหน้า  และมิอาจที่จะอดทนรอการกลับมาของคนนำสาร์นได้      ยามเที่ยงคืนมาถึงพร้อมสำเนียงคร่ำครวญ “ นางกำนัลเรือนคิริ  สิ้นใจแล้วเมื่อยามเลยเที่ยงคืนมาเพียงเล็กน้อย”  ผู้เดินสาร์นมิอาจทำสิ่งใด  รีบร้อนกลับมาส่งข่าวความจริงอันน่าสลด  ความตายของแม่หญิงเรือนคิริ  นับจากนาทีนั้น  พระหฤทัยของพระองค์มืดหม่น  ทรงขังพระองค์อยู่แต่ในตำหนักส่วนพระองค์
สิ่งที่พระองค์ทรงหลงเหลืออยู่คือพระโอรสน้อยผู้กำพร้าแม่  แต่การเก็บพระโอรสไว้กับพระองค์นั้นมิเคยมีเป็นเยี่ยงอย่างมาก่อน  จำต้องส่งพระโอรสน้อยให้ท่านยายในยามไว้ทุกข์  เด็กน้อย  ผู้ไม่รู้เรื่องราวอันใด   ได้แต่เบิ่งมองพระพักต์เศร้าสร้อยขององค์พระจักรพรรดิ์และผู้คนรอบกายอย่างประหลาดใจ        ความตายของบิดามารดาเป็นเรื่องที่โศกเศร้า  แล้วครั้งนี้เป็นความเศร้าสุดพรรณา  ยามเมื่อดรุณน้อยมิรู้ความกระทั่งความตายของมารดา

 



 


พิธีศพเริ่มขึ้น  มารดาผู้โศกเศร้าจนแทบจะโดดกองไฟตายตามบุตรีไป   นางยืนยันที่จะขึ้นรถเทียมวัวติดตามด้วยสตรีไว้ทุกข์  เพื่อทำพิธีปลงศพที่สุสานที่โอตางิ   เริ่มต้นด้วยพิธีกรรมทางศาสนา  นี่เป็นห้วงความคิดของมารดาที่ระทดใจรึ ภาพบุตรีของนางยังคงแจ่มชัดในหัวใจ  ยังคงเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา  นางต้องได้เห็นบุตรีของนางสลายกลายเป็นเถ้าก่อน จึงค่อยเชื่อว่า  บุตรีของนางได้ตายจากไปเสียแล้ว 

 



 




นางเอ่ยด้วยความโศกเศร้า  จนกระทั่งความโทมนัสเข้าจู่โจมจิตใจนางจนถึงขีดสุด ทำให้นางแทบพลัดตกลงมาจากรถเทียมวัว  นางผู้ไว้ทุกข์ที่อยู่ร่วมในรถต่างพากับร่ำไห้แล้วกล่าวว่า “ ข้ารู้ว่าท่านโศกเศร้าเพียงใด”  นางทั้งหลายไม่ทราบที่จะปลอมโยนนางเช่นไร

 



 



ระหว่างพิธีกรรม  ผู้เชิญพระราชโองการมาถึงพร้อมกับการประกาศพระราชโองการจากจักรพรรดิ์  ท่ามกลางความเงียบงันของพิธีกรรม    ว่าพระองค์ได้เลิอนขั้นของนางผู้วายชมน์เป็นขุนนางชั้นสาม  ซึ่งเทียบเท่ากับตำแหน่งพระสนม  ตำแหน่งที่ในยามนางมีชีวิตอยู่ พระองค์ทรงปวดร้าวมิอาจที่จะประทานให้นาง    อย่างน้อยในยามนี้พระองค์ปรารถนาที่จะยกย่องนางขึ้นไป สู่ตำแหน่งอันทรงเกียรติ   ซึ่งมันอาจจะดูเป็นการไม่เหมาะสมและมีการคัดค้าน  ทว่า  รูปโฉมน่าทนุถนอม  ความอ่อนโยน  ความอดทน  ของนางในผู้เป็นที่รักยิ่งขององค์พรรดิ ในยามมีชีวิตทำให้นางต้องทนทุกข์ระทมกับความริษยาเกลียดชัง  แต่ในยามที่นางสิ้นไปแล้ว  ไหนๆนางก็ตายไปแล้ว  ความทรงจำอันสวยงามนั้น  กลับทำให้ผู้คนที่แม้เคยเป็นศัตรูกับนาง  พลอยเวทนาสงสาร   กระทั่งพระสนมตำหนักโคคิยังออกปากว่า “ ยามเมื่อคนผู้หนึ่งได้จากไป   ความทรงจำเกี่ยวกับคนผู้นั้นช่างมีค่านัก  ข้าคิดถึงนาง”



Smileyto be cont.Smiley

 






Free TextEditor




 

Create Date : 04 มกราคม 2552    
Last Update : 4 มกราคม 2552 14:15:44 น.
Counter : 330 Pageviews.  

1000 years aniversary genji monogatari

 

เนื่องจากนิยายเรื่องแรกของโลก Smileygenji monogatariSmiley ฉลองครบรอบ 1000 ปีไปแล้วในปี 2008 เราก็อยากจะทำอะไรฉลองกับเค้าบ้าง คิดว่าจะเริ่มแปล ตำนานเกนจิ ฉบับย่อ จากภาษาอังกฤษ ของเวป unesco สักหน่อย จะไปตลอดรอดฝั่งไหม ต้องคอยดูกันอีกที



//webworld.unesco.org/genji/en/away.pdf



^^



fighto ฮ่ะ Smiley







Free TextEditor




 

Create Date : 04 มกราคม 2552    
Last Update : 4 มกราคม 2552 1:30:13 น.
Counter : 373 Pageviews.  

 
 

ก่วยก๊วยตาลสด
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





MHWDAD : L'Arc~en~Ciel
a2a_hide_embeds = 0; a2a_prioritize=['twitter','facebook','digg'];a2a_linkname=document.title;a2a_linkurl=location.href;a2a_num_services=6;a2a_onclick=1;
[Add ก่วยก๊วยตาลสด's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com