อะไรก็ได้ .. ตามใจผม
Group Blog
 
All Blogs
 

นิทานโบราณคดี พระนิพนธ์ใน สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ

Smiley บอกกันก่อน


นิทานโบราณคดี นี้ นิพนธ์โดย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งเป็นพระราชวงศ์ชั้นสูง แต่เพื่อความง่ายในการเล่า และการกล่าวถึงพระองค์ท่าน จึงขอใช้ราชาศัพท์แต่พอดี เป็นลักษณะการเล่าให้ฟัง ก็แล้วกันนะครับ อาจฟังดูเป็นลิเกไปหน่อย ไม่ถูกต้องตามแบบแผนนัก แตก็่ฟังง่ายดีนะ ครับ


Smiley ย้อนอดีตกันหน่อย


จำได้ว่า หนังสือเรียนภาษาไทย ม.ปลาย มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ต้องอ่านคือเรื่อง พระครูวัดฉลอง โดยคุณครูบอกว่า เป็นเรื่องหนึ่งในที่มีอยู่ในหนังสือ นิทานโราณคดี ซึ่งนิพนธ์โดย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ นั่นเป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักหนังสือ "นิทานโบราณคดี" .. ในครั้งนั้น เมื่อฟังชื่อ ก็เห็นว่า แปลกดี แต่ก็ยังไม่ได้ขวานขวายมาอ่าน เพราะยังไม่ได้แปลงร่างมาเป็นหนอนหนังสือรูปหล่อ เหมือนในปัจจุบัน Smiley ในที่สุด จึงลืมไปเสีย


จนเมื่อโตขึ้น จากเด็กน้อย มัธยมรูปหล่อ มาเป็น หนอน (หนังสือ) ตัวใหญ่ๆ่ เดิน เข้าๆ ออกๆ ร้านหนังสือ บ่อยขึ้น จึงได้มีโอกาสเห็นหนังสือ นิทานโบราณคดี อีกครั้ง และบ่อยขึ้นเรื่อยๆ แต่ ก็ยัง ไม่ได้ คิดจะซื้อมาอ่าน แต่กตั้งใจไว้ว่า ซักวันต้องอ่านให้ได้ แต่จนแล้วจนรอด ... ก็ด้วยความที่หนังสือเล่มนี้ หนา เอาการอยู่ และยังกลัวอีกด้วยว่า จะไปเจอกับการเทศนาวิชาประวัติศาสตร์ น่าเบื่อๆ จึงผลัดวัน ประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง ในวันที่ไม่มีหนังสือจะอ่าน เพราะหนังสือที่หมายหัวไว้นั้น ได้เก็บอ่านจนหมด ไม่มีเหลือ ประกอบกับ หนังสือเล่มหลังๆ ที่ได้อ่านแล้วนั้น เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ชาติสยาม อยู่หลายเรื่อง จึงเกิดความสนุกที่จะอ่าน เรื่องราวแนวนั้นต่อไปต่อไปอีก แต่อย่างไรก็ตาม หนังสือประวัติศาสตร์ที่จะอ่านนั้น ต้อง ไม่เป็นลักษณะ ของตำราเรียน และถ้าได้เป็นแบบ ผู้ใหญ่เล่าให้ฟัง ก็จะดีมาก (เพราะ็ยังติดใจวิธีการเขียน ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ อยู่หลายเล่ม) ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงได้ไปถอยหนังสือ นิทานโบราณคดี ป้ายแดง มาจากร้าน ดอกหญ้า สาขาเมเจอร์ รังสิต 1 เล่ม (โฆษณาให้หน่อย เพราะไปถอยมาบ่อย จน แม้ว่าจะไม่ได้เป็นสมาชิก พนักงานก็ยังลด 5 - 10% ให้ทุกครั้ง อิอิ Smiley)



Smiley ทำไมจึงเรียกว่านิทานโบราณคดี


จะว่าไป "นิทานโบราณคดี " ก็เป็นหนังสือ ประเภท ผู้ใหญ่เล่าให้ฟัง ได้เหมือนกัน (ซึ่งแบบนี้ล่ะ ผม ชอบจริงๆ) เพราะเกิดขึ้นมาจาก การที่ท่านทรงเล่าเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตการทำงาน ให้ลูกหลานฟังในเวลาหลังอาหารเย็น และธิดาของท่านองค์หนึ่งคือ ม.จ. หญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ได้เห็นว่า เรื่องราวต่างๆที่ทรงเล่านั้น มีคุณค่า และเกรงว่าจะสูญไป ท่านหญิงพูนพิศสมัย จึงได้ทรงขอร้อง ให้กรมพระยาดำรง รวบรวมเขียนเรื่องดังกล่าวขึ้นเป็นหนังสือ ซึ่ง กรมพระยาดำรง ท่านก็เห็นสมควร ตามนั้น แต่กรมพระยาดำรง ท่านปรารภว่า ลักษณะการเขียนของท่านั้น เป็นในลักษณะผู้ใหญ่เล่าให้เด็กฟัง โดยที่ วัน เดือนปี ของเรื่องนั้นๆ อาจจะ เลือนไปบ้าง จึงเห็นว่า น่าจะใช้ประโยชน์จากหนังสือเล่มนี้ เพียงแต่อ่านไป ให้ได้ความรู้ และ อนุรักษ์ เรื่องราวโบราณไว้ ไม่ให้สูญ ดันั้น จึงให้เรียกเรื่องที่ท่านเล่าว่าเป็น นิทาน ดังนั้น เรื่องราวต่างๆ ทั้งหลาย ตามที่ ท่านได้รู้ ได้เห็น ได้ยินได้ฟัง และถ่ายทอดออกมานี้จึงเรียกว่าเป็น "นิทานโบราณคดี" ก็ด้วยเหตุดังที่กล่าวมานี้


หนังสือเล่มนีเป็นหนึ่งในหนังสือจำนวนมากที่ท่านได้เขียนขึ้น แต ่เล่มนี้ ออกจะ สำคัญกว่าเล่มอื่น อยู่สักหน่อย ตรงที่ เล่มนี้เป็นเล่มสุดท้ายในพระชนม์ชีพของท่าน เนื่องจาก หลังการเขียนเล่มนี้เสร็จเพียง ไม่กี่วัน ท่านก็ สิ้นพระชนม์



Smiley เสน่ห์ของหนังสือเล่มนี้


มันก็คล้ายกับการดูหนังพีเรียตของช่อง 7 สีทีวีเพื่อใคร ซักเรื่อง นั่นแหละ ครับ เราจะได้รู้ว่า 100 กว่าปีที่แล้วนั้น (หรือมากกว่านั้น) ประเทศไทยของเรานั้นเป็นอย่างไร ผู้คนในสมัยนั้นมีชีวิตความเป็นอยู่ กันอย่างไร มีความคิดเห็น เกี่ยวกับ สิ่งต่างๆอย่างไร เหมือน กับคนสมัยนี้ หรือไม่ ... ซึ่งเรื่องต่างๆนั้น มันก็น่าจะเชื่อถือได้ดีเสียด้วยซิ ก็เนื่องจาก กรมพระยาดำรง ท่านเกิดทัน จึงได้ยินกับหู ได้เห็นกับตา หรือไม่ ก็ได้ รับฟัง มาจากผู้ใหญ่ของท่าน (คิดดูซิ ว่าจะกี่ปี Smiley) ซึ่งเราๆคงหาฟังกันไม่ได้ในสมัยนี้ (ก็ต้องอาศัยอ่านเอานี่แหละ) และที่สำคัญที่สุด กรมพระยาดำรง ท่านไม่ได้เป็นเจ้านายหัวโบราณ นับถือผีสางนางไม้ หรือ เชื่อโชคลางเลื่อนลอย แต่จะนับได้ว่า ท่านนั้นเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางสังคมศาสตร์ เลยทีเดียว (แน่ล่ะซิ .. ท่านเป็นบิดาของประวัติศาสตร์ นิ) ก็เพราะว่า ข้อมูลที่ท่านรับฟังมาอีกต่อนึงนั้น ท่านจะวิเคราะห์ และสังเคราะห์อย่างมีเหตุผล และนำมาประมวลกัน ก่อนนำเสนอ ประกอบกับข้อวินิฉัยของท่าน เพราะฉะนั้น ก็เชื่อถือได้เลยทีเดียวเชียว เราจะได้รู้ว่า รัชกาลที่ 1 ท่านทำอะไรบ้าง เมื่อครั้งสร้างกรุง และ มีกิจกรรม อะไรบ้างบริเวณรอบๆ พระบรมมหาราชวัง เช่น รถรางต้องหลบช้างหลวง ขณะที่เดินไปอาบน้ำที่ท่าช้าง หรือการที่มีคนชอบแหย่ ช้างหลวงตกมัน ให้วิ่งไล่บนถนนข้างสนามหลวง ซึ่งเป็นที่ครึกครื้นมิใช่น้อย ... ก็น่าสนุกดีนะครับ ... ซึ่งถ้าใครทำงานอยู่แถวนั้น หรือเรียนอยู่แถวนั้น ก็น่าจะได้ลองอ่านดู คงนึกภาพออกไม่ยาก อ้อ ! นอกจากเรื่องในพระนครแล้ว เรื่องตามหัวเมืองก็สนุกมิใช่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ การ ปกครอง บ้านเมืองสมัยก่อน ชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร รวมไปถึง เรื่องของโจรร้าย ที่เรียกกันว่า "ไอ้เสือ" ก็สนุก และน่าสนใจมิใช่น้อย



Smiley เนื้อหาในเล่มมีอะไีบ้าง


เนื้อหาในเล่มนั้น อาจจะเป็นกลุ่มได้ 3 กลุ่ม ดังนี้ครับ


1 .) เรื่องที่ว่า้ด้วยเรื่องราวในพระนคร


2.) เรื่องที่ว่าด้วยเรื่องราวตามหัวเมืองต่างๆ และ


3.) เรื่องราวเมื่อครั้งเสด็จไปต่างประเทศ



แล้วก็ขอเล่าเรื่องแต่ละกลุ่มโดยสังเขป เลยนะครับ



1.) เรื่องราวในพระนคร



อ่านแล้ว ก็ได้รู้ถึงบรรยากาศเก่าๆของพระนคร เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว อันเป็นสิ่งที่ท่านเห็นด้วยตาเอง หรือได้พูดคุยสนทนากับบุคคลต่างๆ โดยเรื่องราวดังกล่าว บางครั้งก็ย้อนไปได้เมื่อครั้งตั้งกรุง กระทั่ง เลยไป ถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาเลยทีเดียว ทั้งนี้ก็เนื่องจากขุนนางเก่าสมัยครั้งกรงุศรี นั้น ก็ยังสืบเชื้อสาย แล้วกลับเข้ามา รับราชการอยู่ในสมัยนี้มิใช่น้อย ท่านจึงมีโอกาสรับรูเรื่องราวต่างๆ ผ่านท่านต่างเหล่านั้น ในช่วงรัชกาลที่ 4 และ 5 นั้น ประเทศสยาม มีการปรับตัวสู่ความเป็นอารยะ เฉกเช่นประเทศตะวันตก โดย กรมพระยาดำรง ท่านก็มีบทบาท ที่สำคัญยิ่งในหลายๆด้าน สิ่งต่างๆที่จะทำให้สยามเป็นอารยะ และเป็นที่ยอมรับนั้น หลายๆอย่างเป็นของใหม่ ไม่ว่าจะเป็น การปรับปรุงระบบราชการ ระบบการทหาร ระปกการปกครองประเทศให้เป็นเทศาภิบาล รวมทั้งการปรับปรุงระบบสาธารณะสุขและการอนามัย (ซึ่งเรื่องนี้ออกจะสนุกอยู่สักหน่อย) อันได้แก่ การตั้งโรงพยาบาล การปรับความคิดเกี่ยวกับการคลอดสมัย การทำเซรุ่มพิษสุนัขบ้า การปลูกฝี เป็นต้น ถึงตรงนี้ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเราชาวไทยนั้นโชคดีขนาดไหน ที่ได้พระเจ้าแผ่นดินที่ปรีชาขนาดไหน ใครที่ได้เคยอ่าน "พม่าเสียเมือง" ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมท ก็คงจะเห็นเช่นเดียวกับผมนะครับว่า เราชาวสยามนั้นโชคดีจริงๆ เพราะ ยุคของ พระเจ้าสีป่อ อันเป็นกษัตริย์ องค์สุดท้ายของกรุงพม่านั้น ก็มีรัชสมัยอยู่ในช่วง ร.4 และ ร.5 ของเรา นี่เอง หากแต่ ในช่วงนั้นราชสำนักพม่านั้นปิดตัวเอง ไม่ยอมรับการกระแสการเปลี่ยนแปลงจากโลกตะวันตก มีการแก่งแย่งชิงดี โดยเห็นแก่ประโยชน์ของราชสำนักมากกว่า ประชาชน ในที่สุดจึงเสียเอกราชแก่อังกฤษไป ผิดกับราชสำนักสยาม ดังนั้นจึงต้องนับเป็นพระคุณมหาศาลทีเดียวนะครับ ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า จน ถึง พระพุทธเจ้าหลวง ทำให้สยาม อยู่รอดปลอดภัย และเป็นไท มาจนบัดนี้ แม้จะต้องเจ็บตัวบ้างเล็กน้อยก็ตาม




Smiley... ออกทะเลไปไกลเชียว ... พาย กลับเข้าหาฝั่งดีกว่า ... หุหุ ... Smiley



นอกจากเรื่องราวการบรหารราชการงานเมืองแล้ว ยังมีเกร็ด หรือเรื่องราวต่างๆ ที่น่าสนใจมากมาย เช่น เรื่องของ นายกุหลาบ เจ้าของหนังสือ พงศาวดารฉบับ ขุนหลวงหาวัด ซึ่งแก ก็ เกรียน ได้สุดๆ ไปเลย โดยที่ใน หลวงรัชกาลที่ 5 ท่านก็ดี๊ ดี ไม่เอาความ อะไีรมากมาย อ่านแล้วก็สนุกดีครับ Smiley



2.) เรื่องราวที่ออกตรวจราชการตามหัวเมือง



กรมพระยาดำรง ท่านทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยพระองค์แรก และ ด้วยความที่ท่าน ออกจะเป็นเจ้านายหัวก้าวหน้า (เป็นบุญประเทศในตอนนั้นทีเดียว) ท่านจึงดำริว่า ควรมีการ ออกตรวจราชการ ตามเมืองต่างๆ ในพระราชอาณาจักร ซึ่งในอดีตที่ผ่านมานั้นไม่มี เพราะ ในอดีตจะถือกันว่า เจ้านายผู้ใหญ่ จะ เสด็จไปยังหัวเมืองต่างๆ ก็เฉพาะมีเรื่องร้ายแรงจริงๆ หรือ เฉพาะเมื่อยามมีศึกสงคราม มาประชิดบ้านเมืองเท่านั้น และการเดินทางออกตรวจราชการ ตามหัวเมืองต่างๆ ที่ท่านได้ นำมาเล่า ไว้หลายเรื่อง นั้น อ่านไป อ่านไปอ่านมา แล้วนึกไปว่า นี่เรากำลังอ่านเพชรพระอุมาอยู่เรอะ !! ด้วยภาพการเดินทางที่ท่านบรรยายนั้นมันช่างทรหดเหลือเกิน เช่น การเดินทางไปแค่ เพชรบูรณ์ นั้น มันช่างเหมือนกับ ฉากเดินป่าในเพชรพระอุมา ซะนี่กระไร เจอสิงสาราสัตว์ สารพัด นี่แค่เพชรบูรณ์นะ ไม่ต้องนึกถึงเลยว่าการ เดินทางไปถึงมณฑลพายัพ (เชียงใหม่) นั้น จะขนาดไหน !!!


อ่านเรื่องราวตามหัวเมืองต่างๆ ตามที่ท่านเล่านั้น ก็เพลินดีครับ ได้รู้ได้เห็น ว่าสภาพบ้านเมือง ที่คนกรุงเทพ เรียกกันว่าต่างจังหวัดนั้น สมัยก่อนเป็นอย่างไร สำหรับคนที่ชอบแบกเป้ไปเที่ยวที่ต่างๆ ถ้า อ่าน ก็คงชอบใจไม่น้อยนะครับ เพราะสิ่งที่ได้ไปเห็นในปัจจุบัน กับ อดีตเมื่อร้อกว่าปีที่แล้วเนี่ย มันคนละเรื่องกันจริงๆ แต่ ... รู้ไหมครับ ? ... สิ่งหนึ่ง ที่รู้สึกได้ว่า ไม่เปลี่ยนเลยตลอด 100 กว่าปีที่ผ่านมา คืออะไร ? .. สิ่งนั้น คือ รอยยิ้ม และน้ำใจของคนไทย ไงครับ ... ลองอ่านเรื่อง "เสด็จประพาสต้น" ของในหลวงรัชกาลที่ 5 ดูซิครับ ... แล้วก็ ลองแบกเป้ ไปเที่ยวต่างจังหวัด (แบกเป้ไปพบปะผู้คนนะครับ .. ไม่ใช่ไปกับ ทัวร์) ไปสัมผัส ดูซิครับ ... แล้วจะเห็นว่า ความมีน้ำใจของคนไทยเนี่ย มันอยู่ในสายเลือดจริงๆ


วันนี้นั่งคุยกับฝรั่งคนหนึ่ง ที่เจอกันทุกวันที่ ฟิตเนส แกเป็นคนอังกฤษ ที่ไปเกิดและเติบโตที่ ประเทศอเมริกาใต้ อายุตอนนี้ก็น่าจะ 60 - 70 แล้วล่ะ เมื่อก่อนแกทำงานอยู่หน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนที่ UN ตอนนี้แกมาอยู่เมืองไทยคนเดียวได้ 2 ปีกว่าแล้ว แกก็บอกอย่างที่ผมบอกไปน่ะครับว่า ที่เลือกมาอยู่นี่ก็เพราะ ประทับใจไทยแลนด์ คนไทยมีน้ำใจกับคนแปลกหน้า มากกว่าทุกประเทศที่แกเคยไปอยู่ครับ



3.) เรื่องราวที่เสด็จไปต่างประเทศ



กรมพระยาดำรง ได้มีโอกาศเสด็จแทนพระองค์ ไปเจริญสัมพันธไมตรีกับพระเจ้ากรุงอังกฤษ และใน ขากลับ ก็ได้แวะเที่ยวอียิปต์และอินเดีย โดยเฉพาะอินเดียนั้น ท่านได้พักอยู่เป็นเวลาหลายเดือน ท่านได้พบ ได้เห็น ได้พูด คุยกับบุคคลต่างๆ มากมาย ท่านเล่าว่า ท่านธรรมปาละ ที่ ก่อนตั้งโพธิสมาคมที่ อินเดีย ก็เคยเคืองกับ ท่าน ด้วยความที่ว่า ท่านไม่เห็นด้วยกับวิธีที่ใช้ในการทวงคืน สังเวชนียสถานจาก พวกพราหมณ์มหันต์ ที่ยึดครองอยู่ เป็นต้น ก็เพิ่งรู้เหมือนกัน


สำหรับประเทศอินเดียนั้น อ่านแล้วออกจะเฉยๆ ไปซักหน่อย เพราะ บางส่วน ก็ได้ซึมซับ มาจากหนังสือเล่มอื่น มาแล้วพอสมควร เวลาอ่านก็เอาแค่สนุก อ่านให้ได้รู้ว่าบ้านอื่น เมืองอื่น สมัย ร้อยกว่าปี ที่แล้วนั้น เค้าเป็นอย่างไรกัน แต่สิ่งหนึ่งที่อ่านแล้วออกจะภูมิใจอยู่ คือ ดูเหมือนว่า ราชวงศ์ของเราก็มี พาวเวอร์ในระดับนานาชาติอยู่พอตัว มิใช่อำนาจทางการทหาร แต่คงเป็นอำนาจทางการทูต อันเกิดจากการที่ พระพุทธเจ้าหลวง ท่านทรงเจริญไว้ กับมหาอำนาจต่างๆ ซึ่งเจ้าประเทศอื่นก็ เกรงใจ และให้เกียรติ เรามากทีเดียว ก็คงเป็นเหตุหนึ่งกระมัง ที่ทำให้เรารอดพ้น จากการเป็นเมืองขึ้นมาจนปัจจุบัน (อ่ะ อ่ะ อย่าหาว่าเพราะเราเป็นรัฐกันชนนะครับ .. ลองอ่านความเห็นของทูตญี่ปุ่น สมัย ร.7 ชื่อ ยาสุกิ ยาตาเบ ดูซิครับ ซึ่งเขียนไว้ในหนังสือ ชื่อ การปฏิวัต และการเปลี่ยนแปลงในประเทศสยาม เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ไม่หนา แต่เนื้อหาน่าสนใจไมากครับ .. ผมอ่านจบแล้ว ก็เอาไว้ว่างๆ จะเอามา รีวิวนะครับ)



นอกเหนือจากสามกลุ่มดังกล่าวแล้วนั้น ยังมีอีกเรื่อง ที่ผมเองออกจะประทับใจเป็นพิเศษ นั่นคือเรื่องที่ว่าด้วย การคล้องช้าง


การคล้องช้าง


ถ้าจะถามว่า "ช้าง" มีความสำคัญต่อ ชาติไทยสมัยโบราณอย่างไร เอาเป็นว่า ถ้้าผมจะเปรียบให้ช้าง สมัยก่อน เป็น รถถัง กับ เครื่องบินรบ ของสมัยนี้ ก็คงไม่เกินความจริงไปนัก เพราะ ช้าง นั้น ถือว่า เป็นอาวุธ ทำลายล้างชนิดสำคัญเลยทีเดียว ก่อนที่ "ปืน" จะเข้ามามีบทบาทดังนั้น ความรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวกับช้างนั้น จึงเป็นราวที่จำเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการ ไปเอาช้างป่ามาฝึกหัดใช้งาน ทั้งงานทั่วไป จนกระทั่งเป็นช้างรบ


การจับช้างป่ามาใช้งานนั้น เรียกว่า การคล้องช้าง ซึ่งทำกันใน เพนียด ซึ่งสมัยเด็กๆ เคยไปดู เพนีดคล้องช้าง ที่อยุธยา ก็ไม่เห็นจะน่าตื่นตาแต่อย่างใด อ่านเรื่องราวข้อมูลของการคล้องช้างจากที่ื่อื่ื่นๆ ก็ไม่รู้สึกว่าจะสนุกตรงไหน แต่แหมมมมม อ่านที่กรมพระยาดำรงท่านเล่า จากที่ท่านได้เห็นเองเนี่ย มัน น่าสนุก จริงๆ ดูน่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ


แต่ก็อย่างที่บอกครับว่าเมื่อดินปืนเข้ามามีบทบาท ช้างก็เริ่มสำคัญน้อยลงตามลำดับ ซึ่ง การใช้ช้าง ในการสงครามครั้งสุดท้ายในสมัยรัตนโกสินทร์นั้น ท่านเล่าว่า เกิดขึ้น ในครั้งปราบญวน ในสมัย รัชกาลที่สาม เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากนั้น ก็ไม่มีการใช้ช้างในราชการสงครามอีกเลย คงมีเพียง แค่จับช้างเถื่อน มา เพื่อ ใช้แรงงานเท่านั้น หรือ ใช้เป็นการแสดงอันตื่นตาตื่นใจ สำหรับ ราชอาคันตุกะ เท่านั้น สำหรับปัจจุบัน ก็ ไม่ต้องพูดถึง เราคงหาช้างเถื่อนมาคล้องให้ดูไม่ได้อีกแล้ว การแสดง การคล้องช้างนั้น ก็ทำโดยใช้ช้างที่เชื่องๆ มาแสดง ไม่มีขัดขืน แต่การคล้อช้างตามที่ท่านเล่านั้น เป็นช้างป่าจริงๆ ซึ่งดุเอาเรื่อง เพราะฉะนั้น การคล้องแต่ละที ย่อมตื่นตาตื่นใจมิใช่น้อย เพราะควาญ อาจตาย ได้ง่ายๆ สนุกจริงๆครั้งเรื่องการคล้องช้าง ... เฮ้อ.. เอาเป็นว่า ถ้าชอบช้างล่ะก็ หาอ่านได้จากเล่นนี้ได้ ไม่ผิดหวัง แน่นอน



Smiley สรุป



หนังสือเล่มนี้อาจจะไมใช่ประเภทอ่านได้ขำๆ เพลินๆ โดยถ้าจะต้องให้บอกว่า เหมาะกับใครนั้น ก็ อาจจะกล่าวได้ว่า เหมาะกับ


1.) ผู้ที่สนใจประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของประเทศไทย


2.) ผู้ที่ชื่นชอบเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้านายและราชวงศ์ ... ก็แน่นอนครับ ผู้แต่งเป็นเจ้านายชั้นสูง นั่นก็ย่อมต้องมีเร่องราวในรั่วในวังอยู่มิใช่น้อย และ


3.) ผู้ที่ชื่นชอบงานเขียนโดยใช้ภาษาสวยงาม แบบเก่าๆ แต่ก็ยังไม่ถึงกับโบราณ อ่านไม่รู้เรื่อง


สำหรับ ผม ที่เป็น ผู้ใหญ่ เอ๊ย เด็กแว๊น นุ่งเดฟ เดินสยาม ก็ ยังคิดว่าเรื่องนี้อ่านสนุกอยู่มิใช่น้อย นะครับ ก็็ขอ คัดเอา ข้อความบางตอนจากเวปไซด์


www.prince-damrong.moi.go.th



มาลงซะเลย ด้วยเห็นว่าสะท้อนคุณค่าของหนังสือเล่มนี้ออกมาได้อย่าครบถ้วน ดังนี้ ครับ



"... หนังสือนิทานโบราณคดี จึงไม่เป็นเพียงหนังสือที่อ่านสนุกเท่านั้น แต่ให้ความรู้มหาศาล สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ทรงใช้ภาษาง่ายๆ ในการเขียน ทรงคัดแต่เรื่องที่น่าสนใจที่มีลักษณะแปลกๆ โดยเฉพาะบรรยากาศของยุคสมัยที่เป็นสังคมของชาวบ้านท้องถิ่น บุคลิก อารมณ์ ความรู้สึก ความเชื่อ ชีวิตความเป็นอยู่ของสามัญชนไทยในสมัยนั้น ซึ่งไม่สามารถหาอ่านได้ง่ายนัก ได้อย่างน่าสนใจ ... "



อย่างไรก็ตาม ก็ควรระลึกซักนิดนะครับว่า การ อ่านหนังสือหนังสือเล่มนี้ มันก็เหมือนกับ การนั่ังฟังกรมพระยาดำรง ท่านทรงเล่าความหลังให้ฟัง ซึ่งแน่นอน เรื่องราวทั้งหมดนั้น ย่อมเป็น "มุมมอง" และ "ความเห็น" ของพระองค์เอง ทั้งนั้น นะครับ



Smiley หลังจากอ่านจบ


ผมมีความรู้สึกว่า ในเมื่อพระเจ้าอยู่หัว และเจ้านาย ที่ปกครองบ้านเมือง ตามระบอบ สมบูรณายาสิทธิราช นั้น มีความเอาใจใส่ในราชการแผ่นดิน ห่วงใย อาณาประชาราษฎร์ ปฏิรูปสิ่งต่างๆที่ล้าสมัย เพื่อให้ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข แล้ว นับไปอีกเพียง 2 รัชกาล


ทำไมคณะราษฎร จึงต้องก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองด้วย Smiley


จึงได้ไปเจอหนังสือ เล่มนึงที่น่าสนใจทีเดียว ชื่อ การปฏิวัต และ การเปลี่ยนแปลง ในประเทศสยาม ซึ่งแต่งโดย ยาสุกิ ยาตาเบ ซึ่งเป็นทูตญี่ปุ่นในสมัยรัชกาลที่ 7 มันน่าสนใจตรงที่ผู้แต่งไม่ได้เป็นคนไทย คงนับได้ว่าเป็นคนกลางจริงๆ ... ซึ่งเมื่ออ่านแล้วก็เข้าใจ และเห็นภาพพจน์อะไรๆ ได้ดีขึ้น ครับ ...


Smiley แนะนำให้อ่านครับ Smiley



อ้อ เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ไม่หนา แต่เนื้อหาน่าสนใจมากครับ






Free TextEditor

Smiley ข้อมูลหนังสือ



เรื่อง  :             นิทานโบราณคดี


ผู้แต่ง :           สมเด็จพระเจ้าบรมวศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ


สำนักพิมพ์ :  ดอกหญ้า 2545


ราคา :             245 บาท (560 หน้า)






Free TextEditor




 

Create Date : 24 สิงหาคม 2551    
Last Update : 25 สิงหาคม 2551 22:54:05 น.
Counter : 4750 Pageviews.  

ศพใต้เตียง โดย สรจักร

Smiley จะว่าไป ผมเองไม่ได้อ่านหนังสือที่เป็นรวมเรื่องสั้น มาได้เกือบ สิบปี ! Smiley แล้วมั๊ง เรื่องล่าสุดที่อ่าน คงเป็น "ครีบหัก" ของ คุณประภัสสร  เสวิกุล



Smiley ผมมันไม่เหมือนคนส่วนใหญ่ตรงที่ ถ้ามีหนังสือออกมาใหม่ แล้วดังเปรี้ยงปร้าง คนอ่านกันทั่วบ้านทั่วเมือง ผมจะยังไม่อ่านหนังสือเล่มนั้น ด้วยเหตุผลส่วนตัว สองข้อ คือ Smiley เพราะไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเราตามกระแส (ไม่อยากเหมือนคนอื่นนั่นแหละ) และ Smiley เพราะอยากให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าหนังสือดังกล่าวดีจริง ไม่ได้ดังเพราะการโฆษณา ประชาสัมพันธ์



Smileyหนังสือชุด "ศพใต้เตียง" ของคุณสรจักรก็เช่นเดียวกัน ผมได้ยินชื่อมานานแล้ว โดยไม่เคยเห็นเล่มหนังสือเลย แต่ก็ได้ทราบว่าเป็นแนว "หลอน" และ "หักมุม" ก็ทราบเพียงเท่านี้ และ จำได้ว่าช่วงที่พิมพ์ออกมาแรกๆนั้น คนกล่าวขวัญกันเหลือเกิน ผมจึงยังไม่อ่าน พอนานเข้า ก็พลอยลืมไปเสีย ... แหะๆ Smiley



Smiley เมื่อสองวันที่แล้ว  ไม่มีหนังสืออ่านเลย (ตามประสาคนไม่ชอบสต๊อกหนังสือ)  จึง เดินไปเลือกซื้อหนังสือ  มาอ่านซักเล่ม เอาที่ไม่หนา ไม่ยาวมากนัก  เพราะ เวลาช่วงนี้  ไม่รู้ว่ามันหายไปไหนกันหมด ... เฮ้อ Smiley   ก็  ... กวาดตาหาหนังสือไปมา บนชั้นหนังสือแนะนำ  จนตาลาย  นึกในใจ ทำไมเดี๋ยวนี้หนังสือออกมามากมาย แต่หาที่น่าสนใจไม่ค่อยมีเลย พวกปกสวยๆนี่แหละน่ากลัวนัก Smiley  จนไปสะดุดตากับหนังสือปกสีฟ้า พิมพ์คำว่า "สรจักร ศิริบริรักษ์" ไว้ด้านบนด้วยอักษรสีขาว แล้วรีบเหลือบตามาดูชื่อเรื่องที่อยู่ด้านล่างขวา เห็นอักษรซีดๆจนเกือบเป็น พรายน้ำ เขียนว่า "ศพใต้เตียง" พิมพ์ครั้งที่ 25 .... เท่านั้นแหละ  ข้อมูลเก่าๆผุดขึ้นมาทันที !  Smiley ก็ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว  เอาเล่มนี้แหละ ด้วยเหตุผลสองข้อคือ พ้นช่วงฟีเวอร์มาแล้ว และจำนานพิมพ์ถึง  25 ครั้ง ก็น่าจะเพียงพอต่อการ เสี่ยง ซื้อมาอ่าน ... เสี่ยงจริงๆ นะครับ Smiley การซื้อหนังสือสมัยนี้ .. เฮ้อ .. ปกสวย เน่าใน มีอยู่เยอะ .. คำว่า เบสต์เซลเลอร์ ก็เชื่ออะไรไม่ได้แล้ว .. บางเล่มพิมพ์ออกมา 2 ครั้ง best seller พร้อมช่อมะกอกงามๆ ก็ถูกอัญเชิญมาแปะ ่หราอยู่บนหน้าปกซะแล้ว ... อ้าวววว  นอกเรื่องซะงั้น Smiley



Smiley  ผมเชื่อว่าคนที่ชอบอ่านหนังสือแนวหักมุม ลึกลับ ซ่อนเงื่อนนั้น ไม่น้อยที่ชอบเล่นกับผู้เขียน คือ ชอบจับผิดว่าจะมาไม้ไหนกัน  จะหักมุมอย่างไร และจะไม่เชื่อสิ่งที่ผู้เขียนยรรยายเพื่อให้ เข้าใจไปเอง เช่น


ถ้ามีผู้หญิงกรี๊ด แล้วผู้ชายวิ่งหนี ก็ต้องคิดไปว่า ผู้หญิงนั้นถูกกระทำ และคนร้ายคือผู้ชายคนนั้นแน่ๆ


แต่เรารู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้มันต้อง หักมุม ดังนั้นจึงพยายาม "ไม่เชื่อ"  และคาดคะเน ไปว่าจริงๆ แล้วมันจะเป็นไปอย่างไร ซึ่งจุดนี้เอง ถ้าผู้อ่านเดาผิด แล้ว เฉลยออกมาแบบไม่คาดฝัน อย่างมีชั้นเชิง และมีเหตุผล (ของเรื่อง) มารองรับอย่างดีแล้ว ... เชื่อว่าท่านทั้งหลาย คงเคยรู้สึก


จี๊ดดดดดดดด+


กันมาบ้างไม่มากก็น้อย ... อามรณ์คงเหมือน เพิ่งดู The Mist จบ ยังไง อย่างงั้น  แต่ ...  ถ้า ผู้อ่านเดาทางถูก หรือแค่เกือบถูก แล้ว อารมณ์ จี๊ดดดดด ก็จะกลายเป็นอารมณ์


งั้นๆแหละ !


ไปได้ง่ายๆ ... ผมอิจฉา หลายๆ คนที่อ่านหนังสือแนวนี้แล้วไม่คิดอะไรมากจริงๆ ... คืออิน กับเนื้อหาไป เชื่อทั้งหมดที่ผู้เขียนเล่า แล้ว จี๊ดดดดด ทุกเรื่องที่อ่าน .. แหม แต่มันทำไม่ได้จริงๆ นิ



Smiley คุณสรจักรเปิดเรื่องแรกด้วย เรื่อง "ศพใต้เตียง" ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับหนังสือ ... ซึ่ง เป็นเรื่องราวตลกร้าย ของชายหนุ่มที่ชื่อ เชาว์ เมื่ออ่านจบ ก็ตะโกนอยู่ในใจคนเดียวว่า "เจ๋งว่ะ" ... เพราะมัน จี๊ดดดดดดดด Smiley คนเขียนเก่งดีจัง แล้วจึงเกิดความ เหี้ยนกระหือรือ ที่จะอ่านเรื่องต่อไปทันที


แต่น่าเสียดายที่ เรื่อง ที่ 2 เรื่องที่ 3  ..  4  ..  5  ..  มันแค่เกือบ จี๊ดดดด Smiley  ครับ  .. คือหลายๆ เรื่อง นั้น มีโครงเรื่อง  การเริ่มเรื่อง  และ การดำเนินเรื่องที่ดีเลยล่ะ  เพียงแต่ "ตอนจบมัน ธรรมดาเกินไป" ครับ หลายเรื่อง มันไม่รู้สึกว่าหักมุม แต่มันคล้ายจะเป็น แนวสะท้อนสังคม สะท้อนชีวิต ไปเสีย จาก ทั้งหมด 19 เรื่อง ผม จี๊ดดดดด ไป 4 เรือง  ครับ


(แต่ถามว่า .. ต้องจบยังไงถึงจี๊ด ก็คิดแทนไม่ออกเหมือนกัน Smiley เพราะเขียนไม่เป็น ... หุหุ)


 อีก 15 เรื่องที่ ไม่จี๊ดดดด นั้น ก็ยัง OK ครับ ถือว่า อ่านสนุก  ได้บรรยากาศกดดันดี มิใช่น้อย  บางเรื่อง  หลอน กว่า คุณนาย ซาดะโกะ แห่ง  เดอะ ริง  อีกนะ เอ้อ !!!


อ้อ !
ผมไม่ชอบดูหนังสยองขวัญเลย แม้แต่น้อย .. ผมจึงว่าเรื่องนี้หลอน กำลังดี
.. บางท่านที่ชอบ ดูหนัง  ตัด  หั่น  เจาะ  แหวะ  อะไรๆ ทำนองนี้
คงอ่านแล้วว่ามันเฉยๆ ก็ได้ แต่ผมมันแฟน แฮรี่ พอตเตอร์   นาร์เนีย 
แบทแมน ฯ อะไรทำนองนี้ ก็คิดว่ามันหลอนแล้วนะครับ ...



เพียงแค่นี้ ก็มีเหตุผลเพียงพอแล้วที่จะไปซื้อ เรื่องสั้น "ตระกูลศพ" ของคุณ สรจักรมาอ่านอีก ไม่ว่าจะเป็น "ศพข้างบน" หรือ "ศพท้ายรถ"


หนังสือเล่มนี้ สนุก   และ  หลอน


ไม่ควรพลาดครับ !



Smiley ข้อมูลหนังสือ


ชื่อเรื่อง    ศพใต้เตียง


ประเภท    รวมเรื่องสั้น หลอนๆ


ผู้เขียน      สรจักร ศิริบริรักษ์


สำนักพิมพ์  มติชน


ราคา        145 บาท(208 หน้า)



ล่มต่อไป "นิทานโบราณคดี" พระนิพนธ์ใน สมเด็จฯกรมพระยาดำรงค์ฯ ครับผม



อ้อ ! "ธรรมแห่งอริยะ" ของ  ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมท  ต้องค้างไว้ก่อน เนื่องจาก ลืมหนังสือ ไว้ในรถน้องครับ .. ได้มาเมื่อไหร่ แล้วจะมารีวิว ต่อครับ








Free TextEditor




 

Create Date : 29 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 29 กรกฎาคม 2551 23:46:11 น.
Counter : 2932 Pageviews.  

โครงกระดูกในตู้ โดย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมท


ขอเรื่อยเปื่อยหน่อยครับ ... ถ้าไม่อยากอ่าน ก็ข้ามไป รีวิว ด้านล่างได้เลยครับ

วันนี้ เป็นวันว่างสบายๆ แต่ก็ต้องตื่นแต่เช้า  เพราะมีโปรแกรมยาวเหยียด คือ ต้องไปตัดผม เอากางเองที่แก้ไว้ แล้วไปถ่ายรูปที่สตูดิโอ แถวลาดพร้าว ด้วยความครึ้มใจสมัยน้ำมันแพง เลยคิดจะเปลี่ยนงานไปเป็นสจ๊วต สายการบินตะวันออกกลางดูกับเค้ามั่ง .. ก็ว่ากันไป .. เสร็จแล้วไปเล่นเวทที่ Fitness First ที่ตึก Q-house ลุมพินี .. หลังจากนั้น เป็นนัดสำคัญ คือไป ทานข้าวกลางวันกับ "คุณแฟนเก่า" ก็นัดกันไปกินที่ ฟูจิ สาขา โลตัสพระรามสี่ .. แหม ทำไมมันเขิลลล อย่างนี้เนี่ย ทำอะไรไม่ค่อยถูกเลย ผับผ่า แต่ก็ OK คุยกันมีความสุขดี แต่ ..... ทานไปได้ซักพัก ดั๊นนน ปวดท้องหนัก จึงต้องขอตัวไปทำธุระโดยด่วน เมื่อเสร็จกิจจึงกลับมา พร้อมกับนั่งคุยไปเรื่อยเปื่อย ซักพักจึงเอะใจว่า "ลืมกระเป๋าเงิน และโทรศัพท์มือถือ" ไว้ในห้องน้ำ จึงรีบกลับไปดู โดยด่วน ปรากฎว่าหายไปเรียบร้อย ถามแม่บ้านซึ่งสวนกันตอนทำธุระเสร็จก็บอกว่าไปเห็น ก็กลับมารายงาน คุณแฟนเก่าว่า ให้ลองโทรไปซิ ก็ปรากฏว่าโดนตัดสายตลอด เป็นอันเข้าใจได้ว่า ไม่ได้คืนแน่นอน.. แต่ก็ มีเงินสดในกระเป๋าแค่เกือบ 2 พัน เพราะตอนเช้าใช้ไปเยอะ แล้วก็โทรศัพท์ชราๆ หนึ่งเครื่อง ....
แต่คนที่เครียด กลับเป็นคุณแฟนเก่าซะอย่างงั้น .. แทนที่จะปลอบผม ผมกลับต้องปลอบคุณแฟนเก่าแทน ว่า ช่างมันเถอะ หายไปแน่ๆ เศร้าเสียใจไปก็เท่านั้น อย่างไรเสียก็คงไม่ได้คืน .. ก็ปลอบกันไป

แต่จริงๆแล้วคงเป็นเพราะของที่หายไปมันไม่เท่าไหร่มั๊ง คือเงินพันกว่าก็เสียดาย แต่อย่างที่บอก ช่างมันเถอะ โทรศัพท์ ก็ชรามากแล้ว คิดจะเปลี่ยนใหม่อยู่พอดี แต่ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะผมไม่ค่อยยึดติดกับสิ่งของมากเท่าไหร่ หายไปก็หาใหม่ได้ แต่จะแคร์มากๆในเรื่องความรู้สึกมากกว่า

เพราะวันนี้ ถึงแม้ว่าสิ่งของจะหายไป แต่ผมคงได้เปลี่ยน "คุณแฟนเก่า" มาเป็น "คุณแฟน" อีกครั้งหนึ่ง นั่นเอง

หลังจากที่ปลอบใจกันพักใหญ่ ก็ขับรถกลับ และต้องขอบคุณรถทุกคันบนถนนพระรามสี่ ที่ทำให้การจราจรติดได้อย่างสะใจ จนทำให้ผมตกลงกับคุณแฟนในรถได้ว่า สุดสัปกาห์นี้จะไปดูหนังกัน และ ต้นเดือนหน้าจะขับรถไปทำบุญและเลยไปชายทะเลด้วยกันให้ได้

ปล. ถึงแม้ว่าจะอิ่มใจที่ได้คุณแฟนกลับมา แต่ก็ยังเสียดายบัตรต่างๆอยู่นะครับ .. สมมติแบบลมๆแล้งๆว่าใครก็ตามที่เก็บได้ แล้วเข้ามาอ่าน blog ก็กรุณาส่งบัตรต่างๆของผมลงตู้ไปรษณีย์หน่อยเถอะครับ เสียดายจริงๆ



เกริ่นนำเรื่องส่วนตัวมาซะยืดยาว ก็เข้าเรื่องหนังสือเล่มต่อไปเสียที (แม้ว่า ธรรมแห่งอริยะ ยังจะรีวิวไม่เสร็จ ก็ตามที่)


อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าว่าวันนี้ทั้งวันมีอะไรต้องทำมากมาย และคงมีเวลาว่างอยู่มิใช่น้อย จึงคิดจะหาหนังสือซักเล่มมาอ่าน โดยคิดจะให้จบภายในวันนี้เสียเลย จึงเดินไปเลือกดู เห็นเรื่อง "โครงกระดูกในตู้" ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ (อีกแล้ว) นั้นน่าสนใจอยู่ ด้วยความหนาเพียง 109 หน้า จึงคิดว่าน่าจะพอไหว จึงซื้อมาในราคา 130 บาท และเริ่มอ่าน เมื่อเวลา 11.30 น. โดยอ่านไปเรื่อยๆเมื่อว่าง และอ่านจบในเวลา 16.30 น. และโดยไม่ต้องเสียเวลาพิจารณา หนังสือเล่มนี้ เก็บขึ้นหิ้งแน่นอน !

โครงกระดูกในตู้นั้น ท่านผู้เขียนได้ตั้งชื่อเรื่องตามสำนวนฝรั่งที่ว่า skeleton in the cupboard ซึ่งมีความหมายในภาษาไทยว่า การปกปิดเรื่องของคนในตระกูลที่ได้ทำเรื่องไม่ดีไม่งามไว้ ซึ่งเหตุที่ท่านตั้งชื่อเรื่องแบบนี้ก็ด้วย หนังสือเล่มนี้ท่านแต่งขึ้นเพื่อแจกลูกหลานของท่าน โดยเป็นการบรรยายสาแหรก (family tree)ของบรรพบุรุษของราชสกุลปราโมทโดยสังเขป หากแต่ท่านมิต้องการบรรยายแบบ "อภินิหารบรรพบุรุษ" คือแสดงแต่คุณงานความดีของบรรพบุรุษ มิได้กล่าวถึงข้อเสียเลย ท่านเห็นว่าความไม่ดีทั้งหลายนั้น ย่อมเกิดขึ้นได้แก่มนุษย์ ผู้ซึ่งจะต้องเกิด แก่ เจ็บตาย ที่มีรัก โลภ โกรธ หลง ด้วยกันทั้งสิ้น และสิ่งที่ไม่ดีไม่งามนั้น ก็ยังสามารถเป็นอุาหรณ์เตือนใจให้คนรุ่นหลังมิให้กระทำตามได้ด้วยอีกประการหนึ่ง

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมท เป็น โอรส ในพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าคำรบ กับ หม่อมแดง ปราโมท โดยสาแหรกฝ่ายท่านพ่อนั้น นับได้ไปถึง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และสาแหรกฝ่ายท่านแม่นั้น นับไปได้ถึง เจ้าระยามหาเสนา (บุนนาค) อันเป็นเชื่อสายขุนนางใหญ่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เพราะฉะนั้น การบรรยายสาแหรกของท่านจึง เกี่ยวข้องกับ พระบรมวงศ์สานุวงศ์ และขุนนางผู้ใหญ่ในกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงอาจกล่าวได้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นเกร็ดพงศาวดารขนาดมินิ ซึ่ง บรรยายเหตุการณ์ต่างๆโดยเฉพาะในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นไว้อย่างน่าสนใจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง แหล่งข้อมูลต่างๆที่ท่านผู้เขียนได้นำมาลงไว้นั้น ได้มาจากการเล่าของบรรพบุรษของท่าน ซึ่งเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นโดยตรงแทบทั้งสิ้น

หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับใคร

1 ผู้ซึ่งสนใจประวัติโดยสังเขปของผู้เป็นต้นสกุล และราชสกุลต่างๆ อันเป็นที่รู้จักดีในปัจจุบัน อาทิเช่น ปราโมท, บุรณศิริ, บุนนาค , พหลโยธิน  เป็นต้น

2 ผุ้ซึ่งสนใจเหตุการณ์ต่างๆ ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ วิถีชีวิตชาววัง ทั้งในวังหลวง และวังเจ้านายต่างๆ

3. ผู้ที่ติดใจงานเขียนในลักษณะที่เป็นการเล่าเรื่องของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ที่มักแทรกอารมณ์ขัน เจ็บๆคันๆ ไว้เสมอ

อ่านแล้วชอบอะไีร

หนังสือเล่มนี้อ่านสนุก อ่านเพลิน ชอบทุกเรื่องที่ท่านเล่าให้ฟัง เพราะเรื่องราวส่วนมากนั้น เป็นเรื่องราวยุคต้นรัตนโกสินทร์ ที่ไม่รู้มาก่อนเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ท่านพ่อของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ครั้นดำรงพระยศเป็น พลโท ดำรงตำแหน่งแมทัพ นั้น ท่านได้มีเรื่องวิวาท กับ พี่สาวของท่าน ท่านลุแก่โทสะ คว้าปืนไปยิงขึ้นฟ้าที่หน้าตำหนัก แต่มิได้หมายจะทำร้ายใคร คงแค่ระบายพระโทสะ แต่พี่สาวท่านไปแจ้งต่อ กลาโหม ผลคือ ท่านถูกปลดจาก พลโท แม่ทัพ เป็นทหานกองหนุน เสียงเดี๋ยวนั้น ... ซึ่งทั้งที่มิได้มีใครบาดเจ็บ และเป็นเรื่องภายในครอบครัว ทั้งท่านยังเป็นราชวงศ์ที่มีตำแหน่งสูง แต่กฏยังเป็นกฏ เป็นสิ่งที่น่าชื่นชม .. แต่ภายหลัง เรื่องร้ายก็กลายเป็นดี อยากรู้ ว่าเป็นอย่างไรไปหาอ่านเองครับ

อีกซักเรื่องคงเป็นเรื่องที่ เจ้านายหลายพระองค์ไม่ได้มีความเป็นอยู่อย่างหรูหราฟุ่มเฟือย หลายพระองค์ต้องประกอบอาชีพเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง อย่างที่พอจะเรียกได้ว่า อัตคัตเลยที่เดียว ถึงแม้วาพระองค์นั้นจะเป็นหลานของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลก่อนก็ตาม หรือแม้แต่ พระเจ้าลูกเธอที่ยังเล็กยังต้องหมอบกราบขุนนางผู้ใหย่ผู้มีอำนาจบารมี ก็ได้รู้จากเล่มนี้เช่นกัน

หนังสือเล่มนี้ อ่านแล้วไม่ผิดหวัง เชื่อขนมกินได้ว่า "อ่านสนุกครับ"






Free TextEditor




 

Create Date : 22 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 22 กรกฎาคม 2551 21:00:18 น.
Counter : 2826 Pageviews.  

ธรรมแห่งอริยะ โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมท

เช่น เดียวกันกับหนังสือ หลายๆเล่ม ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมท ที่เกิดจากการนำข้อเขียน ที่ได้ตีพิมพ์เป็นตอนๆ ลงในหนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน แล้วจึงมีการรวบรวมขึ้น แล้วจัดพิมพ์เป็นเล่มเดียว เสน่ห์ของหนังสือที่เกิดจากลักษณะดังกล่าวของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ นั้น อยู่ทีภาษาที่ท่านใช้จะเป็นลักษณะของการเล่าเรื่อง มิใช่การเทศนา หรือสอนหนังสือ จึงทำให้ไม่น่าเบื่อ แต่ก็ยังดูขลัง น่าเชื่อถือ และที่สำคัญคือ "อ่านสนุก" Smiley

ความจริงแล้ว ผมผ่านตาหนังสือเล่มนี้มานานนับได้หลายปีทีเดียว แต่ยังไม่บังเกิดความคิดที่ซื้อกลับมาอ่าน ด้วยเห็นชื่อหนังสือครั้งแรก ก็ชวนให้คิดว่า เป็นหนังสือแสดง คุณธรรมของ "พระอริยบุคคล" อันเป็นสาวกขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งได้อ่านมาพอสมควร ประกอบกับอินทรีย์ทางธรรมในช่วงนั้น (แม้ในขณะนี้ก็ตาม) ออกจะอ่อนแอไปสักหน่อย จึงละเลยเรื่องธรรมะธรรมโม ไปเสีย

ต่อเมื่อได้อ่านหนังสือเรื่อง "ถกเขมร" ของท่านผู้เขียนคนเดียวกันจบ แล้วจึงได้เห็นคำแนะนำท้ายเล่ม ว่า เนื้อหาของหนังสือเรื่อง "ธรรมแห่งอริยะ" นั้น มิใช่หนังสือแสดงหลักธรรมอันลึกซึ้ง และหนักหน่วงแต่อย่างใด หากแต่้เป็นการอธิบาย การแผ่ขยาย "อารยธรรม" ทางความคิด อันส่งผลไปถึงวิถีชีวิต และความเป็นอยู่ ของเหล่าชาวยุโรป ซึ่งถูกเรียกว่าเป็น "อารยัน หรือ อารายะ หรือ อริยะ" ที่ได้รุกรานชาวพื้นเมืองแห่งชมพูทวีป เข้ามาทางเอเชียใต้้ และได้สร้าง วัฒนธรรมต่างๆ ขึ้นมา และเผยแพร่่วัฒนธรรม เหล่านั้นออกไปจนทั่ว เอเชีย และ บางส่วนของยุโรป (โบราณ) แม้กระทั่งวัฒนธรรมของประเทศไทยเรา ก็ได้รับอิทธิพลของ ชาวอารยะมามิใช่น้อย

องค์สมเด็จพระสัมมาส ัมพุทธเจ้า นั้น ก็ประสูตรในวงศ์ของกษัตริย์ของชาวอารยะ พระองค์จึงเป็นชาวอริยะโดยกำเนิด เมื่อพระองค์ออกแสวงหาอริยสัจ จนประกาศพระพุทธศาสนานั้น คำสอนของพระองค์ ได้ส่งผลต่อ ชีวิต ความเป็นอยู่ อย่างใหญ่หลวง ทั้งต่อชาวอารยะเอง และทั้งต่อคนทั่วทั้งเอเชีย ถึงแม้ว่าหนังสือ เล่มนี้ จะไม่ใช้หนังสือธรรมมะ (ซะทีเดียว) แต่ก็ได้แสดงแนวคิด และหลักธรรม ของศาสนา ต่างๆ ทั้ง พราหมณ์ ฮินดู พุทธ ชิน ฯ ซึ่งกำเนิดขึ้นในดินแดนของชาวอารยะ ไว้อย่างเพียงพอต่อการประดับความรู้ และเป็นพื้นฐานในการศึกษาธรรมได้เป็นอย่างอย่างดี และจะรู้สึกได้ว่าโชคดีเพียงใด ที่เรายังได้เรียนรู้พระธรรมคำสอน ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ว่าเวลาจะล่วงมากกว่า 2500 ปี แล้วก็ตาม ดังที่ สมเด็จพระญาณสังวร ที่ปรารภต่อท่าผู้เขียนไว้ว่า "ข้อเขียนนี้ ถ้าพระภิกษุ และนักศึกษาได้อ่าน จะช่วยให้เข้าใจการศึกษาเรื่องพระพุทธศาสนาได้อย่างดี"

และสำหรับผู้ที่สนใจ ในวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ของเหล่าชาวอริยะ และมิใช่อริยะ ในโบราณ รวมถึงความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรมทั้งหลาย อันเป็นต้นกำเนิด ของวัฒนธรรม และพิธีกรรม ของคนไทย ซึ่งยังเห็นได้ในปัจจุบัน หนังสือเล่มนี้ ก็น่าสนใจไม่น้อย



หนังสือเล่มนี้ หนา619 หน้า ราคา 290 บาท อ่านแล้ว 288 หน้า .. ก็เห็นว่าจะได้เริ่ม รีวิว เนื้อหาอย่างคร่าวๆ เสียที

ปล. มือใหม่ หัดทำ blog ครับ .. ยัง ขาดๆ เกินๆ รั่วๆ อยู่ ก็ขออภัย มา ณ ที่นี้ นะครับ Smiley


Smiley จะเรียกว่ารีวิวได้หรือเปล่า .. เอาเป็นว่า จะเป็นไปในลักษณะ
อ่านแล้วมาเล่าให้ฟังก็แล้วกันนะครับ .. ตาม concept ที่ว่า อะไรก็ได้
... ตามใจผม
Smiley

Smiley บทที่ 1 .. ศาสนา ลัทธิความเชื่อ และปรัชญา Smiley


ก่อนจะอ่านหนังสือเล่มนี้ เมื่อกล่าวถึง พราหม์ ฮินดู นั้น คงจะนึกถึงแขกอินเดีย รวมไปถึงพระพุทธเจ้าของเราด้วย เนื่องจาก เรารียนกันมาว่า เรื่องราวทั้งหลายที่มีอยู่ในพุทธประวัตินั้น ล้วนอยู่ในบริเวณที่เป็น ประเทศอินเดีย และเนปาล ในปัจจุบัน ทั้งนั้น ทำให้จินตนาการไปได้ว่าองค์พระพุทธเจ้านั้นคงเหมือนแขกที่ โกนหัว เสียกระมัง แต่ อ.คึกฤทธิ์ แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่ เนื่องจากพระพุทธเจ้านั้นได้กำเนิดขึ้นในวงศ์ของชาวอารยัน ซึ่งเป็น "ฝรั่ง" ที่ได้้อพยพมาลงมายังเอเชียใต้ ดังนั้นพระองค์ก็น่าจะมีลักษณะ สูง ขาว และนัยตาสีฟ้า อะไรทำนองนั้น (เออ .. อันนี้ได้คิด)

ชาว อารยะ ที่อพยพลงใต้มานั้น นั้นคงมีเชื้อสายทิ้งอยู่ถิ่นฐานเดิม ไม่ได้อพยพตามลงมาทั้งหมด ซึ่งฝรั่งเชื้อสายเดียวกับชาวอารยะเหล่านั้น ก็คงได้พัฒนาอารยธรรมของตนไปด้วยพร้อมกัน เกิดเป็นอารยธรรมสำคัญก็ได้แก่ กรีก โรมัน เป็นต้น





Free TextEditor

ชาวอารยะเมื่อแรกนั้น ก็ได้ทำกสิกรรม และเลี้ยงสัตว์ เป็นหลัก จึงต้องการขวัญกำลังใจ และความอุ่นใจว่าจะได้ผลผลิตที่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ดังนั้นจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้สบายใจ ว่าจะได้ตามความต้องการ จึงเกิดการบูชาเทพเจ้าต่างๆ (ที่ตั้งขึ้นมาเอง) โดยเทพเจ้านั้นจะดูแลเกี่ยวกับการกสิกรรมทั้งหลายของชาวอารยันให้ไดผลผลิตบริบูรณ์้  Smiley และเมื่อสังคมมีความซับซ้อนมากขึ้น เทพเจ้าทั้งหลาย ก็เกิดมีขึ้น การบูชาเทพเจ้าก็มีมากขึ้น รูปแบบขั้นตอน และพิธีการก็มากขึ้น มีขั้นตอน และรายละเอียดมากมาก ดังนั้นจึงต้องมีผู้ที่ทำหน้าที่ บูชาเทพเจ้าเป็นการเฉพาะเพื่อให้การบูชานั้นถูกต้อง และเรียกผู้ที่ทำหน้าที่ดังกล่าวว่า พราหมณ์ (โอ้ ... พราหมณ์ มีกำเนิดจากชาต ิฝรั่ง !!!) Smiley และแน่นอน ในทุกชุมชนย่อมมีผู้นำ โดยเฉพาะผู้นำในการรบเพื่อปกป้องชุมชนของตน ซึ่งภายหลังเรียกคนเหล่านี้ว่า กษัตริย์ สำหรับ ชาวอารยะผู้ที่เหลือ จึงจัดเป็นพลเรือนทั่วไปทำการค้าขาย และเรียกคนกลุ่มนี้ว่า ไวศยะ เนื่องจา่ก





Free TextEditor




 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 18 กรกฎาคม 2551 3:08:38 น.
Counter : 836 Pageviews.  


oscilated
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add oscilated's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.